เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๖
ธรรมสำหรับผู้แทน
ตะวันหยุดแล้วที่นี่ ตะวันมันเอียง ๆ ไปทางโน้น ทีนี้หยุดแล้ว พอต้นเดือนมกรา ก็หยุด แล้วต่อมาก็คืน เอียงคืนจากนี้ไป ก็จะเอียงคืนตะวัน มันหมุนแต่ ๖ เดือนเป็นประจำ
เมื่อวานได้ทองคำ ๒ กิโล ๔๐ บาท เราได้ทองคำเพิ่มเข้าอีกหลังจากที่มอบแล้วนั้นเวลานี้ ๓๘ กิโล ๕๒ บาท ๕๐ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๖๕,๖๔๘ ดอลล์ รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๕๙๘ กิโล ดอลลาร์ได้ ๗,๒๖๕,๖๔๘ ดอลล์ อ่านให้ฟังทุกวัน ๆ เพื่อจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นะ พี่น้องชาวไทยเราตั้งแต่นี้เราจะเร่งเครื่องนะ เร่งเครื่องทองคำ ดอลลาร์ เป็นสำคัญมากทีเดียว จุดนี้เป็นจุดอันยิ่งใหญ่สำหรับคนทั้งประเทศ ที่ตั้งความมุ่งหมายไว้แล้วว่า ทองคำให้ได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์อย่างน้อยต้อง ๑๐ ล้าน จุด ๑๐ ตันนี้ขาดไม่ได้ ถ้าไม่อยากให้เมืองไทยเราหัวขาดทั้งประเทศนะ เพราะหัวหน้าออกประกาศแล้ว หัวหน้าคอขาด ลูกน้องก็ต้องคอขาดทั้งหมด ต้องเอากันตรงนี้ให้ได้นะ
(ส.ส.มาหลายจังหวัดครับ) ส.ส.มาหลายจังหวัดเหรอ เออ บรรดา ส.ส.เหล่านี้มีแต่ลูกแต่หลานทั้งนั้นนะ ให้พากันตั้งหน้าปฏิบัติหน้าที่การงานของเรา ชาติไทยเป็นชาติของเรา เราเป็นลูกชาติไทย ให้ต่างคนต่างทำหน้าที่เพื่อพ่อแม่ของเราคือชาติไทย ให้สมบูรณ์พูนผลราบรื่นดีงาม ด้วยความสุจริตยุติธรรม มือสะอาด ใจสะอาด ต่อพี่น้องของเราทั้งประเทศ เราทุกคน ๆ ที่จะได้มาเป็นใหญ่ ๆ นี้ บรรดาพี่น้องทั้งประเทศนั่นแหละยื่นบัตร ๆ ให้เรา จนกระทั่งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นขึ้นมาจากพี่น้องชาวไทยเราทุกคน ๆ หนุนขึ้น ๆ เพราะฉะนั้นเวลาหนุนขึ้นแล้ว ขอให้เฉลี่ยความเป็นผู้ใหญ่ให้เป็นความร่มเย็นด้วยอรรถด้วยธรรม เห็นใจพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศนี้ว่าเป็นผู้ยกขึ้น ทีนี้เฉลี่ยความสุขให้ทั่วถึงกันเป็นอรรถเป็นธรรม
ผู้ใหญ่เราเท่านั้นที่จะนำประเทศชาติบ้านเมือง ให้มีความราบรื่นดีงามแน่นหนามั่นคงต่อไปได้ เช่นเดียวกันกับครอบครัวของเรา ครอบครัวใดที่มีอรรถมีธรรมแล้ว ครอบครัวนั้นจะมีความแน่นหนามั่นคงอบอุ่น ตั้งแต่เด็กเล็กเด็กน้อยถึงผู้ใหญ่ถึงโคตรถึงแซ่ของเรา เป็นโคตรแซ่ที่มีอรรถมีธรรม โคตรแซ่ที่สมบูรณ์พูนผลร่มเย็นเป็นสุข นี่ละถ้าธรรมอยู่ที่ไหนเป็นอย่างนั้นละนะ
