ไม่มีอะไรจะหนักยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส
วันที่ 10 มกราคม 2546 เวลา 18:30 น.
สถานที่ : วัดเขาน้อยสามผาน อ.ท่าใหม่ จ.จันทุบรี
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดเขาน้อยสามผาน จ.จันทบุรี

เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ [ค่ำ]

ไม่มีอะไรจะหนักยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส

 

            พูดถึงเรื่องการฝึกอบรมภาวนา ท่านผู้ใดที่ยังไม่ขึ้นเวทีต่อกรกันกับกิเลสแล้ว อย่าเอางานใด ๆ ในโลกนี้มาอวด ว่าตัวงานหนัก งานมาก งานยุ่งเหยิงวุ่นวาย ถ้ายังไม่ได้ขึ้นต่อกรกับกิเลสตัวลือโลกทั้งสามนี้ก่อนแล้วอย่าคุยนะ งานในโลกทั้งสามนี้เป็นงานที่กิเลสขับไสไล่ส่งให้พวกเราทำ กลางคืนก็ไม่ได้นอน กลางวันไม่ได้นอน เพราะกิเลสมันจับไสไปใส่งานนั้นใส่งานนี้ อยากดูสิ่งนั้น อยากเห็นสิ่งนี้ อยากฟังสิ่งนั้น อยากได้สิ่งนี้ ดิ้นอยู่อย่างงั้นแหละ นี่กิเลสมันพาให้ดิ้น

แม้ที่สุดมีเมียอยู่แล้วมันก็แอบขโมยไปหลังเมียมันนั่นแหละ ไปหาแอบดูอีหนู คนไหนสวย ๆ ก็แอบติดแนบไปแหละ มาแต่ไหนหนู มองดูสวยงามมากทีเดียว เราเกิดมานี้ไม่เคยพบผู้หญิงสวย ๆ งาม ๆ อย่างนี้เลย มาพบหนูวันนี้ แหม วาสนาแค่ไหน มองดูมองไม่เบื่อไม่เมา ทั้งมอง ทั้งอยากจับนั้นทั้งอยากจับนี้นะ โอ๊ย อะไรสวยงามหมด เสื้อนี้ผ้านี้สั่งมาจากเมืองไหน ทำไมถึงสวยงามเอานักหนา เมืองไทยนี้ไม่เห็นมี มีแต่เมืองนอกทั้งนั้น แล้วซื้อมาจากเมืองไหนล่ะหนู นี่ก็ยังชวนอีหนูไปซื้อของเมืองนอกให้เป็นบ้ายิ่งกว่าของเมืองไทยอีกนะ ครั้นแล้วก็ติดพันกับอีหนูไปละ เมียนอนอยู่ นั่งอยู่ติดข้างไม่มองดูเลย เมียทั้งคนสู้อีหนูไม่ได้ เป็นอย่างงั้นนะ นี่กิเลสลากคอคนไป มีเมียแล้วมันก็ไม่ดูเมียมัน

ไอ้ผู้หญิงตัวเก่ง ๆ ก็แบบเดียวกัน มีผัวนั่งทนโท่อยู่หน้าผากมันก็ไม่ดู มันอยากดูตั้งแต่ไอ้หนุ่มนั่นแหละ หนุ่มนี้มาจากเมืองไหนมันสวยงามเหลือเกิน หนุ่มเมืองของฉันไม่เคยเห็นเลย ฉันก็เที่ยวมานี้นานแล้ว ไปที่ไหนฉันก็ไปรอบประเทศไทยยังไม่เคยเห็นหนุ่มสวย ๆ อย่างนี้ ไม่หล่อแต่รูปร่างเฉย ๆ เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวก็สวยงามด้วย ซื้อมาจากเมืองไหนพี่ เขาบอกว่าซื้อมาจากเมืองนั้นเมืองนี้ เอาละนะที่นี่ โอ๊ย เมืองไทยเราไม่มีผ้าอย่างนี้ ต้องไปหาเมืองนอกนะ แล้วเผ่นไปหาเมืองนอก กิเลสลากคอไปซื้อของเมืองนอกมา ของเมืองไทยมีมากเท่าไรไม่สนใจ ไม่ส่งเสริมของที่เป็นสมบัติอันเป็นเนื้อเป็นหนังของตัวเอง เพื่อจะเชิดชูชาติไทยของเราขึ้นให้แน่นหนามั่นคง เพราะความยินดีในของมีอยู่แห่งชาติของตน มันไม่สนใจ

มันชวนไอ้หนูไปซื้อของเมืองนอกมา นี่เห็นไหม กลับมาก็แอบไม่ให้ผัวเห็น นี่หญิงตัวแสบมันเป็นอย่างงั้น เห็นไหมกิเลส มันพอเมื่อไร มีเมียนั่งอยู่ข้าง ๆ มันก็ไม่มองดูเมียยิ่งกว่าอีหนู ผัวนั่งอยู่ข้าง ๆ มันก็ไม่มองดูผัวยิ่งกว่าไอ้หนูนะ มันเป็นบ้าอย่างงั้น นี่ละเรื่องกิเลส ท่านทั้งหลายฟังเอา นี่นำมาพูดเพียงย่อ ๆ เท่านั้น เพื่อเป็นคติ มีไหมในหัวใจเรา ถ้าไม่มีเมืองนี้เราก็จะฟาดไปในกรุงเทพฯ ตัวเก่ง ๆ อยู่ในกรุงเทพฯมาก ๆ  ถ้าไม่มีในเมืองจันท์เราน่ะ กิเลสตัวนี้เก่งหรือไม่เก่ง อยู่ที่ไหนมันเหยียบหัวคนหมด

มีผัวมีเมียมากเท่าไร ไม่มีความหมายยิ่งกว่าอีหนู ยิ่งกว่าไอ้หนู ยิ่งกว่าคนเศษคนเดนกลางบ้านกลางเรือน หญิงเศษชายเดน อยู่ตามบ้านตามเรือนที่ไหนสวยงามหมด ถ้าเป็นผัวเป็นเมียของตนไม่อยากมอง นี่แหละกิเลสตัวนี้ ตัวมันก่อความทุกข์ความร้อน ก่อฟืนก่อไฟเผาบ้านเผาเรือน เผาครอบครัวเหย้าเรือน ผัวเมียแตกกระจัดกระจายจากกัน เพราะผัวไม่ยินดีในเมีย เมียไม่ยินดีในผัว ไปยินดีในผู้หญิงกาฝาก ผู้ชายกาฝาก คอยแต่จะมากัดตับกัดปอด ครั้นมาเห็นหน้ากันปั๊บ ไปไหนมา เมียเพราะไม่ไว้ในผัว ไปไหนมา ทางนั้นก็ออกแล้วนะ เพราะมันเตรียมพร้อมไว้แล้ว ไอ้ตัวแสบผู้ชายนั่นก็ดี หือไปไหนมา ไม่เห็นตั้งแต่เช้ายันค่ำวันนี้ไปไหนมา อ๋อ ไปฟังเทศน์มา ฟังซิน่ะ

ไปฟังเทศน์วัดไหน แหม พระท่านเทศน์ดีนะ ฟังแล้วจับใจ พระวัดไหน เมียก็ถาม โอ๊ยบอกไม่ได้เดี๋ยวเมียจะให้เราเป็นเถรเฝ้าบ้านอยู่นี้ เดี๋ยวเมียก็จะไปฟังเทศน์เงียบๆ แหละ เราก็จะได้เฝ้าบ้าน ความจริงมันกลัวเมียไปเห็นหน้าผากมัน มันไปฝังไว้ที่ไหนหน้าผากหน้าด้าน ๆ นั่น อย่างนี้แหละกิเลส ให้ท่านทั้งหลายพากันเข้าใจเอา นี่ท่านเรียกว่ากิเลส ความโลภไม่รู้จักเมืองพอ จนเจ้าของจะตายก็ยังโลภ นี่ท่านก็เรียกว่ากิเลส อารมณ์ของกิเลสให้อยากได้ อยากร่ำอยากรวย อยากสวยอยากงาม อยากหมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรพอ ของในบ้านในเรือนไม่ดี ต้องของเมืองนอกเมืองนา สวยงามเอามาอวดกัน เราเป็นคนไทยด้วยกันไปเอาของเมืองนอกมาอวดกัน อวดว่าได้ของดิบของดีมา ความจริงเอาตับเอาปอดตัวเองไปให้เมืองนอกเขากินหมด กลับมาไม่มีตับมีปอดาติดตัวมาเลย ท้องแห้งผากมา ไม่มีสมบัติเงินทองติดตัว เอาไปให้เขากินหมด เพราะของเมืองนอกเมืองนาอะไรดีทั้งนั้นๆ ดีกว่าของเมืองไทย

นี่ละที่ว่าถ้าเป็นหญิงกาฝากละดีทั้งนั้น ดีกว่าเมียของตัวเอง ถ้าเป็นชายกาฝากก็ดีทั้งนั้น ๆ ดีกว่าผัวของตัวเอง ผัวของตัวเองสู้ไม่ได้ นี่พวกบ้ากาม บ้ากิเลส ให้ทราบว่านี่คือกิเลส กิเลสมันเก่งไหม เรารู้ไหมว่ามันเป็นกิเลส พอเห็นหญิงก็ลืมเมียเจ้าของเท่านั้น ไม่ทราบว่ามันเป็นกิเลส เห็นผู้ชายก็ลืมผัวเจ้าของไป นี่มันหลงบ้าอย่างนี้เองเข้าใจไหม นี่คือกิเลส ความรักไม่ทราบมาจากไหน รักประจบประแจงจะเลียแข้งเลียขาเขาก็ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด นี่ตัวกิเลสตัวหนึ่ง ให้พากันเข้าใจเสีย

ถ้าไม่เข้าใจจะเอาอีกนะ มันจะเป็นอีกอยู่ตลอดไปละพวกเรา ถ้าเข้าใจแล้วผัวเป็นผัว เมียเป็นเมีย ทุกสิ่งทุกอย่างมีพร้อมมูลสมบูรณ์เหมือนกันหมดนั่นแหละ ไม่มีใครแปลกต่างกัน หญิงเขากับเมียเราเป็นหญิงประเภทใด เมียเรามีความบกพร่องอะไรจึงไปหาผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นมีพิเศษอะไรบ้างมีกี่อัน เอามาวัดกันซิกับเมียของเรา เอามาแข่งกันระหว่างหญิงกาฝากกับเมียของเรา หญิงกาฝากมีกี่อัน ดูของมันให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เปิดดูให้หมดมันมีกี่อัน ครั้นดูอะไรมันก็เหมือนเมียของเรา เหมือนของเมียเรา ดูทางไหนก็เหมือนเมียเรา จะเกินจะมากกว่ากันสักนิดหนึ่งก็ไม่เห็นมี ก็เท่ากัน ๆ

ครั้นมาดูผู้ชายอีกมันก็แบบเดียวกันอีก ผู้ชายคนนั้นมันกี่อัน อันหนึ่งมันใหญ่ขนาดไหน มันเท่าต้นเสานี้ไหม ผัวของเรามีขนาดเท่านี้แหละ เท่านิ้วมือ เท่านิ้วเท้า ไอ้คนนี้มันเท่าต้นเสาเหรอ เอามาอวดผัวตัวเองซิ ยอมให้เขาเสียนะพ่อหนู เขาใหญ่กว่าเธอ แล้วเขามีห้าอันด้วย เธอมีอันเดียวสั้น ๆ เขามีห้าอัน อันหนึ่งได้ห้ากิโล นี่มอบให้เขาเสียนะ ฉันจะไปนอนกับเขา ฉันจะสนุกสนาน เขามีถึงห้าอัน แกมีอันเดียว อย่างนี้เอามาเทียบมาแข่งกันดูกับผัวของเรา มันก็เท่ากัน ไม่เห็นมีแปลกประหลาดอะไร มันเป็นบ้าสด ๆ ร้อนๆ  กิเลสพาคนให้เป็นบ้า ลืมผัวลืมเมียไปอย่างนี้

            นี่ท่านเรียกว่ากิเลส ราคะตัณหา เห็นอะไรสวยงามทั้งนั้น ดีทั้งนั้น น่ารักน่าชอบไปหมดทุกอย่าง นี่เรียกว่าราคะตัณหา คือกิเลสประเภทหนึ่ง ที่ประเภทให้ผู้หญิงหน้าด้าน ผู้ชายหน้าด้าน แต่งเนื้อแต่งตัวนี่สะวี้ดสะว้าด เปิดหน้าเปิดหลัง ต่อไปมันจะเปิดทั้งหีมันเลยละ ผู้ชายก็เปิดหำใส่กันเลย มันก็เหมือนหมา ถ้าเป็นเหมือนหมาใครจะอยากไปดู มันมีศักดิ์ศรีอะไรหมา คนมีศักดิ์ศรีกว่าหมาก็เพราะแต่งเนื้อแต่งตัว สงบเสงี่ยมงามตา น่าดูน่าชม ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็น่ากราบไหว้บูชา ถ้าเป็นเด็กก็น่ารัก ไม่แบบประเจิดประเจ้ออะไรอย่างนั้น มันเป็นอย่างงั้นนะเวลานี้

กิเลสตัวนี้มันหน้าด้านเข้า การแต่งเนื้อแต่งตัวนี้ไม่ได้สนใจ ถ้าเป็นผู้หญิงก็อยากให้ผู้ชายมอง เป็นผู้ชายอยากให้ผู้หญิงมอง แต่ผู้หญิงมักจะตื้นกว่าผู้ชาย ของอย่างนี้ผู้หญิงชอบ แต่งตัวนี้โก้หรู นุ่งกางเกงมานี้ แหม มองเห็นทั้งริมแก่ริมอ่อน เห็นหมดเลยทีเดียว เจ้าของยิ่งยิ้มแย้มแจ่มใสอยากให้เขามอง เขาจนมองดูไม่ได้จะว่าไง จะสลบไสลไป ไปถึงบ้านเขาก็ต้องหายามาแก้สลบ เพราะไปเจอเอาของอย่างนั้นเข้ามา นี่ละท่านเรียกว่ากิเลส ราคะตัณหา ถ้าไม่ได้อย่างใจก็เคียดก็แค้น ฆ่าฟันรันแทงกัน นี่ก็ตัวความโกรธก็คือราคาตัณหา ทีนี้จะประมวลเข้ามา นี่ละท่านเรียกว่ากิเลส

กิเลสตัวนี้มันเป็นอารมณ์อันหนึ่งอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลก ทั้งหญิง ทั้งชาย ทั้งสัตว์ ทั้งบุคคล มีอยู่ด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครไปศึกษาเล่าเรียนมาจากไหน มันเกิดอยู่กับใจของคน ท่านเรียกว่ากิเลส คือความเศร้าหมองมืดตื้อ ทำคนให้ล่มจม ทั้งๆ ที่ตาดีหูดี ให้ตาบอดหูหนวกไปหมด จิตใจก็มืดตื้อไปหมด ความคิดอ่านไตร่ตรองหาเหตุหาผลเพื่อความสงบเย็นใจ เพื่อตัวเอง และเพื่อครอบครัวเหย้าเรือนไม่มี มีแต่ดีดแต่ดิ้น หาแต่เรื่องตามความชอบใจ ๆ นี่ท่านเรียกว่าราคะตัณหา

เหล่านี้มีอยู่กับสัตว์กับบุคคลทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนที่ไหน มนุษย์เรายังเรียนวิชานั้นเรียนวิชานี้ สุนัขเขาไม่เห็นเรียน อันนี้เรียนทุกอย่าง เรียนเป็นบ้ากันไปเลย จนไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสียค่าไปเรียนสักเท่าไร ได้มาแต่งตัวโก้หรู หมดเงินไปเท่าไร หมาเขาไม่เห็นหมดเงินสักสตางค์เดียว เขาอยู่เป็นหมูเป็นหมาได้ เราเป็นมนุษย์เลวกว่าหมาใช้ไม่ได้ นี่กิเลส ดูหน้ามันให้ดูหน้าเรา ดูหน้ากิเลส อย่าไปดูหน้าใคร ให้ดูหน้าเจ้าของ ดูใจเราอย่าไปดูใจคนอื่น สิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้มันมีไหม นี่ละกิเลสที่ตัวเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่โตครอบโลกธาตุ ไม่มีใครจะเหนือมันได้คือกิเลสตัวนี้เอง ที่เรียกว่ากิเลส ๆ สัตว์โลกตายกองกันอยู่ไม่มีเวลาหยุดเวลายั้ง ก็เพราะไม่เห็นโทษของกิเลส ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขดัดแปลง หรือพลัดพรากจากกันได้กับกิเลส จึงเป็นของยากมากที่สุด

ทีนี้กลับมาหาพระเรา พระเราอุตส่าห์พยายามบวชมาในพุทธศาสนา ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า เวลาบวชแล้วท่านสอนให้อยู่ในป่าในเขา มีพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเป็นคติตัวอย่างสมศาสดาองค์เอกมาก่อนแล้ว เวลาพระองค์เสด็จออกทรงผนวชก็อยู่ในป่าในเขา ทั้ง ๆ ที่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เสด็จออกทรงผนวช อด ๆ อยาก ๆ ขาด ๆ แคลน ๆ บางทีถึงขั้นสลบไปก็มี ได้รับความลำบากลำบนเพราะฆ่ากิเลสดังที่กล่าวนี้แหละ พระเจ้าแผ่นดินท่านก็มีลูกมีเมีย มีไพร่ฟ้าประชาชีเหมือนเรา ท่านยิ่งรักยิ่งสงวนมากกว่าเราเป็นไหน ๆ ประหนึ่งว่าพระทัยนี้จะหลุดขาดสะบั้นออกไปต่อหน้าต่อตา เพราะความรักความห่วงใยไพร่ฟ้าประชาชีทั้งแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในครอบครองของพระองค์

พระองค์ก็สละตัดออกไปได้ ออกไปแล้วไปบวช พยายามฆ่ากิเลสตัวนี้ ตัวหึงตัวหวง ตัวห่วงตัวใย มีราค่ำราคาไปหมดคนทั้งแผ่นดิน มีราคาไปหมด ทุกอย่างมีราคาไปหมด ทำให้เกิดความห่วงความใยเหมือนหนึ่งว่า ขั้วหัวใจนี้จะขาดออกไปจากพระทรวงอกนี้เลย พระองค์ก็ทน เสด็จออกทรงผนวช แล้วไปบำเพ็ญทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ผิดบ้าง ถูกบ้าง เป็นธรรมดา บางครั้งถึงสลบไสล นี่พระองค์ได้บำเพ็ญมาเต็มเหนี่ยว เมื่อไม่หยุดไม่ถอยหลายครั้งหลายหนก็ถูกทาง คือ ทรงบำเพ็ญอานาปานสติแล้วบรรลุธรรมขึ้นมาเป็นศาสดาเอกสอนโลก แล้วเห็นหมดที่นี่นะ กิเลสตัวเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ ทั้งเขาทั้งเราตายกองกันอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์ ได้กระจ่างแจ้งขึ้นแล้วในคืนวันเดือนหกเพ็ญวันนั้น

พอตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว มองดูพระองค์เองที่เคยเกิดเคยตายกองกันอยู่กับตัวเองแล้วกับสัตว์ทั้งหลายนี้ มองดูเขา มองดูเรา ตายกองกันมานี้กี่กัปกี่กัลป์ กี่ภพกี่ชาติ เกิดที่ไหน ตายที่ไหนบ้าง นับไม่ได้เลยแต่ละคน ๆ เพราะกิเลสตัวห่วงตัวใย ตัวหึงตัวหวงนี่ละพาให้ดีดให้ดิ้นไปตามมัน แล้วก็สร้างแต่ภพแต่ชาติ เกิด แก่ เจ็บ ตายขึ้นในตัว นอกจากนั้นยังผลักดันให้เราทำความชั่วช้าลามก สร้างบาปสร้างกรรมเต็มหัวใจเข้าไปอีก ตายแล้วก็จมลงไปในนรก กี่ครั้งกี่หน คนๆ หนึ่งตกนรกกี่หน เพราะเกิดมา ตายมา ตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่ทราบว่าเป็นชาติเป็นภพ สัตว์ประเภทใด เป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์นรก เทวบุตรเทวดา พลิกเปลี่ยนไปมาอยู่อย่างนี้ตลอด มาเป็นมนุษย์ก็ไม่ทราบว่ากี่ครั้งกี่หน แต่ระลึกชาติของตัวเองไม่ได้ เพราะไม่เห็นร่องรอยที่มาแห่งความเกิดตายของตัวเองในภพชาตินั้น ๆ แล้วก็ยอมตายกองกันอยู่นั้น

พอวันนั้นทรงบำเพ็ญอานาปานสติจึงทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ โอ้โห การเกิดตายของเรา เพียงแต่เราคนเดียวเท่านี้ก็นับไม่ได้แล้ว เอาศพมากองกันในประเทศไทยของเรานี้ก็จะไม่มีที่กองแล้วสำหรับศพของคนๆ เดียว ถ้าไม่เปื่อยไม่เน่า ตายแล้วกองกันไว้ ๆ กี่ภพกี่ชาติไม่ให้เปื่อยให้เน่า กองกันมีตั้งแต่พระศพของพระพุทธเจ้า เวลาทรงเล็งญาณดูด้วยปุพเพนิวาสานุสสติญาณเรียบร้อยแล้ว เกิดความขยะแขยงในภพชาติของตน จากนั้นก็พิจารณาดูสัตว์ทั้งหลายจะเกิดตายเหมือนเราหรือไม่ เรียกว่าจุตูปปาตญาณ

เบื้องต้นได้ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงระลึกชาติย้อนหลังได้ ว่าเกิดเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เกิดเป็นเปรต เป็นผี สัตว์นรกอเวจี ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่นี้ เหมือนกับขึ้นบันไดบ้าน ลงบันไดบ้านตลอดมานี้ สัตว์ทั้งหลายก็ยิ่งมีมาก กำหนดดูสัตว์ทั้งหลายยิ่งมากเข้าไปอีก ตั้งแต่ศพพระองค์เดียวเท่านั้นก็พอแล้ว เกิดเป็นชาติอะไรบ้าง ทีนี้สัตว์ทั้งหลายมากขนาดไหน ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน เกิดความสลดสังเวช แล้วก็พิจารณาสาเหตุแห่งเกิดตายเหล่านี้ทั้งเขาทั้งเรามีมาจากอะไร พิจารณาย้อนเข้าไป เรียกว่า ปัจจยาการ เข้าในองค์อริยสัจแล้วที่นี่ พิจารณาถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา แล้วที่นี่

พิจารณาเข้าไปมันเป็นไปจากอะไร มันก็เป็นไปจากอวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี้แหละ ตัวอวิชชาเป็นกษัตริย์วัฏจักรอันใหญ่หลวง ครอบครองอยู่ในหัวใจของสัตว์โลก ทุกรายไปเลย พระองค์พิจารณาย้อนหน้าย้อนหลังในอวิชฺชาปจฺจยา สรุปความลงแล้วก็บรรลุธรรมขึ้นมา พอบรรลุธรรมขึ้นมา คือถอนอวิชชานี้ออกจากพระทัยเรียบร้อยแล้ว กิเลสขาดสะบั้นลงไป กิเลสที่กล่าวถึงตะกี้น่ะ ที่พาให้คนเป็นบ้าอยู่ตลอดเวลานี้ขาดสะบั้นลงไป พระองค์จึงได้จ้าขึ้นมา วันนั้นได้ตรัสรู้ธรรม จากนั้นขอสรุปลงมาเลย เมื่อได้ตรัสรู้ธรรมแล้วทรงท้อพระทัย ไม่อยากสั่งสอนสัตว์โลกอะไรอีกเลย เพราะเป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายจะรู้ตามเห็นตามพระองค์ได้

พระองค์ก็พิจารณาทบทวน อ๋อ มี ถึงจะว่าเป็นของยากลำบากผู้ที่จะรู้ตามเห็นตามยังมีอยู่ จึงได้พินิจพิจารณาถึงอุปนิสัยปัจจัยของสัตว์โลกที่มีเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกัน บางรายก็มืดหนาสาโหด มืดจนไม่มีบาปมีบุญติดตัว มีตั้งแต่กรรมชั่วช้าลามกที่สร้างไป ก็เป็นการสร้างบาปสร้างกรรมทั้งนั้น เต็มหัวใจ ๆ ตายแล้วก็จมไปเลย ๆ นี่ก็มี ประเภทที่พอบึกบึนได้ก็มี อย่างพวกเรา ๆ ท่าน ๆ ไอ้พวกที่ปทปรมะนี่เรียกว่าหมดคุณค่าหมดราคา เกิดมากับโลกกับมนุษย์เขาก็ได้ชื่อแต่มนุษย์ แต่จิตใจในเรื่องบาปเรื่องกรรมไม่มี มีแต่สร้างบาปสร้างกรรรมอันเดียว โดยปฏิเสธว่าสร้างบาปไม่เป็นบาป สร้างบุญไม่เป็นบุญ อยากทำอะไรก็ทำ กิเลสมันก็ไสเข้าให้สร้างตั้งแต่บาปแต่กรรม ตายแล้วก็จมลงในนรกๆ อย่างนี้เรื่อยมา ประเภทนี้เรียกว่ารอแต่ลมหายใจ ตายแล้วก็ไปจมเลยทีเดียว เพราะไม่มีบุญเครื่องฉุดลากขึ้นมาแม้แต่น้อยเลย

ทีนี้ผู้ที่มีอุปนิสัยปัจจัยมากกว่านั้นก็พอสู้พอฟัดพอเหวี่ยงกันได้ ท่านเรียกว่าเนยยะ อันนี้ทั้งขึ้นทั้งลงไปได้ทั้งนั้น ถ้าอ่อนกิเลสก็ลากลงนรกได้ ถ้าเราแข็งทางบุญทางกุศลเราก็ลากตัวเราขึ้นสวรรค์ พรหมโลกไปได้ ขึ้นขั้นที่สามที่สี่ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู มีอุปนิสัยสามารถแก่กล้าที่จะบรรลุธรรมตรัสรู้เป็นผู้สิ้นกิเลสในโลกยังมีอยู่ พระองค์ก็แนะนำสั่งสอนเรื่อยมา ทีนี้ก็ลงมาหาเรื่องของพระ พอบวชแล้วท่านก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ “บรรพชาอุปสมบทแล้วให้ท่านทั้งหลายไปอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา ป่าช้าป่ารกชัฏ แล้วประกอบความพากเพียร เพราะสถานที่นี่เป็นสถานที่ปราศจากผู้คนพลุกพล่านวุ่นวาย เป็นสถานที่เหมาะสมกับการบำเพ็ญสมณธรรม เธอทั้งหลายจงบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในสถานที่เช่นนั้นตลอดชีวิตเถิด” นั่นท่านสอนพระมา

เมื่อได้สอนพระแล้ว ผู้มีอุปนิสัยปัจจัยซึ่งควรจะตรัสรู้อย่างรวดเร็วก็มีอยู่มากทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น เบญจวัคคีย์ทั้งห้าเป็นต้น สำเร็จได้มรรค ผล นิพพานขึ้นมา เป็น  สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นสรณะของสัตว์โลกของพวกเราได้เป็นอย่างดีเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ พวกที่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า ก็เป็นผู้ตักตวงเอามรรค ผล นิพพาน อยู่ในป่าในเขา นั่นละสถานที่พระพุทธเจ้าสอนพระให้ไปอยู่ บวชแล้วให้ไปอยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผาบำเพ็ญสมณธรรม เพื่อแก้เพื่อถอดถอนกิเลสตัวเป็นภัยเหล่านี้ออกจากจิตใจ ท่านสอนแล้วก็ตั้งใจตะเกียกตะกาย ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ฟัดก็เหวี่ยงกันไป

นี่ละทีนี้ก็มาถึงจุดที่ว่าความยากความลำบากใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ที่เราว่ายาก ว่าลำบาก ว่าเป็นงานหนักงานหนา งานลำบากลำบนนี้ ถ้ายังไม่ได้ก้าวขึ้นสู่เวทีต่อกรกับกิเลสตัวเหนียวแน่น แก่นหลอกลวงเก่ง ๆ นี้แล้ว ใครอย่าว่างานของตัวหนัก ๆ นะ เมื่อได้ขึ้นต่อกรกับกิเลสนี้แล้ว นั่นแหละจึงจะทราบได้ว่า กิเลสนี้เหนียวแน่นที่สุด ไม่มีอะไรเกินกิเลส ความฉลาดแหลมคมก็ไม่มีอะไรเกินกิเลส นอกจากธรรมที่นำมาบำเพ็ญเพื่อแก้กิเลสนี้เท่านั้น ท่านผู้บำเพ็ญธรรมอยู่ในป่าในเขา ท่านจึงต้องเร่งกับกิเลส ฆ่ากิเลส เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์ จนก็จน

ผู้ที่บวชในพุทธศาสนาเพื่อมุ่งอรรถมุ่งธรรมแล้ว ไม่มีความห่วงใยกับสิ่งทั้งหลาย การอยู่ การกิน การหลับ การนอน ทุกอย่างท่านไม่เป็นอารมณ์ ขอให้ได้บำเพ็ญสมณธรรมเป็นความสะดวกสบาย ตั้งสติสตังชำระจิตใจของตน เป็นความพากความเพียรประจำใจ เริ่มต้นตั้งแต่บริกรรมภาวนา มีคำบริกรรมภาวนาเป็นเครื่องกำกับจิตใจ มีสติสตังเป็นเครื่องบังคับใจให้อยู่กับคำบริกรรมภาวนา ให้จิตมีที่ยึดที่เกาะ เมื่อจิตมีที่ยึดที่เกาะ โดยสติเป็นเครื่องบังคับให้ทำงานอยู่แล้ว จิตย่อมตั้งรากตั้งฐานได้ขึ้นมา แล้วจิตใจซึ่งเคยว้าวุ่นขุ่นมัว ดีดดิ้นกับกิเลสทั้งหลายตัวแก้ยาก ๆ นั้นก็จะค่อยสงบตัวเข้ามา ๆ

งานการแห่งการชำระจิตใจก็มีกำลังวังชามากขึ้น ความสงบใจ สบายใจ ไม่เคยมีตั้งแต่เกิดมาก็จะปรากฏขึ้นในขณะภาวนาจิตใจที่สงบแล้วนั้นแล นี่ละผู้ที่จะเป็นผู้ตักตวง เอามรรค ผล นิพพาน คือผู้ดำเนินอย่างนี้ตามทางของศาสดา เดินจงกรมก็มีสติ สติจดจ่ออยู่กับ ถ้าผู้ตั้งต้นในคำบริกรรมก็ติดแนบอยู่กับคำบริกรรม ไม่ปล่อยวางไปไหน ผู้ที่อยู่ในความสงบติดแนบกับความสงบ ไม่ปล่อยไปไหน คือจิตที่เป็นสมาธิแล้วจะปล่อยอารมณ์ก็ปล่อยได้ แต่ท่านรู้ของท่านเอง พอจิตสงบแล้วจิตเป็นจุดเด่น มีความรู้เด่นอยู่ตรงนั้นแล้ว สติติดอยู่กับจุดเด่นของจิตที่มีความแน่นหนามั่นคงด้วยสมาธินั้น

เวลายังไม่ได้นั้นต้องอาศัยคำบริกรรมเป็นรากเป็นฐานไว้ก่อน เกาะคำบริกรรมให้ติดแนบ ต่อไปจะสร้างความสงบขึ้นมา จากความสงบหลายครั้งหลายหนแล้วจะสร้างฐานแห่งสมาธิ คือความแน่นหนามั่นคงของใจขึ้นมาเรื่อย ๆ ใจเป็นความสงบเย็น เมื่อใจเป็นความสงบเย็นแล้วเป็นปากเป็นทางแห่งทางด้านปัญญา พิจารณาทางด้านปัญญา ยกเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ที่อุปัชฌาย์มอบให้ หรือพระพุทธเจ้ามอบให้มาตั้งแต่วันอุปสมบทแล้ว ว่าผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง เหล่านี้โลกสงวน โลกรักเอานักหนา เราก็อยู่ในโลกแต่เราจะสละโลก เราต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้เห็นภัยของมัน

พิจารณาอาการเหล่านี้เป็นพื้นเป็นฐานอยู่ตลอดเวลา นี่ออกทางด้านปัญญา เกสา โลมานี้ในเบื้องต้นก็ถือเป็นคำบริกรรมเพื่อสมถธรรมเสียก่อน พอจิตออกทางด้านปัญญาแล้ว ก็ถืออาการเหล่านี้เป็นพื้นฐานแห่งวิปัสสนาพิจารณา ผมก็เป็นปัญญา เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้ พุง เป็นสติปัญญาไปหมด พินิจพิจารณาแก้ไขดัดแปลงอันนี้ให้หนัก ๆ เข้าไปโดยลำดับลำดา นี่ละท่านว่าฆ่ากิเลส ท่านฆ่าอย่างนี้ ฆ่าความรักในร่างกาย รักในร่างกายตัวแล้วก็รักในร่างกายเขา ติดกายตัวแล้วก็ติดกายเขา ติดกายหญิงแล้วก็ติดกายชาย ติดได้ พัวพันกันได้ สร้างฟืนสร้างไฟขึ้นมาโดยไม่รู้จักประมาณ เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนให้พิจารณาทางด้านปัญญา

พิจารณาร่างกายนี่เอาจริงเอาจังมาก เหมือนเขาไถไร่ไถนา คราดไร่คราดนา คราดไปคราดมาตลบทบทวนไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เอาจนมูลคราดมูลไถแหลกละเอียดควรแก่การปักดำแล้วเขาก็ปักดำลงไป อันนี้พิจารณาจนมีความละเอียดในเรื่องอนิจฺจํ  ทุกฺขํ อนตฺตา อสุภะอสุภังในร่างกายเรานี้ แยกออกข้างนอกก็พิจารณาเป็นแบบเดียวกัน พิจารณาข้างในก็เป็นแบบเดียวกันด้วยปัญญาตลอดสาย เมื่อเวลาจิตมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็ย้อนเข้ามาสู่สมาธิพักอารมณ์ ไม่ต้องทำงานทางวิปัสสนา ทางปัญญานั้นก่อน เข้าสู่ความสงบของจิต

เมื่อจิตมีความสงบได้กำลังวังชาแล้วถอยออกไป แล้วพิจารณาก้าวทางด้านปัญญา โดยถือเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตลอดถึงภายในทุกสัดทุกส่วน เป็นที่พินิจพิจารณาคลี่คลายสิ่งเหล่านั้น จิตใจเมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหนย่อมมีความสว่างกระจ่างแจ้ง คล่องแคล่วตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ ปัญญาก็คล่องตัว ๆ พิจารณาเข้าไป เห็นทางแก้กิเลสได้เป็นลำดับจากทางด้านปัญญา ทางด้านสมาธิเป็นแต่ตีกิเลสให้ตะล่อมเข้ามาสู่ความสงบเย็นใจ พอทางด้านปัญญาแล้วคลี่คลายกิเลสออกมาฟันให้ขาดสะบั้นหั่นแหลกลงไปโดยลำดับลำดา ในสถานที่คือป่าคือเขาลำเนาไพร รุกขมูลร่มไม้ เหล่านี้สถานที่บำเพ็ญของพระ ผู้จะถอดถอนกิเลสซึ่งเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ใจของตัวเอง มาตั้งกัปตั้งกัลป์ให้ค่อยเบาบางจางลงไปเป็นลำดับ จนกระทั่งฟาดให้มันแหลกลงไป ไม่มีกิเลสตัวใดเหลืออยู่ นี่การภาวนาของพระ

บรรดาพระลูกพระหลานให้พากันตั้งอกตั้งใจ สำหรับหลวงตานี้แก่แล้วเวลานี้ ได้พูดถึงเรื่องการภาวนาให้ฟัง เรื่องฆ่ากิเลสนี้ ไม่มีอะไรจะหนักยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส งานการใด ๆ ว่าเป็นของหนักสู้การงานการฆ่ากิเลสไม่ได้ ถ้าใครยังไม่ได้ผ่านเวทีการฆ่ากิเลสมาแล้ว อย่าพูดออกมาว่างานตนหนัก ตนลำบากอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ฆ่ากิเลสเสียก่อนถึงจะรู้ เพราะเป็นงานที่หนักมากยิ่งกว่างานใด ๆ ทั้งนั้น เนื่องจากกิเลสมันเหนียวแน่น ความเฉลียวฉลาดแหลมคมไม่มีอะไรเกินกิเลส มีธรรมเท่านั้น

จึงต้องใช้ธรรม ทั้งความสงบตีต้อนกิเลสตัวดีดตัวดิ้นให้เข้าสู่ความสงบ ฟัดเหวี่ยงกิเลสด้วยปัญญา ฟาดฟันลงไป ขาดสะบั้นลงไปๆ ทางก้าวเดินเพื่อความพ้นทุกข์จะเปิดโล่งไปด้วยอำนาจของปัญญา พิจารณาคลี่คลายซึ่งเป็นภูเขาทั้งลูก คือร่างกายนั้นแหละ มันปิดบังหุ้มห่อเอาไว้ เปิดออกให้มันเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะรักจะชอบอะไร ๆ พิจารณาออกให้เห็นได้ทุกสัดทุกส่วน มันก็ปล่อยออก ๆ วางออก ท่านบำเพ็ญในครั้งพุทธกาล ท่านบำเพ็ญอย่างนั้น ผลแห่งการบำเพ็ญไม่หยุดไม่ถอย ปรากฏว่าองค์นั้นสำเร็จพระโสดาอยู่ในป่านั้นเขาลูกนั้น องค์นั้นสำเร็จพระสกิทาคาอยู่ในป่านั้นเขาลูกนั้น องค์นั้นสำเร็จพระอนาคา องค์นี้สำเร็จอรหันต์ อยู่ในป่านั้น เขาลูกนั้น ตักตวงเอาแต่มรรค ผล นิพพาน สง่างามอยู่ภายในจิตใจ สว่างจ้าทั้งวันทั้งคืน คือท่านผู้ทรงมรรค ทรงผล

จิตใจที่เคยมืดบอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เมื่อธรรมได้เข้าซักฟอกชำระล้างเสียโดยสิ้นเชิงแล้วจ้าไปหมด ไม่มีอะไรปิดบังหัวใจที่ชะล้างด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร นี้ไปได้ นั้นแหละท่านผู้ทรงมรรค ทรงผล ในครั้งพุทธกาลท่านทรงมาอย่างนั้น ๆ ในสมัยปัจจุบันนี้ขอให้ดำเนินตามทางของศาสดาสอนไว้แล้วนั้นเถิด เพราะทางนี้เป็นทางสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ เป็นทางเพื่อมรรคเพื่อผลโดยตรง ใครดำเนินตามนี้ก็เรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าทุก ๆ กระเบียดไปเลย ดังที่ท่านสอนไว้เมื่อจวนจะนิพพานว่า “พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว”

เมื่อเราดำเนินตามธรรมที่เรียกว่าสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนั้น ก็เท่ากับดำเนินหรือตามเสด็จพระพุทธเจ้า เรื่องมรรคเรื่องผลก็จะได้เจอไปเป็นลำดับลำดา ตามสายทางที่สอนไว้แล้วโดยถูกต้องนั้น เราก็จะตักตวงเอามรรค ผล นิพพาน ขึ้นในหัวใจของเราเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์ ความพ้นทุกข์นี้ คำว่าทุกข์ทั้งมวลที่อยู่ในแดนโลกธาตุ ซึ่งเราเคยแบกเคยหามมาตั้งกัปตั้งกัลป์นั้นได้ขาดสะบั้นลงจากหัวใจ ในขณะที่กิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีอะไรมาสร้างทุกข์อีกเลย เหลือตั้งแต่ความบริสุทธิ์พุทโธล้วน ๆ นี่เรียกว่าธรรมธาตุ ที่ผู้บำเพ็ญทั้งหลายได้รับ ไม่ว่าครั้งพุทธกาล ไม่ว่าครั้งใดจนกระทั่งบัดนี้ ธรรมนี้คงเส้นคงวาหนาแน่นที่จะให้ผลแก่ผู้บำเพ็ญตามตลอดมา

เช่นเดียวกับกิเลส ใครมีความหนักหน่วงหนักแน่นไปในทางกิเลส สร้างแต่กิเลสขึ้นมาก็เท่ากับสร้างกองทุกข์ขึ้นมาให้ตัวเองตลอดไปเช่นเดียวกัน เพราะกิเลสก็ไม่ครึไม่ล้าสมัย สร้างกิเลสเป็นกิเลสขึ้นมา เป็นบาปเป็นกรรมขึ้นมา สั่งสมความทุกข์ขึ้นมา สร้างอรรถสร้างธรรม มีการให้ทาน รักษาศีล การเจริญเมตตาภาวนา ก็เป็นขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกลายเป็นผู้ทรงมรรคทรงผลขึ้นมาเช่นเดียวกับครั้งพุทธกาลนั่นแล เพราะสวากขาตธรรมนี้ตรัสไว้เพื่อมรรค ผล นิพพาน ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าคือตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน เป็นอกาลิโก ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัย สมัยนั้นให้ผล สมัยนี้ศาสนาเรียวแหลม ไม่มี มีแต่คนพาให้เรียวแหลม เจ้าของไม่สนใจกับธรรม ธรรมก็เรียวแหลม แม้แต่จะไปนั่งอยู่ตรงพระพักตร์พระพุทธเจ้า ก็ไปเรียวแหลมให้พระพุทธเจ้าสลดสังเวชอยู่ต่อหน้าต่อตานั้นแหละ

ถ้าคนไม่มีศีลมีธรรม ไม่มีความหิริโอตตัปปะต่อบาปต่อกรรม สร้างแต่บาปแต่กรรม แล้วไปนั่งอยู่ต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าก็ให้พระองค์สลดสังเวชอยู่นั้นแหละ โลกทั้งหลายเขาขึ้นสวรรค์ นิพพาน คนนี้มีแต่ลงนรกอย่างเดียวก็น่าสลดสังเวช จะทำให้พระพุทธเจ้าสลดสังเวชได้ไม่สงสัย ขอให้พากันพินิจพิจารณา บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่ได้มาในงานนี้ วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ได้สนทนาเป็นกันเองกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย ให้พากันคิดกันอ่านไตร่ตรอง เรื่องอรรถเรื่องธรรมเป็นสมบัติอันล้นค่าของเราทุกท่าน ขอให้บำเพ็ญเถิด พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกโลกมาแต่กาลไหน ๆ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้ขึ้นมาเป็นศาสดาเอก เพื่อรื้อขนสัตว์โลกให้พ้นจากทุกข์โดยลำดับเท่านั้นเอง

ไม่เหมือนกิเลส กิเลสมีตัวใดขึ้นมาหลอกสัตว์โลกให้ล่มจมๆ ไปด้วยกันหมด แต่สัตว์โลกก็ไม่เคยเข็ดหลาบอิ่มพอ จึงต้องดีดดิ้นไปกับกิเลส แบกตั้งแต่กองทุกข์ บ่นเช้าบ่นเย็น บ่นทุกวี่ทุกวัน ทุกเวล่ำเวลา ปากไหนมีแต่ปากบ่นเต็มบ้านเต็มเมือง เพราะหัวใจมันร้อน ออกมามันก็ออกมาทางปากบ่น ไปขายใครก็ไม่มีใครซื้อ เพราะมันมีอยู่เต็มหัวใจด้วยกัน ถ้าเป็นของเขามี ของเราไม่มีไปซื้อขายกันก็ค่อยยังชั่ว อันนี้มันมีเต็มบ้านเต็มเมืองเรื่องของกองทุกข์ เพราะกิเลสสร้างขึ้นมาจากคนที่ลืมเนื้อลืมตัวนี้เป็นอย่างนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้พินิจพิจารณาทุกคน

วันนี้เราก็ได้อุตส่าห์พยายามมาจากทั้งทางใกล้ทางไกล เพื่อเห็นแก่ชาติบ้านเมืองของเรา ซึ่งกำลังจะล่มจมอยู่เมื่อเร็ว ๆ นี้ เวลานี้ก็ฟื้นฟูขึ้นมาด้วยกำลังแห่งความรักชาติ แห่งความเสียสละและความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องทั้งหลาย ได้ปรากฏเด่นขึ้นมาเป็นลำดับลำดา เวลานี้ทองคำของเราก็ได้ถึง ๕,๕๖๐ กิโลแล้ว ดอลลาร์ก็ได้ ๗ ล้าน ๒ แสนกว่า ส่วนเงินสดนั้นก็ได้เอาซื้อทองคำ รวมกันแล้วเป็น ๙๔๑ ล้านแล้ว เหลือจากนั้นเราก็ช่วยชาติบ้านเมือง ที่ไหนมีความจำเป็นที่จะช่วยเหลือก็ต้องช่วยเหลือไปทั่วประเทศนั้นแหละ โดยการปลูกสร้างสถานสงเคราะห์คนทุกข์คนจน โรงร่ำโรงเรียน โรงพยาบาลทั่วประเทศไทย เงินประเภทนี้ออกแบบนั้น ส่วนเงินประเภทหนึ่งเข้าสู่คลังหลวง กรุณาทราบตามนี้นะ

หลวงตาได้พาพี่น้องทั้งหลายช่วยคราวนี้ ช่วยอย่างสุดเหวี่ยงเลย เพราะหลวงตาได้ช่วยด้วยความเต็มอกเต็มใจ ด้วยความเมตตาล้วน ๆ ทีเดียว จึงไม่มีอะไรที่จะแบ่งสันปันส่วนจากสมบัติที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมามากน้อย แม้แต่บาทเดียวหลวงตาไม่มี หลวงตาไม่แตะ หลวงตาทำด้วยความบริสุทธิ์สุดส่วนจริง ๆ ในชีวิตนี้ก็ได้ทำเต็มสัดเต็มส่วน หาที่ต้องติตนไม่ได้ ว่าได้คดโกงพี่น้องบาทใดบ้าง สตางค์ใดบ้าง ไม่เคยมี ได้มาเท่าไร ๆ เราเก็บหอมรอมริบไว้หมดเลย พิถีพิถันมากที่สุด เงินทองข้าวของนี้ก็หลวงตาเป็นผู้ถือบัญชีเอง ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนไม่เคยสนใจกับการเงินการทองเลยนะ แต่เวลาความจำเป็นเกี่ยวกับการรับผิดชอบในบ้านเมืองของเรา จากสมบัติที่พี่น้องบริจาคนี้จึงต้องได้หมุนเข้ามาเป็นเจ้าของบัญชีฝากสมบัติพี่น้องทั้งหลาย เรียกว่าโครงการช่วยชาติ

เราได้มาถือบัญชี เป็นผู้ฝาก เป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่ายแต่ผู้เดียว ไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามมาทำการงานแทนเราได้เลย เพราะเราไม่แน่ใจในการกระทำของเขา ซึ่งไม่เหมือนกับเราทำเอง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำเอง บัญชีเงินทั้งหลายนี้หลวงตาเป็นผู้เก็บเอง เป็นเจ้าของเอง เป็นผู้สั่งเก็บสั่งจ่าย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความรั่วไหลแตกซึมไปไหนเลย และถ้าหลวงตายังช่วยพี่น้องทั้งหลายอีก จนกระทั่งวันตายจะไม่มีเช่นเดียวกัน เพราะหลวงตาทำด้วยความบริสุทธิ์ล้วน ๆ ต่อบรรดาพี่น้องทั้งหลาย สละทุกอย่างเลย ลำพังหลวงตาแล้วไม่มีอะไร หลวงตาพอทุกสิ่งทุกอย่าง บอกให้พี่น้องให้พี่น้องทั้งหลายฟังตามภาษาธรรม

ภาษาธรรมต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ได้บอกว่าได้ เสียบอกว่าเสีย ดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว เขาไปทำความไม่ดีตามโลกตามสงสารตามคติของคนทั่ว ๆ ไป เขาได้เขาก็บอกว่าได้ เขาเสียเขาก็บอกว่าเสีย เช่นเขาเล่นการพนัน เขาได้เท่าไร เขาเสียเท่าไร เขาก็พูดได้เต็มปากของเขา ไม่เห็นมีใครไปตำหนิติเตียนเขา ทีนี้เราเสาะแสวงหาคุณงามความดี เราได้มากได้น้อยเราก็พูดตามที่เราได้ ซึ่งเป็นความสัตย์ความจริงเช่นเดียวกัน จึงไม่มีอะไรที่จะขัดจะแย้งกันว่าโอ้ว่าอวดอย่างนี้ไม่มี เพราะเป็นภาษาธรรมต้องพูดตรงไปตรงมา

นี่เราก็ได้พิจารณา ได้ทำเต็มกำลังความสามารถ ถึงได้มาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังว่า เรื่องกิเลสนี้ถ้ายังไม่ได้ขึ้นเวทีต่อกรกันเสียก่อน ใครอย่าว่างานใดยากงานใดลำบาก ให้ขึ้นต่อกรกับกิเลสเสียก่อน ถึงขั้นจะสลบไสลนู่นน่ะไม่ใช่เล่น ๆ นะ มันถึงได้พังลงไป ๆ แล้วก็เอามาพูดได้สบาย หลวงตาได้ทำอย่างนั้นแล้ว โดยไม่มีคำว่าที่จะมาโอ้อวดพี่น้องทั้งหลาย อันนั้นเป็นเรื่องของกิเลส เป็นถังขยะ มันมาเห่าอรรถเห่าธรรม ช่างหัวมันซิ เราหาความดิบความดี ได้ความดิบความดีเป็นสมบัติของเรา กิเลสมันเอาอะไรมาให้เรา มีแต่คอยมากัดมาแทะ มาเตะ มาถีบ มายันให้ล้มเหลวไปเท่านั้นเอง เราไม่สนใจกับมัน

นี่เราบำเพ็ญอรรถธรรมมาตั้งแต่บวช จนกระทั่งป่านนี้ได้ ๗๐ พรรษานี้แล้ว ตั้งแต่การบำเพ็ญมาได้อุตส่าห์พยายามเต็มเม็ดเต็มหน่วย สร้างแต่ความดีตลอดมาจนกระทั่งบัดนี้ ไม่เคยปรากฏว่าได้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเอง เพราะความล่วงเกินศีลธรรมพระพุทธเจ้าไม่มี สร้างมาตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งบัดนี้ จนเป็นที่พอใจในการสร้างคุณงามความดีทั้งหลายนี้ เรียกว่าพอทุกอย่าง ไม่มีอะไรติดข้องภายในใจว่าบกพร่อง มีแต่ความสมบูรณ์พูนผลแล้ว เวลาพิจารณาดูโลก โลกกำลังขาดแคลนมากที่สุด เฉพาะอย่างยิ่งเมืองไทยของเราจะล่มจะจม เพราะกิเลสตัณหากินไม่พอ ๆ กัดตับกัดปอดกันไปจะเอาให้ชาติไทยจมทั้งชาติ

เราก็เสียดายปอดพี่น้องทั้งหลาย จึงได้มาต้านทานกันในเรื่องเหล่านี้ ได้ช่วยขวนขวายอุตส่าห์พยายาม ผู้ใดมีมากมีน้อยก็ขวนขวายกันมา ผลก็ปรากฏว่าได้ขึ้นมาเป็นลำดับลำดา ดังที่ได้เรียนพี่น้องทั้งหลายทราบเวลานี้ ทองคำเราก็ได้ตั้ง ๕,๐๐๐ กว่ากิโลแล้ว ดอลลาร์ เป็น ๗ ล้านกว่า เงินสดก็ได้มากต่อมาก นี่ก็คือผลแห่งความรักชาติ ความเสียสละด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคีของพี่น้องทั้งหลายนั้นแหละ รวมกันเข้าแล้วก็หนุนชาติไทยของเราขึ้นขณะนี้ เวลานี้หลวงตามีความต้องการอย่างเด็ด

เวลานี้ออกเป็นคำเด็ดขาดประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วกันแล้วว่า การช่วยชาติคราวนี้ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ส่วนดอลลาร์เราก็ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านแหละ ขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน จะเป็นสิริมงคลแก่ชาติของเราเป็นอย่างยิ่งจากคนทั้งประเทศที่ช่วยหนุนกัน เพื่อยกชาติของตนให้เป็นสิริมงคล โดยเอาทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันนี้ประกาศก้องให้ทราบทั่วโลกดินแดน ว่าเมืองไทยช่วยตัวเอง มีอะไรเป็นเครื่องหมาย เราก็บอกว่ามีทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันเป็นเครื่องหมาย ใครจะมาติฉินนินทาอะไรไม่ได้ เพราะเราทำเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ตามที่หัวหน้าประกาศเรียบร้อยแล้ว ไม่บกพร่อง เราเป็นที่พอใจทั่วหน้ากันในบรรดาคนไทยทั้งประเทศ

จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้อนุโมทนาสาธุการในผลที่เราได้มาแล้ว และให้ต่างท่านต่างอุตส่าห์พยายามขวนขวาย ช่วยกันเป็นลำดับลำดาจนเป็นที่พอกับความต้องการของเรา แล้วเราจะอยู่เป็นสุขเย็นใจทั่วหน้ากัน วันนี้พูดธรรมะเพียงเท่านี้ วันหลังก็ยังจะพูดอีก มันก็ตายได้คนเรา ที่พูดทั้งหลายเหล่านี้พูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายเป็นข้อคิด ในฐานะว่าหลวงตาสอนลูกสอนหลานก็ได้ อายุเวลานี้ ๙๐ ปีแล้วนะ มีครูบาอาจารย์องค์ไหน มีพระองค์ใดที่ไปเทศน์วอก ๆ ๆ อยู่ทั้ง ๆ  ที่อายุ ๙๐ ปี แต่หลวงตาบัวท่านทั้งหลายก็ได้ยินได้ฟังมานานหลายปีแล้ว เทศน์ไม่หยุดไม่ถอย เดี๋ยวนี้อายุ ๙๐ ปีแล้ว ยังอุตส่าห์พยายามดีดดิ้นอยู่ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่หวังอะไรเลย ไม่มีอะไร พอทุกสิ่งทุกอย่างแล้วก็ยังมาดีดมาดิ้นเพื่อพี่น้องทั้งหลายทั่วหน้ากัน ในแดนไทยของเรานี่แหละ เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ อุตส่าห์พยายามทุกท่านทุกคน เมืองไทยเราจะเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา เรื่องความเป็นสิริมงคลพี่น้องชาวไทยจะได้รับทั่วหน้ากัน

เอาละ การแสดงธรรมนี้ก็เห็นสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ แก่กาลเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ

 

อ่านและฟังธรรมเทศนาวันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.com or www.Luangta.or.th

 

 


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก