ศาสนาสมบูรณ์แบบ
วันที่ 20 พฤษภาคม 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 32.14 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

ศาสนาสมบูรณ์แบบ

(นี่อุทิศให้พ่อเจ้าค่ะ) ลูกอาจารย์ชาลี อาจารย์ชาลีก็เป็นครูเรา ต่อมาเราก็เป็นครู อาจารย์ชาลี เลยวนกันไปวนกันมา เรารักมากนะรักอาจารย์ชาลี รักติดจิตติดใจตลอดมาไม่ได้จืดจางนะ ถึงล่วงไปแล้วก็รัก รักลูก ๆ หลาน ๆ เป็นเครือโยงกันไปหมดนะ เกี่ยวมาจากอาจารย์ชาลี นี่ลูกอาจารย์ชาลีทั้งนั้น แต่พี่ชายใหญ่ โอภาส เสียไปแล้วนะ (เสียแล้วค่ะ) หายากนะหาคนดี ครูคนนี้ดี ดีจริง ๆ การถือเนื้อถือตัวไม่มี เข้าไหนเข้าได้หมดเลย ประหยัดมัธยัสถ์ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่ลืมเนื้อลืมตัว เข้าไหนได้หมดเลย เราเป็นเด็กก็รู้อยู่ เพราะงั้นเราถึงได้รักล่ะซี รักอาจารย์ชาลีนี่ ตอนนั้นเราเป็นนักเรียน นั้นเป็นครู จากนั้นเราก็ออกบวชเรื่อยเลย ทางนั้นก็ทำราชการงานเมือง เสียไปกี่ปีแล้วหือ ( ๕ ปีแล้วค่ะ) เสียไป ๕ ปีแล้วนะ

แม่ล่ะเป็นยังไงเดี๋ยวนี้ (แม่สบายดีเจ้าค่ะ) แล้วไปไหนมาไหนได้ไหม (เดินได้เจ้าค่ะ ปฏิบัติธรรมได้อยู่ค่ะ) แม่ยัง พ่อเสียไปแล้ว แม่ก็เป็นคนดี เราอย่าพูดแต่ว่าพ่อเป็นคนดี แม่ก็เป็นคนดีเหมือนกัน แต่แม่ไม่ได้มาสอนเรา เราถึงไม่พูด ดีไม่ดีเราไม่พูดถึงเลย พูดแต่พ่อที่มาเป็นครูสอนเรา เรายังไม่ลืมนะ อย่างนี้ละอะไรที่มันสะดุด ก็ครูเรานี่แหละทักเรา เราอ่านอย่างว่านั่นแหละ เด็กอ่านหนังสือ อำเภอวานรนิวาสนี่นะ อ่านความรู้เรื่องเมืองไทย จังหวัด อำเภอว่าเรื่อยไป

เราอ่านไปถึงอำเภอ วา-นอน-นิ-สาด เหอ ๆ ว่างั้นนะครู อ่านอีกน่า อำเภอ วา-นอน-นิ-สาด หือ ตัวอะไรถึงเรียกว่า นิ-สาด อ๋อ แน่ะ อย่างงั้นนะ อำเภอ วา-นอน-นิ-วาด ก็อย่างงั้นซีเพราะฉะนั้นมันถึงสอบตก ว่างั้นนะ เราเลยไม่ลืมนะ ตัวหนังสืออย่างหนึ่งว่าไปอย่างหนึ่งมันก็สอบตกล่ะซี เราเลยไม่ลืม คำนี้อาจารย์นี่สอนเราทักเรา เพราะเราอ่านผิดนี่ ไหน ๆ อ่านดูซิน่ะ ลงของเก่าอีก หือ ๆ นี่ตัวอะไร ๆ จี้เข้าไป พอไปดูชัดเจนแล้ว อ๋อ สะดุดใจกึ๊ก อำเภอ วา-นอน-นิ-วาด นั่นซีมันถึงสอบตก อ่านอะไรพรวดพราด ว่างั้น เราไม่ลืมนะอย่างนี้ อำเภอวานรนิวาส แปลว่าบ้านลิง นิวาส ที่อยู่ของลิง แต่แปลเพื่อให้ได้ศัพท์ได้แสงชัดเจนก็ว่า วานรนิวาส บ้านลิง

