เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]
ภาวนามยปัญญาเกิดจากภาคปฏิบัติ
มะเร็งเขาเรียกโรคหมดหวัง แต่ก่อนวัณโรค พอว่าเป็นวัณโรคนี่หมดหวัง อ่อนลงทันทีเลย พอได้ทราบว่าเป็นวัณโรค อันนั้นแก้ตก แล้วทีนี้มาเป็นมะเร็ง พอว่ามะเร็งแก้ไม่ตก อ่อนลงเหมือนกันนะ พูดถึงเรื่องวัณโรคนี้ โห เป็นจริง ๆ นะ กำลังใจนี้ตกวูบเลยเทียวนะ หลวงปู่มั่นเราเป็นวัณโรคนะ ท่านเป็นวัณโรค สำหรับเรามันไม่เคยสนใจ วัณโรค-ณแลกอะไร มันยกโคตรมันมาว่างั้นเลย เอาจริง ๆ เราไม่เคยหวั่นเลยกับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ถึงไหนถึงกันเลย ปากเรากับปากท่านคลอเคลียกันนี้ตลอดเวลา
เพราะเสลดพันคอของท่าน ตอนดึก คือมันหน้าหนาวเดือนพฤศจิกา หนาวมากเท่าไรไอนี้ไม่หยุดไม่ถอย ดีไม่ดีไอจนกระทั่งนอนไม่ได้เลย เราก็อยู่นั้นเป็นประจำ เอาสำลีห่อนี้กว้านช่วยท่าน เราไม่เคยสนใจกับวัณโรค เขารู้กันทั้งวัด รู้กันหมดทั้งนั้นวงลูกศิษย์ ถ้าไม่รู้ก็มีเราคนเดียว ไม่สนใจเลยนะ จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ถ้าธรรมดาแล้วก็ติดมหาติด ว่างั้นเถอะน่ะ ติดวัณโรคน่ะ เพราะไม่มีใครที่จะใกล้ชิดติดพันกับท่านยิ่งกว่าเรา ในวงพระทั้งหลายบรรดาที่เป็นลูกศิษย์ แต่เราไม่เคยสนใจ เสมหะ ๆ เราเองเป็นผู้กว้านออกมาๆ ปากท่านกับปากเราติดอยู่นี้ตลอด แต่เราไม่เคยสนใจ
ก็เดชะอยู่นะไม่เห็นเป็นอะไร จนเป็นหลวงตามาทุกวันนี้ ไม่เป็น เราไม่มีเรื่องเหล่านั้น ไม่สนใจแหละวัณโรค-ณแลกอะไร ยิ่งกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์ซึ่งเป็นยอดหัวใจเรา อยู่ตรงนั้นเท่านั้น นอกนั้นไม่มาเกี่ยวข้องเราได้เลย ปฏิบัติท่าน จริงจังทุกอย่างบอกแล้ว ไม่มีคำว่าอ่อนแอ ยิ่งเรื่องพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้ว อะไรผ่านไม่ได้เลย คอขาดแทนเลยเชียวเรา เพราะฉะนั้นคำว่าวัณโรคจึงไม่มีความหมายอะไรเลยกับเรา ไม่สนใจเลย จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ก็ไม่ปรากฏเลยนะ ถ้าธรรมดาแล้วติดมหาติด เขาว่าติดง่ายด้วยนะ นี้เราพัวพันกับท่านตลอดเวลา มันเลยติดละ ถ้าพูดธรรมดานะ ไม่ว่าแต่ติดธรรมดา มันเลยติดไปแล้ว แต่มันก็ไม่เป็นไร
ทุกอย่างเกี่ยวกับท่านเราใกล้ชิดที่สุดเลย พูดอย่างนี้แหละ หรือกิเลสมันหาว่ายอตัวเหรอ พวกเปรตมันหากินแต่เศษแต่เดน ของเก็บตก ของดีมันไม่เอานะ พูดของดีให้ฟังมันไม่สนใจ มันจะหาเอาแต่มูตรแต่คูถ พวกเปรต พวกคลังกิเลส คลังส้วมคลังถาน เป็นแต่อย่างนั้นนะ ค้านธรรมตลอด ๆ ของดีไม่ยอมเอา หาเอาแต่เศษแต่เดน เก็บตกไปอย่างงั้น พูดแล้วเราทุเรศ รู้ไหมว่าข้าศึกของธรรมจะเป็นอะไรถ้าไม่ใช่กิเลส ถ้าดีแล้วไม่ยอมรับ ถ้าชั่วแล้วถึงไหนถึงกัน เรื่องของกิเลสเป็นอย่างงั้น
อย่างที่เราพูด เราพูดตามหลักความจริง ถึงเรื่องวัณโรคของท่านเป็นอะไร ที่โลกเขากลัวกันมากที่สุดเลย เรามันไม่มี แล้วไม่เป็นอารมณ์ด้วย คลอเคลียกับท่าน บางคืนตลอดรุ่ง เพราะท่านไม่ได้นอน เราก็ไม่นอน เนื่องจากหนาวมาก ไอมาก เราต้องเอากะละมังใส่สำลีมาไว้ในมุ้ง แล้วห่อกว้านออกมาๆ ใส่กระโถนๆ วันหนึ่ง ๆ ตอนค่ำแล้วต้องเอากะละมังมาไว้นี้ พวกสำลีมาไว้เต็มกะละมัง มีแต่เรานั่นแหละมาทำ องค์อื่นไม่มี นี่เรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ใครทำมันไม่สนิทใจนะ มันหากเป็นในหัวใจนี่ จะโง่หรือฉลาดก็ขอให้เรา พูดอย่างงั้นนะ จะโง่หรือฉลาดก็ขอถวายตัวไปเลย ทั้ง ๆ ที่โง่เต็มตัวนี้แหละ
เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมให้ใครเข้าไปยุ่งท่าน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หนักเข้าเท่าไรเรายิ่งติดพัน ไม่ห่างไกลเลย เวลาค่อยเบาบ้างเราก็ถอยออกไป เพื่อหมู่เพื่อน เราเองเป็นคนคัดเลือกที่มาปฏิบัติต่อท่านพอที่จะแบ่งหนักแบ่งเบากันบ้าง จะไม่ขัดขวางจิตใจท่านมากนะ ด้วยความเซ่อ ๆ ซ่าเหล่านี้นะ ต้องเลือกเอาพระเข้ามา เช่นอย่างกลางวัน ท่านก็ธรรมดาเงียบ ๆ เพราะไม่ไอ แล้วมีพระคอยเกี่ยวข้อง เราก็ห่างตอนนั้นออกไป ออกไปก็ทำหน้าที่ของเรานั่นแหละ ไม่ได้ทำอะไรนะ
ออกจากท่านไปนี้เข้าทางจงกรมเพื่อยืดเส้นยืดสาย เพราะนั่งกลางคืน บางคืนตลอดรุ่งเหมือนว่าเอวของเรา หลังของเราจะหักพังไปหมด แต่เราไม่เคยเป็นอารมณ์ กับมัน มันอยู่กับท่าน มันจะเป็นจะตายช่างหัวมัน รับใช้ท่านตลอด หมดสภาพแล้วจะตายก็ตายไปเลย เพราะจิตอยู่กับท่านต่างหาก นี่ละความจงรักภักดี ความเทิดทูนกับครูบาจารย์ เราสุดยอดแล้วในชีวิตของเรากับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เรียกว่าไม่มีอะไรจะเลยนั้นไปแล้ว เต็มหัวอก คำว่าบกพร่องไม่มีในความเทิดทูน ความรัก ความเคารพ เลื่อมใสท่านทุกอย่างเต็มหมดในหัวใจ เรายังไม่มีความดีก็เอาท่านมาเต็มหัวใจเรา เอาความเคารพ ความรัก ความเทิดทูน ความสละทุกอย่างต่อท่านเลย
นี่พูดถึงเรื่องมะเร็ง มันก็เลยหันเข้ามาหาวัณโรค วัณโรคแต่ก่อนกลัวกันมาก บางคนพอว่าวัณโรค ผงะเป็นบ้าเลย อย่างงั้นก็มีน่าเกลียดเหลือเกิน อันนี้พูดจริง ๆ ไม่มีกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น ฟังซิว่าคลอเคลียกันอยู่ ปากท่านกับปากเราอยู่ด้วยกัน ไม่สนใจ อันนี้ออกแล้วก็เอาอันใหม่มาเปลี่ยนเรื่อย ๆ ออกจากนี้ก็เข้าทางจงกรม เปลี่ยนอิริยาบถด้วย กับเวลานั้นเป็นเวลาที่จิตของเราเป็นธรรมจักรหมุนตลอดเวลาด้วย ธรรมดามันก็หมุนตลอดเวลา บางคืนไม่นอนเลย ไม่หลับเลย กลางวันยังไม่หลับอีก มันหมุนโดยหลักธรรมชาติของจิต ที่เห็นโทษเห็นภัยของกิเลส เห็นขนาดนั้นแหละ เห็นขนาดที่ว่าจะเอาออก จะฆ่ากิเลสให้ตายอย่างเดียว ตัวจะตายไม่ว่า
นี่แหละเห็นไหมโทษของกิเลส เวลาได้เห็นเป็นอย่างงั้นนะ ดูไม่ได้ ว่างั้นเลย แต่ก่อนมันไม่เห็นมันก็พันกันอยู่อย่างงั้น เหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ เวลามันเห็น มันเจอเข้ามากเท่าไรๆ โอ๊ย ว่าจงอาง งูเห่า อันนี้มันยังน้อยไป อันนั้นยังเก่งกว่านี้อีก มันก็หมุนของมันล่ะซิ
พูดถึงเรื่องความเคารพรักเทิดทูนพ่อแม่ครูจารย์มั่น เรียกว่ามอบทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือเลย ที่จะแบ่งสันปันส่วนว่ามีกลัวอย่างงั้น ไม่มีเลย ขาดสะบั้นไปหมดเลย เวลานั้นก็เป็นเวลาที่จิตกำลังหมุนเป็นธรรมจักรเสียด้วยนะ พูดอย่างนี้มันเป็นยังไงพวกเรา ที่พูดให้ฟังเหล่านี้ ถอดออกมาจากหัวใจมาพูดนี่วะ ที่ท่านว่าพวกเราเรียนทุกคน เราก็เรียน ทีแรกก็งง แต่ไม่ได้ปักใจต่อความสงสัยอะไรมากนัก ท่านว่าปัญญาเกิดได้สามทางในปริยัติ เราก็เรียนมาแล้ว ก็เรียนมาทั้งนั้นเหล่านี้ เรียนมาด้วยกัน พวกนี้พวกเรียนเปล่า ๆ หัวโล้นเปล่า ๆ หัวล้านเปล่า ๆ เรียนมาเหมือนกัน
พออ่านเข้าไปถึงปัญญาเกิดได้ ๓ ประการหรือเกิดได้ ๓ ทางในปริยัติ สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง เช่น เราฟังอรรถฟังธรรมจากครูอาจารย์ มีแง่ใดแง่หนึ่งที่เกิดปัญญาให้เราได้เป็นข้อคิด อย่างนี้เป็นต้น จินตามยปัญญา เกิดขึ้นจากการพิจารณาใคร่ครวญ พินิจพิจารณาตามแต่นิสัยของใคร ปัญญาก็เกิดได้ มันก็คาดได้ไม่สงสัย เกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง เราก็เคยได้ปัญญาจากนี้อยู่แล้วสงสัยอะไร การคิดอ่านไตร่ตรองอะไรเราก็เคยได้ปัญญานี้อยู่แล้ว ตามนิสัยวาสนาหรือภูมิของเรา แต่ภาวนามยปัญญานี่มืดตื้อเลย
ภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ ว่าอย่างงั้นนะ ไม่มีอะไรเข้ามาแฝงเลย เรียกว่าปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ เราก็งงเวลาเรียน เวลาออกปฏิบัติมันยังไม่เข้าถึงเงื่อนที่จะรับกันมันก็เป็นธรรมดาอยู่งั้นแหละ พอก้าวเข้าสู่สติปัญญาขั้นนี้แล้ว ภาวนามยปัญญาเข้ามาเอง อ๋อ อย่างนี้เอง มันหมุนของมัน เราจะพูดให้มันชัดเจนทุกคน กิเลสใดก็ตามในโลกนี้ไม่มีอะไรหนาแน่นกดถ่วงมากที่สุด และให้สัตว์หลงมากที่สุด และทุกข์มากที่กดถ่วงที่สุดยิ่งกว่ากามกิเลส ตัวนี้หนักมากที่สุด ความเพียรก็หนัก ฟังให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย
กิเลสมีอยู่กับทุกคน ตั้งใจจะถอดถอนทุกคน พูดอย่างนี้เพื่อแก้เพื่อถอดเพื่อถอนมหาพิษมหาภัยผิดไปไหน ฟังให้ดีนะ กิเลสตัวนี้ละตัวสำคัญมาก แหม รุนแรงมากทีเดียว มันก็รับกันกับจิตที่มุ่งต่อธรรมอย่างยิ่งทีเดียว เพราะฉะนั้นมันถึงฟัดกันเต็มเหนี่ยว ไปบางแห่ง พูดให้มันตรงศัพท์ตรงแสง นี่ละคือว่าจิตของเรามันมุ่งต่อธรรมอย่างยิ่งจะไม่ให้มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เพราะฉะนั้นจึงไปคนเดียว อยู่คนเดียวในป่าในเขา มีแต่จะฟัดให้เต็มเหนี่ยว ๆ อะไรมาขวางทางไม่ได้ ไปบางแห่ง มันเป็นของมัน แหม ไม่สบายเลยนะ เป็นไฟขึ้นมาในใจเลย มันไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิง ทั้ง ๆ ที่เราจะแก้มันอยู่ พอมองเห็นผู้หญิง แย็บเข้าแล้วนะ นี่เข้าแล้ว มันเป็นยังไงเป็นอย่างนั้น
เป็นยังไง กูไม่ได้มาหาผู้หญิง กูมาหาธรรมต่างหาก มันก็ร้อนเป็นไฟขึ้น แต่ไม่ได้ไปยินดีด้วยนะ มันกลับมาเห็นโทษเจ้าของ นี่ละเป็นธรรม มันไม่ได้ผูกพันต่อไปให้เป็นเงื่อนต่อ เพิ่มเติมกิเลสขึ้นอีกนะ พอมันเป็นอย่างงั้นแล้ว ทีนี้มันกลับมาเป็นไฟเผาเจ้าของ กูไม่ได้มาหาผู้หญ้าผู้หญิง อยู่ที่ไหนมันก็มีผู้หญิงเต็มโลกเต็มสงสาร กูมาหาธรรมต่างหาก ทำไมจึงมาเป็นอย่างนี้ ยิ่งหมุนใหญ่ นี่กองทุกข์อันหนึ่ง ตั้งแต่ยังไม่ได้เรื่องได้ราวมันก็เป็นอีกแบบหนึ่ง มันก็ร้อนของมัน ทีนี้พอพิจารณาเข้าไปได้เรื่องได้ราว เห็นเหตุเห็นผลซึ่งกันและกันแล้วทีนี้หมุนติ้วเลย เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูดได้จากการภาวนาของเรา เป็นในจิตในใจของเรานะ
ภาวนาที่ว่าชุลมุนวุ่นวายที่สุดนี้ เราไม่เรียกว่าภาวนามยปัญญา เราเรียกว่าปัญญาชุลมุน นี่ปัญญากับกามกิเลส เราพิจารณาแยกแยะแก้ไข ทุกสิ่งทุกอย่างจะนำมาจาระไนหมด จนสติปัญญารู้แจ้งของมันเต็มเหนี่ยว ๆ นี่เรียกว่าชุลมุน เราจะเรียกว่าภาวนามยปัญญา สติปัญญาก้าวเดินเอง มันก้าวเดินยังไง มันชุลมุนกัน ตอนนี้จะเรียกว่าภาวนามยปัญญาไม่ได้ ฟาดเหล่านี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้การฝึกซ้อมภูมิของจิตในขั้นนี้ เอาให้มันชัด ๆ คือการฆ่ากิเลสตัวนี้ มันตายลงไปนี้เพียงได้ระดับ อย่างนั้นก็มี
ถ้าผู้ช้าผู้ธรรมดาก็เรียกว่าเพียงได้ระดับ เช่นสอบได้ ๕๐% ได้ระดับแล้ว ยังไงก็ไม่คืนให้คืน แต่ว่าหมดจริง ๆ ที่มลทินอะไร ๆ เกี่ยวข้องกันนอก ๆ ยังมี ตัวใหญ่มันตายแล้ว เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ฝึกซ้อมอันนี้ พอได้ระดับแล้วท่านก็เอานิมิตของท่านที่เคยได้ผลขึ้นมาตั้งปุ๊บ ๆ ฝึกซ้อม ๆ ทีนี้มันก็ละเอียดเข้าไป ๆ เรื่อย ๆ ฐานเดิมตัวใหญ่ของมันตายแล้ว บริษัทบริวารของมันยังมีเล็ก ๆ น้อย ๆ ถึงจะไม่เป็นภัยอะไรก็ตาม แต่สิ่งที่ว่าเป็นภัยอยู่แล้วนั้นมันจะเล็กจะน้อยก็ตาม ต้องถือเป็นภัยต่อหัวใจผู้ที่จะละสังหารมันเต็มหัวใจเช่นเดียวกัน
จากนั้นมันก็ฝึกซ้อมอันนี้ นี่แหละทีนี้เรียกว่าภาวนามยปัญญา มันจะเป็นของมันเอง หมุนฝึกซ้อมอันนี้ให้ชำนิชำนาญ ให้เกลี้ยงเกลาละเอียดลออ ทีนี้จิตพอหลุดพ้นจากอันนี้แล้วมันจะหมุนของมันขึ้นนะ ธรรมชาติอันนี้หมุนลงดึงลงทั้งนั้น หมุนลงดึงลง ตัวกามกิเลสตัวหนักที่สุดในกิเลสสามแดนโลกธาตุ ไม่มีอะไรเกินกามกิเลส ราคะตัณหา เพราะฉะนั้นคนเราจึงหลงทิศหลงแดน หลงผัวหลงเมีย หลงกันไปทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมันเพลินเป็นบ้าตลอด ไม่หยุดไม่ถอย ไม่มีอะไรหักห้ามต้านทานมัน คือธรรม
เวลาเหล่านี้ขาดลงไปแล้ว ส่วนใหญ่นี้เรียกว่าสอบได้แล้ว ๕๐% ถือว่าสอบได้ ได้ระดับแล้ว เอ้า ขาด ใช่แล้วประจักษ์ใจแล้วนะว่า เออ นั่นขาด แต่ที่มันยังไม่ขาดมันก็รู้กันอยู่นั้นอีกแหละ เพราะฉะนั้นจึงหมุนกับอันนั้น ที่ยังมีเล็ก ๆ น้อย ๆ เหมือนว่าเป็นผงเป็นอะไรติดอยู่กับแก้ว ว่างั้นเถอะน่ะ ยังไม่ได้ขัดแก้วนั้น นั่นล่ะท่านเรียกว่าภาวนามยปัญญา ปัญญาขั้นนี้มันหมุนของมันติ้ว ๆ จะไม่ให้มีอะไรเหลือเลย ให้มันสุดสิ้นทุกอย่าง เพราะมีอะไรมันก็เป็นภัยๆ กลางคืนไม่ได้นอน หมดคืนเลย นั่งภาวนาก็รู้แล้วว่านั่งภาวนา นอนจะนอนให้หลับมันไม่หลับ มันภาวนาของมันเป็นสติปัญญาอัตโนมัติอยู่ตลอดๆ เอ๊ ยังไงนี่ แล้วลงเดินจงกรมมันก็เป็นอย่างนี้ ขึ้นมานั่งอีกแล้วนอน สุดท้ายก็แจ้ง มันไม่ยอมหลับ คือมันหมุนตลอดเวลา นี่ภาวนามยปัญญา เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติไม่ต้องถามใคร แต่ก่อนก็เห็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ
บทเวลามันได้เข้าถึงขั้นภาวนามยปัญญานี้ จะพบ จะเห็น จะได้ยินเสียงอะไรมากระทบกระเทือน เพื่อจะเอาอุบายวิธีนั้นมาพิจารณาเป็นปัญญาขึ้นมานี้ไม่ต้อง อันนั้นมาเกิดมันก็เป็นปัญญาของมัน ไม่มีอะไรมันก็เป็นปัญญาอยู่ในนี้ หมุนกันอยู่นี้ เพราะกิเลสอยู่ภายในใจ มันก็หมุนอยู่ภายในใจ มันละเอียดลง ๆ มันก็เห็นชัด ๆ เวลาพิจารณานิมิตต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวพันกันนั้นมันก็หดย่นเข้ามา เร็วเข้ามา ๆ ละเอียดเข้ามา ต่อไปมันก็ว่างไปหมดเลย ไม่มีอะไร ตั้งพับดับพร้อมๆ นั่นล่ะคำว่าจิตว่าง
นิมิต คือเครื่องหมายของกามกิเลสยังมีอยู่นิด ๆ หน่อย ๆ เวลามันละเอียดลงไป มันมีก็รู้ ๆ ๆ จนกระทั่งถึงว่าหมด ตั้งพับดับพร้อม ให้อยู่ไม่ได้ ไม่มีทางที่จะห้ามให้อยู่ พอตั้งพับดับพร้อมๆ ตั้งก็เลยเป็นแสงหิ่งห้อย ตั้งแพล็บดับพร้อมเลย จากนั้นว่าง มันมีอะไรอีกที่จะพิจารณา มันต่อกันไปอีกอย่างงั้น เรื่องธรรมเรื่องกิเลสเหมือนไฟได้เชื้อ กิเลสเป็นเชื้อ ธรรมเป็นไฟเผาเชื้อไปโดยลำดับลำดา เรื่อยเข้าไป นี่ภาคปฏิบัติสด ๆ ร้อน ๆ ขอให้ปฏิบัติเถอะน่ะ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอกาลิโกสด ๆ ร้อน ๆ ยอมให้พวกส้วมพวกถานเหยียบย่ำทำลายทิ้งอยู่เปล่า ๆ เป็นเศษมนุษย์อยู่ได้เหรอ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นชาวพุทธ ไม่อายผู้ที่เขาไม่ถือศาสนาบ้างเหรอ
เราถือศาสนาทำไมไม่ค้นออกมาปฏิบัติแก้ไขตัวเอง ข้าศึกก็อยู่กับหัวใจเรา ธรรมะก็อยู่กับหัวใจเราที่จะฟัดกันให้แหลกแตกกระจายไปได้มีอยู่ พระพุทธเจ้าสอนไว้เรียบร้อยแล้ว เรียกว่า สวากขาตธรรม ไม่ผิด อุบายวิธีการที่ทรงสอนไว้แล้ว แต่เราไม่นำมาใช้เท่านั้นเอง ปล่อยให้กิเลสเหยียบหัวเอา ให้พิจารณานะ เวลามันถึงขั้นนี้แล้ว มันก็มีอันหนึ่งของมัน มันหมดอันนี้ มันว่างเปล่า ว่างในขั้นนี้ แต่ภายในใจยังไม่ว่าง ให้มันเห็นอย่างงั้นซิ อะไร ๆ มันก็ว่างหมด โลกภายนอกกำหนดดูอะไร ต้นไม้ภูเขา ถ้ามองเห็นด้วยตานี้มันเป็นราง ๆ แต่จิตนี้ทะลุไปหมดเลย ทั้ง ๆ ที่ตัวภายในจิตมันยังไม่ว่างนะ มันยังสามารถมองทะลุไปได้หมดเลย นี่เรียกว่าจิตว่าง
ออกจากนี้แล้ว พิจารณาสิ่งที่มีเงื่อนต่อ ก็คือพวกส่วนร่างกายมันชักจะหมดปัญหาไปแล้ว เพราะกามกิเลสคือตัวร่างกาย ตัวรูปตัวโฉม นี่แหละ พอนั้นหมดไปแล้ว มันก็เหลือแต่นามธรรม เป็นสัญญา ตั้งขึ้นมาพับดับไป ๆ สัญญา สังขาร วิญญาณ ปรุงขึ้นอะไรเกิดแล้วดับๆ ปรุงขึ้นจากจิตตามกันอยู่ตลอดเวลา เป็นหลักธรรมชาติภายในจิต อะไรหมายขึ้นมาปั๊บ เกิดดับ วิ่งปั๊บเข้าถึงจิตๆ ตามเข้าไปๆ สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้เห็นได้ยินนี้ก็กระเทือนถึงจิต ดับพร้อม ๆ นี่แหละเรียกว่าฝึกซ้อม ละเอียดเข้าไปยิ่งกว่านิมิตของกรรมฐานของกามกิเลสอีก หมดเข้าไป ๆ สิ้นเข้าไป ๆ
ทีนี้ก็เหลือแต่ยิบแย็บ ๆ ยิบแย็บก็มีฐานของมันที่ให้เกิด มันเกิดขึ้นจากที่ไหน มันก็ไล่เข้าไปๆ เพราะมันไม่มีที่พิจารณาแล้ว มันปล่อยวางหมดแล้ว มันรู้หมดแล้ว พูดอย่างนี้นะ สามแดนโลกธาตุมันรู้หมดแล้ว ปล่อยหมดแล้ว ก็ยังเหลือแต่ขันธ์ห้าของตัวเองที่ปล่อยยังไม่ได้ กับอวิชชาที่มันเกี่ยวโยงกันอยู่ อวิชชาเอาขันธ์ ๕ นี้เป็นเครื่องมือ เพราะฉะนั้นมันจึงติดตามอยู่ตรงนี้ ติดตามเข้าไป จนกระทั่งถึงวาระของมันแล้วก็ดังเคยพูดแล้ว ทีนี้ย่นเข้ามาเลย พอถึงวาระของมันแล้ว มันก็เข้าถึงตัวใหญ่คือ อวิชฺชาปจฺจยา ถอดพรวดขึ้นมาเลย นี่ว่างแล้วที่นี่เห็นไหมล่ะ
แต่ก่อนอะไร ๆ ว่างหมด แต่หัวใจยังไม่ว่างจากอวิชชา ไม่ว่างจากตัวเอง ให้มันเห็นอย่างงั้นซิ คำว่าว่างเป็นมาแล้ว ว่างมาหมดๆ แต่จิตของตัวเองยังไม่ว่าง เหมือนคนที่ขึ้นไปเหยียบอยู่บนหัวตอ มองที่ไหนมันก็ว่างหมด แต่หัวตอกับเท้ามันไม่ว่าง หรือเข้าไปในห้อง มองดูที่ไหน โอ้ นี่โล่งหมด ว่างหมด แต่ตัวไปยืนขวางห้องอยู่นั่น มันไม่ว่างเข้าใจไหม ตัวนี้ทำไมมันไม่ว่าล่ะ ตัวนี้มันยืนขวางห้องอยู่ นี่แหละตัวนี้ตัวสำคัญ จิตของเรามันว่าง อะไรก็ว่าง ๆ แต่มันยังไม่วางตัวของมัน มันก็ไม่ว่างในตัวของมัน พอถึงตัวนี้แล้วขาดสะบั้นลงไปหมด ทีนี้ว่างหมดเลย
