เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๒๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [เช้า]
หัวใจเราอิ่มแล้วด้วยธรรม
วันนี้อย่าให้เทศน์เถอะเหนื่อยมากนะ ตอนบ่ายนี้ก็จะไปเทศน์นครชัยศรีอีก เทศน์นั้นแล้วตอนเย็นก็ที่กุฏิอย่างนั้นตลอด มันไม่ไหวนะ หนัก เหนื่อยมาก เมื่อวานไม่ได้เทศน์แต่ก็ยุ่งอยู่อย่างนั้นแหละไม่มีวันว่างเลย เทศน์วันหนึ่งหลายครั้งหลายหน เหนื่อยมากนะการเทศน์ ใครไม่เคยก็ลองดูซิน่ะเทศน์นี่เป็นของเล่นเมื่อไร เทศน์นี่มีอันตรายหลายด้านนะของเล่นเมื่อไร เทศน์ไปเรื่อยๆ ก็อันตรายเจ้าของ เหนื่อยมากๆ อันตรายไปทุกวัน เทศน์ไปมากมันก็เป็นอันตรายเหมือนหลวงตาองค์หนึ่ง มีในชาดก นี่เป็นอันตรายอันดับสองสำคัญมากนะ
ในครั้งพุทธกาลเวลากลางคืน พระสารีบุตรท่านเทศนาว่าการสอนประชาชน ต่างคนต่างยิ้มแย้มแจ่มใสลงมาคุยกัน เรื่องท่านเทศน์ซาบซึ้งอะไรๆ ฟังไป ก็มีหลวงตาองค์หนึ่งเดินมาแล้วมาฟังเขาพูดชมเชยพระสารีบุตรในการเทศนาว่าการ ละเอียดลออลึกซึ้ง ซาบซึ้งใจมากว่างั้น พอเขาพูดจบลง หลวงตาองค์นี้ก็ขึ้นปึ๋งเลย นักเทศน์องค์นี้น่ะ โอ๊ย พวกท่านทั้งหลายได้ฟังเทศน์พระสารีบุตรเพียงเท่านั้นก็ขนาดนั้นแล้ว หากได้ฟังเทศน์อาตมานี้จะเป็นยังไงไม่รู้นะ นั่นดูซีเอาเชือกมามัดคอเจ้าของ เขาก็จ้อแล้วที่นี่นะ
ฟังเทศน์พระสารีบุตรเท่านั้นก็ว่าไพเราะเพราะพริ้งซาบซึ้ง หากได้ฟังเทศน์อาตมาแล้วจะเป็นยังไงไม่ทราบแหละ ทีนี้เขาก็พันเข้าล่ะซี เขานิมนต์มาเทศน์ อย่างนั้นตอนเย็นนี้ก็นิมนต์ให้ท่านมาเทศน์ เอาละนะที่นี่ ถูกเขามัด หลวงตาองค์เทศน์เก่ง ๆ แข่งพระสารีบุตรน่ะ พอถึงตอนเย็นเขานิมนต์ให้มาเทศน์ ท่านติดแล้วนะ เปลาะหนึ่งแล้ว มัดเข้าไปเปลาะหนึ่งแล้ว ตอนนี้อาตมายังไม่ว่าง ตอนค่ำนี้อาตมายังไม่ว่าง จะเทศน์ให้ตอน ๔-๕ ทุ่ม วันนั้นดูเหมือนเป็นวันพระ ดูว่างั้นนะ ตอนค่ำประมาณ ๒ ทุ่ม ๓ ทุ่มนี้ อาตมาเทศน์ไม่ได้แหละ อาตมาไม่ว่าง อาตมาให้องค์อื่นไปเทศน์เสีย อาตมาจะเทศน์ตอนดึกกว่านั้นไป เขาก็ให้องค์อื่นมาเทศน์ พอถึงเวลาเขาก็ไปเอามาอีก ก็บอกไม่ว่างอีก ติดเข้าไปเรื่อยนะ ในตำราบอก
ถึงเวลานั้นก็เลื่อนไปอีก ขอเทศน์ตอนจวนสว่าง ขอไปจนสามเปลาะสี่เปลาะจนกระทั่งถึงเทศน์ตอนตี ๔ ในตำราน่าจะมีฟังเทศน์ตลอดรุ่งในงานท่า อาตมาจะเทศน์ตอนตี ๔ จวนใกล้รุ่งแล้ว ว่างั้น เขาก็ปล่อยไป เอาองค์อื่นขึ้นไปเทศน์แทน พอถึงเวลาแล้วเขาก็ไปนิมนต์อีก จ้อมาเลยคราวนี้ จวนสว่าง มาแล้วเขาก็ไล่ขึ้นธรรมาสน์ ไม่มีทางออกว่าไง มันจวนสว่าง ขึ้นบนธรรมาสน์ พอขึ้นไปบนธรรมาสน์แล้วก็ไปนั่งตัวสั่นอยู่บนธรรมาสน์ เขานิมนต์ให้เทศน์แล้วก็นิ่ง มีแต่นั่งตัวสั่น อ้าว ทำไมไม่เห็นได้เทศน์ล่ะหลวงตา เลยนั่งตัวสั่นเทศน์อะไรไม่ได้ เขาก็เอาก้อนดินปาขึ้นไปล่ะซี ปาขึ้นไปบนธรรมาสน์ โดดลงธรรมาสน์ วิ่งลง ตำราว่าอย่างงั้น มันน่าพูดท่านถึงจะนำมาพูดให้พวกเราฟังนะ
โดดลงธรรมาสน์ เขาก็ไล่เลย เหมือนวัวเหมือนควายไล่กันนะ ไล่ไปวิ่งไปตกส้วมตกถาน ตกถานเขาเอาก้อนดินสุมลงไปนั้น ป่านนี้ขึ้นถานแล้วยังก็ไม่รู้นะ เอาละพอ อ้าว มีอย่างงั้นในตำรา ก็จะหาใครมาผลัดมาเปลี่ยนให้เราก็ไม่ได้ เดี๋ยวเราจะเป็นคนตกถานเอง จะว่าไง ก็เทศน์มาทุกวันๆ มันจะตายแล้วนะ นี่พูดถึงหลวงตา อยากให้เขายกยอตัวเอง อย่างนั้นแหละเรื่องกิเลสไปไหน มันหากขวางเลย เรื่องอยากอวดดิบอวดดี อยากให้เขาเคารพนับถือยกย่องสรรเสริญ ทั้ง ๆ ที่เทศน์ไม่เป็นก็ไปอวดตัว เมื่อเขาได้ยินเทศน์พระสารีบุตรและชมเชยพระสารีบุตรว่า การเทศนาว่าการไพเราะเพราะพริ้ง ซาบซึ้งทุกอย่าง ก็อย่าอวดตัวเข้าไปซิ เวลาเขาตามมัดเอานี่ตกถานเห็นไหมล่ะ
นั่นน่ะอยากดีอยากเด่น แต่ไม่ดีไม่เด่น อยากรู้อยากฉลาด แต่โง่เหมือนหมาตาย มันก็มาโดนเอาเจ้าของล่ะซิ ขายหน้ามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตำราเล่มนี้ใครไปอ่านก็จะเห็นอย่างนั้น ๆ นี่ความอยากโอ้อยากอวด ทำท่าอยากดิบอยากดี ทั้ง ๆ ที่เลว จะให้ใครไปชมว่าดีได้ยังไง คนเลว คนไม่ดีจะให้เขาว่าดีได้ยังไง คนชั่วให้เขาว่าดีได้ยังไง นั่น หลักเกณฑ์มันก็มีอยู่นั้น นี่พูดถึงเรื่องนิทาน เราก็เทศน์มามากต่อมาก มันเหนื่อย ว่าเทศน์ได้ไม่ได้เราก็ไม่ว่าแหละ มันเหนื่อย มันหมดกำลังวังชา
วันหนึ่งเทศน์หลายกัณฑ์ ๆ ไม่ใช่น้อย ๆ เท่าที่เทศน์มานี้ เฉพาะออกช่วยพี่น้องชาวไทยนี้ก็เป็นเวลาร่วม ๕ ปีแล้วนี่ เทศน์ร่วม ๕ ปี เทศน์ไม่หยุดไม่ถอยทั่วประเทศไทย ใช้ร่างกายนี้เป็นเครื่องมือตลอดมา มันก็เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ร่างกายมันก็ทรุดลงไป เทศนาว่าการก็ไม่สะดวกไปเรื่อย ๆ อย่างทุกวันนี้เทศน์หลงหน้าหลงหลังแล้วนะ เริ่มแล้ว บางทีกำลังเทศน์ไปๆ หายเงียบไปเลย ต้องถามขึ้นมาข้างหลังเสียก่อน อ้าว ตะกี้นี้เทศน์เรื่องอะไรล่ะ คือมันจำไม่ได้แล้ว เทศน์ไป ๆ ตัดปุ๊บหายเงียบ ระลึกไม่ได้เลยว่าเทศน์เรื่องอะไร แล้วจะต่อไปยังไง อย่างนั้นก็เริ่มมีแล้วนะปีนี้
เราไม่เคยมี การเทศนาว่าการจะเทศน์ขนาดไหน หนักเบามากน้อยเพียงไรก็เรื่อยไปเลย แต่เวลานี้มันไม่เรื่อยละ เทศน์ไป ๆ สัญญาอารมณ์มันตัดหลงเลย ไม่ทราบว่าเทศน์เรื่องอะไร หายเงียบ แล้วก็ตั้งใหม่ พอตั้งใหม่จะได้ถ้อยได้ความ เอา ตัดอีก นี่แหละมันกลายเป็นเรื่องวกวนไปเลยเดี๋ยวนี้ นี่สัญญาอารมณ์ สัญญาอารมณ์เรื่องขันธ์ ๕ นี่เป็นเครื่องมือสำหรับเทศนาว่าการของธรรม ธรรมบ่งออกมาหาร่างกาย เสียงก็เป็นเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ความคิดความปรุงก็เป็นสังขารขันธ์ สัญญาก็เป็นสัญญาขันธ์ ใช้ขันธ์ ๕ นี้ออกเทศนาว่าการ ทีนี้ขันธ์ ๕ มันชำรุด เช่นความจำเสื่อม มันก็หลงหน้าหลงหลัง ถ้าร่างกายไม่ดี เสียงไม่ดี พูดก็ไม่ชัด ดีไม่ดีเทศน์ไม่ได้ เสียงไม่ออก นี่เขาเรียกว่าธาตุขันธ์ชำรุด
ส่วนจิตใจไม่มีวัย ธรรมไม่มีวัย ถ้าเครื่องมือดี คือสังขารร่างกายของเรานี้ดี ก็ใช้งานได้สะดวก อย่างเทศนาว่าการก็ได้สะดวก ไม่ต้องเป็นกังวล แต่เวลานี้มันไม่เป็นอย่างนั้น ที่เทศน์เลยมาเป็นกังวลกับความหลงลืมของตัวเองเสีย แทนที่จะคิดอ่านเรื่องการเทศนาว่าการมันไม่ได้ไป มันย้อนเข้ามาหาความขัดข้องในธาตุในขันธ์เรา เทศน์ไป ๆ หลงลืมไป ๆ อย่างงั้นเวลานี้ เพราะฉะนั้นถึงได้เตือนพี่น้องทั้งหลายให้เห็นแก่ชาติของตนนะ ไม่มีอะไรใหญ่ยิ่งกว่าชาติไทย อยู่มาได้ด้วยชาติไทยทั้งชาติ มีความกลมกลืนสามัคคีกัน มีความรักชาติ ก็เหมือนเรารักลูกของเรานี่ รักลูกสงวนลูก บำรุงรักษาลูก สัตว์เขาก็เป็นเหมือนคน สัตว์เขาก็รักลูก บำรุงรักษาลูก หึงหวงลูก ใครมาแตะต้องไม่ได้ เลี้ยงดูลูกจนใหญ่โต สัตว์เขาเป็นอย่างนั้น
ทีนี้มนุษย์เราเกิดมาก็มีลูก ต่างคนก็เคยมีลูก ต่างคนก็เคยรักลูก สงวนลูก รักษาป้องกันลูก เลี้ยงดูลูกมาตลอดทั่วหน้ากันอยู่แล้ว จึงไม่มีใครสงสัย แต่นี้เราอยู่ในชาติไทย คำว่าชาติไทยใหญ่โตมากทีเดียว ที่เราทุกคนจะต้องรักชาติไทยของเรา เมื่อรักชาติไทย อะไรเป็นหลักแห่งการรักชาติไทย ไม่ให้เอนเอียงล่มจมไปไหน ก็คือการรักษา การปฏิบัติ การบำรุง นี่สำคัญมาก รักเฉยๆ ไม่สนใจปฏิบัติบำรุงรักษา ความรักก็ไม่เกิดประโยชน์ แน่ะ ให้ทำเหมือนเรารักลูกเต้าของเรา เมื่อรักแล้วก็จงดูแลรักษาด้วยความเอาใจใส่ทุกสิ่งทุกอย่าง เจ็บหัวตัวร้อน พ่อแม่ต้องเป็นภาระมากยิ่งกว่าผู้อื่นใด เป็นผู้บำรุงรักษาลูกตลอดไป
นี่บ้านเมืองของเราเวลานี้กำลังเจ็บหัวตัวร้อน ชำรุดทรุดโทรม สมบัติเงินทองข้าวของที่เคยเป็นที่พึ่งที่อาศัยให้ได้รับความร่มเย็น มาแต่เก่าแก่ ตั้งแต่ปู่ย่าตายายซึ่งพาตะเกียกตะกายมา ก็ได้รับความสงบร่มเย็น มีหน้ามีตาเสมอเพื่อนบ้านเขาตลอดมา แต่เมื่อมาถึงขั้นถึงตอนที่เกิดความจำเป็น อุปสรรค ขาดแคลนเงินทองข้าวของสมบัติเครื่องใช้ซึ่งเป็นเครื่องหนุนชาติให้แน่นหนามั่นคง บกพร่องไป ๆ จนกระทั่งถึงจะทำให้เมืองไทยเราล่มจม เพราะเหตุใด ความล่มจมก็เพราะขาดแคลนสิ่งที่อุดหนุนชาติไทยให้มั่นคง ค่อยสึกหรอไป ๆ สุดท้ายก็จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวแห่งชาวไทยเรา
เข้าไปดูคลังหลวง หลวงตาเองเป็นผู้ไปดู จึงไม่สงสัยเป็นอย่างอื่นอย่างใด เมื่อเอาทองคำไปมอบเข้าคลังหลวงแล้ว หัวหน้าคลังหลวงท่านก็นิมนต์ให้เข้าไปดูทองคำในคลังหลวง เขาบอกว่าในคลังหลวงนี้มีหลวงตาองค์เดียวกับสมเด็จพระเทพฯ เท่านั้น ที่ได้เข้าดูทองคำในคลังหลวงโดยเฉพาะ นอกนั้นไม่เคยมีใครเลย รักษาไว้อย่างเข้มงวดกวดขัน นี่เป็นคำพูดของหัวหน้าธนาคารชาติหรือว่าคลังหลวงพูดให้ฟัง พร้อมกับนิมนต์เราเข้าไปดูทองคำ ในวันที่เราไปมอบทองคำเป็นครั้งแรกนั้นแหละ เราก็ได้เข้าไปดู ไปดูด้วยความละเอียดถี่ถ้วนทุกสิ่งทุกอย่าง
ถามบ้านนั้นเมืองนั้น ด้วยความคิดเดาเอาของเรา ยังไม่ได้เคยถามใครแหละ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวโยงกัน เมืองเราเมืองเขาเกี่ยวโยงกันด้วยการซื้อการขาย ไปมาหาสู่ ติดหนี้ติดสิน ต้องอาศัยทองคำนี้เป็นเครื่องประกันตัวไว้ในประเทศนั้น ๆ ที่ไปติดต่อซื้อขายกับเขา เราจึงถามไปตามแถวแนวนั้นแหละ ถามก็ตรงเป๋งเลย เมืองนั้น ๆ ๆ ได้เอาทองคำไปประกันตัวไว้ ฝากไว้บ้างไหม เมืองนั้นเป็นยังไงบ้าง เขาบอกตามตรงเลย เมืองนั้นฝากไว้เท่านั้นๆ คือฝากไว้สำหรับเป็นตัวประกันของชาติไทยเรา เมื่อมีการติดต่อซื้อขาย ติดหนี้ติดสินกัน ก็ต้องเอาทองคำเป็นเครื่องประกันเอาไว้ การซื้อขายก็สะดวก การไปมาหาสู่อะไรๆ ก็สะดวก เป็นที่ไว้ใจซึ่งกันและกัน จากทองคำที่เราไปมอบไว้แล้วในเมืองนั้น ๆ
ถามไปเมืองไหนเขาก็ตอบตามถาม ไม่คลาดเคลื่อนไปนะ เหมือนหนึ่งว่าเราก็เป็นนักปกครองบ้านเมือง เราไม่เคยเกี่ยวข้องกับนี้ เวลาถามไปไหนจุดไหนถูกจุดนั้น ๆ เลย เมืองนั้นฝากไว้เท่านั้น ๆ ล้วนแล้วตั้งแต่ทองคำทั้งนั้น ที่โกยออกจากเมืองไทย เรานี้ไปฝากไว้เมืองนั้น ๆ เพื่อประกันชาติไทยของเราโดยตรง นี่ละเมื่อถามเมืองนั้นเมืองนี้เรียบร้อยแล้ว ก็ย้อนเข้ามาถามเมืองไทยเรา ว่าเวลานี้เมืองไทยเรามีอยู่เท่าไรล่ะ ทองคำนี้น่ะ ว่างั้น บอกว่ามีเท่านั้น ใจของเรารู้สึกว่าวูบลงไปทันที เพราะเหตุไร เพราะทองคำที่เรามีอยู่นี้กับคนทั้งประเทศตั้ง ๖๒๖๓ ล้านคนนี้มันเข้ากันไม่ได้
คือทองคำเครื่องประกันชาติทั้งชาติมีเพียงเท่านี้นั้นรู้สึกว่า ถ้าเป็นคนก็เรียกว่าว้าเหว่มาก ลูกก็ว้าเหว่ไม่มีพ่อมีแม่ให้ความอบอุ่น เป็นเพื่อนเป็นฝูงก็ว้าเหว่ ไม่มีเพื่อนฝูงเป็นเพื่อนคุย เพื่อนพึ่งเป็นพึ่งตาย อาศัยซึ่งกันและกันได้ มีแต่ความว้าเหว่ มองไปที่ไหนมีแต่ความว้าเหว่ มองไปทั่วประเทศไทยเรา ๖๒ ล้านคน ขอบเขตของประเทศไทยเรากว้างแคบขนาดไหน มีแต่ความว้าเหว่ด้วยทองคำ ซึ่งเป็นลมหายใจของชาติได้บกบางลงมาก แทบจะได้ยืมลมหายใจกัน คนนี้ยืมลมหายใจคนนั้น คนนั้นยืมลมหายใจคนนี้ เพราะลมหายใจที่จะสูดเข้าสู่ปอดเรามันไม่มีพอ ต้องหยิบยืมลมหายใจกัน
เมื่อเทียบแล้ว เมืองไทยเรานี้ขาดทองคำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เท่ากับชาติไทยของเรานี้ขาดลมหายใจกันทั้งชาติ ถ้าเป็นเรื่องหยิบยืมกันแล้ว วิ่งวุ่นไปหมดนะเมืองไทยเรา หยิบยืมลมหายใจกันมาหายใจ แต่นี้เราก็พอหายใจได้ฟอด ๆ แฟด ๆ ตั้งแต่หลังจากจะได้ทราบชัดเจนมาแล้ว และกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ย่ำยีตีแหลกชาติไทยของเรา พี่น้องทั้งหลายก็ทราบได้ด้วยกัน ใครจะเรียนมากเรียนน้อย เรียนสูงเรียนต่ำ ความเกี่ยวโยงแห่งความรับผิดชอบ ความกระทบกระเทือนทั้งหลายมีอยู่ในเมืองไทยด้วยกัน มันต้องทราบด้วยกัน เป็นยังไงเมืองไทยเรา อยู่ ๆ ก็จะจม
พอเขาพูดถึงเรื่องความติดหนี้ติดสินพะรุงพะรัง เพราะอะไรจึงติดหนี้เขา ก็สืบทราบไปเรื่อย ๆ มันมีแต่ความบกพร่องของผู้ปกครองกิจการบ้านเมืองเป็นลำดับลำดา ไม่ค่อยจะเป็นความแน่นหนามั่นคง จะว่ารอบคอบไม่รอบคอบก็แล้วแต่เถอะ ถ้าว่ารอบคอบ ทำไมสมบัติเงินทองมีมาดั้งเดิมพอสมควร พออุดพอหนุนกันมา มันถึงล่มจมลงได้ ถ้าฉลาดต้องหนุนขึ้นให้แน่นหนามั่นคง มันสะอาดหรือมันสกปรก การปกครองบ้านเมืองในนามเราเป็นหัวหน้า มันก็อดคิดไม่ได้ทั้งประชาชน แม้แต่เราอยู่ในป่าก็อดคิดไม่ได้ เวลามากระเทือนเหตุการณ์อย่างหนักนี่แล้ว ถึงได้ร้องโก้กทีเดียว ถึงได้ออกมาช่วยพี่น้องชายไทยเรา
เราไม่ได้ออกมาด้วยความลุกลี้ลุกลน ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความต้องการชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ชมเชยว่าหลวงตาบัวเก่ง เราไม่มี แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราก็ไม่เคยมี เรามีแต่การปฏิบัติต่ออรรถต่อธรรมด้วยความเต็มอกเต็มใจตลอดมา เมื่อเรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างนี้เพราะความกระทบกระเทือน จากสมบัติที่ขาดหัวใจพี่น้องทั้งหลายไป สมบัติในคลังหลวง ทองคำในคลังหลวงขาดไป ๆ กระเทือนมากขึ้น ๆ นี่ละเหตุที่ได้ประกาศก้องขึ้นมา หลังจากเข้าไปดูทองคำในคลังหลวง และทราบจำนวนของทองคำในคลังหลวงเราแล้ว ว่าเป็นเครื่องประกันชาติไทยของเรา แต่มีเพียงเล็กน้อย ไม่สมชื่อสมนาม น้ำหนักเข้ากันไม่ได้เลย ทองที่เหลืออยู่ในคลังหลวง กับพี่น้องชาวไทยมีน้ำหนักเท่าไร และลมหายใจของคนทั่วประเทศมีน้ำหนักเท่าไร
นี่เข้ากันไม่ได้เลย นี่ละจึงได้ร้องโก้ก และประกาศขอรบกวนพี่น้องทั้งหลายตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ เพื่อสูบลมหายใจเข้าสู่ปอดให้เต็มปอด ไม่เต็มก็ขอให้โล่งปอดก็ยังดี เมื่อเราได้ทองคำซึ่งเป็นลมหายใจของชาติเพิ่มเติมเข้าไป การหายใจของพี่น้องชาวไทยก็จะค่อยโล่งไป ๆ ให้พึงทราบว่าทองคำนี้คือลมหายใจของชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนี้หมดเลย ไม่ไปไหน พวกทองคำกับดอลลาร์เคียงข้างกันไป เป็นลมหายใจของพี่น้องชาวไทย การติดต่อซื้อขายที่ไหน ทางใกล้ทางไกลต้องมีทองคำเหล่านี้ และดอลลาร์เคียงข้างกันไป เป็นเครื่องประกัน จึงได้รับความสะดวกเรื่อยมา
ตั้งแต่บัดนั้นมาแล้วก็ขอบิณฑบาตจากพี่น้องทั้งหลาย รบกวนบ้านนั้น รบกวนเมืองนี้ ทั่วประเทศไทย จนกระทั่งมาถึงเวลานี เป็นเวลาร่วม ๕ ปีนี้แล้ว ทองคำซึ่งเป็นผลจากความรักชาติ ความเสียสละด้วยความสามัคคีของพี่น้องชาวไทยเรา รู้สึกว่าปรากฏเป็นผลบวกขึ้นเป็นลำดับลำดา แม้จะช้าก็เพราะน้ำหนักของคนไทยทั้งชาติต้องหนักบ้าง ต้องช้าบ้างก็ตาม แต่เวลานี้เราก็ได้ทองคำเข้าสู่จุดที่หมายคือคลังหลวงของเราแล้ว ๕,๕๕๙ กิโลครึ่ง นี่เข้าเรียบร้อยแล้ว แล้วดอลลาร์ก็เข้า ๗ ล้าน ๒ แสนแล้ว นี่อันดับสอง
อันดับสามคือ เงินบาท เงินสดของเรา ได้แยกเข้าไปซื้อทองคำ ๙๓๑ ล้าน และซื้อดอลลาร์เพื่อให้ครบจำนวนตามที่ต้องการ แล้วจะมอบเข้าคลังหลวงพร้อมกันกับทองคำนั้นเป็นจำนวนเงิน ๑๐ ล้าน รวมแล้วเงินสดเราที่ได้เข้าสู่คลังหลวงนั้นเป็น ๙๔๑ ล้านบาท จากนั้นเราก็เฉลี่ยเผื่อแผ่ช่วยบ้านช่วยเมือง ช่วยทุกแห่งทุกหน ทุกภาคเลยนะ ในเมืองไทยเรานี้เงินสดของพี่น้องทั้งหลายนี้กระจายไปทั่วทุกภาค โดยการสงเคราะห์คนทุกข์คนจน โรงพยาบาลที่ผู้เจ็บไข้ได้ป่วย ปวดหัวตัวร้อน วิ่งเข้าโรงพยาบาลไม่มีผู้รักษา เงินทองไม่มีก็วิ่งมาหาหลวงตา วิ่งมาหาวัด เราได้ช่วยมาเป็นลำดับ ไม่เคยปัดแม้แต่รายเดียวเลย
คนไข้ทั้งหลายทั่วประเทศไทยเรา ไม่ว่าใกล้ว่าไกล คนเราเมื่อมีความจำเป็นก็ต้องมาขอร้องถึงกันนั้นแหละ เพราะมีความหวังอยู่ เมื่อเขามาถึงเรา เราก็เห็นใจเขาที่อุตส่าห์พยายามมา ยิ่งมาจากทางไกลเท่าไร ยิ่งเห็นใจ มีความเมตตาสงสารมาก รับปุ๊บ ๆ ทั่วกันหมดในเมืองไทยของเรานี้ให้เป็นคนไข้ของหลวงตา และพร้อมกับสั่งไปถึงหมอเลยว่า หมอก็ดี พยาบาลก็ดี ผู้บริการรักษาทั้งหลายก็ดี ที่เกี่ยวกับคนไข้รายนี้ ขอให้รักษาทุกอย่างเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะคนไข้คนนี้เป็นของหลวงตา หลวงตาเป็นผู้รับผิดชอบ ขอให้ท่านทั้งหลายได้ปฏิบัติตามนี้ เขาก็ปฏิบัติตามนั้นทุก ๆ รายไป
เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่าหยูกค่ายาค่าอะไรถามว่าเท่าไร เท่านั้นเลย จ่ายปึ๋ง ๆ ไม่มีต่อแม้สตางค์หนึ่ง นี่เราปฏิบัติต่อพี่น้องชาวไทย นี่ก็เรียกว่าคนจนประเภทหนึ่ง แล้วคนจนที่ทุกข์จนจริง ๆ ด้วยความจำเป็นถูกเขารีดเขาโกงด้วยวิธีการต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่เป็นคนดี มีคนมาติดต่อ เราสืบทราบตามเหตุตามผลจนกระทั่งเข้าถึงต้นตอ เป็นที่แน่ใจแล้วควรจะสงเคราะห์ขนาดไหน อันนี้เราก็สงเคราะห์เช่นเดียวกันกับโรงพยาบาล เป็นแต่เพียงว่า เราไม่ประกาศออกชื่อออกนามของผู้ได้รับการสงเคราะห์นั้นเท่านั้นเอง เพราะรักษาเกียรติกัน แม้แต่สัตว์เขาก็ยังมีเกียรติ มนุษย์เราจะไม่มีเกียรติยังไง คนทุกข์คนจนก็คนเหมือนกัน มีเกียรติเหมือนกัน
เมื่อสงเคราะห์สงหากันแล้วไปทำให้บอบช้ำภายในจิตใจ ยิ่งเป็นความเสียหายมากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพราะฉะนั้นเราจึงสงวน ที่เราช่วยด้วยความจำเป็นโดยเฉพาะรายบุคคลเช่นนั้นเราจะไม่ระบุเลย จะช่วยมากช่วยน้อยเท่าไร สงเคราะห์เสร็จเรียบร้อยแล้วผ่านเลย ๆ เพราะถือว่าได้ทำประโยชน์ให้แก่กันและกันด้วยความสมบูรณ์แบบแล้ว การประกาศชื่อเสียงไม่เห็นมีความหมายอะไรมากยิ่งกว่าการสงวนเกียรติกัน เกียรติเป็นของสำคัญ สงวนศักดิ์ศรีดีงามของกัน ดีกว่าที่จะไปประกาศซึ่งเป็นการประจานกันให้บอบช้ำเสียอีก เพราะฉะนั้นหลวงตาจึงไม่เคย ถ้าว่าเฉพาะแล้วเป็นเฉพาะ หลวงตาไม่เหมือนผู้ใด บอกตรง ๆ อย่างนี้นะ ว่าเปิด เปิด ว่าปิด ปิด ว่าแน่ แน่ทุกอย่าง
อันนี้ก็ปฏิบัติอย่างนี้ นี่ก็ทั่วประเทศไทยนะคนทุกข์คนจน ติดต่อเข้ามาสืบเรื่อยไป ให้คนไปติดต่อถึงถิ่นถึงฐาน จนเป็นที่แน่ใจแล้วสงเคราะห์ทั่วกันหมด ทุกภาคนะ คนจนไม่ใช่น้อย ๆ นะ โอ๋ย เป็นล้าน ๆ ๆ ๆ นู่นน่ะ ไม่ใช่เล่น จากนั้นก็คนไข้ นี่เป็นเงินสดที่แยกออกไปช่วยคนทุกข์คนจน จากนั้นก็สร้างสถานสงเคราะห์ในที่ต่าง ๆ โรงร่ำโรงเรียนกี่สิบหลังเราไม่คำนวณ โรงพยาบาลก็ไม่ทราบว่ากี่สิบหลัง มากต่อมาก โรงพยาบาลนี้รู้สึกว่าพิสดารกว้างขวางกว่าเพื่อนอยู่ เพราะในโรงพยาบาลมีทั้งเครื่องมือแพทย์ มีทั้งรถทั้งราทั้งตึกทั้งอะไร ความจำเป็น มิหนำซ้ำยังมีคนไข้บวกเข้าไปด้วยให้เราช่วยอยู่ในนั้น จึงมาก
โรงพยาบาลเวลานี้ได้ช่วยไปแล้วเป็น ๒๐๐ โรงแล้วนะ ไม่ใช้น้อย ๆ รถพยาบาลดูว่าเป็น ๑๐๐ กว่าคัน ส่วนมากคันหนึ่ง ๆ ที่เราให้ ถ้ามีความจำเป็นควรจะเป็น ๒ ให้ ๒ ควรเป็น ๓ ให้ ๓ ควรเป็น ๔ ให้ ๔ ในโรงพยาบาลแต่ละโรง เราให้ด้วยความมีเหตุมีผลทุกอย่าง นี่การสงเคราะห์โรงพยาบาล จากนั้นก็ที่ราชการต่าง ๆ ที่ไหนก็มีอยู่ทั่วไป เช่นอย่างลาดยาวนี้ก็เรียกทางราชการ นี่เราก็กำลังเริ่มช่วยตามกำลังของเราที่จะไปได้มากน้อยเพียงไร นี่ละเงินที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมามากน้อยนั้น เราเป็นที่แน่ใจ และชี้นิ้วได้เลยว่า เราไม่มีการคดการโกงด้วยวิธีการต่างๆ ให้หมองใจของเรา แม้แต่เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มี เพราะเราช่วยโลกด้วยความอิ่มพอทุกอย่าง หัวใจเราอิ่มแล้วด้วยธรรม
ตั้งแต่วันเราบวช เราปฏิบัติมา เร่งใส่อรรถใส่ธรรม เหมือนกับว่ารับประทานข้าวนั้นแหละ เอาให้เต็มอิ่มว่างั้น เราก็บำเพ็ญธรรมเพื่อธรรมเข้าสู่หัวใจ จนกระทั่งเต็มอิ่มในธรรมทั้งหลาย ได้ประกาศก้องขึ้นในหัวใจตัวเองในสามแดนโลกธาตุ เราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว พระพุทธเจ้าตัดขาดกิเลสในพระทัยเป็นฉันใด เราตัดขาดแบบตถาคต ลูกศิษย์เดินตามครู เราจึงไม่มีอะไรที่จะไปสงสัยพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ว่าบริสุทธิ์แล้วเป็นเช่นไร
นี่เราได้ประกาศก้องขึ้นในหัวใจของเรา และจนได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบในที่ทั่วไปว่า ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี เป็นเวลาที่เราตัดสินขาดระหว่างกองทุกข์ทั้งน้อยทั้งใหญ่ ความล่มจมทั้งหลายที่มีอยู่ในอัตภาพร่างกายและจิตใจของเรานี้ จมมาเรื่อยๆ ด้วยอำนาจแห่งการทำดีทำชั่ว แฝงกันไป ทำชั่วเป็นทุกข์ ทำดีเป็นสุข สับปนปนเปกันไปในภพชาติของแต่ละบุคคลๆ ทั่วโลกดินแดนนี้ แบบนี้เราไม่ได้พูดของผู้ใดให้มากมาย เพราะมันเป็นเหมือนกันนี้หมด
การเกิดการตายนับไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น มีจำนวนมากน้อยเพียงไร อย่าเอามาอวดกันนะ เรื่องภพเรื่องชาติ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตกนรกอเวจี ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหม ขึ้นลงเหมือนเขาขึ้นบันไดบ้านลงบันไดบ้านนั่นแหละ ขึ้นสวรรค์ลงมาแล้วอยู่แดนมนุษย์ แล้วลงนรกเพราะการทำชั่วทำดีมากน้อยของตนเองนั้นละ เป็นเครื่องผลักไสเราให้ได้ขึ้นได้ลง ให้ได้มีความสุขความทุกข์เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ แล้วในขณะนั้นได้ตัดสินขึ้นมาแล้วภายในจิตใจ โดยเราไม่ได้เคยคาดเคยคิด ว่าเราจะรู้จะเห็นธรรมประเภทนี้ตั้งแต่เกิดมา แม้แต่โคตรพ่อโคตรแม่หลวงตาบัวก็ไม่เคยพบเคยเห็น เพราะท่านก็ไม่ได้ออกปฏิบัติเหมือนเรา
เราได้ออกบวชออกเรียน ออกปฏิบัติตัวเอง ได้ปรากฏขึ้นมาในหัวใจ จนกระทั่งน้ำตาพังออกเลยทันที เป็นของอัศจรรย์ในผลแห่งการปฏิบัติของเราที่ได้มาเต็มหัวใจ คือพอแล้วในธรรมทั้งหลาย เป็นแดนอัศจรรย์เกิดขึ้นภายในจิต นี่เป็นเครื่องหนุนมาจากเหตุคือการบำเพ็ญ เราเอาเป็นเอาตายเข้าว่าจริง ๆ บวชในชาตินี้หนักในเรื่องด้านธรรมะ เพื่อหลุดพ้นจากกองทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น จึงไม่มีความคิดอื่นใดที่เข้ามายุ่งเหยิงวุ่นวาย แม้เช่นนั้นกิเลสมันก็ตัวเก่ง มันก็สู้กันกับเรา เราก็ฟัดกับมันจนพังทลายลงไปแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมา ตั้งแต่วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ มาจนกระทั่งบัดนี้
หลวงตาก็ประกาศก้องได้เลยว่า ไม่เคยมีทุกข์แม้หินเม็ดทรายเข้ามาผ่านหัวใจของหลวงตานี้ได้เลย เพราะอะไร ทุกข์มาจากอะไร ทุกข์มาจากกิเลส กิเลสไม่มีทุกข์มันจะสร้างทุกข์ขึ้นมาจากไหน กิเลสพังลงแล้ว ทุกข์ซึ่งเป็นตัวผลก็พังไปตาม ๆ กันกับตัวเหตุที่จะทำผลให้โลกได้รับความทุกข์นั้นแล นี่ละการปฏิบัติธรรม เป็นยังไงพี่น้องทั้งหลายเชื่อหรือไม่เชื่อ พุทธศาสนาเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงโลกทั้งหลายเหรอ ท่านรื้อขนสัตว์นี้มาสักกี่กัปกี่กัลป์ในบรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย รื้อขนสัตว์ด้วยอรรถด้วยธรรมที่ท่านบำเพ็ญมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถึงขั้นได้เป็นศาสดาสอนโลก แล้วมาสอนพวกเรา เรายังเห็นว่าเป็นขี้หมูราขี้หมาแห้งอยู่เหรอ
เอา ให้ไปเตือนตนเองนะ คนอื่นไปเตือนไม่ดี ถามตัวเอง คนอื่นไปถามไม่ดี เราอยากดิบอยากดีเราต้องถามเรา โต้เรา ตอบเรา แก้ไขในตัวของเรา เราผิดพลาดประการใดแก้ในตัวของเรา เพราะผู้ที่จะรับกองทุกข์เพราะความผูกพันตัวเองด้วยความชั่วคือตัวของเรา เราต้องแก้ไขตัวของเราให้ดี ศาสนาพระพุทธเจ้าของเรานี้เลิศเลอสุดยอดแล้ว หลวงตาขอกราบราบไปทุกพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทุกพระองค์เป็นแบบเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน เลิศเลออย่างเดียวกัน จิตดวงนี้กับจิตของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย สาธุขึ้นทันที เราไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย บรรดาท่านผู้หลุดพ้นจากกองทุกข์โดยสิ้นเชิงแล้วเป็นธรรมชาติอันเดียวกัน มีความเสมอภาคกันหมด บรรดาจิตที่บริสุทธิ์สุดส่วนเป็นธรรมธาตุแล้วบริสุทธิ์เสมอกันหมด ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ใดจะยิ่งหย่อนกว่าใคร สาวกองค์ใดจะยิ่งหย่อนกว่ากัน แม้แต่สาวกกับพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็มีธรรมธาตุอันเดียวกัน นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย เมื่อถึงขั้นบริสุทธิ์แล้วเสมอกันหมด
นี่เราก็เป็นในหัวใจของเราแล้ว เราไม่วัดรอย เอาความจริงพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนว่า นตฺถิ เสยฺโยว ปาปิโย ผู้ที่บริสุทธิ์แล้วไม่มีความยิ่งหย่อนต่างกัน เราก็ไม่มีความยิ่งหย่อนกับสิ่งใด ในสามแดนโลกธาตุนี้ผ่านไปหมดแล้ว ถ้าจะเข้าถึงแดนธรรมธาตุ ธรรมธาตุก็เป็นแดนที่เสมอกันหมดแล้ว เหมือนน้ำมหาสมุทร จ่อลงที่ไหนก็เป็นน้ำมหาสมุทรเสมอกันแล้ว ยิ่งหย่อนที่ตรงไหน ธรรมธาตุที่บรรดาท่านผู้บรรลุธรรมได้เข้าถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรยิ่งหย่อน เป็นธรรมธาตุเสมอกันหมด เพราะฉะนั้นเราจึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปาก สมกับที่ได้มานำพี่น้องทั้งหลายเวลานี้ ออกจากกองทุกข์ทั้งทางด้านความเป็นอยู่ ทั้งด้านจิตใจที่วอกแวกคลอนแคลนในศีลในธรรม ให้ได้ค่อยรู้เนื้อรู้ตัว
ทางด้านวัตถุก็ให้พากันคิดกันทำ อย่าลืมเนื้อลืมตัว อย่าฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม พออยู่พอกิน ให้อยู่ให้กิน การใช้การสอยอย่าฟุ่มเฟือย อย่าสุรุ่ยสุร่าย การอยู่ก็เหมือนกัน ตึกสร้างขึ้นไป ๕๐๐ ชั้นก็ตามเถอะน่ะ ถ้าเจ้าของเป็นกองทุกข์ ไฟเผาหัวอกอยู่ พันชั้นก็ไม่เกิดความหมาย ขอให้จิตใจได้รับอรรถรับธรรม ความเป็นอยู่ให้มีความชุ่มเย็นเถอะ อยู่ในกระต๊อบก็สบาย มันสบายอยู่ที่ใจนะ มันไม่สบายอยู่ที่กระต๊อบ ไม่สบายอยู่ที่หอปราสาทราชมณเฑียรนะ มันสบายอยู่ที่หัวใจที่มีธรรมอันเลิศเลอเข้าคุ้มครองรักษา หนุนไว้ตลอดเวลา อยู่ไหนสบายหมด
คนที่มีแต่บาปแต่กรรมด้วยการสร้างความไม่ดีแก่ตัวเอง และเป็นฟืนเป็นไฟเผา เอาไปโลกไหนก็ไป เหมือนคนไข้ที่อยู่ในโรงพยาบาล เอาไปตึกไหนก็ไป คนไข้เต็มตัว ๆ ร้องครางไปหมด ขึ้นไปตึกกี่ชั้นก็ไปร้องครวญครางอยู่บนตึกเท่านั้นชั้นเท่านี้ชั้น หาความสบายไม่ได้เลย แต่เมื่อได้รับการเยียวยารักษาจากหมอแล้ว อยู่ชั้นไหน ๆ คนไข้ก็หาย หายจนกลายเป็นปกติ ไปอยู่บ้านก็สบาย อยู่ที่ไหนสบายหมด เมื่อความทุกข์ออกจากร่างกายและจิตใจแล้ว อยู่ไหนสบายหมด อันนี้เมื่อความทุกข์ทั้งมวลมันออกจากตัวของเรามากน้อย เราก็ค่อยเบาไป ๆ ความสบายหนุนขึ้น ๆ จนเป็นความสบายสุดยอด อยู่ไหนสบายหมด
เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจบำรุงตัวเองนะ รับผิดชอบตัวเอง เกิดมานี้ใครมารับผิดชอบเรา พ่อแม่ก็เป็นแดนเกิดเท่านั้น กรรมดีกรรมชั่วต่างหากรับผิดชอบเรามา เกิดมาแล้วใครก็อยากดีด้วยกันทุกคน แต่มันเลวก็มีเพราะกรรมเจ้าของสร้างไว้เลว ๆ เกิดขึ้นมาท้องพ่อท้องแม่ มันก็เลวอยู่ในท้องพ่อท้องแม่ ตกออกมามันก็เป็นลูกของพ่อของแม่ที่เลว ๆ อยู่นี่ ตัวมันเลว ๆ เกิดกับลูกของพ่อก็ทำให้พ่อแม่อับเฉาไปตาม ๆ ลูกที่อาภัพวาสนานั้นแหละ ให้พากันปฏิบัติรักษาตัวเองนะ
พุทธศาสนานี้เรายอมรับกราบไหว้ ใครจะว่าหลวงตาบัวเป็นบ้า มันยกมาทั้งโคตรมาว่าก็ช่างเถอะ หลวงตาไม่เคยสนใจกับสิ่งใดนะ ยิ่งกว่าความจริงคืออรรถธรรม ให้พากันปฏิบัติ พระพุทธเจ้าเลิศเลอด้วยอรรถด้วยธรรม สาวกทั้งหลายเลิศเลอด้วยอรรถด้วยธรรม ศาสนาสอนโลกด้วยความเลิศเลอของศาสนา เราอย่าให้ต่ำต้อยน้อยหน้าทั้ง ๆ ที่เป็นลูกของพระพุทธเจ้า เป็นอุบาสกอุบาสิกา ขอให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติดัดแปลง กาย วาจา ใจของตนในเวลามีชีวิตอยู่นี้ ตายไปแล้วจึงนิมนต์พระมา กุสลา ธมฺมา ๆ อย่าไปอุตริคิดนะ โดยที่เจ้าของไม่สนใจในอรรถในธรรม ตายแล้วคอยพึ่งพระ กุสลา ธมฺมา
ถ้ามาพึ่งอย่างหลวงตาบัว หลวงตาบัวจะเรียกร้องเสียก่อนนะ ถ้ามานิมนต์หลวงตาบัว คนนั้นตาย ลูกศิษย์หลวงตาบัวนี้แหละตาย มันไม่สนใจ ไม่เอาไหน ไม่เป็นท่าเป็นทาง ตายแล้วมานิมนต์หลวงตาบัวไป กุสลา ธมฺมา ให้มันนะ หลวงตาบัวว่า สูมีกล้วยกี่เครือล่ะ เราจะว่าอย่างงี้ ถ้าสูมีถึงสิบเครือ กูจะไปกุสลาให้สู ถ้าไม่มีกล้วย กูไม่ไป เสียฝีเท้าของกู เราจะว่าอย่างงั้น แต่ถ้าตั้งใจปฏิบัติแล้วนิมนต์ไม่นิมนต์ก็ช่างเถอะ เราพอใจ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติดี เราจะไปดีด้วยบุญกุศลของเรา ไปชั่วด้วยอำนาจแห่งบาปของเรา ไม่ได้ไปดีด้วยอำนาจแห่งพระมา กุสลา ธมฺมา นะ
พระองค์ กุสลา ธมฺมา เป็นพระประเภทไหนบ้างล่ะ ทั่วประเทศไทยเรามีพระประเภทไหน พระประเภทโกโรโกโสก็มาก นั่นหรือจะมากุสลาให้เราไปสวรรค์นิพพาน ตัวมันเองยังจะจมลงนรก อยู่ในวัดในวา เป็นพระเป็นเณรก็จมอยู่ในนั้น ด้วยการปฏิบัติเหลวแหลกแหวกแนว ฆ่าตัวเอง สังหารตัวเอง ยังเหลือแต่หัวโล้น มีแต่ผ้าเหลืองห่อตัวเท่านั้น มันวิเศษวิโสเหรอ ธรรมพระพุทธเจ้าสอนมี วินัยพระพุทธเจ้าสอนมี ทำไมไม่ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยนี้ ตายแล้วไม่ต้องกุสลา ไปเลย นี่ก็พูดให้ชัดเจน เอ้า ย้อนเข้ามาหาตัวเอง อย่างหลวงตาบัวเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟังอยู่เวลานี้ ได้ธรรมสุดขีดมาแล้ว หายสงสัยทุกอย่าง อิ่มพอทุกอย่าง
การมาช่วยพี่น้องทั้งหลายช่วยด้วยความเมตตาล้วน ๆ จึงไม่มีคำว่าแบ่งสันปันส่วนจากสมบัติใดของพี่น้องทั้งหลาย แม้เม็ดหินเม็ดทรายเราไม่มี เราช่วยด้วยความอิ่มพอ พิถีพิถันทุกสิ่งทุกอย่าง จึงเรียกว่าเอิบอิ่มในการช่วยชาติบ้านเมืองด้วยมือสะอาด ใจสะอาด นี่เราช่วยเต็มกำลังความสามารถ เราทำอย่างนี้ตลอดมา นี่ก็ขอให้พากันพินิจพิจารณาทุกคน การสอนพี่น้อง การนำพี่น้องทั้งหลาย เราไม่ได้นำพี่น้องทั้งหลายเพื่อความล่มจมนะ ธรรมที่เราปฏิบัติมาเป็นธรรมของศาสดาองค์เอก เป็นธรรมที่เลิศเลอ และปฏิบัติมาก็เพื่อความดิบความดี เราได้มากขนาดไหนเราก็ภูมิใจของเรา
จนได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบอยู่เวลานี้ ว่าเราพอแล้วด้วยการปฏิบัติธรรม เราจึงไม่มีอะไรจำเป็นที่จะมาแบ่งสันปันส่วนให้พี่น้องบอบช้ำภายในจิตใจเลย เพราะฉะนั้นจึงขอให้พากันอุตส่าห์พยายาม เวลานี้ก็มีความมุ่งมั่นต่อจุดที่หมายให้สมเกียรติแห่งชาติไทยของเราว่า ๖๒๖๓ ล้านคน การบำเพ็ญประโยชน์ในโลกคราวนี้ โลกภายนอกเขารู้หมดนะ ว่าเมืองไทยเรากำลังช่วยชาติตัวเอง เราช่วยแบบไหนช่วยชาติน่ะ ก็อย่างที่เห็นอยู่นี่ ต่างคนต่างบริจาคมามากมาน้อย ถือทองคำเป็นหัวใจของคนไทยทั้งชาติ เก็บหอมรอมริบมาได้มากได้น้อยรวมกันเข้าๆ เพิ่มลมหายใจเข้าสู่ปอด ๆ โดยลำดับ
ผลก็ปรากฏมาเป็นลำดับลำดา ไม่ปรากฏเป็นความล่มจมเสียหายแต่อย่างใด ด้วยการที่พี่น้องทั้งหลายก็ช่วยชาติ หลวงตาก็เป็นผู้นำในการช่วยชาติ มีแต่ความเป็นสิริมงคลต่อกัน และต่อชาติบ้านเมืองของเราตลอดไป จึงขอให้พากันอุตส่าห์พยายาม ให้ถือเป็นจุดสำคัญ ว่าทองคำคือหัวใจของชาติ นี่ละทองคำเป็นเครื่องยืนยันประกันตัวได้ทั่วประเทศไทยเรา ขอให้มีเถอะ ถ้าไม่มีทองคำซึ่งเป็นของสำคัญ เราจะมีเงินอยู่ในกระเป๋าเต็มกระเป๋ากองเท่าภูเขาก็ตาม มันก็เป็นภูเขาทั้งลูก เมื่อเมืองไทยจมแล้ว เราก็จมเหมือนเมืองไทย ไม่มีความหมายอะไรแหละ
ทีนี้เราอยากให้สง่างามด้วยกัน ฟื้นฟูขึ้นด้วยกัน แล้วต้องต่างคนต่างเสาะแสวงหาตามกำลังความสามารถของตน จะเป็นคนที่ว่ารักชาติไทยของเรา ส่งเสริมอุดหนุนชาติไทยของเราให้มีความเจริญรุ่งเรือง แล้วทองคำเราก็จะได้ตามจุดที่หมาย คือน้ำหนัก ๑๐ ตัน ดอลลาร์อย่างน้อยจะไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้านแหละ เมื่อได้เต็มนี้แล้วหลวงตาเรียกว่าพอใจทุกอย่าง หากว่ามีผู้ใดที่จะมาโจมตีพี่น้องทั้งหลายทั่วประเทศไทย ว่าการช่วยชาติไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ได้อะไรเป็นเครื่องหมาย เขาจะมาโจมตี หลวงตาจะปัดพี่น้องทั้งหลายไว้ข้างหลังหมด หลวงตาจะออกสนาม ให้มันยกโคตรมาเลยมาโจมตีเมืองไทยเรา เอ้าโจมตีไป ยกโคตรมาเลย
เราก็จะถามปุ๊บเลยพอเข้ามา มาอะไร จะมาชี้หน้า ชี้หน้าอะไร ชี้หน้าเมืองไทย เมืองไทยเป็นอะไรจึงจะชี้หน้า หน้าของแกไม่มีเหรอ เราก็จะถามก่อน มีแต่หน้าของเราเป็นหน้าเบิกหน้าบานหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หน้าสมบูรณ์พูนผล แต่หน้าเมืองไทยหน้าเหือดหน้าแห้ง หน้าล่มหน้าจม หน้าล่มหน้าจมอะไรถ้าจะถามไปอีก ล่มจมเพราะชาติไทยสุรุ่ยสุร่าย มีแต่คนชั่วช้าลามกเต็มบ้านเต็มเมือง หัวหน้าก็เป็นเปรตเป็นผี กินบ้านกินเมือง กินตับกินปอดของชาติไทยเรา จึงทำให้ล่มจม ๆ พี่น้องชาวไทยเราจึงหน้าแห้ง
หน้าแห้งก็จริง แต่เวลานี้ข้าได้หาสิ่งเหล่านี้มาเยียวยา หน้าเมืองไทยเต็มไม่ดูหรือ ตาแกก็มี แกว่าจะมาดูหน้าเมืองไทย หน้าเมืองไทยเต็มแกดูไหม เต็มอะไร เต็มด้วยน้ำหนักทองคำ ๑๐ ตัน ดอลลาร์ ๑๐ ล้าน นั่นเห็นไหมหลวงตาตอบคนเดียวนะ ปัดพี่น้องทั้งหลายไว้ข้างหลัง ถ้าว่าแกเก่งไหนเอาทองคำมาอวดข้า เอาทองคำมาให้เมืองไทยเรานี้ ๑ กิโล แน่ะไม่เห็นมีนี่ พวกข้าอุตส่าห์พยายามหามาได้ตั้ง ๑๐ กิโล ยังว่าไม่ดีอยู่เหรอ ตีมันอีกทีหนึ่ง ใส่หน้าผากเปรี๊ยะเลย ขอให้พี่น้องทั้งหลายหาได้ทองคำน้ำหนัก ๑๐ ตันเถอะ ใครเก่งมา หลวงตายังมีฝ่ามือจะฟาดให้ดูนะ เอาละเพียงเท่านี้ พอ จำให้ดีนะ ทองคำคือหัวใจของชาติ ไม่มีอะไรยิ่งกว่าทองคำ ใครจะดีจะเด่นก็ตาม ถ้าทองคำไม่มีเมืองนี้จมได้นะ ถ้ามีแล้วสง่างาม เอาละนี่เป็นกัณฑ์ที่ ๒ เอาละ เอวํ
อ่านและฟังเสียงพระธรรมเทศนาของหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com