เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี
เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (ค่ำ)
เมืองกรรมฐาน
มาจันท์คราวนี้ก็จะได้พักค้างอยู่ที่วัดเขาน้อยฯ ดูเหมือนจะเป็น ๓ คืนละมัง คืนนี้เป็นคืนที่ ๒ วันพรุ่งนี้จะไปเทศน์ที่จันท์ฯ ทางโน้นรวมแล้ว ๒ แห่ง พอค่ำก็กลับมาค้างที่นี่ ก็เป็น ๓ คืน พอตื่นเช้าจากนั้นแล้วถึงจะไปเมืองชลฯ ไปราชบุรี แล้วเข้าสวนแสงธรรม กรุงเทพ จากนั้นก็ไป ลพบุรี นครนายก นครปฐม ติดกันมาเรื่อยไม่ได้หยุด เทศน์ไม่ได้หยุดเลยเรื่อย ๆ ไป เทศน์ทั่วประเทศไทย โอ้โฮ พิลึกนะ ได้ ๕ ปีนี้แล้ว เทศน์ติดกันเลย ๕ ปี ทุกแห่งทุกหนเทศน์ไปหมดเลย
เวลาอยู่ที่เมืองไทยเรานี้ก็เทศน์ที่เมืองไทย เช่น เทศน์ที่อุดรฯ วัดป่าบ้านตาดก็ดี มาเทศน์ที่สวนแสงธรรมก็ดี ตอนเช้าทางสหรัฐนั้น เขามาขอ เราก็เอาโทรศัพท์มือถือไปวาง พอทางนี้เทศน์ก็ส่งถึงสหรัฐ ฟังในขณะเดียวกัน เรียกว่าฟังสด ๆ ร้อน ๆ ไปด้วยกันเลยมานานแล้วนะ เทศน์อุดรฯ ที่วัดป่าบ้านตาด เขาก็มาจ่ออยู่นั้น พอเทศน์ปั๊บก็ลงเลย ทางสหรัฐก็ฟังพร้อมกันกับเรานี้ พร้อมกัน ๆ
ธรรมหลวงตา ป.๓ มันไปอยู่ที่สหรัฐฯ แล้วนะเดี๋ยวนี้ เห็นไหมล่ะธรรมหลวงตา ป.๓ ไปอยู่ที่สหรัฐฯ เต็มไปหมด ทางอินเตอร์เน็ตก็เต็มไปหมด มิหนำซ้ำยังฟังเทศน์สดอีกนะ
ทางเมืองไทยเรานี้ก็มีทุกอย่างแล้ว มีหมดเลย ทางอุดรฯ ก็ ๑๒ สถานี ในวันเดียวกันนั้น ๑๒ สถานี ออกทุกสถานีเลย เป็นแต่เพียงว่าไม่ซ้ำเวลากัน แล้วในกรุงเทพฯ ดูเหมือน ๔ สถานีหรืออะไร เป็นวัน ๆ ๆ ประจำไปเลย จากนั้นก็ออกอินเตอร์เน็ต เรื่อยเลย จากนี้แล้วก็ลงไปทางสหรัฐฯ
เราเลยสงสัยพูดถึงเรื่องสหรัฐฯ เมืองไทยเรานี่ขี้รดหัวสหรัฐฯ หรือสหรัฐฯ ขี้รดหัวเราก็ไม่รู้นะ ครั้นเวลาถามสหรัฐฯอยู่ไหน.ก็ชี้ลงนี้ เราก็ขี้ลงนี้ เยี่ยวลงนี้ ทีนี้ถามทางสหรัฐฯ เขาก็บอกว่าเมืองไทยอยู่ตรงนี้อีกแหละ สหรัฐก็ขี้รดหัวเราเยี่ยวรดหัวเรา มันต่างคนต่างขี้เยี่ยวรดหัวกันนะ พอดีกันนั่นแหละ ถ้ามาถามสหรัฐฯ ก็อยู่นี่.ถามว่าเมืองไทยอยู่ไหน อยู่นี่.มีแต่ขี้รดเยี่ยวรดหัวกันพวกนี้
เวลานี้ทางเขาก็ ๗ โมงเช้าละมัง ? จะเริ่ม ๘ โมงแล้ว ๗ โมงครึ่งแล้วทางสหรัฐฯ มันผิดกัน ๑๒ ชั่วโมงพอดี
ทางจันท์เราก็มีพระกรรมฐานเยอะอยู่นะ อยู่ที่ต่าง ๆ มีหลายแห่ง เพราะมีภูเขามาก ทางจันท์เรานี้รู้สึกมีพระกรรมฐานเยอะ ทางภาคอีสานรู้สึกว่าเยอะทีเดียว เพราะต้นตออยู่ที่นั่น นี่ต้นตอ.หลวงปู่มั่นเรานี่ รากแก้วอยู่ที่นี่ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ท่านไม่ค่อยเทศน์ มีเทศน์ก็หลวงปู่มั่น แต่ส่วนมากท่านจะเทศน์สอนพระล้วน ๆ ท่านอยู่ในป่าในเขาลึกลับตลอดเลยหลวงปู่มั่น ไม่ออกมานะ อยู่ในป่าในเขาลึก ๆ พระก็เดินซอกซอนเข้าไป ไปหาท่านได้แต่พระ ส่วนฆราวาสไปไม่ได้เพราะเป็นป่าเป็นเขา ทางรถทางราไม่มี มีแต่คนเดินด้วยเท้าพอเป็นด่าน ๆ ไปเท่านั้น พระท่านไปได้ทุกแห่ง
อยู่เชียงใหม่ก็เหมือนกัน มีแต่พระล้วน ๆ พอมาอยู่ทางสกลฯ นี้ก็เหมือนกัน ท่านไปอยู่ในป่าในเขา ทางตั้ง ๕๐๐-๖๐๐ กว่าจะไปถึงที่ท่านอยู่ บุกป่าบุกเขาเข้าไปใครจะไปได้.ไปไม่ได้นะ จึงมีแต่พระ ท่านสอนท่านอบรมพระเป็นประจำเลย หลวงปู่มั่นท่านอบรมพระมากทีเดียว มากกว่าประชาชนเสียอีก คือประชาชนเข้าไม่ถึงท่าน เข้าถึงแต่เฉพาะพระ
ทีนี้เวลาเทศน์สอนอบรมพระ พระก็ได้รับอรรถรับธรรมจากท่านไปปฏิบัติ แล้วเกิดผลขึ้นมา ก็กลายเป็นลูกศิษย์ลูกหาท่านแตกกระจายออกไป ที่ปรากฏชื่อลือนามทุกวันนี้มีแต่ลูกศิษย์ท่านอาจารย์มั่นทั้งนั้นนะ ที่ล่วงลับไปแล้วส่วนมากมีแต่เพชรน้ำหนึ่ง ๆ ทั้งนั้น อัฐิกลายเป็นพระธาตุ ๆ ทั้งนั้นแหละลูกศิษย์หลวงปู่มั่น เริ่มมาตั้งแต่นู้น โอ๊ย มากนะลูกศิษย์ของท่านประเภทเพชรน้ำหนึ่ง มีมาก ไปอบรมจากท่าน(อาจารย์มั่น)ในป่าในเขาออกมาแล้วก็มาสอนประชาชนต่อไป
ประชาชนได้รับโอวาทจากลูกศิษย์ของท่าน องค์ท่านจริง ๆ ไม่ได้รับ เพราะท่านอยู่ในป่าในเขาตลอดเลย จนกระทั่งท่านจะมรณภาพแล้วก็ออกมาจากป่าจากเขา ก็ไปสุทธาวาสในวันนั้น ก็เสียในวันนั้นเลย อย่างนั้นละท่านไม่อยู่นอก ท่านอยู่ในป่าในเขาลึก ๆ ทีนี้ลูกศิษย์ที่ไปอบรมศึกษาจากท่านมาเป็นจำนวนมากก็ได้มาเป็นครูเป็นอาจารย์ เช่น หลวงปู่พรหม นี่อัฐิก็กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยตั้งแต่เผาศพท่านใหม่ ๆ หลวงปู่พรหม หลวงปู่ชอบ หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน หลวงปู่คำดี เหล่านี้มีแต่อัฐิกลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้วทั้งนั้น แล้วที่ไหนอีกเราจำไม่ได้หมดนะ มีหลายองค์
ท่านตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ เพื่ออรรถเพื่อธรรม ก็ตักตวงเอาอรรถเอาธรรมขึ้นสู่ใจละซี ใครต้องการหากิเลส ก็ได้แต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง กองทุกข์ กองอยู่ที่หัวใจ เผาไหม้ทั้งวันทั้งคืน นี่ผลของการเสาะแสวงหากิเลส มีแต่กองทุกข์เผาหัวอก ผู้เสาะแสวงหาธรรมปัดออก ๆ กิเลสตัวไหน ๆ ที่ว่าเกิดอยู่ภายในใจด้วยกันกับธรรม ธรรมนั่นละปัดออก ซักออก ฟอกออกเรื่อย ๆ ค่อยหมดไป ๆ ใจของท่านก็สว่างไสวขึ้นมา เป็นอย่างนั้นแล้ว ท่านจวน..ภูทอก นั้นก็อัฐิกลายเป็นพระธาตุเรียบร้อย แล้วท่านหล้า อยู่ที่ภูจ้อก้อ ลูกศิษย์ของท่าน(อาจารย์มั่น) ก็กลายเป็นพระธาตุ ท่านสิงห์ทอง ที่อยู่วัดป่าแก้วชุมพล นี้ก็กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว
ผู้เฒ่าแม่แก้วที่เคยมาจำพรรษากับหลวงตาบัวที่วัดสถานีทดลองนี้ ก็กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นฝ่ายแม่ชีแม่ขาว ที่มาจำพรรษาสถานีทดลองกับหลวงตาบัว โยมแม่หลวงตาบัวกับพวกนี้ มี ๓ - ๔ คนด้วยกันจำพรรษาที่สถานีทดลอง พอกลับไปถึงอุดรฯ แล้ว แกก็กลับไปบ้านแก ก็ไปเสียที่บ้าน เวลาเสียเราก็ได้ไปเผาศพอยู่ แล้วอัฐิแกก็กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว แม่ชีแก้วนี่ก็เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นนะ เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นมานาน
ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นจึงมีมากที่ออกมาสั่งสอนประชาชน อย่างท่านอาจารย์กงมา ท่านพ่อลี มีแต่ลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นทั้งนั้น มาตั้งรากตั้งฐานเป็นกรรมฐานก็คือ ท่านอาจารย์ลีเรา ท่านมาอยู่ที่จันท์ เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นเรา ท่านอาจารย์กงมาไปอยู่หนองบัวไทรงาม แถวนี้ก็มา แล้วท่านก็ไปอยู่หนองบัวไทรงาม ๕ ปีหรือไง
ท่านเหล่านี้ละที่เป็นครูเป็นอาจารย์สอนกระจายทั่วไปหมด เฉพาะองค์หลวงปู่มั่นจริง ๆ ท่านไม่ได้สอนประชาชน เพราะท่านอยู่แต่ในป่าในเขาเป็นประจำตั้งแต่ต้นเลย จนกระทั่งมรณภาพ ท่านไม่ออกมาจากป่าจากเขาเลย อยู่ในป่าในเขาเป็นประจำอย่างนั้นตลอดมา ทีนี้เวลาผู้ไปเกี่ยวข้องก็มีแต่พระเข้าไปหาท่าน ประชาชนเข้าไม่ถึง เพราะอยู่ลึกมาก ทีนี้เวลาพระไปอบรมจากท่านแล้วได้ความรู้วิชามา ก็มาสั่งสอนประชาชน ลูกศิษย์ลูกหาท่านจึงมีมาก มีอยู่ทุกแห่งทุกหนลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทั้งนั้น เป็นฝ่ายพระนะ มีมากทั่วประเทศไทย
หลวงปู่มั่นชื่อเสียงจึงโด่งดังเอาตอนท่านมรณภาพแล้ว ตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ การไปมาหาสู่ก็ไม่สะดวก แล้วท่านก็อยู่แต่ในป่าในเขา ไม่ค่อยมีใครไปพบไปเห็นท่านอย่างง่ายดายละ เวลาท่านจวนมรณภาพท่านก็ออกมาสกลนครแล้วก็มรณภาพ จากนั้นชื่อเสียงของท่านก็โด่งดัง เกี่ยวกับเรื่องประวัติของท่านนั่นละ ก็หลวงตานี่ละเขียนประวัติหลวงปู่มั่น เขียนมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๔ - ๑๕ นี่ละ แจกมา นั่นละชื่อเสียงท่านถึงได้โด่งดังตอนท่านมรณภาพไปแล้ว เพราะลูกศิษย์ของท่านมาก.กระจายไปหมด
วันนี้ไม่เทศน์อะไรละ พูดธรรมดา ให้ฟังธรรมดา ให้พี่น้องทั้งหลายเอาไปคิดไปอ่าน เทศน์เหนื่อยมากนะ อู๊ย..เหนื่อยจริง ๆ เทศน์ทุกวัน ๆ ๆ อยู่ในวัดก็เทศน์ พอฉันเสร็จแล้วคนนี่แน่น ต้องเทศน์ทุกวัน สหรัฐฯเขาก็ได้ฟังตอนนั้นละ ตอนเราเทศน์ มากรุงเทพมาสวนแสงธรรม ตอนเช้าก็เทศน์ แล้วตอนค่ำก็มีอีกเทศน์อีก อย่างนั้นนะ ไม่ได้หยุดได้ถอย
ฟังให้ดีนะ ธรรมก็ดี กิเลสก็ดี อยู่ในหัวใจของทุกคนทุกสัตว์นั่นแหละ อย่าไปหาตามต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศที่ไหนเลย สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีกิเลสไม่มีธรรม กิเลสจริง ๆ ธรรมจริง ๆ เกิดอยู่ที่หัวใจเรา ไม่เกิดอยู่ที่อื่น แล้วแสดงออกมาจากใจเราด้วยกันทุกคน ดังที่เทศน์แล้วตอนบ่ายนี้ มันแสดงอารมณ์ต่างกัน
ถ้าเป็นอารมณ์ของกิเลส มันก็แสดงให้ดีดให้ดิ้นไป ถ้าวิ่งตามมันก็เป็นทุกข์ไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นเรื่องอารมณ์ของธรรมก็ตามชะตามล้างความดีดความดิ้นนั้นให้สงบตัวลง นี่เรียกว่าอารมณ์ของธรรม เช่นอย่างเราคิดอยากภาวนานี้ เราภาวนา นั่นละเรียกว่าอารมณ์ของธรรม ระงับความวุ่นวายของกิเลสที่มันคิดฟุ้งซ่านรำคาญไปในที่ต่าง ๆ ให้สงบตัวลงด้วยการภาวนา ท่านเรียกว่า น้ำดับไฟ คือเอาธรรมนั้นระงับดับไฟ คือ กิเลส เรียกว่าน้ำดับไฟ
ทีนี้เวลาเราทำความสงบในใจของเราด้วยการภาวนา เช่น พุทโธ ๆ ด้วยคำบริกรรม มีสติกำกับรักษาอยู่ จิตใจของเราก็ค่อยสงบลง ๆ เราก็เห็นความเย็นของใจ เพราะกิเลสมันค่อยสงบตัวเข้ามา ธรรมชะล้างมัน กิเลสสงบตัวเข้ามามันก็ไม่คิดยุ่งเหยิงวุ่นวาย เอาคำบริกรรมทับหัวมันไว้ มันจะคิดไปทางไหน เอาคำบริกรรมทับเอาไว้ ๆ ให้มีสติจดจ่ออยู่กับคำบริกรรม สักเดี๋ยวก็จิตสงบลง
พอจิตสงบลงแล้ว ความสว่างไสว ความสงบเย็นใจก็มีขึ้นมา สบายเวลานั้น นั่น เรียกว่า ผลแห่งธรรม นำความสุขความเย็นใจมาให้
ถ้าผลของกิเลสก็นำความทุกข์มาให้เรา เพราะความคิดมาก คิดไม่หยุดไม่ถอย นี้คือเรื่องของกิเลส เกิดขึ้นจากใจเรานั่นแหละ กิเลสมันชอบคิดไปทางของมันไปเรื่อยที่จะยุ่งเหยิงวุ่นวายส่ายแส่ เรื่องอะไรนี้คิดไม่มีประมาณ นี่คือเรื่องของกิเลส
แต่เรื่องของธรรมนี่ มีจุดคิด เช่นคิด พุทโธ ๆ เป็นต้น เรียกว่าคิดเหมือนกัน แต่นี้เป็นอารมณ์ของธรรม ไม่เป็นภัย พอคิดพุทโธมาก ๆ บังคับกิเลสความอยากคิดอยากปรุงลงได้มากเท่าไร..จิตสงบ เย็นสบาย นั่นละท่านว่า น้ำดับไฟ ธรรมดับกิเลสท่านดับอย่างนั้น ดับภายในหัวใจ เราอย่าไปหาดับที่อื่นที่ใดไม่ได้นะ เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ ธรรมก็อยู่ที่ใจ มาดับกันที่หัวใจเรานั่นแหละถึงถูก
สบายนะ.จิตใจเวลามีภาวนาแล้วใจสบาย เย็น เย็นก็เย็นสบาย ๆ สว่างไสวอยู่ภายในหัวอกนี่ สว่างไสวอยู่ในนี้ แล้วก็แปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในหัวใจนี่ ในทรวงอกของเรานั่นแหละ ไม่ได้อยู่นะข้างบน ไม่อยู่ บนศีรษะบนสมองอะไรนี้ไม่มี มาเย็นอยู่ที่ใจ สว่างไสวอยู่ที่กลางอกเรานี่ สว่างไสว เย็นอยู่ที่นี่
ความสุข ความแปลกประหลาดอยู่ที่ทรวงอกของเรานี้แหละ ไม่ได้อยู่ข้างบน อยู่ข้างบนคือความจดจำ เช่นเราเรียนหนังสือ เรียนมากเรียนน้อย จำมากจำน้อยไปจำอยู่ที่สมอง แต่เวลาเราภาวนาแล้วจะมาเป็นอยู่ที่ใจ สงบลงที่ใจ ความยุ่งเหยิงวุ่นวายมาอยู่ที่ใจ ไม่ไปอยู่ที่สมอง ใจเย็นใจสบาย ใจเบา.ท่านเรียกว่าภาวนาดับกิเลส สงบกิเลสลง พระกรรมฐานท่านทำอย่างนั้น พี่น้องทั้งหลายไม่เคยกับกรรมฐานจึงไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวของกรรมฐาน นั่นละท่านเสาะแสวงหาธรรม ระงับกิเลส ชำระล้างกิเลสด้วยการภาวนาของท่าน อยู่ที่ไหนท่านก็ภาวนาเรื่อย ๆ อยู่ในป่าในเขาที่สงบงบเงียบเท่าไรยิ่งดี ภาวนาใจก็ยิ่งสงบมากเข้า เย็นสบายมากเข้า นี่ละความสบายที่แท้จริง
บรรดาโลกที่หากันทั่วจักรวาลนั่นน่ะ มันหาตามกิเลส อย่างที่พวกเราทั้งหลายหาอยู่นี่ หาตามกิเลส มีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวาย หามาแทนที่จะได้ความสุขมาครอง หรือได้มาอวดกันบ้าง.ไม่มี มีแต่เอาความทุกข์มาระบายต่อกัน ไปที่ไหนมาก็เล่ากันตั้งแต่เรื่องความทุกข์สู่กันฟัง จะเล่าถึงเรื่องความสุขความสบายไม่ค่อยมี
ไปเมืองนอกเมืองนา ก็ไปดูเมืองนั้นเมืองนี้ ดูตึกรามบ้านช่องถนนหนทางเขา ซึ่งเมืองเราก็มีเหมือนกัน มันก็พวกอิฐ พวกปูน พวกหิน พวกทรายเหมือนกัน ครั้นไปดูมาแล้วก็เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา หาความสุขไม่ได้
ถ้าดูใจเจ้าของนี้จะเจอนะ ให้ดูใจของเจ้าของ ดูภายนอกดูเท่าไรกิเลสยิ่งหลอกไป มีแต่ความทุกข์ร้อน ถ้าย้อนกลับเข้ามาดูใจของเรานี้ใจจะเย็นสบาย ระงับความคิดปรุงของใจด้วยคำบริกรรม เช่น พุทโธ ๆ ถี่ยิบ ไม่ให้มันออกคิดไปเลย ให้มันอยู่กับ พุทโธ ๆ ไม่นานละจิตจะสงบลง สบาย.นี่ละระงับทุกข์ ระงับที่ใจนะ
เหตุที่สร้างกองทุกข์ มันสร้างที่ใจไม่ได้สร้างที่อื่นที่ใด มันสร้างที่หัวใจเรา ถ้าเราสงบใจของเราลงได้ด้วยภาวนาแล้ว เราจะเห็นใจของเราสงบเย็นสบาย นั่งอยู่ที่ไหนก็สบายหมดนั่นแหละ
อย่างที่พระกรรมฐานท่านอยู่ในป่าในเขา เราดูท่านแล้วเหมือนคนไม่มีราค่ำราคานะ อะไร ๆ ก็เหมือนไม่มีราค่ำราคา.ที่พักที่อยู่ของท่านก็เป็นกระต๊อบกระแต๊บ เป็นร้านเล็ก ๆ มีทางจงกรม เดินจงกรมกลับไปกลับมา ที่นั่งภาวนา นั่นละท่านนั่งสงบอารมณ์.ภาวนา มีสติดูจิต มันจะคิดไปเรื่องอะไรดูอยู่นั่น ภาวนาอยู่นั่น ชำระอยู่นั่น ต่อไปเรื่องราวทั้งหลายที่มันสร้างความยุ่งเหยิงวุ่นวายขึ้นมาจากใจอันเป็นเรื่องของกิเลสนั้น มันจะค่อยสงบตัวลง ๆ แล้วจิตใจก็บริกรรมด้วยคำภาวนาพุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ หรือบทใดก็ได้ ที่เราชอบใจ แล้วนำมาภาวนา บังคับไว้ เอาคำบริกรรมนี่ เป็นความคิด แต่ความคิดเป็นธรรม บังคับความคิดที่เป็นกิเลสนั้นให้สงบตัวลงไป เอาความคิดที่เป็นธรรมแทนที่เข้าไป ต่อไปจิตใจก็ค่อยสงบเย็น ๆ สบาย
เวลาจิตสบายทีนี้มันก็ค่อยรู้เรื่องรู้ราว เวลายุ่งเหยิงวุ่นวายกับการงานมาก ๆ จิตจะหันเข้ามาสู่ความสงบเพื่อพักอารมณ์ เมื่อมีภาวนาแล้วจะมีที่พัก ถ้าไม่ภาวนาแล้วยิ่งคิดยิ่งยุ่ง ดีไม่ดีนอนไม่หลับ คืนทั้งคืนนอนไม่หลับเลย เพราะความคิดไม่ยอมหยุด มันคิดมันปรุงด้วยความเสียอกเสียใจ ความอยากได้อยากมี มันหากคิดของมันไปอย่างนั้น
ทีนี้เวลาจิตสงบแล้วมันปล่อยหมด ความอยากได้อยากมี อยากดีอยากเด่นอะไร.มันไม่ดีไม่เด่นยิ่งกว่าใจที่สงบ นั่นเอาตรงนี้นะ
ความดี ความเด่น ความมีราค่ำราคา มันอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ข้างนอก ต่อไปมันก็ค่อย ๆ ปล่อยข้างนอกเข้ามา มันปล่อยเองนะ เพราะข้างนอกสู้ข้างในของใจที่ภาวนาไม่ได้ ใจสงบนี้มีคุณค่ามาก ลบไปได้หมดภายนอก นั่นละท่านจึงภาวนา ท่านอยู่ในป่า พระกรรมฐานที่ท่านต้องการอรรถธรรมจริง ๆ ท่านจะอยู่แต่ในป่าในเขาภาวนา บิณฑบาตได้มาอะไรท่านไม่สนใจ ขบฉันอะไรท่านก็พอหมด ดีหมดเลย เพราะท่านมุ่งต่อธรรม เวลามุ่งต่อธรรม ภาวนาจิตก็ค่อยเย็นสบาย ๆ
เรื่องจิตเย็นสบายนี้ไม่เหมือนกันนะ บางรายก็ลงได้เร็ว บางรายก็ลงได้ช้า แต่ยังไงก็ตามผลแห่งการกระทำไม่เสียหาย บุญกุศลผลประโยชน์เกิดทั้งนั้น ๆ จากการภาวนา ยิ่งได้เห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ในใจแล้วยิ่งประจักษ์ใจนะ จิตใจของเรายิ่งมีความกระหยิ่มยิ้มย่อง มีความหนักแน่นในความพากความเพียรตลอดเลย นั่นละที่นี่กิเลสก็ค่อยเบาไป ๆ ธรรมครองใจเข้าไปแล้วเย็นขึ้น ๆ เป็นอย่างนั้นนะ
ให้หาอยู่ที่ใจบ้างซิ อย่าไปหาตั้งแต่ภายนอกนะ เพราะต่างคนก็หาด้วยกันมาหมดแล้ว ใครจะได้ของดิบของดีเป็นสาระมาอวดกันก็ไม่เห็นมี เห็นมีแต่กองทุกข์ ทีนี้หาภายในใจบ้างซิ ให้มันได้รู้ภายในใจ มันจะต่างกันอย่างไรบ้างก็จะรู้แหละ พอเห็นขึ้นภายในใจแล้วมันจะปล่อยข้างนอกเข้ามา ปล่อยเข้ามาที่ใจ หนักแน่นที่ใจ ใจก็ยิ่งส่งเสริมธรรมมากขึ้น ๆ ใจยิ่งสว่างไสว
ใจสว่างไสวไม่ได้เหมือนไฟสว่างนะ พวกไฟ พวกตะวัน พระอาทิตย์สว่างนี้ ไม่ได้เหมือนใจสว่าง ผิดกันหมดทุกอย่างเลย ความสว่างของใจผิดกับความสว่างทั้งหลายที่ใช้กันในโลกนี้เป็นไหน ๆ ความสว่างนี้ยังอัศจรรย์อีกนะ ไฟเหล่านี้เรามองไปเห็นเฉย ๆ ไม่เห็นอัศจรรย์อะไร มองเข้าไปนี่ ๆ ก็เห็นสว่างเฉย ๆ ไม่เห็นอัศจรรย์ แต่ใจสว่างนี้ ทั้งสว่างด้วย ทั้งอัศจรรย์ด้วย ทั้งเป็นความสุขอยู่ภายในใจด้วย เป็นอย่างนั้นนะมันต่างกัน ท่านจึงสอนให้ภาวนาบ้าง
เมืองจันทบุรีนี้เป็นเมืองกรรมฐาน ควรจะมีการภาวนากันมาก ๆ หน่อยประชาชนญาติโยมน่ะ มีแต่กรรมฐาน มีแต่ครูบาอาจารย์ เจ้าของไม่สนใจภาวนาก็ไม่ได้เรื่องแหละ ทำตามท่านบ้างซี ทำตามเราก็ทำมาแล้ว ใครก็ทำตามตัวเอง ๆ มันก็ยุ่งมาตลอดด้วยกันหมดแล้ว ทำตามพระบ้างซิ ทำตามธรรมบ้าง ธรรมท่านสอนยังไงพากันทำบ้างนะ
จิตใจที่สงบสบายภายในใจไม่ได้เหมือนอะไรนะ ผิดกันมากทีเดียว อยู่ที่ไหนสบายหมด.ให้ใจสบายเสียอย่างเดียว ไม่ว่าอดว่าอิ่ม ไม่ว่าจะขัดข้องขาดเขินอะไร.ไม่ได้สนใจนะ คือความพอมันอยู่ภายในใจนั้นแล้ว มันพอดิบพอดีอยู่ในใจ สิ่งเหล่านั้นเลยไม่เป็นอารมณ์ อยู่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น สบายไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ
ให้พากันฝึกหัดภาวนาบ้างพี่น้องทั้งหลาย หัวใจของเรามีทุกคน ความรู้คือใจนั้นมีอยู่กับทุกคน ควรจะได้อบรมจิตใจของเราให้สงบเย็นบ้างด้วยการภาวนา นี้ไม่ค่อยจะมีการภาวนากัน ปล่อยจุดสำคัญ ๆ ที่จะให้เกิดความสุขความเย็นใจไปเสียมากต่อมาก พระกรรมฐานนั้นแหละท่านผู้ได้ธรรมเหล่านี้มา ส่วนมากไม่ค่อยได้แหละ เพราะไม่มีใครดูหัวใจตัวเอง พระกรรมฐานท่านดูใจท่าน ท่านภาวนาอยู่ในป่าในเขา ชำระซักฟอกไปเรื่อย ๆ ต่อไปก็ค่อยสว่างไสว ใจเย็น..เบา นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
ที่ท่านแสดงไว้ว่า เทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ทั้งหลายนี้ มันมีปัญหาอยู่กับพวกเรานี่เท่านั้นที่เป็นคนตาบอด คนตาบอดมองดูอะไรก็ไม่เห็น คนตาดีเขาเห็นทั่วฟ้าทั่วแผ่นดิน คนตาบอดมีเท่าไรมันก็ไม่เห็น มันมืดเหมือนกันหมด
พระพุทธเจ้ามาแสดงเท่าไร ว่าเปรตว่าผี ว่านรกอเวจี หรือสวรรค์ชั้นพรหม เทวบุตรเทวดา พระพุทธเจ้าองค์ไหนท่านมาแสดงทั้งนั้น แต่เราไม่เห็นก็ไม่เชื่อ เมื่อไม่เชื่อแล้วก็ไม่สนใจปฏิบัติเพื่อจะรู้จะเห็นบ้าง ถ้าลงเชื่อแล้ว.เห็น
อย่างหลวงปู่มั่นเรานี่.เลิศในสมัยปัจจุบันเรื่องการเห็นพวกเปรตพวกผี พวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม หลวงปู่มั่นเรานี่ กระจ่างแจ้งหมดไม่มีสงสัยเลย อย่างนั้นละ แต่ท่านเหมือนไม่เห็นนะ ท่านจะพูดให้ใครฟังไม่ได้ ท่านไม่พูด เฉย.เหมือนไม่รู้ไม่เห็น เหมือนคนตาบอด แต่เวลาไปกราบเรียนท่าน ถามซอกแซกซิกแซ็กเรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่านจะค่อยขยายออกมา ๆ โห.จนน้ำตาร่วง อัศจรรย์ความรู้ของท่านที่เห็น พวกเปรตพวกผี พวกสัตว์นรกอเวจีเต็มโลกธาตุนี่ แต่ใจเรามันบอดเสียอย่างเดียวก็ไม่เห็นละซี ท่านเห็นไปหมด นั่นละผู้รู้แจ้ง ภายในใจก็แจ้งขาวดาวกระจ่าง ภายนอกก็เห็นไปหมดไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับ ส่วนกิเลสก็ค่อยหมดไป ๆ จากหัวใจจนกระทั่งหมดโดยสิ้นเชิง จิตใจสว่างจ้าอยู่ตลอดเวลา
ผู้มีธรรมครองใจท่านเรียกว่า เศรษฐีธรรม เรามันมีแต่เศรษฐีเงิน เศรษฐีทอง เศรษฐีโลภ เศรษฐีโกรธ เศรษฐีราคะตัณหา ไปอย่างนั้น มันมีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟไอ้เศรษฐีเหล่านี้น่ะ มีมากเท่าไรยิ่งเป็นไฟเผาตัวเองมากขึ้น เป็นอย่างนั้นนะไอ้เศรษฐีเหล่านี้น่ะ
เศรษฐีของกิเลสมันเศรษฐีเป็นฟืนเป็นไฟ เศรษฐีธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เดือดร้อนวุ่นวาย ไปที่ไหนเย็นสบายไปหมด นั่นเรียกว่า เศรษฐีธรรม ถ้าเศรษฐีกิเลส ไปที่ไหนร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่มีได้รับความสุขแหละ เศรษฐีกิเลสกับเศรษฐีธรรมมันต่างกัน พากันจำเอานะ ให้ไปดัดแปลงตนเองบ้าง
หลวงตาก็แก่มาแล้วนะ สงสารบรรดาพี่น้องทั้งหลายก็สงสาร พูดตามความจริง ที่จะสงสารเจ้าของนี่ เราพูดตรง ๆ เลย บอกว่าเราไม่มี เราไม่มีเลยที่จะมาเป็นห่วงเป็นใยในธาตุในขันธ์ของตัวเอง.มีแต่จวนจะตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงเป็นใยภายนอก ที่ควรจะได้จะถึงในความดีทั้งหลาย กลัวจะไม่ได้ไม่ถึง กลัวจะนอนหลับทับสิทธิ์อยู่เฉย ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ตายแล้วก็ทิ้งเปล่า ๆ เขาเอาไปเผาไฟเสียเท่านั้น มันก็เป็นเถ้าเป็นถ่านไปไม่เห็นเกิดประโยชน์ ควรจะได้ประโยชน์เสียตั้งแต่เวลานี้ จึงต้องได้แนะนำสั่งสอนมาเรื่อย ๆ
ยิ่งจวนจะตายเท่าไรก็ยิ่งเป็นห่วงเป็นใยบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมในสิ่งที่มีอยู่รอบตัว มันก็รับเคราะห์รับกรรมเรื่อยไป ทำดี ดีมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์จะไม่เจอดียังไง แล้วทำชั่ว ความชั่วมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่เจอชั่วจะไปเจออะไร แน่ะ ก็เจ้าของเป็นผู้ทำ ผลก็เป็นของตัวเอง ก็ต้องได้รับความทุกข์เพราะการทำชั่ว ได้รับความสุขเพราะการทำดีอยู่ตลอดไป นี่ละที่ว่าเป็นห่วง
ไปที่ไหนเราไม่ได้เป็นห่วงอะไรนะ เป็นห่วงแต่โลกเท่านั้นเอง ส่วนจะเป็นห่วงดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ภูเขา เราไม่ห่วงเขา พวกนี้เขาไม่ไปตกนรกอเวจี ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมได้ละ ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ ไอ้คนไอ้สัตว์นั่นซีมันไปตกนรกก็ได้ ไปสวรรค์ชั้นพรหมก็ได้ หลุดพ้นจากทุกข์ไปก็ได้ มันจะไม่ไปทางหลุดพ้นจากทุกข์ มันมีแต่จะหมุนลงหาฟืนหาไฟละซีที่น่าเป็นห่วงมากนะ นี่ละจึงได้แนะนำสั่งสอน ให้พากันเชื่ออรรถเชื่อธรรมนะ ธรรมท่านไม่โกหกแหละ ถ้ากิเลสนี้เอาเลย.ออกมาแง่ไหนโกหกทั้งนั้น ๆ พากันจำเอานะ
สอนก็ไม่ทราบว่าใครได้เท่าไร ๆ สอนดะไปอย่างนั้น สอนพิลึกพิลั่น นี่ก็สอนโลกมาเวลานี้ได้ ๕๐ กว่าปีแล้ว แต่ก่อนก็สอนพระสอนเณรอยู่ในวัดในวาในป่าในเขา ครั้นต่อมาก็กระจายออกไปถึงประชาชน สอนไปเรื่อย ๆ ต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้สอนทั่วโลกเมืองไทยเราเลย ทุกภาคทุกจังหวัดสอนหมด ก็เพราะความเป็นห่วงเป็นใย มิหนำซ้ำยังห่วงชาติบ้านเมืองอีก กลัวจะล่มจะจม รักษาไว้ไม่ได้มันก็จม เพราะความประมาท
ความประมาทจะเป็นของดีอะไร สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อย ก็เอาความประมาทเข้าไปถลุงด้วยความลืมเนื้อลืมตัว ฉิบหายวายปวงไปหมด จมก็คือเรานั่นแหละ นั่นซีทำให้เป็นห่วง เป็นห่วงอย่างนั้นเอง
สำหรับเราเองไม่ห่วงอะไร ตัวเองนี้ไม่มีเลย พูดตรง ๆ อย่างนี้ละ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ใครจะว่าโกหกไม่โกหกหลวงตาไม่เคยสนใจ นอกจากหลักความจริงที่มีอยู่ในหัวใจ และแสดงออกให้พี่น้องทั้งหลายฟังเท่านั้น เราไม่มีอะไรเป็นอารมณ์ พูดนี่เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้นเอง เราไม่เห็นมีอะไร เขาเชื่อก็เป็นผลเป็นประโยชน์ต่อเขา ถ้าผู้ไม่เชื่อมันก็เป็นกรรมของสัตว์ เราก็สอนไปอย่างนั้นแหละ
สำหรับเราเองเราไม่มีอะไร เราพูดจริง ๆ หมด หมดจริง ๆ ไม่มีอะไรในสามแดนโลกธาตุนี้ อะไรจะมาข้องภายในจิตใจอย่างนี้เราก็ไม่เคยเห็นมี ว่าจะได้เกิดเรื่องเกิดราวกับอะไรภายในจิตใจเจ้าของ ดังที่เคยเป็นมาแต่ก่อนนั้น ไม่เคยมี
แต่ก่อนเกิดเรื่อง เกิดเรื่องกับกิเลสทั้งนั้นไม่เกิดเรื่องกับอะไรนะ เพราะกิเลสมันเป็นตัวข้าศึกต่อธรรมต่อใจเรา มันหากมีเรื่องหนึ่งเรื่องใดขึ้นมาก่อกวนจิตใจให้ได้รับความลำบากลำบน ก็ต้องแก้ต้องไข ต้องดัดต้องแปลงกันอยู่ตลอดมา จึงหาความสุขไม่ได้นะ
ทีนี้เวลาเราแก้ไขถูกทาง คือแก้ไขด้วยธรรม จิตใจก็ค่อยสงบตัวลง ๆ ค่อยเยือกเย็นขึ้นมา ๆ ธรรมมีมาก กิเลสตัวก่อกวนก็ค่อยลดน้อยลง ๆ ความวุ่นวายก็น้อยลง ต่อไปก็ละเอียดเข้าไป ๆ ตามชะตามล้างกัน หมดไป ๆ ความยุ่งเหยิงวุ่นวายมันก็น้อยลง ๆ เรื่อยๆ
นั่นฟังเอาซิ นี่ละการชำระจิตใจด้วยอรรถด้วยธรรมด้วยภาวนา สิ่งที่มัวหมอง สิ่งที่ก่อความกังวลให้เราอยู่ตลอดนั้นมันจะค่อยสงบตัวมันลงไป เมื่อเราชะล้างอยู่ด้วยการภาวนาของเรา ต่อไปจิตใจก็เย็นสบาย ๆ
สรุปความลงเลยว่า เมื่อกิเลสตัวก่อกวนมากน้อยมันสิ้นซากไปจากใจแล้ว ไม่มีอะไรมากวนใจเลยตั้งแต่บัดนั้นละ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านบรรลุธรรมปึ๋งลงไปเท่านั้น กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีตัวไหนสร้างทุกข์อีก เพราะกิเลสเท่านั้นเป็นตัวสร้างทุกข์ กิเลสขาดสะบั้นลงไปก็ไม่มีอะไรสร้างทุกข์สร้างเรื่องราวต่าง ๆ จิตใจก็สบาย สงบเงียบเลย ไม่มีเรื่อง ถ้าว่าสงบก็สงบเลยสมมุติทั้งหลายไปเสีย ถ้าว่าสุขก็สุขเลยสมมุติไปเสีย อัศจรรย์เลยสมมุติ ทุกอย่างเลยไปหมด เพราะเหล่านี้เป็นแดนสมมุติ สัตว์เอื้อมถึงอยู่ ธรรมชาติอันนั้นสัตว์ที่มีกิเลสเอื้อมไม่ถึง ผู้สิ้นกิเลสเท่านั้นเป็นผู้ครองธรรมประเภทนั้น
นั่นละท่านผู้เป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว ไม่มีอะไรละในหัวใจ ลมหายใจฝอด ๆ ก็หายใจไปจนถึงวันของมันเท่านั้น กินไป อยู่ไป นอนไป หลับไป เท่านั้นเอง เมื่อถึงกาลเวลาแล้วไปไม่รอดแล้วเหรอ.. ทิ้งปั๊วะแล้วท่านไปเลย
ท่านหายห่วง เรื่องความทุกข์ทั้งหลายของพระอรหันต์นี้ มารวมอยู่ในธาตุในขันธ์ท่านเท่านั้น การเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นธรรมดาเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป เพราะธาตุขันธ์เป็นสมมุติเหมือนกัน แต่ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากธาตุขันธ์วิกลวิการนี้ มันไม่เข้าถึงใจท่าน มันหากเป็นของมันอยู่ ท่านก็เพียงรับทราบ ๆ เท่านั้น นี่เรียกว่าสมมุติทั้งมวลมารวมอยู่ในขันธ์ ๕ คือ รูปกาย ให้เป็นเวทนาสุขทุกข์ขึ้นมา สัญญา ความจำได้หมายรู้ สังขาร ความปรุงความแต่ง ความคิดยุ่งเหยิงวุ่นวาย อันนี้ตัวสำคัญ มันดีดมันดิ้นของมันเอง เมื่อกิเลสไม่มีเป็นเจ้านายเจ้าอำนาจของมันแล้ว มันก็คิดตามภาษาของมัน คิดปรุงไปอะไร เกิดแล้วดับ ๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นเครื่องต่อสืบเนื่องกันไปเหมือนกิเลสยังอยู่ วิญญาณก็รับทราบธรรมดา ตามองเห็นรูปก็รู้ว่ารูป ได้ยินเสียงก็รู้ว่าเสียง แล้วดับไป ๆ ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อ สำหรับพระอรหันต์ท่านไม่มี จึงเรียกว่าเป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่มีกิเลสเจือปน คือ ขันธ์ของพระอรหันต์
คำว่า ขันธะ แปลว่ากอง แปลว่าหมวด คือรูปขันธ์หนึ่ง เวทนาขันธ์หนึ่ง สัญญาขันธ์หนึ่ง สังขารขันธ์หนึ่ง วิญญาณขันธ์หนึ่ง นี่เรียกว่าขันธ์ห้า ๕ กอง ๕ หมวด ใจเป็นผู้รับทราบจากขันธ์ทำงาน ขันธ์ทำงานเรื่องอะไร ๆ เพียงรับทราบๆ แต่ไม่มีกิเลสเข้าไปกวนใจ ไม่ไปซึมซาบใจให้ได้รับความทุกข์ ท่านจึงเรียกว่าเป็น ขันธ์ล้วน ๆ แล้วสมมุติทั้งมวลก็มายุติที่ขันธ์ พระอรหันต์ท่านปล่อยหมดแล้ว ก็ยังรับทราบอยู่เพียงขันธ์เท่านั้น ไม่ยึดถือก็รับทราบ
ทีนี้พอขันธ์นี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว หมดลมหายใจแล้ว ก็เรียกว่าสมมุตินี้ดับโดยสิ้นเชิงในขณะที่ขันธ์ท่านสิ้นลมหายใจ จากนั้นไปจิตของท่านจะไม่มีสมมุตินี้เข้าไปเจือปนเลย ไม่มีเลย ขันธ์เป็นวาระสุดท้ายที่ท่านรับทราบ พอสิ้นลมหายใจลงไปแล้ว ขันธ์ก็ลงไปเลย เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟไป ธรรมชาตินั้นก็..อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นนิพพานล้วน ๆ อยู่แล้วตั้งแต่อยู่ในขันธ์ เป็นแต่เพียงว่ายังรับผิดชอบขันธ์ แม้ไม่ยึดไม่ถือก็รับผิดชอบตามสัญชาตญาณ
เราจะเห็นได้ เช่น พระปุถุชนเดินไปตามทาง กับพระอรหันต์เดินไปตามทางด้วยกัน ทั้ง ๒ นี้องค์ใดก็ตามลื่นจะหกล้ม ปุถุชนก็ไม่ยอมล้มง่าย ๆ จะพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมล้ม ถ้าไม่สุดวิสัยไม่ยอมล้ม เอ้า พระอรหันต์ลื่นก็เหมือนกัน ไม่ยอมล้มเหมือนกัน เอาจนกระทั่งผ่านไปได้ หรือควรจะล้มมันสุดวิสัย ก็ยอมล้มเหมือนกัน อันนี้เป็นสัญชาตญาณความรับผิดชอบ ที่ต่างกันอยู่ก็คือว่า จิตของปุถุชนนั้นมันสะทกสะเทือน ร้อนวูบวาบไปเลยในเวลาเช่นนั้น ตกอกตกใจ ร้อนวูบวาบเวลาจะหกจะล้ม
หรือจะเหยียบกิ่งไม้เข้าใจว่างูนี้ ตกใจตื่นเต้น พระอรหันต์ก็เหมือนกัน ไปถึงนั้นท่านโดดข้ามเลยเข้าใจว่าเป็นงู ทั้ง ๆ ที่เป็นรากไม้ไม่ใช่งู แต่เข้าใจว่างู พอจะเหยียบลง ท่านโดดข้ามปุ๊บเลย แต่ใจทั้งสองนี้ต่างกัน คือใจปุถุชน ทั้งตกอกตกใจ สะดุ้งกลัว ใจร้อนวูบวาบ นี่ใจปุถุชน แต่ใจพระอรหันต์เป็นแต่เพียงแย็บเท่านั้น พอรู้..ขันธ์แสดงแย็บว่างูเท่านั้น ท่านไม่ได้ตื่นเต้น ท่านไม่ได้ตกใจ ต่างกันตรงนี้เท่านั้น ใจพระอรหันต์กับใจปุถุชน
อันนี้เหมือนกันนะ ร่างกายของปุถุชนกับพระอรหันต์ไปด้วยกัน เช่น จะหกล้ม ลื่นจะล้มนี้ พลิกตัวเหมือนกันกับคนสามัญ จะเหยียบขวากเหยียบหนามนี้ก็เหมือนกัน ท่านพลิกปั๊บเหมือนกัน จะเหยียบงูอย่างนี้ท่านก็พลิกเหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าจิตของท่านไม่หวั่นเท่านั้นเอง ต่างกัน ส่วนปุถุชนมันดีดมันดิ้น นี่ละเรียกว่า ขันธ์
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|