นั่นล่ะผางขึ้นมา ทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เมื่อถึงขั้นมันหมดก็รู้ มันยังอะไรมันก็สืบต่อกันเรื่อย ๆ ละเอียดลออไป จนกระทั่งมันหมดโดยสิ้นเชิง ว่างหมด วางหมด ไม่มีอะไรในสามแดนโลกธาตุ มีแต่ความว่างของจิตอย่างเดียว ทั้งว่างในตัวเอง ทั้งว่างภายนอกตลอดทั่วถึง หาที่ต้องติไม่ได้ พอแล้วทุกอย่าง พิจารณาซิผู้ปฏิบัติธรรม นี่ละพุทธศาสนาของเรา ฉุดลากโลกให้พ้นจากทุกข์ จากวัฏสงสารมาจำนวนเท่าไรแล้ว เราเป็นคนจำนวนอะไร ถามตัวเองซิ ทำไมจึงเห็นศาสนาเป็นกองมูตรกองคูถไปได้ เอากองมูตรกองคูถคือกิเลสทั้งหลายเข้ามาเหยียบทำลายศาสนา อะไรก็เป็นเรื่องของกิเลส ดีหมด ๆ
ถ้าเรื่องของอรรถของธรรมนี่อ่อนแอ ท้อแท้ เหลวไหล จนอ่อนเปียก มันเป็นอย่างงั้นนะเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นมันจึงมีตั้งแต่กองทุกข์เต็มโลกเต็มสงสาร ใครว่าโลกอันนี้มีความสุขล่ะ เอามาแข่งกับธรรมดูสักหน่อย ใจดวงเดียวนี้มันดูหมดแล้ว อย่าเอามาแข่งในสามแดนโลกธาตุนี้ แข่งธรรม จิตเพียงดวงเดียวจ้าไปหมดแล้วรู้หมด สงสัยหาอะไรโลกอันนี้ นั้นละธรรม ธรรมแท้เป็นอย่างงั้น เมื่อพอแล้วใครจะมาคัดค้านต้านทานอะไรก็มีแต่ถังขยะ ๆ มูตรคูถทั้งนั้น ธรรมชาตินี้จะไปสนใจกับอะไรกับสิ่งนั้น
เพราะฉะนั้นการแสดงธรรมออก ด้วยเจตนาที่มีความเมตตาเหนือสิ่งทั้งหลายแล้ว เกินมูตรเกินคูถแล้วจะไปสนใจกับมันอะไร ว่าเขาจะตำหนินั้น เขาจะว่างี้ ไปสนใจอะไร มูตรคูถก็รู้กันอยู่แล้ว อันนี้เลิศเลอก็รู้กันอยู่แล้วในหัวใจนี้ เพราะฉะนั้นจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเมื่อถึงกาลเวลาที่ควรจะพูดหนักเบามากน้อย ไม่เคยสะทกสะท้านกับสิ่งใดเลย ใครจะว่าเป็นอะไรเราไม่สนใจ เพราะมันเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง เหล่านี้มีแต่ความสมมุติทั้งนั้น ที่ตายกองกันอยู่ในสมมุติ อันนั้นไม่มี ถ้าลงไปถึงนั้นแล้วไม่มีคำว่าตายกองกัน นั่น มันต่างกันยังไงบ้าง นั่นการปฏิบัติท่านปฏิบัติอย่างนั้น
พูดเริ่มต้นมาตั้งแต่วัณโรคของพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรื่อยมา ตอนนั้นละตอนจิตหมุนติ้ว ๆ ออกจากท่านเข้าทางจงกรม หมุนในงานของตัวเอง คืออยู่กับท่านเหมือนจับดินสอหรือปากกา มันไม่ได้เขียน แต่ไม่ปล่อยปากกามันก็เขียนเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้ เพราะเรื่องเกี่ยวโยงกันอยู่ มันก็ไม่ได้เขียนเต็มเม็ดเต็มหน่วย พอออกนั้นปั๊บมันก็เขียนล่ะซิ นี่พูดถึงเรื่องวัณโรค ไม่มีเลยหายเงียบ วัณโรคไม่เป็นทั้ง ๆ ที่คลอเคลียกับท่านอยู่สุดขีดเลย อายุขัยของท่านหมดเราก็ได้ปล่อยมือ การคลุกเคล้ากับวัณโรคของท่านนั้น เราเองแหละเป็นที่หนึ่งเลย เพราะท่านป่วยหนักมากเท่าไร มันหากเป็นเองในหัวใจ ท่านเองท่านก็ไม่เคยถามหาใครนะ เราเองก็หมุนติ้วอยู่กับท่าน ไม่เคยสนใจว่าจะให้ใครมาช่วย
ท่านเองก็ไม่เคยถาม ไม่เคยบอกว่า นี่ท่านมหาก็ปฏิบัติกับผมมาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้พระเณรมาช่วยบ้าง ท่านก็ไม่เคยมี ความรู้สึกมันจะเข้ากันนั่นแหละ ตรงกันไปเลย ไอ้เราก็ไม่สนิทใจเวลาให้ใครเข้าปฏิบัติรักษาท่าน กลัวจะไประเกะระกะขัดข้อง เราถึงโง่ก็ตาม โง่ก็ให้มันเต็มโง่นี่ละ ว่างี้เลย โง่ก็มอบทั้งความโง่นี่แหละ เพราะฉะนั้นจึงไม่ยอมให้ใครเข้าไป ท่านยิ่งป่วยด้วยแล้วเรื่องความระเกะระกะจะให้เป็นอารมณ์กับท่าน กวนใจท่าน เราไม่อยากให้พบเห็นนะ เพราะฉะนั้นเราถึงหมุนติ้ว ๆ
ครั้นเวลาท่านหลับก็ให้พระองค์ที่พอจะปฏิบัติท่านได้บ้างนั่นแหละ บอกมาแทน มาแทนแล้วยังไม่แล้ว ยังสั่งเสียอีกด้วย การเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาในสถานที่ใดเราเคยบอกใครเมื่อไร แต่เรื่องของพ่อแม่ครูจารย์นี้บอกทุกแง่ทุกมุม นี่ผมจะไปเดินจงกรมอยู่ตรงนั้น ๆ นะ หากว่าท่านตื่นขึ้นมาแล้ว ท่านถามไม่ถามก็รู้กันเอง พอท่านตื่นแล้วให้ไปเรียกผมที่ตรงนั้นนะ เดินจงกรม บางทีไปไม่นาน ท่านตื่นแล้ว ปุ๊บออกแล้ว ส่วนมากพอตื่นนอนขึ้นมาลืมตาขึ้นมาท่านมักจะถามเสมอ ก็ไม่ถามใครนี่ อวดหรือไม่อวดท่านทั้งหลายฟังซิ ท่านไม่ถามใคร เท่าที่สังเกตไม่เคยเห็นท่านถามใคร พอลืมตาขึ้นมามองนั้นมองนี้ ท่านมหาไปไหน
