เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [เช้า]
คติจากนิทาน ลิงทอดแห
[ก่อนจังหัน]
ถ้าเป็นประโยชน์ส่วนรวมแล้ว โอ๊ยหลวงตารักสงวนมากนะ เพราะเป็นหัวใจของชาติ อวัยวะของชาติทั้งหมด เราต้องรักสงวนทั้งหมด อะไรถ้าเป็นของกลางของส่วนรวม เราไม่แตะนะ เรารักสงวนเป็นอย่างงั้นเป็นประจำ
เมื่อวานซืนนี้ก็ไปเทศน์ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์ พักเมื่อวานนี้ก็ไปด่านแล้วขึ้นเขา วันนี้ก็ไปลพบุรี วันต่อไปก็ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันกลับ ดูเหมือนมีว่างวันหนึ่ง คือวันที่ ๒๒ ว่าง วันที่ ๒๓ ก็กลับ วันที่ ๒๔ พัก วันที่ ๒๕ ไปร้อยเอ็ด เทศน์ไม่หยุด แก่เท่าไรยิ่ง โอ๊ย ไอ้เรื่องคนแก่ สัตว์แก่นี่ ปลดเกษียณ พระแก่เท่าไรยิ่งใช้ดีไม่มีปลดเกษียณ
พี่น้องทั้งหลายกรุณาทราบทั่วหน้ากันนะ ที่หลวงตาดีดดิ้นอยู่ตลอดเวลานี้ หลวงตาทำเพื่อพี่น้องทั่วประเทศนะ ขอให้เข้าใจตามนี้ หลวงตาไม่มีอะไร โลกธาตุนี้เราปล่อยหมดทุกอย่างแล้วไม่มีเหลือ พูดให้เต็มยศ เหลือแต่บรมสุขที่เป็นผลจากความตะเกียกตะกายมาแทบล้มแทบตายเท่านั้นเต็มหัวใจเรา เป็นที่พอใจตลอดอนันตกาล นี่ก็เป็นห่วงพี่น้องทั้งหลาย ดีดทางนู้น ดิ้นทางนี้ ขอให้พิจารณาให้ดีนะ เมืองไทยเป็นเมืองของเราทุกคน รับผิดชอบทุกคนนะ ขอให้อุตส่าห์พยายาม อย่าคิดไปว่าหลวงตาบัวนี้กวนบ้านกวนเมือง มันพวกบ้า ว่างั้นนะ คนหนึ่งลากเข็นจนแทบเป็นแทบตายไม่ได้ดู ทั้งวันทั้งคืน
ฟังซิ เทศน์มานี้ ๕ ปี กี่กัณฑ์ นับดูซิพี่น้องทั้งหลาย หลวงตาก็เป็นหลวงตา ป.๓ เท่านั้น มันทำไมเทศน์เอาพิลึกพิลั่น ๕ ปีนี่ วันหนึ่งสามกัณฑ์สี่กัณฑ์ก็มี เทศน์อยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งบัดนี้ เทศน์สั่งเทศน์สอน เทศน์อบรมเพื่อให้พยุงจูงตัวเอง จูงชาติบ้านเมืองของเราให้เข้าสู่ความสงบร่มเย็นทั้งศีลทั้งธรรม ทั้งวัตถุเครื่องอาศัยภายนอกภายใน ให้มีความสมบูรณ์พูนผลแล้วก็เป็นสุขมนุษย์เรา ในโลกนี้อยู่ด้วยกันก็ให้อยู่ด้วยความสมบูรณ์พูนผลเป็นสุขสงบเย็นใจ ไปโลกหน้าก็สงบเย็นใจด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลที่เราบริจาค เราบริจาคทานเพื่อชาติด้านวัตถุ เป็นบุญกุศลในด้านการให้ทานของเรา ไม่ได้เสียหายไปไหน