เราทั้งหลายเวลานี้ทำหน้าที่แทนประชาชนทั้งประเทศ ทำหน้าที่ของแผ่นดินไทยเรา ให้เป็นไปเพื่อความสมบูรณ์พูนผลทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างให้ทำด้วยความรอบคอบ ให้เอาธรรมคือเหตุผล ว่าควรหรือไม่ควรเข้าไปจับทุกอย่าง ควรทำหรือไม่ควรทำ ผิดหรือถูก สำคัญตรงนี้ ถ้าผิดแล้วอย่าฝืน ให้พิจารณาแยกแยะให้เรียบร้อย การทำหน้าที่การงานเพื่อคนทั้งชาตินี้ เราต้องได้เอาหน้าที่การงานเป็นสำคัญ บวกกับหัวใจประชาชน แล้วดำเนินตามนั้นเลย เราเรียกว่าเป็นลูกน้องของหน้าที่การงานและประชาชน ที่จะก้าวเดินตามประชาชนและหน้าที่การงานที่ถูกต้องดีงาม เพื่อเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั้งชาติ ให้เราต่างคนต่างทำหน้าที่อย่างนั้น
หลวงตาได้สละเต็มที่แล้วสำหรับช่วยชาติบ้านเมืองคราวนี้ หลวงตาไม่เคยได้พูดให้ฟัง นี่บรรดาลูกหลานที่มานี้ได้พูดให้ฟัง เปิดอกเลยอย่างไม่สะทกสะท้าน ใครจะมาโจมตีอย่างไรก็ตามเท่ากับถังขยะ หลวงตาพูดอย่างนี้เลยนะ เรื่องธรรมคือความถูกต้องดีงาม เป็นผลขึ้นมาอย่างเลิศเลอแต่พระพุทธเจ้า พระสาวกทั้งหลาย ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทรงอรรถทรงธรรมแล้วได้รับธรรมคือความเลิศเลอขึ้นมามาสั่งสอนสัตว์โลก เราก็ปฏิบัติตัวของเรามาเต็มกำลังความสามารถตามเข็มทิศทางเดินคือ สวากขาตธรรม ที่ตรัสไว้ชอบแล้ว และได้มาปฏิบัติต่อโลกทั้งหลาย
คราวนี้เราจึงได้ช่วยเต็มเม็ดเต็มหน่วยทุกอย่าง คือเราเอาธรรมกางเลย เราบอกตรง ๆ เลยบอกว่าเราไม่มีคำว่ากล้าว่ากลัว คำว่าได้เปรียบเสียเปรียบ คำว่าแพ้ว่าชนะเราไม่มี ธรรมนี้เหนือทุกอย่างแล้ว จะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ใครผิดใครถูกประการใดจะพิจารณาตามอรรถตามธรรม
เพราะฉะนั้นหลวงตาจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ในสายของธรรมที่สอนโลกมานาน ด้วยเหตุนี้เองบรรดาลูกหลานทั้งหลายก็คงจะได้ยินได้ฟัง ตอนที่หลวงตาออกช่วยชาติบ้านเมือง ทางพุทธศาสนาเอาธรรมออกก้าวเดินล้วน ๆ ๆ ตรงไปตรงมา ๆ เลย ไม่มีอ้อมค้อมไม่มีสูงมีต่ำ อะไรผิดอะไรถูกบอกตามเหตุตามผลความผิดความถูก ให้ท่านทั้งหลายได้นำธรรมนี้ไปปฏิบัติ ถึงไม่ได้แบบพระก็ตาม ขอให้ได้แบบลูกศิษย์ของพระมีแบบมีฉบับ พากันดำเนินอย่างนี้บ้านเมืองของเราจะเจริญรุ่งเรือง บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองจากคนดีนะ ไม่ใช่จากคนชั่ว คนชั่วเหมือนกับไฟ ไปที่ไหนเผาที่นั่น ๆ แหลกเหลวไปหมด คนชั่วเป็นเหมือนไฟ ถ้าไฟในเตาเราหุงต้มมันก็เป็นประโยชน์ อันนี้มันเอาไฟไปเผาบ้านเผาเมืองละซิ มันไม่ได้เอามาหุงต้มแกงอาหาร ความรู้ความฉลาดเอามาเอาไปเผาไฟหมด เอาไปเผาคนทั้งโลก ความฉลาดนั้นเรียนมาศึกษามาทุกอย่างเพื่อจะทำประโยชน์ให้ตนเองและส่วนรวม แต่กลับกลายเป็นไฟไปเผาโลกอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เราอย่านำไฟประเภทนั้นมาใช้ ไปที่ไหนให้เขากราบไหว้บูชา ว่าผู้แทนคนหนึ่ง ๆ เป็นความหมายใหญ่โตมากนะ ทั่วประเทศไทย ๆ ไปที่ไหนให้เขาได้กราบไหว้บูชาผู้แทนคนนี้ดีทางนั้น ผู้แทนคนนี้ดีทางนี้ ผู้แทนคนนั้นดีอย่างนี้ อย่าให้เขาได้ยินว่า ผู้แทนคนนี้ว่าเลวทางนั้น คนนั้นเลวทางนั้น คนนี้เลวทางนั้น รวมทั้งหมดผู้แทนนี้เป็นผู้สังหารชาติอย่าให้ได้ยินนะ ให้จำให้ดีลูกหลานทั้งหลายนะ
นี่ละภาษาธรรมให้ฟังเอานะ พูดอย่างตรงไปตรงมาเรียกว่า ภาษาธรรม เวลานี้หูตามีทุกคน ๆ แม้แต่เด็กอยากเห็นตั้งแต่ของดิบของดีได้ยินได้ฟังแต่ของดิบของดีที่เป็นประโยชน์ เขาก็อยากได้ยินได้ฟัง ไม่อยากเห็นแบบเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวอก ๆ แต่ละคน ๆ แล้วเผาหัวอกคนทั้งประเทศด้วยการชั่วช้าลามากของผู้นำแต่ละคน ๆ เข้าใจ วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละนะ เอาเท่านี้แหละ
ใครนั่งมันก็อยากจ้อเข้ามาแหงนดูแต่หน้าหลวงตาบัวนะ มันไม่งามนะเราดูตลอด ใครมาก็มาจ้อแย่งชิงที่นั่งกัน มาจ้อดูหน้าหลวงตา ดูไม่ได้นะ หลวงตาดูคนประเภทนั้นดูไม่ได้ ให้พากันจำเอานะ กิริยามารยาทอันดีงามมีอยู่ทำไมไม่นำมาใช้ จ้อเข้ามามองดูแต่หน้า ไปนั่งที่ไหนก็ไม่ถนัดมานั่งจ้อดูหน้า ดูไม่ได้นะ ให้จำให้ดี เราดูคนเราดูโดยธรรมนะ อะไรงามไม่งามเราก็รู้นี่ มองดูแย่งชิงที่นั่งไม่ว่าที่ไหน ๆ จะแย่งจะจ้อเข้ามาดูตั้งแต่หน้าเราคนเดียว หน้าเราไม่มีเหรอ หน้าเราไม่มีแล้วเอาหน้าไหนมาดูหน้าคน หน้าพระวะ มันไม่น่าดูนะ เสียมารยาท คนอื่นคนไหนเขามาดูแล้วจะว่า เป็นยังไงลูกศิษย์หลวงตาทำไมเป็นอย่างนี้ เพียงเท่านี้กระเทือนหมดในศาลานี้ มีแต่คนแย่งชิง ดูที่นั่งที่นั่นจ่อเข้ามา ๆ อย่างนี้ มันดูไม่ได้นะ ดูแล้วดูไม่ได้จริง ๆ เราไม่พูดเฉย ๆ ผิดถูกมันมองเห็นมันรู้ทันที ๆ นอกจากไม่พูดเฉย ๆ ให้พองามตาบ้างนะ อย่าลุกลี้ลุกลนไม่น่าดู จ้อเข้ามา ๆ แทรกเข้ามาแซงเข้ามาดูไม่ได้นะ เจ้าของไม่ดูเจ้าของ คนอื่นอยู่ไกล ๆ มองไปเห็น น่าดูไม่น่าดู มองไปมันก็รู้ เจ้าของเป็นผู้ดิ้นอยู่ทำไมไม่ดูเจ้าของบ้างวะ มันน่าดูเมื่อไร โอ้ แทรกนั้นแซงนี้เข้ามา มันอะไรลุกลี้ลุกลน