เพราะฉะนั้นพอได้เห็นเข้าไปนี่ ปุ๊บเข้าเลย พอเข้าปั๊บพระก็ออก เราก็ปฏิบัติหน้าที่อยู่งั้นตลอดไปเลย ท่านก็ไม่เคยได้สั่งให้เปลี่ยนอย่างงั้นอย่างงี้ผู้ดูแลท่าน ท่านไม่พูดถึงเลย เราก็ไม่พูดถึงใครเลย มันก็พอเหมาะกัน เป็นกับตายเรามอบหมดแล้ว เราจึงได้เทิดทูนสุดหัวใจกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น คือไม่มีอะไรเหลือเลย หมดจริง ๆ นะ หมดอย่างสด ๆ ร้อน ๆ ไม่มีคำว่าจืดว่าจางกับพ่อแม่ครูจารย์มั่น สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลา นี่เราพูดถึงเรื่องวัณโรค เป็นโรคเป็นภัยอะไร ๆ เกี่ยวกับพ่อแม่ครูจารย์มั่นแล้วไม่มีอะไรมาเป็นอุปสรรค มากีดขวางเราได้ ไม่เป็นกังวลเลย ไม่คิดถึงเลย
จากนั้นเราก็พูดถึงเรื่องว่าจิตมันหมุน นี่ละที่ว่าจิตเป็นอัตโนมัติ คือสติปัญญาหมุนเป็นอัตโนมัติ ไม่ต้องได้บังคับบัญชา ขับไสทางความพากความเพียรไม่มี มีแต่รั้งเอาไว้ๆ มันจะเลยเถิด คำว่าความเพียรกล้า คือเพื่อจะหลุดพ้นจากทุกข์ เรียกว่าความเพียรกล้าได้ แต่ในปัจจุบันจะกล้าอะไรมันคนจะตายอยู่แล้ว มันจะเอาอะไรมากล้าอีก นอกจากกล้าเพื่อพ้นทุกข์นั่น เออ พอได้ มันมีเวลายับยั้งชั่งตัวเมื่อไร หมุนติ้ว ๆ อยู่งั้นตลอด ถ้ากิเลสไม่หมดยังไงมันก็ตายด้วยกัน ให้ถอยไม่มีเลย นี่โทษของกิเลสหนักขนาดไหน เวลามันเห็นกันแล้วมันเป็นอย่างงั้น
จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปให้เห็นประจักษ์ในวาระสุดท้ายแล้ว จึงว่าเป็นเหมือนโลกธาตุไหวไปหมดเลย มันกระเทือนอย่างหนักทีเดียว ร่างกายนี้ไหวเลยทีเดียว นี่แหละกิเลสตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ เหมือนกับว่าใจดีดผึง เป็นเหมือนโลกธาตุสะเทือนสะท้านไปหมด แต่ธรรมดาเขาก็อยู่ของเขานั่นแหละ มันหากเป็นอยู่ในกายกับจิตนี้ จิตกับกายนี้กระเทือนจริง ๆ ไหวไปหมดเลย มันเป็น ถึงได้ออกอุทานมาอย่างไม่มีข้อแม้ ไม่มีอะไรมาคัดค้านต้านทานคำอุทานนี้ได้เลย โห ๆ ขึ้นเลยนะ ขึ้นอยู่ในใจ มันอัศจรรย์เกินเหตุเกินผล เกิดมาก็ไม่เคยพบเคยเห็น ปฏิบัติมาโดยลำดับลำดาก็ไม่เคยพบเคยเห็น มาพบเอาเสียเวลานี้ เจอเวลานี้
เพราะฉะนั้นมันถึงได้อุทานแบบไม่มีใครพูดนะ ถ้าโลกกิเลสตัณหามันก็จะค้านเต็มตัวของมัน แต่ความรู้ของเราก็เต็มตัวของเรา จะไปสนใจอะไรกับกิเลส เราภาวนาเพื่อแก้กิเลสต่างหาก พอผางขึ้นมานี้มันจ้าไปหมดเลย โหอย่างนี้เหรอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ คือถามตัวเองไปในตัวนั่นแหละ ทั้ง ๆ ที่ตรัสรู้อย่างที่เป็นนี้ละเหรอ ความหมายว่างั้น จะว่าถามใครสงสัยใคร มันก็ไม่สงสัยใคร มันออกด้วยอุทานอย่างรุนแรง หรือผาดโผนเท่านั้นกับความเป็นขึ้นมา ผางขึ้นมานี้ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละหรอ ๆ ย้ำอยู่นั่นนะ ก็มันไม่เคยเห็นไม่เคยเป็น มันมาเป็นเอาจัง ๆ เวลานั้น มันจะไม่ผาดโผนยังไง
จากนั้นมาอันดับสอง หือ พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ ย้ำอยู่นั้นแหละ และพระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ คือเป็นอันเดียวกันแล้วนั่น แล้วก็ประมวลมา หือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น เราเคยคาดไว้เมื่อไร พุทโธ ธัมโม สังโฆติดหัวใจจนกระทั่งถึงขนาดนั้น เราไม่เคยได้สะดุดใจ แต่เวลาธรรมชาตินี้มาเป็นอันเดียวกันแล้ว มันขึ้นมาได้ยังไง อุทาน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง
ถ้าข้อเปรียบเทียบก็เหมือนว่าแม่น้ำสายต่าง ๆ คือมหาสมุทรเป็นที่รองรับแม่น้ำทั้งหลาย แม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลลงมาๆ เข้ามาหามหาสมุทร เมื่อยังไม่ถึงมหาสมุทรก็เรียกได้ว่าแม่น้ำนั้นคือแม่น้ำสายนั้น แม่น้ำนี้มาจากสายนั้น ๆ ว่าไปได้ ใกล้เข้ามา ๆ คือผู้สร้างบารมี พูดง่าย ๆ นะ ผู้สร้างวาสนาบารมี สร้างคุณงามความดี ใกล้เข้าไป ๆ ถัดกันไป ตามกันไปเรื่อย ๆ เหมือนแม่น้ำที่ไหลลงจากมหาสมุทร ทีนี้พอเข้าถึงมหาสมุทรปั๊บ แม่น้ำสายนั้นจะหมดปัญหาไปทันที เป็นแม่น้ำมหาสมุทรแล้ว ที่ไหลเข้ามาเท่าไรถึงเมื่อไรก็เป็นแม่น้ำมหาสมุทร ว่าแม่น้ำสายนั้น ๆ หมดปัญหาไปทันทีที่แม่น้ำนั้นเข้าถึง ส่วนที่ยังไม่เข้าถึงก็เรียกว่าสายนั้นสายนี้อยู่ตามเดิม
นี่จิตเวลาเข้าถึงปั๊บนี่พระพุทธเจ้าคือใคร มันจ้าไปหมด มันเป็นแม่น้ำมหาสมุทรอันเดียวกันแล้ว เป็นอันเดียวกันแล้ว พูดให้ชัด ๆ อย่างนี้นะ แล้วหาพระพุทธเจ้าที่ไหน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต มันก็จ้าขึ้นมา คืออันเดียวกันนี้แล เท่านั้น นี่ละการปฏิบัติธรรม ไม่ต้องไปถามใคร พระพุทธเจ้าบอกว่า สนฺทิฏฺฐิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะพึงรู้เห็นด้วยการปฏิบัติของตนเองเป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งสิ้นสุด ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ ท่านผู้รู้ทั้งหลายจะรู้จำเพาะตน ผู้ไม่ปฏิบัติมันก็ไม่รู้ หรือปฏิบัติไม่ถึงก็ไม่รู้
เวลาจิตมันได้เข้าถึงมหาวิมุตติ มหานิพพานนั่นแหละ ที่เราเทียบว่ามหาสมุทรทะเลหลวง พระโสดา สกิทา อนาคา ก็เป็นสายต่าง ๆ ของใจดวงนั้น ๆ ผู้บำเพ็ญบารมีแต่ละรายๆ มันก็ไหลเข้ามาๆ พอถึงนั้นกึ๊กเท่านี้ก็เป็นมหาวิมุตติ มหานิพพานด้วยกันเลย เหมือนแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้าสู่มหาสมุทรแล้วเป็นมหาสมุทรทั้งหมด จ่อลงตรงไหนก็เป็นมหาสมุทร มันเหมือนกันหมดแล้ว จ่อลงนี่ปั๊บก็มหาสมุทร จ่อลงตรงนู้นปั๊บก็มหาสมุทร แล้วไปหามหาสมุทรที่ไหน มีความเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันที่ตรงไหนแม่น้ำมหาสมุทร จ่อตรงไหน ๆ มันก็เป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมด
ท่านถึงบอกว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาถึงสาวกองค์สุดท้าย ความยิ่งหย่อนไม่มี เสมอกันหมด ก็คือเป็นแม่น้ำมหาสมุทรเหมือนกันหมด หรือมหาวิมุตติ มหานิพพานเหมือนกันหมด มันประจักษ์ ในใจแล้วก็จะไปถามใคร จะไปทูลถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหน พระพุทธเจ้าคืออะไรมันก็ไม่สงสัยแล้ว พระรูปพระโฉมนั้นเป็นเรือนร่างของพระพุทธเจ้า พุทธะแท้อยู่ในเรือนร่าง คือพระสรีระ เพราะฉะนั้นจึงมีเกิดได้ตายได้ นิพพานที่นั่นนิพพานที่นี่
พระอรหันต์นิพพานที่นั่นที่นี่ คือเรือนร่างมันลงสู่สมมุติเดิมของมัน ธาตุสี่ดิน น้ำ ลม ไฟ ลงตามสภาพ ธรรมธาตุนั้นก็ดีดผึงออกมา เป็นมหาสมุทรอยู่แล้ว มหาวิมุตติ มหานิพพานอยู่แล้ว เป็นแต่เพียงว่าหมดความรับผิดชอบในสมมุติทั้งหลาย คือขันธ์นี้เป็นธรรมชาติที่จิตของท่านผู้บริสุทธิ์จะรับผิดชอบอยู่ตลอดไป ถึงไม่ติดไม่พัน ไม่ซึมซาบก็ตาม ความรับผิดชอบก็ต้องมี เจ็บไข้ได้ป่วยก็รู้ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยแต่ไม่ยึดไม่ถือ แต่ไม่ซึมซาบ หากรู้ นั่น พอสมมุติสุดท้ายนี้หมดลงไปปั๊บเท่านี้ เรียกว่าธรรมธาตุ หรือว่า อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นอันนั้นทันที เพราะเป็นอยู่ในนั้นแล้ว เป็นแต่เพียงว่าเกี่ยวข้องกับขันธ์อยู่ นั่นต่างกันอย่างงั้นแหละ สุดท้ายหมด
ทีนี้หมด คำว่าสมมุติจะมีในธรรมธาตุนั้นไม่ได้เลย แม้เม็ดหินเม็ดทรายไม่มี สามแดนโลกธาตุนี้เป็นสมมุติทั้งมวล ธรรมธาตุนั้นเป็นวิมุตติทั้งหมด มันคนละฝั่งละฝา ไม่ใช่อันเดียวกัน เวลามันคละเคล้ากันมันก็ไม่มองเห็นฝั่งเห็นฝา เห็นแดนอะไร เวลามันแยกกันได้แล้วว่ายังไงให้มันหลง มันก็ไม่หลง มันเป็นคนละฝั่ง ๆ อย่างระหว่างธาตุขันธ์กับจิต เอาเจ็บไป เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน จะเป็นจะตายก็รู้ว่ามันจะเป็นจะตาย ทุกข์มากขนาดไหน แต่จิตก็เป็นจิต เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ไม่เข้าซึมซาบซึ่งกันและกันเลย เป็นหลักธรรมชาติ ให้มันเห็นอย่างงั้นซิ
นี่ธรรมพระพุทธเจ้าท้าทายสำหรับผู้ปฏิบัติตามอยู่ตลอดเวลา นอกจากไม่ค่อยสนใจกัน เราจึงวิตกวิจารณ์กับบรรดาพี่น้องชาวพุทธเราในเมืองไทย มีเรื่องทาน เรื่องศีลมี แต่ภาวนาไม่ค่อยมีใครสนใจ หลักใหญ่ที่จะทรงทานทรงศีลไว้เพื่อเพิ่มพูนกำลังวังชาขึ้นไปอีกนั้นคือจิตตภาวนา มันไม่ค่อยสนใจ ก็เลยให้ทานไปธรรมดา เลยกลายเป็นประเพณี เขาให้ทานเราก็ให้ทานไปธรรมดา มันไม่ได้ถึงใจนะ ถ้าจิตตภาวนาเข้าถึงใจแล้ว โอ๊ยเรื่องทานก็ดี เรื่องศีลก็ดี มันจะหนักแน่นขึ้นทุกอย่าง เพิ่มกำลังเข้าไปทุกอย่าง ถ้าได้เจอ นี่รากเหง้าหรือแก่นของพุทธศาสนาอยู่ที่จิตตภาวนานะ
ถ้าลงได้เห็นนี้แล้วมันจ้าไปหมด เราไม่ได้มากก็ตาม ได้แต่เพียงความสงบ ๆ เท่านี้ก็เป็นการเพิ่มเข้าไป แล้วยิ่งจ้าตามกำลังของเราด้วยแล้ว นี่ละเพิ่มเรื่องการกุศลทั้งมวลที่เราเคยทำมาตามนิสัยของเรา จะเพิ่มกำลังขึ้นโดยลำดับลำดา อยากให้พี่น้องทั้งหลายรู้นะ พูดให้ฟังขนาดนี้ เราพูดทั้งหมดนี่น่ะ อะไรพูดเสร็จแล้วมันหายพร้อมกันเลย จะเอามาตีเป็นตราเป็นร่องเป็นรอยนี้ไม่มี พอจบไปปั๊บดับพร้อม ๆ ๆ ๆ ธรรมชาติที่ว่าง ว่างเป็นประจำตลอดเวลา อยู่ที่ไหนว่างหมด กิริยาที่มาใช้กับสมมุติมีหนักมีเบา มีดุมีด่า นี่เรื่องสมมุติเขาเป็นอย่างนั้น เวลามาใช้กับสมมุติก็ต้องเอากิริยานี้มาใช้ ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาติไม่ได้เป็นอย่างนี้ มันต่างกันก็ต้องนำมาใช้ เพราะโลกเป็นสมมุติ จะใช้กิริยาอย่างอื่นไปไม่ได้ ต้องให้เหมาะสมกับสมมุติ
เราเป็นเจ้าของสมบัติทั้งชาติทั้งศาสนา เราจะอ่อนแออยู่ไม่ได้ เมื่อมีข้าศึกสงครามอย่างนี้ล่ะเข้ามา ด้วยความหน้าดื้อหน้าด้าน สอดนั้นแทรกนี้ เราต้องคอยปัดคอยตีตลอด หนักก็ย้อนทวนสวนหมัดกันซิ อย่างนี้มีแต่พวกเราปิดป้องเอาไว้นะ อันนั้นเข้ามาช่องนั้นเข้ามาช่องนี้ เราไม่เคยสวนหมัด วงกรรมฐานของเรานี้เป็นแก่นเป็นหลักของพุทธศาสนา เพราะท่านปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยล้วน ๆ ไม่มีอะไรที่ระแคะระคาย นอกจากนั้นมันเป็นแต่มหาภัยที่จะเข้ามาโจมตีธรรม โจมตีวินัย โจมตีศาสนา สุดท้ายมันก็โจมตีไปหมดทั้งพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้ได้รับความกระทบกระเทือนไปด้วยกันหมด เพราะเหตุเลวร้ายทั้งหลาย นี่ไม่ใช่ของดี
เวลานี้มันก็เริ่มก่อความยุ่งเหยิงวุ่นวายเข้ามา ให้พระปฏิบัติท่านต้องเคลื่อนไหวแล้วนะ แต่ก่อนท่านอะไรท่านก็ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัย สงบร่มเย็นมาตลอด เพราะธรรมนั้นเป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว มันไปเอามาจากไหนก็ไม่ทราบ เรามองไม่เห็นที่เอามาอยู่ทุกวันนี้ มายุมาแหย่ มาทำลาย มาก่อกวนอยู่เวลานี้ มันไม่มีในหลักธรรมหลักวินัย แล้วมีแต่ความเสียหายเต็มตัวของมัน โดยที่แสดงมาอันไหน อันนี้เป็นข้าศึกยังไงรู้ทันที ๆ นะ มันไม่ได้มีคุณ มีแต่โทษ
เราเป็นเจ้าของสมบัติเราต้องเอาเต็มเหนี่ยว เป็นเจ้าของสมบัติทั้งชาติทั้งศาสนา เราจะอ่อนไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้มหาโจรเข้าเหยียบย่ำทำลายทั้งศาสนาให้จมไปเท่านั้น เราจะอ่อนไม่ได้ ว่างั้นเลย ถ้ายังเห็นว่าทั้งชาติทั้งศาสนาเป็นสมบัติที่มีคุณค่าเหนือหัวของเราอยู่แล้ว เราจะต้องต่อสู้รับกันกับมหาโจร อ่อนไม่ได้ว่างั้นเลย เรามันพูดอย่างงี้ภาษาธรรม พูดอย่างตรงไปตรงมา ผิดตรงไหนว่ามา ไม่ได้สะทกสะท้าน ถ้าลงได้ออกคำไหน อย่างพูดแล้วนี้ให้ขึ้นเลย อ้อม ๆ แอ้ม ๆ ไม่มี ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูกไปเลย
มีแต่อุบายที่จะมาหลอกต้มอยู่ตลอดเวลา มาช่องนั้นมาช่องนี้ ว่าเราจะรู้ไม่ทัน ปลาซิวลอยน้ำมาว่าจะมองไม่เห็น ก็ปลาซิว มาอวดก้าม แผลงฤทธิ์ขึ้นมา โอ๊ย ฟังไม่ได้ เพราะแง่ของกิเลสตัวเดียว ความมักใหญ่ใฝ่สูง อยากปรากฏชื่อลือนาม อยากเด่น อยากดัง อยากเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความดีอะไรเลย ความถูกต้องดีงามอะไรเลย แต่อยากเป็นอย่างนั้น แล้วมันจะเป็นได้ยังไง พระพุทธเจ้าเลิศเลอด้วยความเป็นของพระองค์ ความประพฤติของพระองค์ พระสงฆ์สาวกท่านเลิศเลอด้วยการประพฤติดีของพระองค์ บรรดาพระปฏิบัติทั้งหลายท่านจะดีก็เพราะการปฏิบัติของท่าน มันไม่ได้สนใจปฏิบัติ ไม่ได้สนใจดูจนกระทั่งธรรมทั้งวินัย แล้วจะมาอยากดีอยากเด่น อยากโด่งอยากดัง เหยียบหัวทั้งชาติ ทั้งศาสนาให้แหลกไปตาม ๆ กันนี้ มันฟังไม่ได้ คนในโลกนี้คนดีมี คนชั่วมีนะ
เราพูดถึงเรื่องภาวนามยปัญญา เราไม่ได้พูดถึงเรื่องมหาสติมหาปัญญา มันเชื่อมเข้าหากัน สติปัญญาอัตโนมัติก็ว่ารวดว่าเร็ว พอเข้าถึงมหาสติมหาปัญญานี้ซึมไปเลยเชียว
อ่านและฟังธรรมเทศนาของหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.com or www.Luangta.or.th
|