เมื่อวานซืนนี้ไปงานอาจารย์สุวัจน์ คนมากจริง ๆ จังหวัดก็เรียกว่ามาก พักอยู่ในป่า วัดเขาน้อยนี้ดี เราไปคราวเทศน์ช่วยชาติบ้านเมืองก็ไปพักที่นั่น เทศน์ที่นั่นด้วย คราวนี้ไปงานศพท่านสุวัจน์ คนมาก พระก็ดูเหมือนเป็นพัน พระก็ไม่น้อย ประชาชนมากมาหลายจังหวัด เฉพาะกรุงเทพมากที่มาในงานนี้ ท่านเป็นพระปฏิบัติดีมาดั้งเดิม เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดกับหลวงปู่ฝั้น ท่านอาจารย์ฝั้นเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรา ไปมาหาสู่กันอยู่ตลอดเวลา ท่านตั้งใจปฏิบัติดี นี่ละธรรมที่ได้เห็นชัดเจนก็มีพยานอยู่อย่างนี้ อย่างพระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมมนุษย์มนา บรรลุธรรมเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ฟังซิ รวมพวกเทพอะไรด้วย เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์สำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ในตำรา ไอ้พวกสำเร็จแต่เสื่อแต่หมอนว่าสำเร็จมรรคผลนิพพานมันไม่เชื่อนะ ถ้าว่าสำเร็จเสื่อสำเร็จหมอน หมอนขาดเสื่อขาด สั่งหมอนสั่งเสื่อไม่ทันนี้เขาจะเชื่อ พวกนี้เชื่อพวกเสื่อพวกหมอนไม่ได้เชื่ออรรถเชื่อธรรม เพราะฉะนั้นมันถึงไม่ได้สำเร็จไปทางอรรถทางธรรม มันสำเร็จตั้งแต่เสื่อแต่หมอน กอนแล้วกิน กินแล้วนอน ไปอย่างงั้น

พระพุทธเจ้าสอน พวกที่มาฟังนี้มาฟังด้วยความจดจ่อจริง ๆ ฟังด้วยความจริงใจ ผู้เทศน์ก็เทศน์ด้วยพระเมตตาจิตสุดส่วนขององค์ศาสดา ธรรมก็ธรรมสุดส่วนถอดออกมาจากพระทัยมาสอน มีแต่ของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ล้วน ๆ ถอดนี่ปั๊บ ๆ แม่นยำไม่มีเคลื่อนคลาด นี่ละความรู้ภายในจิตใจ สอนถอดออกอะไรไม่ว่าธรรมขั้นใด ๆ ถอดออกจากความถูกต้อง ๆ เพราะฉะนั้นผู้ฟังซึ่งต้องการความจริงอยู่แล้ว จริงต่อจริงก็เข้ากันได้พับ ๆ นี่ละทำให้สำเร็จมรรคผลนิพพานเป็นจำนวนมากมาย โลกตาบอดหูหนวกมันไม่ยอมเชื่อแหละถ้าสิ่งที่จะฉุดลากให้พ้นจากกองทุกข์ มันเชื่อตั้งแต่สิ่งที่จะลากลงในนรกตกเหวตกบ่อ เชื่อกันทั้งนั้นแหละ นี่เห็นไหมอำนาจความหนาแน่นของกิเลสมันดึงตลอดเวลา ธรรมดึงขึ้นชั่วกาลเวลา พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้นี้ดึงขึ้นชั่วกาลเวลา ส่วนกิเลสดึงลงตลอดกาล เวลาพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มันก็อ่อนข้อลง สยบลง พอพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปธรรมห่างเหินไป มันขึ้นละที่นี่ นี่ที่ท่านสำเร็จ ท่านสำเร็จอย่างนั้นนะ

เราก็ผู้ประจักษ์เราฟังเทศน์หลวงปู่มั่น มันเห็นชัด ๆ ในจิตนี่จะให้ว่าไง คือเราไม่ใช่ผู้ที่เป็นขิปปาภิญญา ค่อยคืบค่อยคลานไปเป็นวรรคเป็นตอนเหมือนเราขึ้นบันได ก้าวขึ้นขั้นนี้แล้วขึ้นขั้นนี้ไปเรื่อย ๆ เวลาท่านเทศน์พระเณร โอ๋ย กระหยิ่มยิ้มย่อง วันไหนท่านจะประชุมเทศน์ ส่วนมากในพรรษามักกำหนดตายตัว ๗ วันประชุมทีหนึ่ง ๆ เวลาฟังเทศน์พวกบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเหมือนลูกหิวนมแม่นะ หิวกระหายอยากฟังเทศน์ท่าน วันนั้นรู้สึกกระหยิ่มยิ้มย่องทั่วหน้ากันหมดในวัด พอทุ่มหนึ่งปั๊บ มืดแล้วแหละ พอมืดก็เริ่ม เพราะทุกวันนี้เวลานาทีมันไม่ตรงกัน เช่นทุกวันนี้ทุ่มหนึ่งพึ่งเริ่มมืด ตี ๕ สว่างแล้ว เราเอามืดเอาแจ้งดีกว่า

พอเริ่มมืดท่านก็เริ่มละ ผู้ปฏิบัติธรรมคอยเทียบคอยวัดกันตลอดเวลากับทางภาคปฏิบัติของตัวเอง กับธรรมที่ท่านสำเร็จทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นแนวทางเดินที่ถูกต้องแม่นยำราบรื่นดีงาม นั้นคือทางที่ถูกต้องออกจากหัวใจท่านเทศน์สอนเรา เรามันติดตรงนั้นขัดตรงนี้ คอยเทียบคอยฟัง เวลาท่านเทศน์ ๆ ไป พอเทศน์ไปถึงนี้คอยจ่อ เราอยู่จุดนี้กำลังพิจารณานี้ ท่านเทศน์เราติดอยู่ตรงนี้ เวลาท่านเทศน์ถึงนั้นท่านจะว่าอะไร นั่น มันจ่อแล้วนะ พอท่านเทศน์ถึงนั้นเราติด ท่านผ่านปึ๋งเราจับได้ปุ๊บผ่าน นี่ละผ่านไปเป็นพัก ๆ เทศน์แต่ละครั้ง ๆ ผ่านเป็นระยะ ๆ เพราะมันพวกคืบคลานพวกเรา ไม่ใช่พวกโดดผึงเหมือนพวกขิปปาภิญญา แล้วขยับเรื่อย ๆ มันแปลกอยู่นะ

ที่ว่าบรรดาสัตว์โลกที่ฟังเทศน์พระพุทธเจ้าบรรลุมรรคผลนิพพานจำนวนมาก ก็พวกนี้ผ่านไปพวกนี้รออยู่ พวกนั้นผ่านไปพวกนี้รออยู่ เรื่อย ๆ พวกนั้นสำเร็จโสดา แล้วสกิทา อนาคา อรหันต์ มันหลายขั้นมันขยับไปก็ผ่านได้ ๆ ผู้ที่รวดเร็วก็ผึงเลยทันที เรามาจับเอาตรงที่เราฟังเทศน์หลวงปู่มั่นนี่ คือตามประสีประสาของเราที่หนาด้วยกิเลส มันไม่ได้ผึง ๆ เหมือนพวกขิปปาภิญญา ค่อยขยับไปเรื่อย คราวนี้แก้ได้ตรงนี้ จุดหน้าท่านเทศน์ยังไง แก้ได้ตรงนั้น เรื่อย ๆ อยู่อย่างนั้น หายสงสัยเป็นระยะ ๆ นะ ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้

อย่างที่เราพูดที่ว่าไปอัศจรรย์ใจตัวเองอยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้า เราไม่ลืมนะ พอถวายเพลิงหลวงปู่มั่นเสร็จแล้วเราก็ขึ้นเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ขึ้นไปพักอยู่นั้นเดือน ๓ พอดี นั่นก็ไปติดปัญหาตัวเองอยู่ตรงนั้น มันสว่างก็สว่างพิลึกพิลั่นนะ จนเจ้าของเองก็อัศจรรย์เจ้าของ ร่างกายนี้มันเหมือนไม่ใช่ร่างกายนะ มันเหมือนแก้วครอบตะเกียงเจ้าพายุ อะไรที่เรียกว่าไส้ตะเกียง นั่นละความสว่างอยู่ตรงไส้ตะเกียงมันส่องออกมา ความสว่างไส้ตะเกียงคือใจ มันสว่างมาจากใจ มองร่างกายนี้เหมือนเป็นเงาเช่นเดียวกับแก้วครอบ มันทะลุไปหมดเลย มองไปไหนมันจ้าไปหมด ความสว่างความอัศจรรย์อยู่ด้วยกัน ยืนรำพึงอยู่คนเดียว

นี่ละถ้าพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่นั้น จะเอาได้ตอนเช้าวันนั้นเลย ตอนนั้นเลย นี่ปัญหาเป็นอย่างนี้นะ เมื่ออัศจรรย์มาก ๆ ทีนี้มันเป็นอะไรทุกอย่าง มันตื่นมันเต้นภายในจิตในใจ ความสว่างก็พิลึกพิลั่น นี่ละเวลาพูดตามหลักเกณฑ์แล้ว ความสว่างเหล่านี้คือวาระสุดท้ายของวัฏจักรวัฏจิตได้แก่อวิชชา มันหลอกให้หลงขนาดนั้นนะอวิชชา เพราะฉะนั้นสัตว์โลกจึงไปได้ยาก แม้แต่ผู้ปฏิบัติยังไปงงเป็นไก่ตาแตก เราเป็นต้นเห็นชัดเจนแล้ว อัศจรรย์ตัวเอง โถ ทำไมจิตนี้ถึงได้สว่างไสวเอานักหนา กำหนดไปดูที่ไหนจ้าไปหมด นั้นหมายถึง ไอ้ส่วนจ้าก็เป็นเรื่องของธรรมนั่นแหละ แต่อวิชชามันแทรกอยู่นั้น มันหลอกอยู่ในนั้นเราไม่รู้ ทีนี้เราก็ถือเอาหมดว่าเป็นของวิเศษเสียหมด ตัวพิษมันฝังอยู่ภายใน