ขอให้พี่น้องทั้งหลายคิดให้ดีนะ เวลานี้เป็นเวลาที่หลวงตาได้อุตส่าห์พยายามช่วยชาติบ้านเมืองด้วยการพิจารณาเต็มหัวใจแล้วถึงออกแต่ละด้าน ๆ เราไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้านะ ขอให้พิจารณาให้ดีทุกคน ๆ ชาติไทยเรา ถึงเวลาเด็ดให้เด็ด อย่าอ่อนอย่าแอ อะไรก็อ่อน ๆ แอ ๆ ไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไรเลย แล้วก็มีแต่กิเลสกลืนเอา ๆ ไปที่ไหนเห็นแต่กิเลส ความท้อแท้อ่อนแอ ความไม่เอาไหนกลืนคน แล้วกลืนคนไทยเรานี้แหละ จะไปกลืนใคร เวลาควรจะเข้มแข็งให้เข้มแข็งซิ เวลาอ่อนก็อ่อน เหมือนนักมวยเขาขึ้นต่อยกัน เวลาขึ้นเวทีแล้วฟัดเต็มเหนี่ยวเลย ถ้าลงมาแล้วก็เป็นคนธรรมดาเหมือนเรา ไม่รู้ว่าใครเป็นนักมวย มันต้องมีจังหวะจะโคน
เวลาเราถึงขั้นเข้มแข็งเราต้องเข้มแข็ง ทั้งกิจส่วนตัว ทั้งส่วนรวม ทั้งเพื่อชาติบ้านเมือง ต้องคิดแยกคิดแยะซิ จะมาคิดตั้งแต่ความสุกเอาเผากินไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไรนะ พากันจำให้ดี เราอุตส่าห์พยายามแล้วเวลานี้ อายุนี่ท่านทั้งหลายก็ทราบแล้ว ก้าวเข้า ๙๐ ได้ ๕ เดือนนี้แล้ว พระขนาดนี้ไปเทศน์ที่ไหนท่านทั้งหลายเคยเห็นไหม นี่อุตส่าห์พยายามเทศน์ตลอดมา วันนี้ตอนบ่ายสามโมงก็จะเทศน์ที่จังหวัดลพบุรี กลับมาก็มืด ตะเกียกตะกายไปแล้วขึ้นบนธรรมาสน์เทศน์อีก ลงมาก็ตะเกียกตะกายมาอย่างนี้ เพื่อใคร
ขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เราหมดทุกอย่างแล้วที่จะเพื่อเรา ไม่มี เช่น อย่างการขบการฉัน พี่น้องทั้งหลายเอามาให้นี้ เราฉันลงไปก็เพื่อเยียวยาธาตุขันธ์ที่จะทำประโยชน์ให้แก่โลกเท่านั้น ที่จะเพื่อประโยชน์แก่เรา เราไม่มี เราบอกตรง ๆ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างนี้ นี่ละภาษาธรรม ไม่มีตลบตะแลงต้มตุ๋นใครให้ล่มจมนะ ภาษาธรรมเขาเรียกว่าขวานผ่าซาก ผ่าหัวกิเลส ไม่ได้ผ่าซากคนนะ เวลาเด็ดต้องเด็ดซิ ธรรมไม่เด็ดทันกิเลสได้ยังไง ถ้ามีกิริยาต่างๆ มาให้กิเลสเหยียบเอาแล้ว นี่ท่านดุท่านด่า จะให้หมอบกับกิเลสกราบกิเลสเหรอ ถึงจะเป็นความสวยงาม กิเลสขี้รดหัวงั้นเหรอถึงจะว่าความสวยงาม มันสวยงามเป็นส้วมเป็นถานของกิเลสขี้รดหัวต่างหาก ขี้รดหัวกิเลสบ้างเป็นไร ใส่ปั๊วะ ๆ ๆ เลย อะไรไม่ดีปัดปุ๊บ ๆ นี่เข้มแข็งอย่างงั้นซิ
ธรรมท่านเข้มแข็ง อะไรไม่ดีปัดออกเลย อะไรดีกว้านเข้ามา มีกำลังในทางชั่ว ชั่วตลอดไป แสดงความชั่วมากเท่าไรผลเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้โลกดินแดนให้เป็นเถ้าเป็นถ่านได้ นี่พลังของกิเลส มันรุนแรง ความผาดโผนความเข้มแข็งของกิเลสทำโลกให้ฉิบหายได้ ทีนี้กลับตรงกันข้าม ความเข้มแข็งของธรรมอุ้มตัวเอง อุ้มส่วนรวม อุ้มชาติบ้านเมืองได้ มันต่างกันนะ กำลังมันมีด้วยกัน กำลังความชั่วทำเท่าไรยิ่งชั่ว กำลังความดีทำเท่าไรยิ่งดี ยิ่งเพิ่มความดีเข้าไป ทำไมจึงให้กิเลสมันดูถูกเหยียดหยาม เหยียบย่ำทำลาย หาว่าผิดไปหมด แต่กิเลสมันทำยังไงก็ถูกไปหมด มันยอมกิเลส กราบกิเลส สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ตัวอย่างคือพระสงฆ์สาวกที่ท่านพาดำเนินมา เลยไม่มีนะ มันมีตั้งแต่กิเลส สรณํ คจฺฉามิ เต็มบ้านเต็มเมืองนะเวลานี้ พากันจำเอา
เราพูดทุกแบบเลย ไม่มีอะไรมาผ่านหัวใจนี้เลย ใครจะมาถือเอากิริยาอันนี้ ๆ แบบโลกไปขยี้ขยำมูตรคูถ คือหาว่าอย่างงั้นอย่างงี้ไป มีแต่เรื่องต่ำ อันนี้ไม่ได้พูดเรื่องต่ำ มีแต่พูดเรื่องสูง ๆ มันก็เข้ากันไม่ได้ซิ ไม่ว่าพูดดุ พูดดี พูดเล่น พูดจริง มันมีธรรมแทรก ๆ ๆ อยู่ในนั้น ออกมาจากความเมตตาล้วน ๆ
ได้เวลาแล้ว ให้พร พระหิวข้าวแล้วนะ
[หลังจังหัน]
เคยมาฟังเทศน์ที่กุฏิหลวงตาทุกวัน ๆ ในเวลาเย็น ๆ วันนี้กว่าจะกลับจากลพบุรีมานี่ก็ไม่แน่ อาจห้าหกทุ่มก็ทราบไม่ได้ ถ้ายังไม่อยากมานั่งถือจานง่วงนอนให้จานหลุดมือ ไม่มาก็ได้ ถ้าจะมาแบบนั้นก็แล้วแต่
พี่น้องทั้งหลายเรื่องการช่วยชาติของเราอย่าให้จืดจางภายในจิตใจนะ การช่วยชาติเราให้แน่นหนามั่นคงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเข้มแข็งของเราทุกคน การจับจ่ายใช้สอยก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายรู้จักประมาณความพอดิบพอดีบ้าง อย่าให้สุรุ่ยสุร่ายจนเกินไป ถึงกับว่าจะดูไม่ได้นะเวลานี้ นี่ก็เป็นความเสียหายของชาติเราเหมือนกัน ความประหยัดมัธยัสถ์เป็นความหนุนชาติของเราให้แน่นหนามั่นคงยิ่งขึ้น แต่ความสุรุ่ยสุร่ายไม่รู้จักประมาณในการกินอยู่ใช้สอยนี้เสีย เสียมากนะ ให้พากันคิดทุกอย่าง ธรรมท่านสอนตรงไหนจะไม่ผิด เราผู้ที่คอยฟังเสียงอรรถเสียงธรรม ให้พยายามปรับปรุงแก้ไขตัวเอาเองเข้าสู่ธรรมแล้วจะค่อยดีขึ้น เราจะคอยให้กิเลสพาดีอย่าหวังเลยนะ ยิ่งดีดยิ่งดิ้นเท่าไรยิ่งพันเข้าไปเหมือนลิงทอดแหนั่นแหละ
ในนิทานลิงทอดแหเราก็เคยได้อ่านตั้งแต่สมัยเราเป็นนักเรียน มีอยู่ในบาลีนู่นนะ อยู่ในชาดก จึงไปเจอท่านถอดออกมาจากชาดก มาเป็นหนังสือ นิทานอีสปบ้าง ธรรมจริยาบ้าง ตั้งแต่เราเป็นนักเรียน อ่านเวลาเรียนหนังสืออยู่ ทีนี้เวลาเราบวชเราไปอ่าน ที่ไหนได้ มันอยู่ในชาดก ไม่ใช่ธรรมดานะ ท่านถอดออกมาเป็นคติเครื่องสอนพวกเรา อย่างที่ว่าลิงทอดแหนี่ก็เหมือนกัน พวกเราอย่าให้เป็นลิงทอดแหนะ นิทานท่านมาสอนแล้ว สอนคนไทยเรา สอนมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก ท่านสอนเป็นคติเครื่องเตือนใจ เห็นไหมบรรพบุรุษของเรามีความเมตตาสงสารกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง สอนมาเรื่อย ๆ ให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ
เราผู้เป็นกุลบุตรก็ควรจะรับอรรถรับธรรมท่านไว้เป็นคติเครื่องเตือนใจตัวเอง และสอนลูกหลานต่อไป เห็นเขาทำอะไร ๆ ก็เอาเยี่ยงอย่างเขามาล่ะซิ คนไปทอดแห ลิงอยู่ต้นไม้มันก็ดู เห็นคนทอดแห พอเขาปล่อยแหเท่านั้นลิงก็ไปคว้าแห โดดลงมาจากต้นไม้มาคว้าแห มันจะทอดหาปลาเหมือนคนนั่นแหละ แหเลยพันลิงตาย จมน้ำ นี่แหละที่มันไม่ใช่วิสัย ไปทำถึงขนาดตัวตายเลย นี่อะไรที่ไม่ใช่วิสัยแห่งความถูกต้องดีงามแล้วอย่านำมาใช้ ความถูกต้องดีงาม ท่านว่าเป็นวิสัย เป็นคติอันดีงามควรนำมาใช้ ใครเป็นคนดิบคนดีให้ถือเอามาเป็นคติตัวอย่างเพื่อพร่ำสอนตัวของเรา แล้วแก้ไขตัวของเรา นี่เรียกว่าเป็นคติอันดี
อะไรไม่ดีให้ปัดออก ๆ อย่านำมาสนิทติดจมกับเรา เราจะเป็นแหพันลิง ลิงพันแหเข้าไปล่ะนะ ให้ระมัดระวัง เพราะการกินอยู่ใช้สอยนี้รู้สึกเราจะฟุ้งเฟ้อมากอยู่ในเมืองไทยของเรา ตามธรรมดาเมืองไทยเราเป็นเมืองอู่ข้าวอู่น้ำมาตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา ไม่เคยมีความเดือดร้อนวุ่นวายกับการอยู่กินใช้สอยตลอดมา เวลานี้สิ่งต่าง ๆ ที่เป็นเครื่องล่อลวงอะไรก็แล้วแต่เถอะ มันเร้าตาเร้าใจ เร้าทุกอย่าง แล้วทำให้เราเพลินไปตาม ๆ กัน อะไรผ่านเข้ามาเลยกลายเป็นของดี เพราะไม่เคยเห็น อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี เงินคว้าออก ๆ คว้าในกระเป๋า คว้าไปคว้ามากระเป๋าก็แฟบ หัวใจยังอยากอีก นี่แหละทำให้เสียแล้วนะ
ขอให้พี่น้องทั้งหลายใช้ความอดทนบ้าง การจะปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีเพื่อความแน่นหนามั่นคงต้องใช้ธรรมะ ธรรมะต้องถูกต้านทานจากกิเลส กิเลสมันอยากเอาไปใช้ ทีนี้ธรรมะว่าไม่สมควร อันนี้ไม่ควรที่จะซื้อ อันนี้ไม่สมควรที่จะเอา นี่ธรรมะท่านเตือนบอกว่าไม่สมควร แต่กิเลสมันดื้อมันจะเอา นี่ละมันต้านทานกัน เราก็หักห้ามไม่ให้ทำ กิเลสก็จะเอา นี่ละมันต้านทานกัน จึงว่าอดทนเอาบ้างนะ ทนต่อกิเลสมันต้านทานเรา ไม่ทนไม่ได้นะ ต้องอุตส่าห์พยายาม นี่ก็เอามาเป็นคติให้พี่น้องทั้งหลายฟังได้ดี
พระที่ท่านปฏิบัติอยู่ในป่าแล้วก็เข้ากันได้ นี่ละนิสัยที่เป็นอรรถเป็นธรรมด้วยกัน ไปภาวนาอยู่ในป่า ไปได้อาหารดี ๆ มาตามความนิยมของโลกที่ยอมรับกัน อาหารดีขนาดไหน ไม่ดีขนาดไหนมันก็รู้ด้วยกันทุกคน เวลามาแล้วเห็นอาหารดีขยับใส่เลย มันขยับใส่อาหารดี ๆ ประหนึ่งว่าตำหนิสิ่งไม่ดีพร้อมกันไปในตัว พระท่านก็รู้ มึงเก่งขนาดนี้ ยังไม่ได้กินมันโดดใส่ก่อนแล้ว ท่านเลยเอาอาหารที่ดี ๆ นั้นไปใส่บาตรคนอื่น ท่านไม่เอา ท่านไม่เสริม ก็ของดีต้องการต้องชอบใช่ไหม ท่านทำไมถึงหักเอา พระกรรมฐานท่านมักทรมานท่านอย่างนั้น มีอยู่ทั่วไปสำหรับวงกรรมฐานแล้วเป็นพื้นเพ มักดัดเจ้าของอย่างงั้น
เวลาอาหารดี ๆ แล้วจิตมันขยับ ๆ นี่ยังไม่ถึงไหนก็จะโดดกินก่อนแล้ว ของนี่ยังไม่ถึงบาตรเลย เห็นมองอยู่ เอาอีกแล้ว ขยับแล้ว ได้มาปั๊บท่านก็เลยไปใส่บาตรองค์อื่น อันดี ๆ ท่านไม่เอา นี่เรียกว่าดัดความโลภของเจ้าของ แล้วความเป็นธรรมก็มีขึ้นมา ทีนี้อย่างนี้เราดัดได้ อย่างอื่นเราพยายามดัดอย่างเดียวกัน ดัดไปดัดมามันก็เคยต่อนิสัย กิเลสที่ฝืนเรา ๆ มันก็ไม่รุนแรง ต่อไปความดีของเราก็ก้าวขึ้นสะดวก ๆ ความเลวนั้นก็ค่อยอ่อนตัวลง นี้เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอบรม ดัดแปลงตัวเอง ต้านทานสิ่งไม่ดีทั้งหลายอย่าให้เข้ามาใกล้ชิดตัวเรา ให้พากันระวัง สิ่งเหล่านี้จำเป็นมากที่เราจะต้องปฏิบัติ สมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธ
คำว่าพุทธศาสนาคือคำสอนเครื่องดัดแปลงให้ดีงามทุกอย่าง ผลก็คือความสงบเย็นใจสำหรับประชาชน ถ้าเป็นธรรมะสูงกว่านั้นหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยอำนาจแห่งธรรมนี้ทั้งนั้นแหละ เรื่องกิเลสเราไม่เคยเห็นในที่ไหน ๆ ว่าพาคนให้ได้รับความสุขความเจริญ มีแต่พาคนจมทั้งนั้น ถ้าดิ้นกับมันเท่าไรยิ่งจม ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาได้เลย ก็ขอให้พี่น้องชาวพุทธเราได้พิจารณารู้เนื้อรู้ตัวบ้างนะ อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัว การอยู่ การกิน การใช้การสอย ขอให้รู้จักประมาณทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรา เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบในการได้การเสียทุกอย่าง
ถ้าเรารอบคอบเราก็ไม่เสียมาก สิ่งที่ได้มาก็เป็นผลเป็นประโยชน์ ด้วยเหตุผลคืออรรถธรรมเป็นเครื่องกล่อมเกลาจิตใจหรือเตือนใจของเราเสมอ เราอย่าปล่อยตามนิสัย นิสัยนั้นมันเป็นกิเลสฝังใจนะ เอ้า เราต้องการอะไรก็เอาตามความต้องการ ๆ เลยเป็นนิสัยไปเลย ทีนี้ก็ไหลไปเลยทางต่ำ ไม่มีการยับยั้งได้เลย เพราะเราไม่เคยยับยั้ง เมื่อมีธรรมเข้าไป นำไปปฏิบัติแก้ไขดัดแปลง เช่นอย่างพระท่านมาปฏิบัติ เห็นตัวอย่างอย่างชั้นเอกของศาสดาเอกของเรา พระพุทธเจ้าท่านเป็นกษัตริย์ เวลาเสด็จออกทรงผนวชแล้ว แต่ก่อนที่อยู่ในพระราชวัง อะไรจะสดสวยงดงามมีคุณค่ามีราคามากเท่ากับของกษัตริย์ล่ะ
เวลาท่านเสด็จออกทรงผนวชไปขอทานเขากิน จนขนาดที่ว่าเสวยไม่ได้ เป็นคนขอทาน สภาพคนธรรมดา ไม่ใช่อาหารเพื่อกษัตริย์นี่นะ เวลาท่านบิณฑบาตกลับมาแล้วจัดของลงในบาตรที่จะเสวย มันเสวยไม่ลง มันฝืน ๆ มวนท้อง อะไรท้อง เป็นไปหมดทุกอย่าง ท่านก็นำมาสอนตัว อันนี้อยู่ข้างนอกก็ว่าเป็นของไม่ดี ไม่กล้าที่จะเอาเข้ามาข้างใน ไม่กล้ากินว่างั้นเถอะน่ะ ว่าอันนั้นไม่ดี แล้วข้างในของเรานี้ดีขนาดไหน เอามาดูซิน่ะ ดีหรือเลว ข้างในนี้ยิ่งเลวกว่านั้นอีก นั่นเห็นไหมท่านว่า นี่ท่านสอนท่าน ทำไมอยู่ข้างนอกไม่มีอะไร ข้างในมีพิษมีภัย น่าสะอิดสะเอียนน่าเกลียดมาก แล้วทำไมเราไม่ตำหนิ ก็ของสิ่งนี้มันคู่ควรของกันและกันได้
เราอยู่ได้ทุกวันนี้เพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้นเป็นเครื่องหนุน ความสวยความงามไม่เห็นมีอะไรมาหนุนเรา ความอิ่มพอจากอาหารที่หนุนเข้าไปนี้เท่านั้นเป็นความพอเหมาะพอดี และเลี้ยงอัตภาพมาได้ตลอด ท่านบังคับให้เสวย นี่ท่านก็บังคับท่าน ฟังซิกษัตริย์ท่านบังคับท่าน นี่ขั้นหนึ่ง ขั้นหนึ่งอดพระกระยาหารตั้ง ๔๙ วัน มีใครอดบ้างในเมืองไทยของเรา สิทธัตถราชกุมารท่านอดได้ ท่านฝึก ใครจะไม่หิวไม่โหย ใครจะไม่ทุกข์ ใครจะไม่อยาก ต้องอยากเพราะความหิวโหย แต่ก็เพื่อความดีกว่านี้ เลิศเลอยิ่งกว่านี้มี ท่านก็ฝึกเอา นี่ตัวอย่างที่ท่านฝึกเรา ยกมาเพียงคติเพียงย่อ ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
เราไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องอดแบบศาสดา ขอให้แบบลูกศิษย์มีครู เดินตามรอย รอยเล็กก็เดินตามรอยเล็ก รอยใหญ่ รอยขนาดไหน เดินไปตามร่องรอยฐานะของตน อย่าให้มันเลยเถิดนะ นี่ถูกต้อง ให้มีการฝึกบ้างอยากเป็นคนดี ให้พี่น้องลูกหลานทั้งหลายนำคติธรรมเป็นเครื่องเตือนจิตใจของตนบ้างในวันหนึ่ง ๆ ความผิดความถูกอยู่กับเรา เราเคลื่อนไหวไปนี้ส่วนมากมักจะเป็นความผิด ความถูกไม่ค่อยมี เพราะไม่ได้คิดได้อ่าน ทีนี้เวลามีธรรมะเข้าไปก็เป็นเครื่องรบกัน สะดุดออกมา นี่ผิดหรือถูก พอรู้ว่าผิดแล้วมันถอยของมัน นี่เริ่มฝึก ครั้นฝึกไป ๆ มันก็ชินต่อนิสัย มองเห็นปั๊บผิดหรือถูกมันรู้แล้ว ควรทำหรือไม่ควรมันรู้ มันถอนตัวทันที ๆ นี่คือการฝึก ฝึกไม่หยุดไม่ถอยคล่องแคล่วว่องไว แล้วรู้ตัวทันที
นี่พากันเข้าใจนะ การปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามอัธยาศัยนี้ไม่ดี จะทำให้บ้านเมืองของเรา นับแต่เราไปหาบ้านเมืองที่เป็นส่วนรวมด้อยลง ๆ และล่มจมไปได้ ยิ่งคละเคล้าด้วยประเทศเขตแดนของชาติใดเมืองใดเข้ามาสับสนปนเปกันนี้ มีอะไรบ้างที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเมืองไทย จะให้ไทยได้เปรียบ ได้ผลได้ประโยชน์ หรือจะทำให้เมืองไทยเราเสีย ให้พากันพิจารณาให้มากนะ เหล่านี้เป็นของสำคัญมากอยู่ คิดเอานะ ให้มีการฝึกฝนอบรมบ้าง ดังพระท่านตั้งใจต่ออรรถต่อธรรม ท่านเป็นนักฝึกฝน เป็นนิสัยติดหัวใจท่านเลยล่ะ ฝึกฝนอยู่ทุกอิริยาบถ ท่านจะระมัดระวังตลอดเวลา ไม่ว่ากิจใดงานใด ถูกหรือไม่ถูกท่านจะรู้ทันทีๆ นั่นท่านฝึกท่านจนชินเป็นนิสัยไปเลย เมื่อฝึกไปนาน ๆ มันก็ราบรื่นเป็นนิสัยไปเลย เหมือนคนไม่ฝึกตน ปล่อยเลยตามเลยตามกิเลสตัณหา มันก็ไหลไปเลย มีแต่ความเสียหาย นี่ให้จำเอา
ยิ่งเวลานี้เป็นเวลาที่ช่วยชาติบ้านเมืองซึ่งเป็นความจำเป็นของทุก ๆ ท่านทั่วเมืองไทยของเรา ให้พยายามสงวนตัวให้ดี อย่าจับจ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนเกินไป แล้วพยายามขวนขวายหาสมบัติเงินทองข้าวของเข้ามาสู่จุดอันใหญ่หลวงของเรา เพื่อความร่มเย็นเป็นสุข ความหนาแน่นมั่นคงของชาติไทยเรานั้นแหละ ไม่ใช่เพื่อใคร จึงขอให้พยายามทุกคน ๆ เวลานี้ทองคำเราก็ได้ ๕,๖๐๐ กิโลแล้ว เราต้องการเป็นจุดที่ตายตัว ในการเป็นผู้นำ ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบคราวนี้ว่า ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เวลานี้ได้มาค่อนไปแล้วนะ ยังขาดอยู่เพียง ๔,๔๐๐ กิโล
ส่วนดอลลาร์เราไม่ว่าแหละ ได้แค่ไหนเราก็เอา แต่คิดว่าดอลลาร์จะได้มากกว่าทองคำ ในเวลาที่ทองคำถึงจุดที่หมายนะ คือ ๑๐ ตัน ดอลลาร์นี้กะว่าจะได้ประมาณ ๑๐ ล้าน อาจจะเลยก็ได้ ที่จะให้ต่ำกว่านั้นน่าจะไม่ต่ำ เพราะดอลลาร์เบายกง่ายกว่ากัน ทองคำนี้หนักต้องยกอย่างแรงทีเดียว พยายามยกกันก็ค่อยหนาแน่นขึ้นไปจนถึงจุดที่หมาย เมื่อถึงจุดนั้นแล้วเป็นที่พอใจ หลวงตาเองเป็นผู้นำพี่น้องทั้งหลายจะประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันว่าความมุ่งหมายของเรากับทั้งประเทศไทย โดยมีหลวงตาเป็นหัวหน้าได้ขวนขวายสมบัติเงินทองมีทองคำและดอลลาร์เป็นต้น เข้าสู่คลังหลวงเพื่อชาติไทยของเรา ได้สำเร็จเป็นที่พอใจแล้ว หลวงตาจะประกาศขึ้นทันที ยังอยากจะประกาศตั้งแต่เดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ ว่าได้แล้ว แต่มันไม่ได้มันก็อายเขาล่ะซิ จึงต้องรอ รอจะประกาศเวลามันได้แล้ว
ทีนี้จะให้พร
อ่านและฟังธรรมเทศนาหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com
|