เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
บุคคลประเภทเนื้อร้าย
ก่อนจังหัน
อาหารที่จัดเข้าไปในครัว ผู้จัดในครัวให้เป็นธรรมนะ จัดไปในครัวให้สม่ำเสมอ ทุกอย่างต้องเสมอ เป็นธรรม เห็นแก่ตัวไม่ได้นะไม่ใช่ธรรม นั่นยักษ์ผี เข้าใจหรือ ทุกอย่างถ้าลงเป็นธรรมตรงไหนแล้วเสมอ อบอุ่นไปหมด ตายใจกันหมด ธรรมเท่านั้นที่โลกจะมอบความไว้วางใจให้ นอกนั้นไม่มี จัดอะไร ๆ ไปดูให้สม่ำเสมอ อย่าเห็นแก่เขาแก่เรา เห็นแก่พุงตัวเอง ไม่ว่าทางวัด ไม่ว่าทางพระ ไม่ว่าทางโน้นนะ เป็นธรรมด้วยกันอยู่ด้วยกันได้ ต้องให้สม่ำเสมอ นี้เราดูแลทุกอย่าง ๆ ด้วยความเป็นธรรม จะไม่ให้แยกแยะออกจากธรรมเลยนะจัดอะไร ๆ ก็ดี เหมือนกับว่าเข็มทิศนี่จ่ออยู่ตลอด อย่าเอาเข็มความโลภมากลืนธรรมไม่ได้นะ
อยู่ที่ไหนอยู่เถอะทั้งแผ่นดินนี้ ถ้าลงมีธรรมครอบแล้วเย็นไปหมด โลกนี้จะไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่รบราฆ่าฟันกัน ถ้ามีธรรมเสียอย่างเดียวเท่านั้น อันนี้มันมีแต่กิเลสนั่นซีเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวง ไปที่ไหนกดขี่บังคับ ไปด้วยอำนาจป่า ๆ เถื่อน ๆ ของกิเลสทั้งนั้น โลกถึงได้ร้อน ถ้ามีธรรมแล้วไม่ร้อนโลก เย็นไปตามสัดตามส่วนของผู้มีธรรมมากน้อยนั่นแหละ ให้พากันจำเอานะ
เวลานี้ธรรมถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายแหลกหมดไม่ว่าที่ไหน ๆ ว่าเจริญ ๆ มีแต่เจริญกองมูตรกองคูถกองส้วมกองถานนะ กองอรรถกองธรรมไม่มี โลกถึงได้ร้อน เวลานี้ธรรมะซึ่งเทียบกับทองคำทั้งแท่งกำลังถูกเหยียบย่ำทำลาย ดีไม่ดีดูถูกเหยียดหยามอีกเสียด้วยนะ ใครปฏิบัติคุณงามความดีถูกเยาะเย้ย พูดถากพูดถาง นี่เห็นไหมกิเลสมันหน้าด้านขนาดนั้น แล้วยิ่งหน้าด้านลงไปทุกวัน ๆ กิเลส ให้ดูหัวใจทุกคน ๆ อย่าไปดูคนนั้น อย่าไปดูคนนี้ ให้ดูหัวใจของทุกคน มันบรรจุอันนี้ไว้หมดแหละกิเลสตัวหยาบ ๆ นี่ มันอยู่ในหัวใจเรา เราบำเพ็ญธรรมเพื่อชำระสิ่งเหล่านี้ออก ไม่ใช่จะมาสั่งสมสิ่งเหล่านี้นะ ให้พากันพิจารณา
ถ้าเป็นธรรมแล้วอยู่ไหนสบาย เช่นอย่างวัดนี้ เอา มาจากไหนทั่วประเทศไทย นอกโลก ทั่วโลกก็ได้ มาอยู่ด้วยกันเหมือนอวัยวะเดียวกันเลย นี่เรียกว่าธรรม อยู่ได้ด้วยกันหมดนะ ไม่มีคำว่าชาติชั้นวรรณะ ประเทศนั้นประเทศนี้ คนเขาคนเรา ไม่มี อวัยวะเชื่อมโยงถึงกันหมด ได้แก่ความเป็นธรรม พิจารณาให้ดีนะ
พระเณรมามากเข้าทุกวัน ๆ มาให้ดูนะ อย่ามาเซ่อ ๆ ซ่า ๆ มาแบบแบกส้วมแบกถานมา มานี่ก็มาแบกส้วมแบกถาน นอนเฝ้าส้วมเฝ้าถาน ออกไปนี้ก็แบกส้วมแบกถานไปแจกนะ แล้วดีไม่ดีจะว่า นี่ไปอยู่กับหลวงตาบัวมาแล้วนะ จะเอาไปอวดก้ามนะนั่นน่ะ ไปอยู่กับหลวงตาบัวมาแล้ว ไปอวดก้าม หลวงตาบัวไม่ได้อวดก้ามนะ ไม่มี เราบอกเราไม่มีสิ่งเหล่านี้ การปกครองหมู่เพื่อนตลอดเกี่ยวข้องกับโลก ทำประโยชน์ให้โลก เราจะมีแต่ธรรมล้วน ๆ จะไม่ให้มีกิเลสเข้ามาแทรกเลย ให้จำเอา ธรรมไปที่ไหนเย็นที่นั่น ๆ
พระเณรที่เข้ามาข้อวัตรปฏิบัติให้ถือเป็นของสำคัญในตัว เราบกพร่องข้อวัตรปฏิบัติ ใครทำแล้วก็ตาม เราไม่ได้ทำนั่นคือเราบกพร่อง เราเสียหาย ไม่สมกับเหตุผลที่ว่าเรามาศึกษาอบรมกับครูกับอาจารย์ ตรงไหนที่ไม่ดีงามยังไงให้รีบเร่งขวนขวาย เฉพาะการปัดกวาดเช็ดถูที่ไหน ๆ ให้ดูให้เรียบร้อยทุกอย่าง สม่ำเสมอ มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน อย่าเห็นแก่เขาแก่เรา ท่านทำแล้วเราไม่ทำก็ได้ นี่ละตัวกิเลสมันมักเอารัดเอาเปรียบเสมอ แล้วก็เหยียบตัวเองนั้นแหละ เรื่องกิเลสแล้วเป็นอย่างนั้น ใครมาก็ให้ตั้งใจศึกษาอบรมทุกคน ๆ
ผมแก่แล้วนะ อุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอนทุกอย่าง ให้ยึดเอา ๆ นะ พระพุทธเจ้าท่านสอนพระอานนท์ ตอนแรกพระอานนท์ไปทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงพระชนม์อยู่เป็นเวลายืนนาน ไม่อยากจะให้นิพพานง่าย ๆ ว่างั้นเถอะ พระองค์ภาษาโลกเราก็ว่าขู่เอาละซี อานนท์ จะมาหวังอะไรกับเราอีก นั่นฟังซิน่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างเราสอนไว้หมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถ้าพูดภาษาของเราก็ว่า เหลือแต่โครงกระดูกเราเท่านั้นเอง อรรถธรรมได้สอนโลกทั่วไปหมดแล้ว นั่นเห็นไหม จากนั้นก็อนุโลมลงว่า พระธรรมและพระวินัยนั้นแลจะเป็นศาสดาของเธอทั้งหลายแทนเราตถาคต นั่นฟังซิ
พระธรรมพระวินัยนั่นคือองค์ศาสดา ใครไม่มีหิริโอตตัปปะ ใครไม่มีสำรวมระวังต่ออรรถต่อธรรมต่อวินัย นั้นคือผู้เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปตลอดเวลา ผู้ใดมีหิริโอตตัปปะ สำรวมระวัง มีสติมีปัญญาพินิจพิจารณาโดยอรรถโดยธรรมไปตลอด เท่ากับตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา นั่นละท่านทั้งหลายหาพระพุทธเจ้าหาที่ไหน หากับธรรมกับวินัยนะ ถ้าเหยียบย่ำทำลายธรรมวินัยแล้ว หมดศาสดา หมดศาสนา ไม่มีความหมายอะไรเลย ศาสนาไม่มี ศาสดาไม่มี เพราะองค์ศาสดาก็บอกว่าคือธรรมวินัย ฟังซิ ถ้าได้ปฏิบัติตามหลักของธรรมวินัยแล้วพ้นทุกข์โดยลำดับ เรียกว่าเป็นศาสดาแทนพระองค์ ฟังซิน่ะ
เอา ให้ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย อย่าปลีกอย่าแวะ จะพุ่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางเลยนะ ถ้าเหยียบย่ำทำลายพระพุทธเจ้า เห็นแก่ความขี้เกียจขี้คร้านมักง่ายอ่อนแอ นี้คือเทวทัตมันเหยียบหัวพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจเรานั่นแหละ จำให้ดีนะ ไปที่ไหนให้มีศาสดา ยืนเดินนั่งนอนให้มีศาสดา คือสติธรรม ปัญญาธรรม วิริยธรรม หิริโอตตัปปธรรม ติดตัวอยู่เสมอ นี่ชื่อว่าเป็นผู้มีศาสดาตามอารักขา เพราะเรารักษาเราโดยทางธรรมทางวินัย ถ้าไม่มีอันนี้แล้วจะไปไหนก็ไปเถอะ แหลกหมดแหละศาสนา
ยิ่งเวลานี้เห็นไหมล่ะ พระยิ่งบวชมากขึ้น ๆ พระเรานี่แหละเป็นผู้ทำลายศาสนาเวลานี้ ดูเอาด้วยหูด้วยตามีทุกคน ไม่ตำหนิใครนะ พูดบอกทุกคน เพราะพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเราทุกคนที่จะต้องสำรวมระวัง ใครผิดพลาดประการใดให้ดูตัวเอง พระบวชมาในศาสนา ก็คือมาละเว้นในสิ่งชั่วช้าลามกทั้งหลาย ให้ตั้งใจปฏิบัติตัวเอง ข้ามเกินนี้แล้วเหยียบย่ำทำลายศาสนาโดยตรง ๆ นะ เวลานี้มีแต่พระหน้าด้านเณรหน้าด้านเต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณรเรา ดูทุกคนดูหัวใจเรานั่นซิ อย่าไปดูคนนั้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี เจ้าของเป็นยังไงให้ดูเจ้าของ ธรรมต้องสม่ำเสมอ จำให้ดีนะ
ใครมาอยู่ที่นี่ก็ให้ตั้งใจศึกษาอบรม วัดนี้ผมสงวนมากในเรื่องจิตตภาวนา ใครมายุ่งไม่ได้เป็นอันขาด เห็นไหมผมทำงานเพื่อโลกเพื่อสงสาร ผมไปรบกวนท่านทั้งหลายเมื่อใด รักสงวนที่สุดเลยคือองค์ภาวนา นี้แก่นของธรรมอยู่องค์ภาวนานะ จึงต้องรักสงวนตลอดเวลา ดูซินี่ใครเข้าไปได้เมื่อไร รักสงวนไว้หรับพระท่านบำเพ็ญธรรมของท่านเต็มเม็ดเต็มหน่วย เวลาจำเป็นที่จะเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากกันและกันเป็นกาลเป็นเวลา ผมก็ขอ นอกจากนั้นแล้วจะไม่ไปยุ่ง ให้ทำหน้าที่ของพระสมบูรณ์พูนผล หน้าที่ของพระคือความพากเพียร สติปัญญามีอยู่ทุกอิริยาบถเว้นแต่หลับเท่านั้น นี้คือความเพียรเป็นพื้นฐาน จากนั้นก็เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา
ให้ดูจิตใจเจ้าของ อย่าไปดูที่อื่นนะ ดูคนนั้นไม่ดีคนนี้ไม่ดี คือตัวเจ้าของตัวมันคะนองไปหาดูที่นั่นที่นี่ เจ้าของตัวคะนองมันไม่ดูเจ้าของ ไม่ดูตัวนี้นะ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ ผมก็ไม่ค่อยมีเวลาที่จะอบรมสั่งสอนพระเณร ก็ต้องถือเอาเวลาเช่นนี้แหละอบรมสั่งสอน เอาเวลาอื่นไม่ค่อยได้นะ ยุ่งตลอดเวลา เพื่อประโยชน์แก่โลกสงสารนั้นแหละ ทีนี้ให้พร
หลังจังหัน
สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๖ ทองคำได้ ๓ บาท ๘๔ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๒๐ ดอลล์ ทองคำที่มอบเข้าคลังหลวงแล้ว ๕,๕๕๙ กิโลครึ่ง ดอลลาร์มอบเข้าแล้ว ๗ ล้าน ๒ แสนดอลล์ ทองคำที่ได้หลังจากมอบแล้วได้ ๓๙ กิโล ๖๓ บาท ๓๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๖,๐๗๒ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๕๙๙ กิโล ดอลลาร์ที่ได้แล้ว ๗,๒๖๖,๐๗๒ ดอลล์
วันที่ ๑๐ นี้ก็จะได้ลงไปจันท์ แล้วก็ไปเมืองชล มาราชบุรี แล้วเข้าสวนแสงธรรม ไปลพบุรี นครนายก แล้วก็ศาลายา นครปฐม เป็นวาระสุดท้ายถึงจะได้กลับมา ดูจะเป็น ๑๒-๑๓ วันนะไปคราวนี้ พระทางนี้ก็จะไปจันท์หลายองค์อยู่นะ พระกรรมฐานท่านจะไปปรึกษาหารือกันอะไร ๆ เราก็ไม่รู้ ส่วนมากก็ลงในทองคำ ดูจะเป็นระยะเดียวกันกับที่เราไปจันท์นั่นแหละ นี่ตาหมูมาเห็นอยู่ตะกี้นี้ฉันจังหัน นี่ก็เป็นคนจันท์ มาอยู่นี่หลายปีแล้วไปอยู่ที่นาแห้ว ท่านก็ทนทาน อดทนดี เหมาะสมกับสถานที่นั่น สงัดดีมากเราไปดูแล้ว ท่านก็อยู่มาได้หลายปีแล้ว วันนี้ท่านก็จะลงไปโน้นแหละ ไปจันท์ ดูจะไปหลายองค์อยู่
ทางจันทบุรีก็ท่านฟักนะสำคัญ เป็นหลักใหญ่มากทีเดียว ทั้งพระทั้งประชาชนทางนั้น ท่านฟักเป็นกำลังสำคัญทั้งหัวคิดอ่านไตร่ตรองต่าง ๆ ทั้งอย่างอื่น ๆ วิ่งเต้นขวนขวาย ท่านฟักเป็นหลักใหญ่ทางโน้น ต่อจากนั้นก็เรียง ๆ เคียงข้างกันไป แต่ท่านฟักเป็นหัวหน้าใหญ่ เทศน์คราวที่แล้ว ๒ ครั้งได้คราวนั้นตั้ง ๕๐ กว่ากิโลฯ มันกว่ากี่กิโลไม่รู้นะ ไม่ใช่น้อย ๆ นะ ที่จันท์ได้ทองตั้ง ๕๐ กว่า มันกว่าเท่าไร ครั้งที่ ๑ ครั้งที่ ๒ ดูเหมือน ๔๕ กิโล ของหาง่ายเมื่อไหร่ ท่านยังอุตส่าห์ขวนขวายหามาได้ ท่านฟักเป็นกำลังสำคัญ ติดต่อสื่อสารกับประชาชน ศรัทธาทั้งหลายแถวนั้นรวมหัวกันมาได้ถึง ๕๐ กว่า มัน ๕๓ หรือเท่าไรเราลืมเสีย ๕๐ กว่าแน่แล้ว ทองคำน้ำหนัก ๕๐ กว่ากิโล ครั้งที่ ๒ นี้ก็ดูเหมือน ๔๕ กิโล ของเล่นเมื่อไร
นี่ท่านจะไปปรึกษากันอะไรก็ไม่รู้ เห็นพระทางนี้ก็จะไป ตาหมูก็ไป มาแล้วจากนาแห้ว ไปจันท์ ก็เห็นใจท่านพระก็ดี ท่านก็อุตส่าห์ออกมาช่วยชาติบ้านเมือง ที่มีความทุกข์จนข้นแค้น จึงได้ว่าละซิ ก็พอดีแล้วถูกต้องแล้ว เมตตาถ้าไม่ช่วยในเวลาจำเป็นอย่างนี้ จะช่วยเวลาไหน หรือตายแล้วค่อยไป กุสลา ธมฺมา กล้วยหอมเขามากินนาอย่างนั้นเหรอ นั้น มันเมตตาอะไรนั่น เราว่า ก็ต้องช่วยเวลาตะเกียกตะกายอยู่อย่างนี้ซิ ประเทศไทยเราทั่วประเทศนี้ พระองค์ไหนที่มาบวชไม่มีพ่อมีแม่มีเหรอ พ่อแม่ของพระเต็มทั่วประเทศไทย อยู่ทุกแห่งทุกหนเห็นพ่อเห็นแม่จะล่มจะจม ตลอดโคตรแซ่ทั้งหลายของพระของเณรแต่ละองค์ ๆ มีโคตรมีแซ่นี่นะ จะล่มจะจมอยู่ทั่วประเทศไทย ทำไมลูกพ่อแม่เลี้ยงมาแทบเป็นแทบตายด้วยกันทุกคน ทุกคนพ่อแม่ตัดคอรอง ๆ ทั้งนั้น ทุกข์ลำบากขนาดไหนไม่ว่าคนมีคนจนตัดคอรอง คนจนนี้ที่หนักมากที่สุด เจ้าของไม่ได้กินให้ลูกกินก็พอใจ ว่าบ๋อยกลางเรือนมันเลยนั้นไปอีกนะ พ่อแม่ของลูกแต่ละคน ๆ ตัดคอรองให้ลูก
ทีนี้ลูกพอเติบโตขึ้นมาก็ได้ออกมาบวช พ่อแม่มีความยินดีให้บวช เวลาบวชแล้วเป็นเวลาจำเป็นเช่นเวลานี้ บ้านเมืองทั่วประเทศไทย พ่อแม่ของพระทั้งนั้นเต็มทั่วประเทศไทย พระแต่ละองค์ ๆ มีพ่อมีแม่ แล้วยังมีโคตรมีแซ่ไปอีกเข้าใจไหม แล้วพระก็จะจมกันไปหมดนี่ แล้วทำไมพระจะใจจืดใจดำน้ำขุ่นไม่มองดูพ่อดูแม่มีอย่างเหรอ เพราะฉะนั้นถึงว่าถ้าไม่เมตตาเวลาจนตรอกจนมุม ฝ่ายหนึ่งจนตรอกจนมุมนี้จะไปเมตตาตอนไหนเวลาไหน นั่นซี
นี่ละที่พระท่านอุตส่าห์พยายามดีดดิ้น ทั้ง ๆ ที่ท่านอยู่ในป่าท่านสนใจกับอะไร มุ่งอรรถมุ่งธรรมล้วน ๆ พ่อแม่เหมือนท่านไม่มี องค์ไหน ๆ มาก็มาอาศัยครูอาจารย์เป็นพ่อเป็นแม่ ธรรมวินัยเป็นศาสดาเอกครอบศีรษะอยู่ตลอดเวลา ส่วนบุญส่วนกุศลก็กระจายถึงพ่อถึงแม่ แต่องค์พระเองท่านจะไปเกี่ยวข้องกับพ่อกับแม่ ท่านไม่ค่อยไปง่าย ๆ แหละ เข้าแต่ป่าแต่เขา ๆ อยู่อย่างนั้น ประหนึ่งว่าพระเหล่านี้ไม่มีพ่อมีแม่นะ ทีนี้เวลาจนตรอกจนมุมมันกระเทือนไปถึงพ่อถึงแม่ ถึงโคตรถึงวงศ์ของพระแต่ละองค์ ๆ ทั่วประเทศไทย แล้วพระเหล่านี้ที่พ่อแม่เลี้ยงมาแทบเป็นแทบตาย เวลาพ่อแม่จนตรอกจนมุมนี้ ไม่ดูแลพ่อแม่จะไม่ใจจืดใจดำยิ่งกว่าสัตว์ทั้งหลายไปแล้วเหรอ นี่เราเป็นพระแท้ ๆ เป็นคนแล้วยังไม่แล้ว ยังเป็นพระอีก พระต้องเป็นผู้มีอรรถมีธรรม มีความเมตตาสงสาร ถ้าไม่มีเวลานี้จะมีเวลาไหน เอ้า ลองว่ากันดูซิน่ะ มองเห็นคนตกน้ำสัตว์ตกน้ำนี้เขายังโดดลงไปช่วยว่าไง นี้พ่อแม่ของตัวเพื่อนฝูงของตัวทั่วประเทศไทยตกลงในความล่มจม ป๋อมแป๋ม ๆ แล้วใจดำน้ำขุ่นปึ๋งอยู่สบาย ๆ มีอย่างเหรอ พิจารณาซิ
นี่ละที่ท่านว่าเมตตาเห็นประจักษ์ในชาติไทยของเรา เห็นน้ำใจพระที่มีเมตตาต่อโลกสงสาร ท่านไม่ได้เอาอะไรนะ ที่ท่านดีดท่านดิ้นอยู่อย่างนั้นท่านเอาอะไรที่ไหน ท่านช่วยสงเคราะห์สงหา ช่วยลากช่วยเข็นขึ้นนั่นเอง เรานี่เห็นใจพระ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า มหาการุณิโก นาโถ หิตาย สพฺพปาณินํ พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหาเมตตากรุณาธิคุณแก่โลกมากมาย และทำประโยชน์แก่โลกนี้หาประมาณไม่ได้ ไม่มีใครเสมอเหมือน นี่องค์ศาสดามีพระเมตตาล้นพ้น ทำประโยชน์ให้โลกจนหาประมาณไม่ได้ ลูกศิษย์ตถาคตจะใจดำน้ำขุ่น มันก็เป็นลูกศิษย์แบบเทวทัตละซิ ไม่ได้มองดูครูดูอาจารย์ ไม่ได้มองดูพ่อดูแม่ดูเพื่อนดูฝูงที่กำลังได้รับความลำบากยากเย็นเข็ญใจ
ก็มีคราวนี้เป็นคราวจำเป็น ก็ทุกคนจะได้เห็นใจกันในเวลาจำเป็น คนเราถ้าเวลาจำเป็นไม่เห็นใจกันแล้วไม่มีความหมาย คนคนนั้นไม่ควรคบจนกระทั่งวันตายเลยนะ ถ้าถึงไหนถึงกันแล้วคบกันได้จนกระทั่งวันตาย ไม่ต้องไปถามหาเป็นญาติเป็นมิตรอยู่บ้านใดเมืองใดแหละ น้ำใจแสดงต่อกันนั้นแหละ คือน้ำใจความเป็นธรรมล้วน ๆ เย็นไปหมดเลย คบกันจนกระทั่งวันตายไม่มีลืมแหละ นี่แหละอำนาจแห่งความเมตตาเป็นของเล่นเมื่อไร
นี่พระท่านก็จะไปทางโน้นกันเยอะอยู่นะ อย่างเราไปเมื่อวานนี้ไปบ้านนายูง วัดนาคำน้อย ไปถามถึงเรื่องการจ่ายเงินที่จะทำกำแพง นี่เราจะไปจันท์แล้วนะ ไปหลายวัน แล้วจะจ่ายตอนไหน เราจะรีบจ่ายเสียตอนนี้เราบอก เราไปมันก็เสียเวลานานถ้าเขาต้องการเร็วเราก็จะได้จัดให้เสียเดี๋ยวนี้ โอ๋ย.ยัง เวลานี้ยังไม่เสร็จ ก็ตกลงว่าเรากลับมาจากจันท์ถึงจะพิจารณาทีหลัง ส่วนทางเรือนจำลาดยาวจะโอนไปให้วันนี้ เมื่อวานนี้โอนไปทางภาคใต้ทางโน้น คือตอนเราอยู่นี้เราต้องรีบทำให้เสร็จ พอไปแล้วทีนี้ขาดไปเลยนะ จนกระทั่งเรากลับมา ด้วยเหตุนี้เองเราจะไปไหนต้องเคลียร์ให้เรียบร้อย ๆ เสียก่อนแล้วค่อยก้าวเดิน เมื่อวานนี้ก็วิ่งไปโน้น กลัวจะเสียเวล่ำเวลาถ้าหากมันจำเป็น
ส่วนเครื่องมือแพทย์ที่เขาเคยกับเราแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรแหละ ถึงจะรอเราก็ได้อยู่ไม่เป็นไร แต่ธรรมดาเราไม่อยากให้รอ พอถึงเราจะจ่ายปุ๊บ ๆ ถ้าอันไหนไม่ทันเราไปแล้วเขามาทีหลังก็ไม่เป็นไรละอันนี้ เขาก็รอได้ไม่มีปัญหาอะไร เพราะเขารู้นิสัยของวัดนี้แล้ว นี่เห็นไหมบรรดาบริษัทต่าง ๆ ในกรุงเทพฯ เขาพูดเป็นเสียงเดียวกันเลย ฟังซิน่ะ หลวงตาคดโกงที่ไหนมีไหม นี่เขายกยอสรรเสริญเองของเขานะ เราไม่ได้ไปขอคำสรรเสริญเขาแหละ ถ้าหากว่าเป็นวัดป่าบ้านตาดเอาเลย นู่นน่ะ ฟังซิ เชื่อ ๑๒๐% เขาบอกอย่างนั้นนะ อย่าว่าแต่ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เชื่อ ๑๒๐% วัดป่าบ้านตาดถ้าได้ติดต่อทางไหน เฉพาะอย่างยิ่งก็คือเครื่องมือแพทย์นี่ละมาก เข้าไปในบริษัทต่าง ๆ ถ้าเป็นวัดป่าบ้านตาดแล้วลงใจทันที ปึ๋งปั๋งเลยเทียว เรียกว่าตายใจ เป็นอย่างนั้นนะ เราเคยทำให้ใครเสียเส้นใจที่ไหน เราบอกเราไม่มี นอกจากให้เป็นที่ยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน อย่างที่ว่านี่แหละ เครื่องมือแพทย์บริษัทไหนก็ตามในกรุงเทพนี้ พูดเป็นเสียงเดียวกันหมด เขาถึงกันนี่นะ บอกว่าเขาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เขาว่าอย่างนั้นเลย ถ้าเป็นวัดป่าบ้านตาด เอาเลย เป็นอย่างนั้นนะ
ตั้งแต่เขาจะลดราคาเรายังไม่เอาฟังซิน่ะ เขาขายเขาก็หวังผลประโยชน์ของเขา เราซื้อก็มาผลประโยชน์อย่างหนึ่ง ผลประโยชน์ต่อผลประโยชน์ เอ้า อย่าไปกินกันเราบอกอย่างนี้ อย่างนั้นนะเรา แล้วไหนจะมาเอาของพี่น้องทั้งหลายเข้ามาในพุงอย่างที่เขาโฆษณาโจมตีเราอยู่โน้น มันเป็นไปได้ไหมพิจารณาซิ มันสักกี่ล้าน ไอ้พันล้านเราไม่อยากพูดที่เราช่วยโลกนี่ ไอ้พันล้านเราไม่อยากพูด ถ้าว่าเป็นหมื่นล้านไปโน้น เอ้อ ว่างั้นนะ เพราะมันทั่วประเทศจริง ๆ นี่นะ ก็เงินตกมานี้มันไม่ไปไหน ออกหมดเลยฟังซิน่ะ เราไม่ได้เก็บไว้ อะไร ๆ เพื่อผู้ใด อย่างที่เคยมีเคยเป็นมาว่าเป็นญาติเป็นวงศ์เป็นอะไร ๆ นี้ไปทะนุถนอมบำรุงโคตรวงศ์ ญาติวงศ์ตัวเองเราไม่มี ฟังซิน่ะ เราไม่มีญาติมีวงศ์ ญาติของเราทั่วแผ่นดินทั่วโลกธาตุ เราจะทำอย่างนั้นไม่ได้
เห็นไหมธรรมเป็นอย่างนี้นะ เราเอาจริงเอาจังมากทุกอย่างไม่มีคำว่าใกล้ว่าไกล มีแต่คำเชื่อถือกันแล้ว คนไหนที่ควรเชื่อถือแล้วก็เอามาใช้กัน ถึงไหนถึงกัน ๆ ไปเลย มาทำให้เสียเส้นใจหนหนึ่งคอขาดไปเลย เป็นอย่างนี้นะเรา กับคนไหนก็ตาม ยิ่งกับเราด้วยแล้วยิ่งหนักนะ ถ้าลงได้ตั้งลงตรงไหนแล้วขาดสะบั้นไปเลย ตายก็ยอมไปเลยโน่นน่ะ เจ้าของตั้งลงไปเรียบร้อยแล้ว เจ้าของยังแก้ไม่ได้ ได้ตั้งอย่างไรลงไปแล้วเป็นที่แน่นอนแล้วอย่างนี้นะ ลงใจกึ๊กแล้วจะไปแก้ไม่ได้นะ ถ้าเหตุผลไม่เหนือกว่านี้ เจ้าของมีเหตุผลเหนือกว่านี้ เอ้า แก้ได้ ถ้าไม่เหนือแก้ไม่ได้ เราทำขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างถึงเด็ดขาด ๆ ๆ ถ้าลงว่าได้พิจารณาเป็นธรรมเรียบร้อยแล้วพุ่งเลยขาดสะบั้นไปเลย รอไม่ได้เลย เป็นอย่างนั้นเราทำ
นี่พูดถึงเรื่องเมตตาธรรม ท่านก็อุตส่าห์ท่านอยู่ในป่าในเขา ท่านไปยุ่งอะไรกับเงินกับทอง พระกรรมฐานท่านไม่ยุ่งละกับเงินกับทอง แต่เวลานี้เป็นยังไง เห็นไหมยุ่งแต่กับเงินฟาดกับทองคำเสียด้วยนะเดี๋ยวนี้เห็นไหมล่ะ พระเลยร้อนเป็นไฟไปตามๆ กันหมด เห็นอาจารย์เป็นหัวหน้าร้อน ลูกศิษย์ลูกหาก็ร้อนหมดเพราะสงสารหลวงตาเฒ่าแก่ชราแล้วยังบึกยังบึน แน่ะเห็นไหมล่ะ ท่านก็ยังสงสารอาจารย์ของท่านพระทั้งหลาย ฟังซิ อุตส่าห์พยายามอยู่ที่ไหนก็ช่วยกันมา คนละเล็กละน้อยเรื่อย ๆ มา นี่ละความเมตตา ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความเห็นอกเห็นใจกัน ก็เห็นอย่างนี้จึงเรียกว่าธรรม ใจดำน้ำขุ่นไม่ใช่ธรรม ธรรมไม่ใช่อย่างนั้น ถึงไหนถึงกัน ๆ พอพูดอย่างนี้แล้วก็พอให้ระลึกได้เดี๋ยวนี้ ผัวกับเมียไปทำงานภาคกลาง ครั้นไปทำงานแล้วเป็นไข้มาจากโน้น ตัวสั่นเดินงก ๆ งัน ๆ มา ผัวกับเมียมาหากุฏิเรา
(ท่านมีร่มขาด ๆ อะไรบ้างไหม ผู้ชายนี้เขาป่วยเป็นไข้มาตามทาง เดินงก ๆ งัน ๆ มาอย่างนี้ ไม่ทราบว่าจะถึงบ้านหรือไม่ถึง) ว่าอย่างนั้น
หนาวก็เป็นหน้าฝนเสียด้วยนะ
โห ไม่มีละร่มขาดมีแต่ร่มดี ๆ นี่แหละ ก็ไปคว้าเอามาเลย ร่มอันนั้นยังไม่ได้ใช้นะนั่น มีแต่มากางทดลองดู เอามาจากเชียงใหม่ เป็นร่มที่หนึ่งของเชียงใหม่ ร่มดี ๆ เอามาให้
(โอ๊ย.มันสวยมันงามมันดีเกินไป)
โอ๋ย.นี่ละมันพอดีแล้ว ๆ จึงเอามาให้ ร่มขาดเอาไปใช้อะไร ร่มไม่ขาดนี้มันพอดีอย่างนี้ละ เอา ยังไม่อยากเอานะ เขายังไม่อยากเอา เอา เอาให้เลย เราก็เลยไม่ลืมนะ เอาร่มแล้วยังมองดูหน้า เอาไปเราว่าอย่างนั้นนะ
(โอ๊ย.ท่านก็มีคันเดียว)
คันเดียวก็หาได้ เราไม่เจ็บไม่ไข้อะไรนี่ เราได้ทั้งนั้นแหละ ไปเอาไป เขาก็เลยเอาไป มองหน้าเราแล้วมองทั้งผัวทั้งเมีย เราไม่ลืมนะ
นี่ละความเมตตาเห็นไหม เราดี ๆ อยู่นี่เราเป็นอะไร กุฏิก็มี ที่พักก็มี บิณฑบาตก็สมบูรณ์พูนผลอยู่ เขาจะเป็นจะตายตัวสั่นงก ๆ งัน ๆ มา จนกระทั่งว่านี่จะไปถึงบ้านหรือไม่ถึงก็ไม่รู้แหละว่างั้น เพราะฝนก็ตกแล้วเป็นไข้อะไรตัวสั่นงก ๆ งัน ๆ มองดูก็อย่างว่าละ น่าวิตกด้วยเหมือนกัน ก็เลยได้ให้ร่ม เราก็มีร่มคันเดียวเท่านั้น ผ้าเราก็ไม่มี ถ้ามีให้อีกนะนั่นน่ะ แต่มันไม่มี เราพูดถึงเรื่องความเมตตามันหากเป็นของมันเองแหละ
เราก็พยายามที่จะช่วยให้เต็มกำลัง ชาติไทยของเราคราวนี้เป็นคราวที่เด็ดเหมือนกันนะ เด็ดเคียงข้างกันไปกับเราเด็ดเราดังที่ว่านี้ เด็ดแกงหม้อใหญ่ก็เด็ดอีกแบบหนึ่ง แกงหม้อใหญ่ยกมันก็หนักมันก็ช้ากว่ากัน แต่ยังไงก็ตามความเด็ดยังมีอยู่ในนั้น จะเอาให้ได้ ๆ อยู่อย่างนั้น จึงให้พี่น้องทั้งหลายร่วมมือร่วมใจกันให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ให้ชาติไทยของเราได้เชิดขึ้นมาตามความมุ่งหมายของคนทั้งชาติ ที่อยากจะให้ชาติของเราขึ้นจากความล่มจม คือความจะจมลงในทะเลหลวงเพราะความจนนั้นเอง นี่ละค่อยฟื้นขึ้นมา ๆ
คงไม่นานละคราวนี้คิดว่าทองคำจะเร็วกว่าปรกติอยู่ เราเองซึ่งเป็นหัวหน้าเราก็เร่งแล้วเวลานี้ ติดเครื่องแล้วนะติดเครื่องแล้ว ใส่จุดที่หมายทองคำให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน จ้ออยู่แล้วแหละ เร่งใส่นั้นแล้ว ส่วนดอลลาร์ยังไงเราก็แน่ใจกับมันแล้วแหละ มันเคียงข้างกันไป ดอลลาร์อาจจะได้มากกว่าทองคำ อาจจะได้กว่า ๑๐ ล้านก็ได้เราคิดว่า เพราะว่าทองคำน้ำหนักมันมากราคาก็แพงด้วย มันจึงเดินหน้า เดินหน้าหนักด้วย ส่วนดอลลาร์เคียงข้างกันไป นี่แหละให้ช่วยกันอย่างนี้แหละเรา ความพร้อมเพรียงสามัคคีเป็นเนื้อหนังอันสมบูรณ์แบบในชาติไทยของเรา อย่าคนหนึ่งทำคนหนึ่งถอย คนหนึ่งก้าวหน้าคนหนึ่งถอยกลับไม่ได้นะ ขาดความสามัคคีแล้วเมืองไทยเราล้มเหลวได้ ให้ฟังเสียงหัวหน้า หัวหน้านี้ก็ได้เอาธรรมพระพุทธเจ้า อย่างหลวงตาเป็นหัวหน้าพี่น้องทั้งหลายนี้ เอาธรรมมากางเลยนะ จะทำอะไร ๆ นี้เอาธรรมออกกางเลยเทียว
เพราะฉะนั้นจึงว่าขอให้ฟังหัวหน้า คือศาสดาองค์เอกนั้นละหัวหน้า เรานำธรรมพระพุทธเจ้ามาพาพี่น้องทั้งหลายก้าวเดิน ทุกบทบาทจะเดินไปตามธรรมล้วน ๆ ไม่ให้มีเรื่องของกิเลสข้าศึกศัตรูทั้งหลายนี้เข้ามาเหยียบย่ำทำลายได้ ให้ต่างคนต่างมีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน อย่าคนนั้นทำคนนี้ไม่ทำ คนนั้นทำคนนี้คัดคนนี้ค้าน คนนั้นจุดคนนี้เผา คนนั้นเตะ คนนี้ถีบคนนั้นยัน นี่เรียกว่าเนื้อร้าย เนื้อร้ายในสังคม เนื้อร้ายถ้าในเมืองไทยเรา ก็เรียกว่าเนื้อร้ายในเมืองไทยเรา
คนประเภทนี้เป็นคนประเภทที่ว่าเนื้อร้าย เนื้อร้ายเป็นยังไง อวัยวะของเรานี้รักสงวนทุกสัดทุกส่วนไม่มีอะไรยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่เวลามันเกิดบาดแผลขึ้นมาในเนื้อจนกลายเป็นเนื้อร้ายแล้ว รักษาไม่หายแล้วทำยังไง ต้องตัด นั่นเห็นไหมล่ะ มันเป็นเนื้อร้ายแล้ว ถึงจะรักขนาดไหนรักเพื่อทำลายส่วนใหญ่ คืออวัยวะ ตลอดชีวิตจิตใจเราจะพังลงไปเพราะเนื้อร้ายชิ้นนี้แหละ ต้องตัดออก เช่น อยู่ในนิ้วมือก็ต้องตัดนิ้วมือออก เนื้อร้ายขาดออกไปแล้ว ส่วนดีก็บำรุงรักษากันไป ก็หายกันไป
แต่นี้คนประเภทที่ทำลายแต่ชาติบ้านเมือง หาคัดหาค้านต้านทานไม่มีเหตุมีผล ไม่มีหลักมีเกณฑ์ ไม่มีข้อแนะนำให้คนอื่นได้รับคติเครื่องเตือนใจพอเป็นประโยชน์แก่ชาติบ้านเมือง คือส่วนรวมอันใหญ่หลวงบ้างอย่างนี้ มีตั้งแต่คัดค้านต้านทานทำลายเผาจุดทีเดียวอย่างนี้ เรียกว่าคนประเภทเนื้อร้ายคนประเภทนี้ ถ้าเป็นอยู่ในอวัยวะของเขา เขาตัดทิ้งแล้ว อันนี้มันอยู่ในเมืองไทยเราก็ให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณาเอา คนเราทุกคน ๆ อย่าทำตัวให้เป็นประเภทเนื้อร้ายต่อชาติบ้านเมืองนะ ถ้าทำตัวให้เป็นประเภทเนื้อร้ายต่อชาติบ้านเมือง บ้านเมืองนี้จมไปหมดเลยไม่มีเหลือ
เนื้อร้ายอันไหนไม่ดีตัดออก คนไหนไม่ดี เอ้า แนะนำสั่งสอน ดุด่าว่ากล่าวให้ดี ถ้าไม่ดีก็เขี่ยออกเลยจากเนื้อที่ดีทั้งหลายซึ่งมีคุณมหาศาล อย่าให้ฉิบหายวางปวงไปกับเนื้อร้ายชิ้นเล็ก ๆ นี้เลย นี่คนประเภทเนื้อร้ายเป็นอย่างนี้แหละ ไม่ยอมฟังเสียงใคร มีตั้งแต่จะทำลายถ่ายเดียว ๆ ด้วยทิฐิมานะ ด้วยความหน้าด้านของตัวเองที่ว่าหนาที่สุด จนกลายเป็นบุคคลประเภทเนื้อร้าย ไม่ได้เป็นบุคคลธรรมดาทั่ว ๆ ไป เป็นบุคคลเนื้อร้ายทำลายสังคม ทำลายส่วนรวม ถ้าอยู่อย่างในเมืองก็ทำลายเมือง ทำลายประเทศได้คนประเภทเนื้อร้าย ให้ระวังตัวทุกคนอย่าให้เป็นประเภทเนื้อร้ายนะ มันจะทำลายทั้งตัวเองและผู้อื่นให้แหลกเหลวไปหมด อันนี้เป็นสำคัญมากบุคคลประเภทเนื้อร้าย จะเป็นบุคคลก็ตามเป็นคณะก็ตามเป็นพรรคเป็นพวกไหน เป็นพรรคเป็นพวกเนื้อร้ายทำลายส่วนใหญ่ให้เสียไปได้ทั้งนั้น อย่าให้เป็นอย่างนี้
แล้วอย่าสั่งสอนผู้ใดในประเภทเนื้อร้าย ให้ปัดออก ๆ ให้สั่งสมแต่คุณงามความดีเข้ามาใส่ตัวของเรา แล้วต่างคนต่างฟังเสียงหัวหน้า บ้านเมืองก็มีหัวหน้า แล้วทางศาสนาก็มีหัวหน้าให้ฟังเสียง เราอย่าบึกอย่าบึนเอาตามทิฐิมานะของเรา ซึ่งจะทำความล่มจมแก่ตนและส่วนรวมนั้นแหละ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าลงไปขัดส่วนดีแล้วต้องเสียไปหมด คนประเภทเนื้อร้ายนี้ขัดตั้งแต่ส่วนที่ดี เขาทำดีแล้วไปเหยียบย่ำทำลาย ไปเตะไปถีบไปยันไปจุดไปเผา ทำทุกอย่างที่จะให้ของดีฉิบหายไปเสีย ประเภทนี้เรียกว่าประเภทเนื้อร้าย อย่างร้ายแรงมาก อย่าให้มีในเมืองไทยเรา เรียกว่าเลวสุดยอดแล้วนะ ให้พากันจำนะ ต่างคนต่างทำตัวอย่าเป็นเนื้อร้ายต่อผู้ใดก็ตาม
การประพฤติตัวอะไรที่มันไม่ดีก็เป็นเนื้อร้ายแก่ตัวเอง ให้หักให้ห้าม เอาธรรมมาเป็นโอสถเป็นยารักษา ความประพฤติอันใดไม่ดีให้หักให้ห้าม แก้ไขดัดแปลงทำความดีเข้าไป กลบกันล้างกันชะล้างกันไปเรื่อย ๆ เนื้อร้ายในตัวเองก็จะค่อยจางไป ความไม่ดีทั้งหลายเป็นเนื้อร้ายสำหรับเรา เราหาความดีเข้าไปกลบมัน เข้าไปชำระล้างมัน ก็กลายเป็นของดีขึ้นมา ๆ แล้วในสังคมใดก็ให้ต่างคนต่างสั่งสมตัวให้เป็นที่แน่นหนามั่นคง ให้เป็นที่ไว้ใจซึ่งกันและกันได้ อย่าเป็นประเภทเนื้อร้ายเข้าหาใครไม่ได้ เข้ากับใครไม่ได้ประเภทเนื้อร้าย นี่ละพากันจำเอานะ วันนี้เทศน์เพียงเท่านี้แหละ ต่อไปนี้จะให้ศีลให้พร
อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com
|