นี่ที่พระนั่งฉันน้ำร้อนอยู่โรงน้ำร้อนนั่น เห็นเรามาโน้น หน้าศาลาต้นค้อออกมาประตูนั้นช่องนั้น นี่ช่องหนึ่งออกมาจากกุฏิ มีช่องนี้ช่องหนึ่ง ๆ ช่องนั้นช่องหนึ่งเราออกมา แล้วพระนั่งฉันน้ำร้อนอยู่ที่นี่ เราออกมาประตูนั้น พอออกมาเห็นเรานี่แตกฮือเลยเชียวนะ พระนะ พวกถ้วยแก้วกำลังฉัน วางแล้วโดดนี้เตะปึ๋งปั๋ง ๆ โกโก้กาแฟสาดกระจายตามนั้น เจ้าของไปเลยไม่สนใจ แก้วก็กลิ้งตกอยู่ตามนั้นนะไปเลย เราลงไปเราก็ไปโน้น ไปดูนั้นดูนี้นะ ไปไหนเหมือนกัน นี่ก็ลงไปดูน้ำบ่อ ไปดูนั้นแล้วก็ขึ้นมาที่นี่ พอขึ้นมาเข้าไปในครัวเห็นพระอยู่นั้น ๒ องค์หรือไงนะ โฮ่ นี่มันอะไรทั้งกินทั้งสาดทั้งเททั้งเตะทั้งยันหรือทั้งถีบทั้งยันหรือนี่นะ มันเป็นยังไงจึงเป็นอย่างนี้นะ พระมองเห็นท่านอาจารย์แล้ววิ่งหนีหมดเลย เลยไม่ได้ดูอะไร เตะอันนี้กระจัดกระจาย
นั่นเห็นไหม เตะอันนี้กระจัดกระจายแล้วไปเลยไม่ดู นี่กลัวอย่างนี้ก็ไม่มีเหตุมีผล เห็นไหมล่ะ กลัวแบบนี้ใช้ไม่ได้ กลัวแบบสัตว์กลัวนี่ไม่ใช่แบบพระกลัว พระกลัวจะไม่เป็นอย่างนี้ นั่นเห็นไหมเอามาสอนอีก กลัวอย่างนี้เราไม่ต้องการ ต้องกลัวเหตุกลัวผล กลัวอรรถกลัวธรรม เคารพอรรถเคารพธรรม อันนี้กลัวแบบบ้าเราว่าอย่างนั้นเลยนะ ก็เพราะเคยโดนดุมาแล้วนี่ เคยโดนดุเพราะอะไร เพราะผิดมาแล้วใช่ไหมล่ะ ผิดมาแล้วโดนดุมาแล้ว ทั้งดุทั้งเด็ดทั้งอะไรทุกอย่างมาแล้ว เมื่อมองเห็นมันก็ไปอย่างนั้นแหละ เลยไม่คำนึงผิดถูกชั่วดี เตะแก้วก็ช่างหัวมันไปเลย วันหลังค่อยไปหามาใหม่ นี่เป็นยังไง ก็เพราะดุตรงไหนถูกทั้งนั้นนี่นะ ผู้นั้นผิดทั้งนั้น ๆ เอ้า พิจารณาซิ แล้วจะมาหาเรื่องอะไรว่าท่านดุ ๆ ถ่ายเดียว เจ้าของผิดไม่ดูบ้างมันใช้ได้เหรอคนเรา ต้องดูเจ้าของซิ
ถ้าดีแล้วดุหาอะไร ก็หาของดีทั้งนั้นไม่ได้หาของดุนี่ แล้วไปดุหาอะไร อันนี้มันน่าดุมันก็ต้องดุละซิ อย่างที่ว่าตะกี้นี้ลุกลี้ลุกลนดูไม่ได้นะ เสียมารยาทไม่น่าดู ธรรมเป็นของเล่นเมื่อไรยังบอกแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเทียบได้แล้วในโลกนี้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงท้อพระทัยฟังซิน่ะ พระพุทธเจ้าแต่ก่อนท้อพระทัยเมื่อไร ตายเกลื่อนอยู่กับโลกเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดตายเกลื่อนอยู่กับโลกนี้เหมือนกันหมด ตั้งแต่ยังออกไม่ได้พ้นไม่ได้ เหมือนพวกเรานี้แหละ แต่เวลาพ้นไปแล้วกลับมาดูสภาพตัวเองที่เคยเป็นมา และดูสัตว์ทั้งหลายที่เกลื่อนอยู่นั้นเป็นยังไง ท้อพระทัย อันนั้นเลิศขนาดไหนพอพ้นไปได้แล้ว เลิศขนาดไหน นั่นฟังซิ เราเอามาพิจารณาซิ ความเลิศขนาดไหนกับเลวขนาดไหน สะอาดขนาดไหนสกปรกขนาดไหนมาเทียบกันบ้างซิ อย่างที่เขาตกแต่งอะไรต่ออะไร เราดูไม่ได้เราพูดจริง ๆ ตาเราเพียงเท่าตาหนูนี้มันก็ดูไม่ได้นะ ไปที่ไหนมีแต่ตกแต่งภายนอก ๆ ดูอยู่ตลอดเวลา
ยิ่งเวลาเราไม่อยู่นี่ เราออกไปไหนมาไหนนี้จะจัดนั้นทำนี้ ปลูกนั้นปลูกสร้างนี้ยุ่งไปหมดนะ ครั้นเวลาเรามาทำไม่ได้เราขนาบเอานี่ ก็มันขวางธรรมตลอดเวลา อะไรจะสะอาดยิ่งกว่าหัวใจสะอาด นี่ที่เอาวัดกันนะ ไปไหนก็ดูเถอะน่ะ หัวใจสะอาดนี้จ้าไปหมดเลยครอบโลกธาตุ นี้เราประดับประดาตกแต่ง มันก็เหมือนตกแต่งกองมูตรกองคูถ เอ้า ตกแต่งแบบนี้ ๆ กองมูตรกองคูถกองนั้นนะ ตกแต่งให้มันสวยมันงามที่ไหน กลิ่นมันก็เหม็นเท่าเดิม กองคูถก็กองคูถเท่าเดิม มันวิเศษวิโสอะไร อันนี้เรื่องของกิเลสตกแต่งตัวเองมันก็แบบเดียวกันนั่นเอง มันดูหน้าดูได้ที่ไหน อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี ไม่มีคำว่าดี ลงกิเลสแล้วไม่พอ ตกแต่งนั้นตกแต่งนี้ดูตั้งแต่ภายนอกดิ้นตามกิเลส ไม่ได้ตกแต่งหัวใจ สถานที่ที่เป็นความพออยู่ที่นี่ ไม่ได้สนใจตกแต่งตรงนี้ ตกแต่งตรงนี้ให้ดีแล้วดีไปหมดเลยนะ
ไปที่ไหนก็รู้ตามสภาพ ๆ ของมันเสียเพราะอันนี้เลยทุกอย่างแล้ว มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ไปที่ไหนเห็นแต่ดีดแต่ดิ้นตกแต่งนั้นตกแต่งนี้ ตัวหัวใจเจ้าของผู้มันดีดมันดิ้น เพราะกิเลสยันหัวมันให้ดิ้นนั้นไม่ดูเลย อันนี้แหละที่มันเสียมากนะ
นี่ละชาวพุทธเรามันไม่มีพุทธอยู่ในนี้เลยนะ แม้แต่พระหัวโล้น ๆ ท่านเหมือนกันเราเหมือนกัน มันไม่ได้ดูหัวใจเจ้าของ ถ้าดูหัวใจเจ้าของแล้วมันจะรู้ดีรู้ชั่วทุกอย่าง ทันทีทันใดรู้ไปเรื่อย ๆ นะ อันนี้ไม่มีใครดูหัวใจเจ้าของ ตัวดีดตัวดิ้นตัวสกปรกสุดยอดอยู่ที่หัวใจที่สกปรกนะ เพราะกิเลสตัวสกปรกอยู่ที่นั่น ไปที่ไหนมันถึงดีดถึงดิ้น แสดงตั้งแต่ความสกปรกไปเพื่อความสะอาดของมันนั้นแหละ อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดีตกแต่งให้สดสวยงดงาม ไปไหนงามหมดงามเรื่องของกิเลส สายตาของธรรมมองดูเหมือนงามด้วยกองขี้นั่น มันงามอะไรมันสวยอะไร ถ้าว่าทุกข์ทั้งหลายนี้มันก็แบบกันกับมูตรคูถ มันคลุกมันเคล้า มันลืมเนื้อลืมตัว มันไม่เข็ดไม่หลาบในกองทุกข์ทั้งหลายที่บีบบี้สีไฟหัวใจตลอดเวลานะ ธรรมดูรู้หมดนี่จะว่ายังไง มันขนาดนั้นนะพวกเรา
เวลานี้ศาสนาจะไม่มีบอกตรง ๆ อย่างนี้นะเรา คนเดียวนี้ใครจะว่าบ้าก็ตามมันเห็นจะไม่ว่ายังไง มันเห็นมันรู้ พูดตามความรู้ความเห็นผิดไปไหนวะ ไม่รู้ก็บอกไม่รู้ พูดไม่ได้ไม่รู้ ถ้ารู้แล้วอดได้เหรอ ใครจะปิดไว้ไม่ให้พูด มันพูดได้ทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าเห็นไหมตรัสรู้ปึ๋งนี้เทศน์สามแดนโลกธาตุ แต่ก่อนพระองค์พูดที่ไหนเทศน์ที่ไหนวะ สาวกทั้งหลาย สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราก็แบบเดียวกัน เมื่อถึงขั้นรู้ขั้นเห็นแล้วมันปิดไม่อยู่ยังบอกแล้ว
นี่แหละธรรมที่เลิศเลอเป็นอย่างนั้นในหัวใจ แต่ท่านไม่ดีดไม่ดิ้นเหมือนกิเลสนะ กิเลสนี้มีแต่ดีดแต่ดิ้นหาความสุขในโลกนี้ไม่มี หาด้วยอำนาจของกิเลสตายทิ้งเปล่า ๆ ท่านทั้งหลายอย่าเข้าใจว่าจะไปเจอความสุขที่ไหนนะ ตายทิ้งเปล่า ๆ นั่นแหละ ถ้าหาด้วยธรรมนี้เจอไม่มากก็น้อย พอซุกหัวนอนได้ละวันหนึ่ง ๆ เพราะมีธรรมเข้าแทรก มีธรรมเป็นที่ยึดที่เกาะ ถ้าไม่มีธรรมแล้วตายทิ้งเปล่า ๆ นั่นแหละ
ต่างคนต่างดีดดิ้นทั่วแดนโลกธาตุ ใครได้ความสุขเอามาอวดกันมีไหมไม่มี พระพุทธเจ้าผางขึ้นมาเท่านั้นพระองค์เองอวดทันที พระสาวกแต่ละองค์ อวดขึ้นได้ทันทีเลย เลิศเลอตลอด ๆ ทั่วกันไปหมด นั่น ธรรมเป็นอย่างนั้นนะ เกิดขึ้นที่หัวใจดวงใดเลิศเลอ คลังแห่งความสุขอยู่ที่นั่น บรมสุขอยู่ที่นั่น อยู่ที่หัวใจท่านผู้ดัดแปลงแก้ไขได้ ชำระล้างได้ พวกเรามีแต่สั่งสมความสกปรกโสมมเข้ามาเต็มหัวใจ ไปที่ไหนเกลื่อนไปด้วยความสกปรก แล้วว่าสะอาดอย่างนั้นสะอาดอย่างนี้ สะอาดขี้หมาอะไรก็ไม่รู้ ตาก็มีมันก็ไม่ดู ตาใจมันมืดดูสักสิบร้อยตามันก็ไม่เห็นแหละ ถ้าลงตาใจสว่างเสียตาเดียวไม่ต้องหาตาที่ไหนมาดู มันเห็นหมดนั่นแหละจะว่ายังไง ใจดวงนี้เป็นใจที่เลิศเลอสุดยอดเมื่อปฏิบัติให้เลิศเลอ ถ้าเลวก็เลวสุดยอดเมื่อวิ่งตามกิเลสที่มันบีบบี้สีไฟอยู่ที่ใจนั่น ตัวนั้นละตัวสกปรกสุดขีดของมัน ครอบหัวใจใดจึงดีดจึงดิ้น แล้วหาความสุขมาอวดกันได้ยังไง ไม่มีความสุขในโลกของกิเลสนี้อย่าเข้าใจว่ามี พูดให้ฟังอย่างชัด ๆ
หาจนกี่กัปกี่กัลป์ก็เกิดตาย ๆ แบกหามแต่กองทุกข์นี้ตลอดไปนะ ถ้าหาด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วมีแง่ที่จะเล็ดลอดออกได้ ๆ ไม่สงสัย นี่เคยพูดให้ฟังแล้วเป็นข้อเทียบเคียงเสียด้วย ขอให้ฟังให้ดี คลองใหญ่ ๆ ผ่านอย่างนี้นะ นี่เทียบกันแล้วก็คลองใหญ่ ๆ นี้คือใจ ฝั่งคลองทางนั้นคือกิเลส ฝั่งคลองทางนี้คือธรรม ตัวคลองนั้นคือหัวใจ คือทั้งธรรมและกิเลสติดอยู่กับหัวใจด้วยกัน ฝ่ายกิเลสก็แสดงอำนาจตามฤทธิ์ของกิเลสที่ออกจากหัวใจ ทำสัตว์โลกให้เดือดร้อนวุ่นวาย ฝ่ายธรรมมีอำนาจมากน้อยก็แสดงฤทธิ์ออกมากำจัดกิเลส ชำระกิเลส นำความสุขให้มีแก่โลกตลอดมา
เพราะฉะนั้นสายแห่งความสุข สายแห่งความทุกข์นั้นจึงมี สายแห่งความสุขสายแห่งความหลุดพ้นจากทุกข์ คือสายแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ที่เดินตามสายมานี้ ฝั่งนี้ ๆ เป็นฝั่งของพระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้มาตั้งแต่พระองค์แรก จนกระทั่งสุดท้ายแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แต่ไม่มีสุดท้ายนะสุดท้ายไม่มี เรื่อยไปอย่างนี้แหละ
นี่แหละสายทางที่ฉุดลากสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์คือฝั่งนี้ ฝั่งแห่งธรรมนี้จะดึงสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นมากน้อยไปจากฝั่งนี้แหละ ฝั่งแห่งธรรม ฝั่งของกิเลสดึงลงตลอด ๆ ๆ เป็นข้าศึกกันมาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้จึงต้องมาเป็นแบบเป็นฉบับ มาตามฝั่งเดียวกัน ๆ ฝั่งนั้นฝั่งกิเลสฝั่งนี้ฝั่งธรรมปราบกิเลส ชะล้างกิเลส พระพุทธเจ้าตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาก็มาฝั่งนี้ ๆ เรื่อยไป ๆ นี่ละที่เป็นคู่ชะคู่ล้างซึ่งกันและกัน เป็นคู่เดือดคู่แค้น ถ้าว่าเดือดแค้นก็ดีนะ ก็มี ๒ อย่าง มีกิเลสกับธรรมอยู่ในลำคลองอันเดียวคือหัวใจ ส่วนมากมีแต่ฝ่ายกิเลสตีตลอดเวลา ธรรมจนจะงอกเงยไม่ได้ ๆ เพราะฉะนั้นโลกจึงหาความสุขไม่ได้ ถ้าธรรมมีเจริญขึ้นทางฝั่งของธรรม เพราะได้รับการบำรุงส่งเสริมแล้วจะค่อยเจริญรุ่งเรือง ๆ แล้วกิเลสจะค่อยอ่อนตัวลง ๆ คนนั้นจะมีความสุข พอกิเลสมุดมอดไปหมดเลย ธรรมเหยียบแหลก นั่นบรมสุข มีเท่านี้
ท่านทั้งหลายหาความสุข หาความหลุดพ้นจากทุกข์หรือบรรเทาทุกข์ อย่าไปหาตามอำนาจของกิเลสจะไม่เจอ จนกระทั่งกัปไหนกัลป์ใดเลย ถ้าหาตามอำนาจของธรรม ทุกข์ลำบากขนาดไหน เอ้า บืนตามอรรถตามธรรมมีทาง ยังไงจะหลุดพ้น มีธรรมเท่านั้นที่จะลากเข็นสัตว์โลกให้ขึ้นจากกองทุกข์ได้ เรื่องกิเลสไม่มี มีเท่าไรลากจมลง ๆ เพราะฉะนั้นเราอย่าหวังพึ่งอะไร ๆ นอกจากธรรมคือความดีงาม ให้นำมาปฏิบัติแก่ตัวเองนะ โลกธาตุนี้ไม่มีความหมายอะไร มีแต่กิเลสกับจิต กิเลสกับธรรมอยู่ในใจฟัดกันอยู่ตรงนี้ แก้กันตรงนี้ได้แล้วไม่ต้องหาความสุขได้ตรงนี้ ถ้าไม่แก้ จมก็คือตรงนี้เอง จำให้ดีนะ เอาละ วันนี้พูดเพียงเท่านั้นละ
อ่านและฟังพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com
|