ทีนี้เมื่อมันรำพึงนั้นแล้ว สักเดี๋ยวเท่านั้นขึ้นแล้วนะธรรม นี่เรียกว่าธรรมเกิด ธรรมสอนเรา อยู่ดี ๆ นี้ขึ้นมาเป็นคำ ๆ อย่างนั้นละธรรมเกิดก็เหมือนกัน กิเลสเกิดก็ขึ้นเป็นคำ ๆ ทางนี้โต้ตอบกัน เป็นคำโต้ตอบกัน อย่างหนึ่งโต้ตอบกันเป็นคำ อย่างหนึ่งโต้ตอบกันด้วยความรู้ความเห็นระหว่างกิเลสกับธรรมเจอกัน ๆ อย่างหนึ่งเป็นคำออกมา อย่างนี้เป็นคำออกมา พอมันสว่าง ยืนรำพึง อัศจรรย์อยู่นี้ สักประเดี๋ยวขึ้นเป็นคำขึ้นมาไม่ลืมนะ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่ขึ้นแล้วนะ โอ๋ย จะแจ้งมากทีเดียว เราเลยกลายเป็นงงไปเลย จุดต่อมก็คือจุดต่อมของตัวสว่างไสวนั้นเองจะเป็นอะไรไป มีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ จุดต่อมของผู้รู้นั้นเองนั้นแลคือตัวภพ จุดต่อมอยู่ที่ไหนนั้นแลคือตัวภพ เราเลยงงไป แทนที่จะได้ประโยชน์เลยไม่ได้

ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ยังอยู่เวลานั้น พอไปเล่านี้ให้ท่านฟัง ท่านก็จะว่า ก็นั้นแลจุด ขึ้นทันทีเลยนะ ไอ้จุดไอ้ต่อมนั่นแหละคือมหาภัย ตัวนั้นแหละว่างั้นเลย เอาฟาดลงไปตรงนั้น มันจะสะดุดปึ๊ง ดีไม่ดีอาจผางในเวลานั้นเลยเพราะมันเตรียมพร้อมแล้ว แต่นี้มันงงไปเสียไม่รู้ เราถึงคิดเสียดาย โอ๊ย ถ้าพ่อแม่ครูจารย์ยังมีชีวิตอยู่ เช้าวันนั้นแน่ ๆ พอท่านกระตุกปั๊บ จุดต่อมก็คือผู้รู้นั้นแหละ ผู้รู้ที่ใสสว่างนั้นแหละมันเป็นภัยรู้ไหม พอว่าเท่านั้นก็รู้ว่ามันเป็นภัยก็พลิกปุ๊บละซี ใครจะไปจับมันเมื่อเป็นภัย นี้มันเห็นว่าเป็นคุณละซีมันถึงติด นั้นแลคือตัวภพ ก็นั้นแลคือตัวภัย นั่นใส่ผางทีเดียวผางเลย

เราเลยเสียดาย ไปก็แบกอันนี้ไปหากสะดุดกันอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จักวิธีแก้ ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ก็ไปคนเดียว หาอุบายมาเยี่ยมแม่ จะไปไหนต้องหาอุบายมาเยี่ยมแม่ คือไปเยี่ยมแม่ใครมาด้วยไม่ได้ ก็ไปเยี่ยมแม่จะหาความสงบมาจากไหน พระก็ไม่กล้าตามไป บอกมาเยี่ยมแม่ ๒ คืนเยี่ยมแม่พอเป็นพิธี ออกจากนั้นก็ผึงเลย เข้าป่าเลยไปทางอำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ แต่ก่อนศรีเชียงใหม่ยังไม่มี ขึ้นไปอยู่ถ้ำผาดัก ลึกนะ พักภาวนาอยู่นั้นเป็นเวลา ๓ เดือน เดือน ๓ ไปเดือน ๖ กลับมาวัดดอยธรรมเจดีย์ แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือน

เราไม่ลืม เพราะมันเป็นจุดที่ไม่น่าลืม พอเดือน ๖ ก็มาแล้วขึ้นวัดดอยอีก ภาวนาน่ะซิมันก็สะดุดกันอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่รู้จักวิธีแก้ สะดุดกันเรื่อย เรื่องความสว่างไสวมันก็จ้าของมันอยู่งั้นแหละ แต่มันมีเครื่องสะดุดว่ามีจุดมีต่อมอะไร ความสว่างไสวจึงไม่แสดงฤทธิ์เดชมาก เพราะอันนี้คอยเตือน ๆ สุดท้ายมันก็มาได้ตรงนั้น แน่ะ กลับมานี้จะเป็นเดือน ๖ ข้างแรม สำหรับข้างขึ้นข้างแรมแล้ว แรม ๑๔ ค่ำเดือนพฤษภา เวลาไปเทียบดูกับปฏิทิน ๑๐๐ ปี ตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นแหละ วันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ พอตื่นเช้ามาก็เป็น ๑๕ ค่ำ ลงอุโบสถในวัน ๑๕ ค่ำเสร็จแล้วก็มาวัดสุทธาวาส จำไม่ลืม มันจะลืมได้ยังไงของขนาดนี้ ไม่มีทางลืม ตายมันก็ไม่ลืม

มันก็เอาตัวนั้นแหละ ตัวสว่างไสวพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงด้วยความละเอียดของมัน เช่น ความสว่างมันก็เป็นอนิจจัง มันจะเปลี่ยนของมันตามความละเอียดของธรรม ความสุขความทุกข์ก็จะเปลี่ยนตามความละเอียดของธรรม ธรรมละเอียดเท่าไรความสุขก็ละเอียด ทีนี้ความทุกข์ที่มันแทรกกันไปเป็นคู่เคียงกันมันก็ละเอียด มันให้เห็นอยู่อย่างนั้น จึงเป็นของไม่แน่นอน จิตถึงขนาดนี้แล้วทำไมมันมีลักษณะเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวว่าสุขเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใสเดี๋ยวว่าเศร้าหมอง ทำไมมันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปได้หลายสันหลายคมนะจิตดวงนี้

นั่นเวลามันจะเอากันนะ มันกำลังวินิจฉัยอยู่ จิตดวงเดียวทำไมพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวว่าสุขแล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ คำว่าสุขก็พอจับได้เท่านั้นนะ คำว่าทุกข์ก็พอจับได้ คือสุขทุกข์เปลี่ยนแปลงพอจับได้เท่านั้น มันเปลี่ยนได้ ละเอียดก็เปลี่ยนไปตามส่วนละเอียด ทำให้จับได้ ๆ มันก็งงอยู่ในตัวเองนั่นแหละ ทำไมจิตนี้เป็นขนาดนี้แล้วยังไว้ใจไม่ได้ ทำไมจึงพลิกแพลงเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวว่าสุขแล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใสเดี๋ยวว่าเศร้าหมอง ทำไมมันพลิกอยู่อย่างนี้ ก็โลกอันนี้มันหมดแล้วมันไม่มีอะไรจะพิจารณา มันปล่อยมันวางหมด เหลือแต่จิตดวงเดียวที่ปล่อยไม่ได้วางไม่ได้ มันกำลังพันกันอยู่นั่น

สักเดี๋ยว นี่เห็นไหมล่ะธรรมขึ้นมา นี่แหละเรียกว่าธรรม คราวนี้มันแก้กันได้เลย โดยไม่มีเจตนาแก้ คราวนี้แก้แบบกลาง ๆ มัธยัสถ์อยู่กลาง ๆ จะจดจ่อกับอะไรก็ไม่ใช่ พอว่าเดี๋ยวว่าสุขว่าทุกข์ทำไม่มันเปลี่ยนแปลงได้นักหนาหนานะจิต เปลี่ยนร้อยสันพันคมยังไง เอาความแน่ใจกับมันได้ยังไงนี่ นั่น มันตั้งจุดหมายเข้าไปแล้วนะ ตั้งข้อสงสัยแล้วทีนี้ ก็เป็นจุดที่จะจ่อกัน สักเดี๋ยวธรรมก็ขึ้นแล้วที่นี่ นี่แหละธรรมเกิดธรรมเตือนธรรมบอก คำว่าสุขก็ดี นั่น ขึ้นแล้วนะเป็นคำ ๆ ขึ้นมา คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าเศร้าหมองก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นั่นเห็นไหมบทเวลามัน..คือควรปล่อยวางทั้งหมด พูดง่าย ๆ ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ เท่านั้นแหละ มันก็หยุดกึ๊ก จะทำงานอะไรก็ไม่ทำ จะว่าเผลอมันก็ไม่เผลอ จิตขั้นนั้นเรียกว่าเผลอไม่ได้แล้ว เป็นเพียงว่าจดจ่อกับอะไรไม่จดจ่อกับอะไรเท่านั้น

พอว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตาเท่านั้น แล้วจิตก็วางตัวเป็นกลาง ๆ ถ้าเป็นนักมวยก็เรียกว่าต่อยบทเผลอ แต่นี่เราไม่เผลอเป็นแต่เพียงว่ากลาง ๆ ไม่เจาะจงกับงานชิ้นใดจุดใด เป็นกลาง ๆ ขึ้นตรงนั้นละซิ ผางขึ้นมานั้นที่ว่าฟ้าดินถล่ม เอาตรงกลางนั่นเลย ผางขึ้นมาตรงนั้น ทีนี้มันก็ย้อนไปเห็นละซิที่ว่าสว่างไสวจนอัศจรรย์ตัวเอง มันเท่ากับกองขี้ควายกองหนึ่ง ฟังซิ กับธรรมชาติที่ปรากฏขึ้นทีหลังนี้ มาเทียบกันแล้วที่ว่าสว่างไสวอัศจรรย์เกินคาดเกินหมาย มันเท่ากับกองขี้ควายกองหนึ่ง เมื่อเทียบกับธรรมชาตินี้แล้ว อันกองขี้ควายนี้แลไปกลบธรรมชาติที่เลิศเลอไว้ มันไม่ให้เห็นมันก็ให้อัศจรรย์อยู่กับกองขี้ควาย

พออันนี้พรึบลงเท่านั้น ขาดสะบั้นลงไปเท่านั้น อันนั้นเลิศขนาดไหนพูดไม่ได้เลย แต่ความรู้ไม่สงสัย แต่ที่จะมาพูดมาแยกอะไรมันไม่มีสมมุติ อันนั้นเลยแล้ว นั้นแหละที่ว่าฟ้าดินถล่ม ถล่มตรงนั้นแหละ ทีนี้ขึ้นคราวนี้มันไม่ได้เหมือนคราวนั้นนะ คราวนั้นกองขี้ควายออกลวดลาย คราวนี้ธรรมอันเลิศเลอออกลวดลาย ผิดกันขนาดไหน มันจึงได้เห็น โอ้โห.ที่ว่าสว่างไสวมันก็คือกองขี้ควายนี้เท่านั้น ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร เมื่อมาดูกับธรรมชาติที่รู้อยู่กระจ่างนั้น เทียบกันแล้วจึงดูกันไม่ได้ จากนั้นกองขี้ควายนั้นก็หายเลย หมดโดยสิ้นเชิงแต่ขณะนั้น ไม่เคยมีอะไรมาแสดงตัว แสดงอะไร มองเห็นกองขี้ควายมันก็รู้แล้ว มันจะไปจับอะไรทีนี้ แต่ก่อนมันไม่รู้น่ะซี

นี่แหละที่ว่าท่านฟังธรรมเป็นระยะ ๆ เราถ้าพ่อแม่ครูจารย์มั่นยังอยู่เวลานั้น นั่นแหละจุดต่อมอยู่ที่ไหน นั้นแหละจะเอากันตรงนั้นแหละนะ เวลารู้แล้วมันก็ลงจุดนั้น อ๋อ.จุดต่อมคืออันนี้เอง พ่อแม่ครูจารย์จะใส่ตูมเข้าไปตรงนี้ ก็จุดนั้นแหละต่อมนั้นแหละจุดที่ตัวสว่างไสว นั้นแหละตัวมหาภัยขึ้นทันที มันก็ปล่อยผึงดีดเลย เป็นอย่างนั้นแหละ พระในครั้งพุทธกาลฟังเทศน์สำเร็จ เราฟังมันไปได้เป็นพัก ๆ ฟังคราวนี้แก้ได้อย่างนี้ ฟังคราวนี้ผ่านได้ ทางนี้ผ่านไปเรื่อย ๆ เวลาเราพิจารณาอยู่นี่ติดอยู่ตรงไหนจ่ออยู่ตรงนั้น ท่านเทศน์ผ่านเข้ามา ๆ คอยฟังจุดนี้ จุดนี้ท่านว่ายังไง เราติด ท่านไม่ได้ติด พอผ่านไปปั๊บจับได้ปุ๊บสวมรอยปุ๊บ โดดตามเป็นระยะ ๆ อย่างนั้นแหละท่านว่าผู้ฟังเทศน์สำเร็จมรรคผลนิพพาน ท่านสำเร็จอย่างนั้นนะ

ผู้ที่เร็วก็เร็ว ผู้ที่ไม่เร็วก็ค่อยไปเป็นพัก ๆ เพราะมันมีหลายประเภท ดังที่เคยพูดแล้ว ๔ ประเภท ประเภทที่รวดเร็วก็ อุคฆฏิตัญญู รองลงมาก็ วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ เป็นขั้น ๆ อย่างนั้น

ว่าจะพูดถึงเรื่องท่านสุวัจน์ มันก็เลยไปย้อนกลับมาอีก ท่านสุวัจน์นี้ท่านบอกว่าท่านพูดด้วยตัวท่านเอง พูดด้วยความตื่นเต้นนะ มาพูดกับเราต่อหน้าต่อตาของเรา แต่ท่านไม่ได้พูดว่าท่านได้คุณงามความดีหรือได้อะไรจากเรา แต่ท่านก็พูดถึงเรื่องท่านฟังเทศน์เรา บทเวลามันจะหมุนติ้วก็ฟังเทศน์ท่านอาจารย์ ที่เทศน์อยู่วัดอโศการามว่างั้นนะ แต่คงจะเป็นฟังเทปท่า เทปนั้นเทศน์ที่วัดอโศการาม ท่านจะฟังอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ ฟังไป ๆ เพราะเทศน์สอนพระมันก็ต้องธรรมะขั้นสูงละ เทศน์วัดอโศการาม ฟังไป ๆ ไปถึงจุดสำคัญ ๆ มันสะดุดปึ๋งเลยทันที จิตนี้กระเทือนปึ๋งเลยท่านว่า พอเทศน์นี้เข้าไปจุดนั้นปั๊บเท่านั้น จิตนี้กระเทือนปึ๋ง ทางนี้พอกระเทือนแล้วทีนี้หมุนติ้วเลย ท่านว่างั้นนะ เลยไม่มีวันมีคืน นั่น พอไปกระเทือนเท่านั้นแหละ ที่ธรรมท่านอาจารย์เข้าไปกระตุกตรงนั้นเท่านั้นมันสะดุดใจกึ๊กเลย ทีนี้มันก็แผ่กันออกแล้วหมุนกันใหญ่เลย ท่านพูดด้วยความตื่นเต้น

ท่านสุวัจน์ท่านพูดเกี่ยวกับเรา เราดูท่านรู้สึกว่าลงเรานี้เรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์เลยแหละ แต่ก่อนก็เป็นธรรมดา ตอนที่ท่านมาเล่าให้ฟังเราดูก็รู้ ดูอะไรดูยากวะ ดูคน ดูยากแต่ดูตัวเองแหละ ดูคนข้างนอกไม่ยาก ไม่ยากยังไง อยากดูก็ได้ไม่อยากดูก็ได้ แน่ะ มันไม่ยากเข้าใจไหม ดูตัวเองต้องดูจริง ๆ ไม่ดูจริง ๆ มันไม่รู้นะ ดูคนอื่นดูก็ได้ไม่ดูก็ได้ จึงเรียกว่าไม่ดูยาก (หัวเราะ) ดูตัวเองต้องดูจริง ๆ ทุกอย่างมันจะแสดงที่ใจ ๆ นี้ ใจเป็นมหาเหตุ คือกิเลสอยู่ที่นั่น มันจะแสดงลวดลายของมันตลอดเวลา สติปัญญาคือธรรมจ่ออยู่มันก็รู้เห็น ค่อยกระจ่างออก ๆ ทีนี้แย็บรู้ทันที นั่นเห็นไหม เวลามันทันกันมันรวดเร็ว ธรรมเหนือ ๆ เหนือเข้าไปเท่าไร กระดิกนิดหนึ่งรู้ทันที ๆ ขาดไปพร้อม ๆ นั่นแหละธรรมเป็นอย่างนั้น

เป็นยังไงพวกเราถือพุทธศาสนา เอาคัมภีร์ใบลานมาอวดกัน เอาตัวหนังสืออยู่ในพระคัมภีร์ใบลานเข้ามาเป็นความจดความจำ ตั้งตู้พระไตรปิฎกขึ้นในความจำ โอ่อ่าฟู่ฟ่าว่าตัวได้เรียนสูงชั้นนั้นชั้นนี้ไป เรียนตัวหนังสือในใบลาน ได้แต่ความจำออกมา แล้วเอาความจำมาเป็นมรรคเป็นผลมีที่ไหน ไม่เคยมี ความจำเป็นแนวทาง การปฏิบัติตามแนวทางนั้นเป็นภาคที่จะเอาจริงเอาจัง พอภาคปฏิบัติจับตรงไหน ๆ ปฏิเวธคือความรู้ตามระยะ ๆ ที่ก้าวเดินไปมันก็รู้ขึ้นมา ๆ เพราะฉะนั้นคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ จึงแยกกันไม่ออก เรียกว่าศาสนาสมบูรณ์แบบ ถ้ามีปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ กลมกลืนกัน

ถ้ามีแต่ปริยัติมันก็เป็นเหมือนนกขุนทองแก้วเจ้าขา ๆ เรียนมา เรียนมากี่คัมภีร์ก็เรียนแก้วเจ้าขา สุดท้ายก็กลายเป็นหนอนแทะกระดาษโดยไม่รู้สึกตัว ดีไม่ดีภูมิใจในหนอนแทะกระดาษของตัวเอง ไม่มีภาคปฏิบัติต้องเพลินเป็นบ้าไปกับความจำว่าเป็นมรรคเป็นผลไปเลย ถ้ามีภาคปฏิบัติจับเข้านี้มันปัดออกทันทีๆ นะ นี่เป็นแผนที่ทางเดิน ๆ ทางนี้ก้าวเรื่อยไป เพราะฉะนั้นความรู้ทางด้านปริยัติที่จดจำมากับความรู้ที่เป็นขึ้นจากความจริงในภาคปฏิบัตินี้จึงผิดกันมากทีเดียว พูดทางภาคปฏิบัติพูดไม่ได้สงสัย ตั้งแต่ธรรมะพื้น ๆ ขึ้นไปถึงวิมุตติหลุดพ้น ไม่มีสะทกสะท้าน เพราะเจ้าของทรงไว้แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจ นั่น มันต่างกันอย่างนี้นะ

การพูดอย่างนี้ถ้าเราไม่ได้เรียน เขาก็จะหาว่าเราเป็นบ้าหมดทั้งโคตรทั้งแซ่หลวงตาบัว อีตาบัวเขาก็จะว่าอย่างนั้น ได้หน้าได้หลังอะไร โคตรพ่อโคตรแม่มันก็ไม่เคยได้เรียนหนังสือ จะไปรู้เรื่องอะไรมันก็พูดป่า ๆ ดง ๆ ไปอย่างนั้น ทีนี้โคตรพ่อโคตรแม่เราไม่ได้เรียน แต่หลวงตาบัวเรียนละซิ มันก็รู้ด้วยกัน แน่ะ มันจึงตีตรงนี้ไม่ได้เพราะเราเรียน การเรียนเป็นกำแพงกั้น เขาจะมาหาว่าเราไม่ได้เรียนไม่ได้ แน่ะ มันก็เอามาเทียบหมดเรียนมากเรียนน้อยภาคปริยัติ เรียนเท่าไรมันก็เข้าใจได้หมด

แม้แต่เทศน์ภาคปริยัติกับภาคปฏิบัติ ผิดกันคนละโลกเลย ภาคปริยัติจะต้องวิ่งตามคัมภีร์เพราะมันไม่มีความจริงในใจพอจะหยิบยกออกมาแสดง มันก็ต้องยืมคัมภีร์วิ่งตามคัมภีร์ไปก่อน คัมภีร์ท่านว่ายังไงท่านสอนยังไงก็อ่านไปเรื่อยอย่างนั้นแหละ ลอย ๆ ไป ท่านว่ามรรคผลนิพพานเราก็ได้แต่ความจำของมรรคผลนิพพาน ตัวมรรคผลนิพพานจริง ๆ เราไม่ได้ มันก็ไม่ถึงใจละซิ ถ้าภาคปฏิบัติจับเข้าตรงไหนว่าสมาธิ จิตเป็นสมาธิ สมาธิขั้นใดจิตเป็นสมาธิขั้นนั้นแล้ว ปัญญาขั้นใดจิตเป็นปัญญาขั้นนั้นแล้ว จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นจิตเป็นไปโดยตลอดทั่วถึงแล้วสงสัยอะไร พูดออกมามันก็ผางเลย ๆ ไม่ต้องวิ่งไปหาคัมภีร์

คัมภีร์จริง ๆ อยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้าในใจของพระอรหันต์ ถอดออกจากใจนี้แล้วก็ไปเป็นคัมภีร์ใบลาน เพื่อให้กุลบุตรสุดท้ายภายหลังได้ไต่เต้าไปตามแบบแปลนแผนผังคือคัมภีร์นี้ทั้งนั้น หลักใหญ่จริง ๆ อยู่ในหัวใจ เวลามันได้เข้าถึงหัวใจแล้วมันไม่ได้ออก-ออกภายนอก ออกไปหาอะไร งมอะไรงมเงา ตามตัวมันได้แล้วไปหาตามรอยมันที่ไหน รอยก็อยู่กับตัวมันแล้ว ธรรมทั้งหมดก็อยู่ที่หัวใจแล้ว จ้าอยู่นั้นแล้วสงสัยที่ไหน ท่านไม่สงสัยนะ อย่างที่เราเทศน์นี้เราพูดจริง ๆ เราไม่ได้อวด ไม่ว่าจะเทศน์กัณฑ์ไหน ๆ จะเอาอะไรมาอ่านทานให้เราฟังเพื่อจะแก้ความผิดพลาดไม่เคยมี อ่านคือพูดเทปมาตลอดหรือพิมพ์มาอ่านให้ฟังตลอดกัณฑ์ เราก็ไม่เคยได้ไปแก้จุดไหน ๆ ว่านี้เทศน์ผิดไปไม่มี นอกจากสัญญามันเข้าตัด อันนี้ใคร ๆ ก็รู้ได้ด้วยกัน

สัญญามันเข้าตัดหลงลืมไป เช่น คนทำบุญให้ทานตายแล้วไปนรกอย่างนี้ นี่เรียกว่าความจำมันเข้าตัด เข้าใจไหม คนอื่นฟังมันก็รู้ เจ้าของก็เรียกว่าความจำมันพลิกไปแล้ว เจ้าของหลงพูดไปอย่างนั้นเข้าใจไหม ไม่ใช่ความจริงพาพูด ความจำพาพูดมันทำให้หลงไป คนอื่นฟังก็รู้ คนทำบุญให้ทานไปนรก คนทำบาปไปสวรรค์อย่างนี้นะ คือจะว่าไปนรกมันกลับเป็นสวรรค์ขึ้นมาเสีย แทนที่จะว่าสวรรค์มันกลับว่าไปนรกเสียอย่างนี้ นี่เรียกว่าความจำ ความจำมันพลิกได้ ๆ อันนี้ใครก็รู้กัน แต่เป็นหลักความจริงมันจะพุ่ง ๆ ของมัน ถ้าความจำพลิกแพลงอย่างนี้มันก็เป็นอย่างนั้น

ศาสนาคงเส้นคงวานะ พี่น้องทั้งหลายให้ทราบทั่วหน้ากัน ไม่มีบกมีบางไม่มีเรียวมีแหลม เสมอต้นเสมอปลาย แต่กิเลสมันคอยตีตลอด มันจะเหยียบศาสนาตลอดไม่ให้มีมรรคมีผล ดีไม่ดีมันก็หลอกคนได้ ใครทำชั่วไปสวรรค์มันจะว่าอย่างนั้น ใครทำดีตกนรกมันจะว่า กิเลสมันหลอกอยู่ตลอด โคตรแซ่ของกิเลสไม่มีโคตรใดแซ่ใดจะพูดตามหลักความจริง จะหลอกทั้งนั้นเลย แต่ธรรมแล้วจริงตลอดเลย นี่มันปีนเกลียวกันอย่างนี้ ฝ่ายกิเลสหลอกตลอด ฝ่ายธรรมจริงตลอด เป็นสองฝั่งรบกันมา วันนี้ก็พูดนานพอสมควร เอาละ

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก