ผู้มีศาสดาคุ้มครองรักษา
วันที่ 10 มกราคม 2546 เวลา 8:30 น. ความยาว 24.22 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖

ผู้มีศาสดาคุ้มครองรักษา

 

         สรุปทองคำเมื่อวันที่ ๙ ทองคำได้ ๔ บาท ๕๓ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๙๔ ดอลล์ ทองคำที่เราได้หลังจากมอบแล้วได้ ๔๐ กิโล ๔ บาท ๑๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๖,๕๘๖ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๕๙๙ กิโลครึ่ง รวมดอลลาร์ที่ได้แล้วทั้งหมด ๗,๒๖๖,๕๘๖ ดอลล์ หาเพิ่มเข้าอีกนะ หาเพิ่มเรื่อย ๆ

ชาวพุทธไปอยู่ไหนก็ต้องเป็นพุทธไป เป็นอย่างนั้น ไปอยู่เมืองไหนจิตใจก็ติดแนบอยู่กับธรรม ถ้าไม่มีธรรมอยู่ไหนก็อยู่เถอะ ว่างั้นเลย ไม่มีความหมายทั้งนั้นนะ คำว่าธรรม ๆ นี้จะเกิดขึ้นได้ อย่างที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์ ๆ นี้ ท่านคุ้ยเขี่ยขุดค้นธรรม ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาได้แล้ว ออกมามาสอนโลกเรื่องธรรม เรื่องธรรมกับเรื่องกิเลสนี้ไปด้วยกัน พอสอนธรรมก็เป็นเรื่องให้รู้เรื่องของกิเลส เป็นการสอนให้รู้เรื่องของกิเลสไปในตัว ถ้าไม่มีธรรมแล้วหมด เพราะฉะนั้นจึงว่าอุบัติยากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ มันเป็นอยู่ในหัวใจมันรู้อยู่นี้จะให้ว่าไง ใครจะว่าอะไรมันไม่เคยสนใจ กับถังขยะ ว่างี้เลยนะ ธรรมชาตินั้นเลิศเลอขนาดไหน เกินกว่าที่จะมาสนใจกับถังขยะ คนนั้นว่านั้น คนนี้ว่านี้ ทางนั้นสูงทางนี้ต่ำ กลัวอันนั้นเกรงอันนี้ไม่มี ธรรมไม่มี นอกจากจะออกที่ว่ามีประโยชน์มากน้อยเพียงใดเท่านั้น ถ้าไม่มีก็ไม่ออก ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ

เราพูดจริง ๆ เราหมดความสงสัยในพระพุทธเจ้าทั้งหลายมากขนาดไหน หายสงสัยเลย โดยไม่ต้องไปถามใครละ ในตำราท่านก็มีเราก็ฟังธรรมดา ๆ พอมาเจอจัง ๆ ในหัวใจแล้วหมอบราบเลยเทียว พระพุทธเจ้ามีมากขนาดไหนของเล่นเมื่อไร ตรัสรู้มานี้เป็นกัปเป็นกัลป์นับต้นนับปลายไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แต่ละพระองค์ แม้จะเป็นระยะห่างก็ตรัสรู้ไม่หยุดมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว จะไม่มากได้ยังไง นี่ละองค์ศาสดาที่มารื้อขนสัตว์ ๆ มีแต่ท่านเหล่านี้แหละมา นอกนั้นไม่มี พอธรรมอุบัติขึ้นเมื่อไรแล้วก็พอจะลืมตาอ้าปากได้บ้าง สัตว์โลกนะ ผู้ที่มืดดำกำตามันก็ไปของมันอย่างนั้น ไม่มีความหมายอะไรแหละ เวลามันรู้มันรู้จริง ๆ นี่ มันจะไปสนใจกับใครมาเชื่อหรือไม่เชื่อ อย่างที่เราเห็นอยู่อย่างนี้ คนตาดีมองมาเห็นนี่ เราบอกว่านี่ว่างั้น ถ้าสมมุติว่ากระโถนก็กระโถน ใครเชื่อหรือไม่เชื่อ เขาว่าไม่มีหรืออะไร ๆ เท่าไรมันก็ไม่สนใจ มันเห็นอยู่นี่นะ นั่น ประจักษ์อยู่อย่างนี้

นั่นละศาสดาองค์เอกท่านตรัสรู้ธรรม ท่านรู้ธรรมท่านรู้อย่างนั้น ยิ่งประจักษ์ซาบซึ้งยิ่งกว่าตาเนื้อเรานี่นะ ตาเนื้อยังฝ้า ๆ ฟาง ๆ ถ้าห่างไกลบ้างก็มองไม่ชัดและไม่เห็น ถ้าเข้ามาใกล้ชิดติดพันนี้ ตานี้ถึงจะได้เห็นได้ แต่พระญาณหยั่งทราบไม่มีใกล้มีไกลฟังซิ ขอบเขตของพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้านี้ไม่มี ไม่มีคือว่าทะลุไปหมดเลย นี่ละอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์เป็นของง่ายเมื่อไร เวลาสำเร็จผลขึ้นมารื้อขนสัตว์โลกขึ้นเรื่อย ๆ รื้อลงไม่มี ดึงลงไม่มี ธรรมพระพุทธเจ้ามีแต่ดึงขึ้น กิเลสนี้ดึงขึ้นไม่มี มีแต่ดึงลงอย่างเดียว ๆ เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงเกลื่อนกันอยู่ในสามแดนโลกธาตุนี้ อยู่ด้วยอำนาจของกิเลสทั้งบังคับบัญชา ทั้งหลอกลวงต้มตุ๋นทุกอย่าง ล่อลวงอะไรมีอยู่ในนั้นหมด บังคับบัญชาก็มีหลอกลวงก็มี ทำให้หลงเพลินตามก็มี มีหลายแบบหลายฉบับของกิเลส

เพราะฉะนั้นสัตว์โลกถึงไม่อิ่มพอในการได้รับความทุกข์ ความลำบากลำบนนี้ไม่มีเข็ดหลาบ ไม่อิ่มพอในการที่จะหมุนตายเกิด ๆ อยู่ในโลกซึ่งเป็นการแบกหามกองทุกข์ไปพร้อม ๆ กัน ในภพน้อยภพใหญ่ตามแต่อำนาจแห่งกรรมหนักเบามากน้อย กรรมมีมากมีน้อยกรรมดีกรรมชั่วจะไปตามนั้นแหละ ไปตามอื่นไม่มี อะไรจะพาให้สัตว์โลกไปนี้ไม่มีอย่างอื่น มีแต่กรรมของตัวเอง กรรมของตัวเองพาไปนะ ไม่มีใครจะมาขับไล่ไสส่งให้ไปได้ ให้ดึงลงก็ไม่ได้ดึงขึ้นก็ไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วของเจ้าของเอง เป็นผู้ดึงเจ้าของลงดึงเจ้าของขึ้น จำคำนี้ให้ดีนะ

เราเป็นผู้รับผิดชอบเราด้วยกันทุกคน ๆ ให้จำคำนี้ให้ดี โลกธาตุนี้ไม่มีใครจะช่วยใครได้ กรรมดีแหละช่วยตัวเอง กรรมชั่วแหละเอาตัวเองลง มีเท่านั้นเอง สัตว์ทั้งหลายเกิดในโลกอันนี้ มันหมุนอยู่ในภายในจิตนั่น ทีนี้เวลาอันนี้มันหมดจากใจแล้วท่านบอกว่าใจที่บริสุทธิ์ ท่านจึงเรียกว่า ปุญญปาป ปหินบุคคล ผู้มีบุญและบาปทั้ง ๒ อย่างนี้เป็นสมมุติด้วยกัน เรียกว่าละได้หมดแล้ว ถ้าขึ้นบ้านก็ถึงบ้านแล้วไม่ต้องอาศัยบันได บันไดคือบุญคือกุศลหนุนขึ้น ๆ พอถึงที่แล้วบันไดก็เป็นบันได บุญก็เป็นบุญเป็นฝ่ายสมมุติอยู่ ชั่วก็เป็นชั่วเอื้อมไม่ถึง จิตที่ได้พ้นจากแดนสมมุติแล้วไม่มีอะไรเอื้อมถึงแหละ จึงเรียกว่าเป็นคนละฝั่ง เป็นอฐานะ เป็นไปอย่างอื่นอย่างใดไม่ได้แล้ว นั่น

คนที่มีจิตใจเกี่ยวข้องพัวพันกับธรรมกับพุทธศาสนาไปอยู่ที่ไหนก็อย่างที่ว่า อยู่ทางสหรัฐมีกี่ประเทศ ประเทศลาว ประเทศเขมร ประเทศเวียดนามไปอยู่ทางโน้น ผู้มีจิตใจผูกพันกับธรรมไปอยู่ประเทศไหนก็ผูกพันอยู่อย่างนี้จะว่ายังไง กรรมดีก็ติดตัวไปเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ ผู้มีกรรมชั่วอยู่ที่ไหนมันก็กรรมชั่วติดตัวเรื่อยเพราะเจ้าของสร้างขึ้นมา แล้วก็มาเป็นเครื่องติดตัวเอง ๆ นั้นแหละ ไม่ไปติดใครละนะ

ให้พากันตั้งอกตั้งใจตั้งแต่บัดนี้นะ หลวงตานี้บอกชัดเจนให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เกิดมาเราไม่เคยคิดว่าจะรู้จะเห็นว่าจะได้พูดคำนี้ออกมา ก็มันจ้าอยู่ในหัวใจจะไม่ให้พูดได้ยังไง ไม่สนใจกับใครว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อนะ พูดให้มันเต็มยศก็ประสาถังขยะว่าอย่างนั้นเลย ธรรมเลิศเลอขนาดไหนเกินกว่าที่จะมาสนใจกับถังขยะ ที่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ ใครไม่เชื่อก็ให้มันไปซิเรื่องของเขา ใครเชื่อก็ไปซิ ขึ้นเรื่องของผู้นั้น ก็มีเท่านั้น ท่านพ้นหมดแล้วมีแต่ดึงเท่านั้นแหละ ใครจะขึ้นก็ขึ้น ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น เมื่อมันรู้อย่างนั้นแล้วมันก็เป็นอย่างที่ว่านี่ อย่างที่ช่วยโลกเวลานี้เราต้องการอะไร เราไม่เอาอะไรก็บอกแล้วนี่นะ ทุกสิ่งทุกอย่างเราไม่เอา บาทหนึ่งเราไม่เคยแตะ ฟังซิพี่น้องทั้งหลาย

อะไรจะละเอียดลออยิ่งกว่าธรรม ขัดธรรมนิดหนึ่งไม่ได้ การไปหยิบเอาเงินพี่น้องทั้งหลายที่มาบริจาคเพื่อจุดส่วนรวมนี้ เอามาเป็นของตัวด้วยความมัวหมองหรือด้วยเจตนาที่ไม่เป็นบุญกุศล นี่เรียกว่าขัดธรรม จะทำได้ยังไง นั่น พูดอย่างนั้นซิ ใครเห็นไม่เห็นเจ้าของก็รู้อยู่นี่ว่าผิดว่าถูก นั่น มันรับกันไปในตัว ๆ เราถึงกล้าพูดได้เลยบอกว่าเราไม่มี สำหรับที่ช่วยพี่น้องทั้งหลายคราวนี้เราไม่มีอะไรติดในใจเราว่าเป็นมลทิน ได้ทุจริตต่อพี่น้องทั้งหลายแม้เม็ดหินเม็ดทรายเราบอกเราไม่มี ถึงขนาดนั้นละ เรื่องพิถีพิถันไม่เกินสมบัติที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมานะ พิถีพิถันมากทีเดียวเพื่อส่วนรวม ๆ ด้วยเจตนาของเราเต็มไปด้วยเมตตาอยู่แล้ว มันจะไปไหน มันก็ลงจุดเดียว ๆ กันซิ

นี่ละจึงได้พูดมันเป็นเครื่องรับกัน อย่างที่ใครมาโจมตีเราว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่ได้สนใจนะ ความบริสุทธิ์อยู่กับเราทุกอย่าง ความมัวหมองมืดตื้อ ความเป็นฟืนเป็นไฟ สร้างบาปสร้างกรรมมันเป็นอยู่กับผู้ที่สร้างขึ้นต่างหาก เราสร้างดีก็เป็นดีไปเรื่อย ๆ ดีก็ปล่อยให้สมมุติอีกด้วยนะ เราไม่เอา นั่น ฟังซิ บุญก็ไม่เอาบาปก็ไม่เอา พอ เอาหาอะไร ให้มันเต็มอยู่ในหัวใจมันก็รู้เอง บุญก็คือหนุนขึ้นให้ถึงที่ บาปลากลงก็มีเท่านั้นละ อยู่ในแดนสมมุตินะบุญก็ดีบาปก็ดี พอพ้นจากนี้แล้ว ท่านเรียกว่า ปุญญปาป ปหินบุคคล บุญและบาปละหมดได้แล้ว ถึงบันไดคือเลยบันไดขึ้นบ้านแล้ว แล้วจะมากอดบันไดอยู่หาอะไร ขึ้นถึงบ้านแล้วก็เข้าบ้าน ใครจะมากอดบันไดอยู่ ปุญญปาป ปหินบุคคล ก็เป็นบันได อันหนึ่งลากลงอันหนึ่งลากขึ้น มันประจักษ์อยู่อย่างนั้นจะให้ว่ายังไง

การช่วยโลกเราช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายทราบทั่วหน้ากันนะ หากชาติไทยของเราจะมีวาสนาบารมีอยู่พอสมควร คงเส้นคงวาหนาแน่นไปด้วยความพร้อมเพรียงสามัคคี ความเชื่อบุญเชื่อกรรมแล้ว ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจปฏิบัติตามธรรมที่ชี้บอก ดำเนินอยู่เวลานี้ เราเอาธรรมมาดำเนินเพื่อพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้พาพี่น้องทั้งหลายล่มจมนะ เราดีดเราดิ้นนี้ ดิ้นเพื่อพี่น้องทั้งหลายทั้งนั้นละ เราไม่เอาอะไรเราบอกตรง ๆ เราพอทุกอย่างแล้วไม่มีอะไร ธาตุขันธ์นี้ก็เป็นเครื่องไม้เครื่องมือใช้ไปอย่างนั้นแหละ ตะเกียกตะกายไป ใช้ได้แค่ไหนก็เอา มันใช้ไม่ได้หรือก็ทิ้งปั๊วะเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไร นี้มีเท่านั้นนะเราที่เกี่ยวกับโลกเวลานี้

เราพูดจริง ๆ เรื่องสงสารนี้ซึ้งหาประมาณไม่ได้ เรื่องความสงสารนี่มันซึ้งเลย ความตะเกียกตะกายก็บืนไปตามความสงสาร มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่ให้ทั่วถึงกันไม่ว่าส่วนหยาบ ส่วนกลาง ส่วนละเอียด ธรรมจะติดแนบ ๆ ๆ ตลอดเวลา กิเลสมาแทรกไม่ได้

จึงพากันตั้งอกตั้งใจนะ เสียงอรรถเสียงธรรมจะได้ยินง่าย ๆ เหรอ เสียงดุเสียงด่าเสียงสาปเสียงแช่งกันมันทั่วโลกดินแดน อันนี้เป็นอาหารของกิเลสเอร็ดอร่อยที่สุดเลย สำหรับคนมีกิเลสแล้วชอบดุชอบด่า ชอบตำหนิติเตียนคนอื่น แต่ไม่เคยมาตำหนิแก้ไขตัวเองว่าบกพร่องที่ตรงไหน จะควรแก้ไขยังไงไม่เคยมาสนใจ กิเลสไล่ออกไปข้างนอก ให้ไปดูถูกเหยียดหยามคนอื่นไปอย่างนั้นนะ ไม่ได้มาตำหนิติเตียนเจ้าของอะไรแม้แต่นิดหนึ่งไม่เอา เพราะฉะนั้นมันถึงไม่เห็นความบกพร่องของตัวเองซิ เกิดในชาติใดภพใดก็จมไปๆ เพราะกิเลสไม่พาให้มาเห็นโทษ แต่ธรรมนั้นเห็น ย้อนปั๊บเข้ามาเห็นทันที ๆ เลยธรรม แล้วแก้ไข ๆ ไม่อย่างงั้นมันจะจมนะคนเรา

นี้ได้พยายามสุดขีดแล้ว ที่ว่าทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ก็เพื่อพี่น้องชาวไทยทั้งชาติ หลวงตาไม่เอาอะไรสักชิ้น เพื่อพี่น้องทั้งหลาย ชื่อเสียงอะไร ๆ ความแน่นหนามั่นคง ความอบอุ่นมอบไว้กับพี่น้องทั้งหลายด้วยการอุตส่าห์พยายามของเรา โดยความเป็นผู้นำ เราไม่เอาอะไร มีแต่มุ่งต่อหน้าตาต่อพี่น้องชาติไทยของเราทั้งนั้นแหละ อุตส่าห์พยายาม ใครจะว่าอะไร ๆ เราไม่สนใจ เราพูดจริง ๆ อยู่ในท่ามกลางแห่งขวากแห่งหนามแต่ไม่มีอะไรจะมาปักหัวใจเราได้นะ ขวากหนามมันก็ปักหัวใจมันนั่นแหละ ผู้ใดสร้างขวากสร้างหนามสร้างฟืนสร้างไฟก็ไปเผาหัวใจของผู้นั้นแหละ เผาผู้ไม่ทำเผาได้ยังไง

นี่เราไม่ทำความชั่ว เราทำแต่ความดี ใครจะมาตำหนิเราว่าชั่วขนาดไหน มันก็ออกจากปากคนนั้น ออกจากหัวใจคนนั้น มันก็เผาหัวใจคนนั้นนั่นแหละ จะไปเผาอะไรเราก็เราไม่ได้ทำ ไม่อย่างงั้นจะว่าบุญว่ากรรมหรือ กรรมดีกรรมชั่วแน่ะ ใครทำก็เป็นของคนนั้น กมฺมสฺสโกมฺหิ แน่ะ ก็รู้แล้วกรรมเป็นของตัว ๆ ทั้งนั้น ไม่ได้เป็นของใครนี่นะ อุตส่าห์พยายามเต็มกำลังความสามารถแล้วนี่ นี่ก็ประกาศเอาไว้แล้วว่า ยังไงชาติไทยของเราขอให้ได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตัน ไม่เหลือบ่ากว่าแรงนะ คนไทยทั้งชาติเป็นยังไงถึงจิตใจจืดจางเอานักหนา ให้ถามตัวเองทุกคน ๆ เราเกิดมาในท่ามกลางแห่งชาติไทยของเรา มีปู่ย่าตายายบรรพบุรุษพาลากพาเข็นมาด้วยความสงบงามตามาตลอด มาถึงชาติไทยเรานี้มันจะเอาสมบัติที่ปู่ย่าตายายบรรพบุรุษ  ที่มอบให้เป็นต้นทุน  ให้เป็นสิริมงคลไปเผาหมดแล้วเหรอ ให้ถามตัวเองอย่างนั้น

เวลานี้ก็ถูกเผามาแล้วนี่ จนจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวในเมืองไทยเรา จึงได้พากันฟื้นขึ้นมา แล้วจะจืดจางอยู่เหรอการฟื้นชาติไทยของตัวเอง ถืออะไรดีกว่าชาตินี่อันหนึ่งนะ ถืออะไรดีกว่าความดี ความชั่วเป็นของดีเมื่อไร เห็นแก่บุคคลเห็นแก่พวกเห็นแก่พ้อง ยิ่งกว่าเห็นแก่ส่วนรวมอันเป็นประโยชน์มหาศาลนี้มันดูได้ไหมคนเรา พิจารณาซิ นี้เราหายสงสัยทุกอย่างแล้วในเรื่องของเรา ก็มีแต่เป็นความกังวลกับบรรดาพี่น้องทั้งหลาย นี้เคยพูดให้ฟังมากี่ครั้งกี่หนพูดเพื่ออะไร แนะนำสั่งสอนตักเตือนก็ต้องตักเตือนอย่างนี้ เพื่อให้เป็นคติเครื่องเตือนใจ สำหรับเราเองเราไม่มีอะไร เตือนไม่เตือนมันก็ไม่มีอะไร หมด ที่จะตำหนิติเตียนอะไร ๆ ธาตุขันธ์ยังมีอยู่ก็ดำเนินไปตามธาตุขันธ์ ถ้าไม่มีธาตุขันธ์แล้วก็ไม่มีขอบเขต นอกสมมุติไปแล้วไม่มี แต่นี่ธาตุขันธ์มีอยู่ในสมมุติ กิริยาอาการคำพูดคำจา การกระทำทุกอย่างก็ต้องเป็นเหมือนสมมุติ มีกฎมีระเบียบมีธรรมมีวินัย เป็นเครื่องบังคับให้ปฏิบัติสวยงามตามสมมุติที่อยู่ร่วมกัน แน่ะ มันก็มีอย่างนั้น

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ การปฏิบัติหลักธรรมหลักวินัยกิริยามารยาททุกอย่าง จึงเป็นเหมือนกันหมดกับผู้ที่ยังไม่สิ้นกิเลส ผู้สิ้นกิเลสก็ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยเหมือนกัน ผู้ไม่สิ้นกิเลสก็ปฏิบัติตามนั้น ท่านไม่ได้ว่าท่านสิ้นกิเลสแล้วท่านไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ ท่านไม่ทำ เพราะธาตุขันธ์ของท่านยังมีอยู่ ความจำเป็นมีอยู่ สมมุติมีอยู่ก็ต้องปฏิบัติให้งามตากับสมมุติ นี่ละที่ท่านทำเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป เหมือนพระสงฆ์ ถ้าพูดถึงว่าพระสงฆ์เหมือนพระสงฆ์ทั่ว ๆ ไป ก็คือพระอรหันต์กับพระพุทธเจ้า แม้พระพุทธเจ้าทรงเป็นศาสดาเหนือทุกอย่างแล้ว พระองค์ก็ยังต้องปฏิบัติตามนั้นจะว่ายังไง แล้วบัญญัติอะไรไว้ก็นี้คือศาสดาของเธอทั้งหลาย พระสงฆ์กราบพระพุทธเจ้าคือธรรมวินัยนั้นตลอดมาอย่างนี้แหละ สิ้นกิเลสแล้วก็กราบอยู่อย่างนั้นไม่ฝ่าฝืน ว่าเราสิ้นกิเลสแล้วเราไม่จำเป็นต้องปฏิบัติธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านั้นคือเทวทัต ยิ่งเห็นคุณค่ามหาศาลมากเท่าไรยิ่งกราบพระพุทธเจ้าสนิท มันถึงถูกเข้าใจไหม ใครมาสอนเราไว้อย่างนี้เราถึงรู้ นั่น

นี่ละเรื่องระหว่างพระปุถุชนกับพระผู้สิ้นกิเลส การปฏิบัติกิริยามารยาททุกสิ่งทุกอย่าง ตามหลักธรรมหลักวินัยจึงปฏิบัติเหมือนกันเลย ผิดจากนั้นไม่ได้ หากขัดอยู่ในจิตของท่านเอง ใครจะละเอียดยิ่งกว่าพระอรหันต์ ท่านก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน ถ้าธรรมดาท่านมีอะไรในโลกอันนี้ กินไปนอนไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นไม่เห็นมีอะไร ท่านจะหวังเอาอะไร ก็มีแต่เยียวยาธาตุขันธ์ไปวันหนึ่ง ๆ ท่านจะหวังเอาอะไรวิเศษหรือพิเศษยิ่งกว่านี้ท่านไม่มี อยู่กับธาตุกับขันธ์ก็ปฏิบัติตามสมมุติที่ธาตุขันธ์ยอมรับว่าเป็นสมมุติ ก็มีเท่านั้นแหละ

วันนี้ได้พูดถึงเรื่องการปฏิบัติในแดนสมมุติต้องเป็นเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น พระอริยบุคคล คือพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ นี่นะ กับพระปุถุชน การปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยกิริยามารยาทต้องใช้แบบเดียวกันหมด ทั้ง ๆ ที่ท่านพ้นไปแล้ว เรื่องเหล่านี้มันอยู่กับสมมุติ ท่านจะมาหาบบาปหาบกรรมอะไร ท่านไม่ได้มาหาบ ท่านปฏิบัติยังไงก็ท่านเห็นความเหมาะสมในธรรมเหล่านี้แล้วนี่ โลกสมมุติมีกันยังไงปฏิบัติยังไง ธรรมละเอียดลออกว่านั้น ยิ่งควรจะเป็นตัวอย่างอีก นั่น เข้าใจเหรอ ยิ่งปฏิบัติดีขึ้นกว่านั้นเข้าไปอีก นั่น จะมาเลว ๆ ทราม ๆ ได้เหรอธรรมพระพุทธเจ้า

นี่ก็สุดยอดแล้วนะ ธรรมพระพุทธเจ้าฉุดลากเต็มที่แล้ว ให้ตั้งใจกันทุกคน ๆ นะ เอ้า ฉุดขึ้นให้ได้นะชาติไทยของเรา ต่างคนต่างมีมากมีน้อยพยายามขวนขวาย เราอย่าเห็นแก่คนนั้นคนนี้อยู่ คอยดูถูกเหยียดหยามคนนั้น คอยยกตัวอยู่ตลอดเวลา คนที่ชอบดูถูกเหยียดหยามคนอื่นคือชอบยอตัวนั้นแหละ คนไม่ชอบยอตัว ชอบแต่ธรรม ธรรมไม่ชอบยอตัว ท่านอยู่เสมอไปเลย ให้จำเอานะ วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ ได้เวลาพอสมควรแล้วก็จะออกเดินทาง

พวกที่อยู่ในวัดในวาข้างในข้างนอก ให้ต่างคนต่างปฏิบัติตัวเอง ให้สมกับศาสดาอยู่ที่หัวใจเราทุกคนนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้นิพพาน อันนั้นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์พระสรีระ เรื่องธรรมเป็นธรรมล้วน ๆ เป็นศาสดาล้วน ๆ ในหลักธรรมชาติ ธรรมธาตุนั้นแหละ ทีนี้ว่า ธรรมวินัยนั้นแลเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย แทนเราตถาคตเมื่อเราตายไปแล้ว เรามีธรรมมีวินัยมี หิริโอตตัปปะ มีความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม กิริยามารยาททุกสิ่งทุกอย่างเคารพธรรมตลอดเวลา ผู้นั้นแลคือผู้มีศาสดาคุ้มครองรักษา ไปทางไหนเรียกว่าตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา

ผู้ไม่มีธรรมมีวินัย ไม่มีหิริโอตตัปปะ เป็นความหน้าด้านหน้าดื้อ แล้วคนนี้คือเทวทัต พระพุทธเจ้าร้อยพระองค์ก็ไม่มีความหมายสำหรับคนหมดความหมายแล้ว เราเป็นผู้มีความหมายอยู่ ให้เคารพธรรมวินัยของพระพุทธเจ้านะ อย่าไปถือว่าครูบาอาจารย์อยู่เป็นอย่างหนึ่ง ครูบาอาจารย์ไปเป็นอีกอย่างหนึ่ง ผิดทั้งนั้นแหละ กิเลสอยู่กับเรา ครูบาอาจารย์อยู่กิเลสก็อยู่กับเรา ครูบาอาจารย์อยู่หรือจากไปธรรมก็อยู่กับเราเหมือนกัน เราจะต้องได้ชำระสิ่งชั่วช้าลามกตลอดเวลา ทั้งที่ครูบาอาจารย์อยู่ไม่อยู่ นี่เป็นเรื่องของเรา บกพร่องตรงไหนบกพร่องเรา ครูบาอาจารย์อยู่ก็ตามไม่อยู่ก็ตาม บกพร่องตัวของเรา ถ้าเราทำตัวของเราดีแล้วอยู่ไม่อยู่ก็อยู่กับเราอยู่แล้ว คือความดีจำเอานะ เอาละทีนี้ให้พร

 

อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่

www.Luangta.or.th or www.Luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก