เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
ธรรมต้องมีเหตุผลเป็นหลักเกณฑ์
เวลาทองคำตั้งจุดไว้ถึงที่แล้ว ๑๐ ตัน แล้วคาดว่าดอลลาร์ก็จะได้ไม่ต่ำกว่า ๑๐ ล้าน เวลานี้ก็ได้ ๗ ล้าน ๒ แสน นี่หมายถึงเข้าคลังหลวงเรียบร้อยแล้ว ส่วนทองคำเข้า ๕,๕๕๙ กิโลครึ่ง นี่เข้าเรียบร้อยแล้ว เวลานี้กำลังขวนขวายต่อไปอีก พอถึง ๕๐๐ กิโลเมื่อไร เข้า ๆ พอครั้งที่สองก็ให้ได้เป็น ๑ ตันเลย ทีแรก ๕๐๐ กิโล พอที่สองปั๊บก็เป็น ๑ ตัน ให้ครบจำนวนที่ได้ประกาศเอาไว้ ๑๐ ตันนะ
ทางนู้นมีพระกรรมฐานมากอยู่เหรอ (พระ : มีอยู่กระผม วัดอโศการาม ท่านเอียนก็อยู่ที่นู่น) ท่านเอียนก็อยู่ที่ออสเตรเลีย ดูว่าอยู่หลายปีแล้วมั้ง ออกจากวัดป่าบ้านตาดไปสิบกว่าปีแล้วมั้ง เราก็ลืม ออกจากนี้ไปก็ไปทางนู้น (พระ : พวกเราระลึกถึงท่านอาจารย์ และสนับสนุนท่านอาจารย์เต็มที่ยังไงก็แล้วแต่) หมู่เพื่อนไม่สนับสนุนผมก็ตายล่ะซี ถ้าอยากให้ผมตายก็อย่าสนับสนุน ถ้าอยากให้ผมยังอยู่ก็สนับสนุน (พระ : ยอมตาย เชื่อท่านอาจารย์หมดเลย) เพราะได้พูดแล้วว่า เราเต็มที่ในคราวนี้ช่วยชาติ ชีวิตนี้ก็มีสองครั้งบอกไว้แล้วตรงเป๋งเลย ครั้งแรกฟัดกับกิเลส ใครดีอยู่ใครไม่ดีพัง ว่างั้น (พระ : ที่เขาพูดโจมตีอะไร ไม่มีเหตุไม่มีผลอะไรเลย) ก็นั่นแล้ว คนชั่วมันจะเอาความดีมาแสดงไม่ได้ จำเท่านั้นก็แล้วกันนะ
คนชั่วคนเลวมันก็จะเอาตั้งแต่ของชั่วของเลวออกมา ๆ ประจานตัวเองให้โลกทั้งหลายได้อิดหนาระอาใจเท่านั้นเอง คนดีเขาทำกันทั่วแผ่นดิน เช่น เมืองไทยเรานี้ อย่างงี้ละเขาทำดีกันทั่วแผ่นดิน อันนั้นแม้ชิ้นเดียวที่จะเอามาสนับสนุนพอเป็นที่ระลึกกันบ้างว่าเขามีความดี เพราะฉะนั้นการคัดค้านต้านทานจึงเอนเอียงไปทางความดีของเขาได้ใช่ไหมล่ะ น่าฟังเพราะเขาเป็นคนดี เขาทำดี เมื่อเขาค้านเราว่าไม่ดีที่ตรงไหนเราจะต้องได้พิจารณา เพราะมีสิ่งที่รับกันว่าเขาทำดีอยู่แล้ว เมื่อขัดตรงไหนก็แสดงว่าขัดต่อความดีของเขาเหมือนกัน เราก็ต้องเอามาพิจารณา (ถ้าอาจารย์ไม่ช่วยพระศาสนาคงลำบากกระผม) ก็ช่วยทุกคนแหละ
อันนี้ก็แบบเดียวกันอีก ถ้ามีแต่ผมคนเดียวผมก็ตายอีกเหมือนกัน มันต้องต่างคนต่างช่วยกัน ช่วยกันเรื่อย ๆ อย่างนี้ คราวนี้โลกทั้งหลายจะได้เห็นความสามารถ และน้ำใจของชาติไทยเรา ว่ามีความรักชาติขนาดไหน จะประกาศออกคราวนี้เอง คราวช่วยชาตินี่ละ นี่เราก็ได้ขนาดนี้แล้ว (พระ : ออสเตรเลียเสียงไม่แตก เป็นเสียงเดียวที่สนับสนุนท่านอาจารย์เต็มที่) ก็อย่างงั้นแล้ว เพราะเราทำอะไรนี่เราไม่ได้ทำแบบพรวดพราดนี่นะ เราพิจารณาเต็ม พูดตรง ๆ ก็บอกว่าเต็มหัวใจ ๆ แล้วออก การออกจึงไม่มีรอ ถ้าลงได้พิจารณาเต็มที่แล้วออกก็ผึงเลย อะไรมาผ่านขาดสะบั้นไปเลย ถ้ายังไม่แน่ไม่ออก พิจารณาอยู่นั้นเสียก่อนเรียบร้อย แน่ตรงไหนออกเลย
ก็ไม่ได้มีระแคะระคาย หรือระแวงแคลงใจ หรือว่าสงสัยตัวเองแต่อย่างใดนะ การดำเนินมานี้ ว่าผิดไปเราก็ไม่เห็น ผลก็ปรากฏมาเรื่อย ๆ อย่างนี้แหละ ปรากฏมาตลอด ๆ เรื่อยมา ต่อไปคิดว่าจะเร็วขึ้นล่ะทองคำเรา เพราะเวลานี้อันนั้นมันก็เรียวเข้าไป ๆ แหลมเข้าไปแล้วก็หมุนง่ายเข้าๆ คล่องแคล่วเข้า นี่มันได้กว่าครึ่งแล้วนี่นะ ๕,๕๐๐ กิโลกว่าแล้ว ถึงจุดนี้แล้วก็เป็นอันว่าสมหวังในการช่วยชาติคราวนี้ของคนไทยเราทุกคน สมหวังด้วยกันไปหมด
ไอ้ผู้ที่เลวมันก็เลวเอาเสียจริง ๆ นะ เลวแบบไม่มองหน้ามองหลังเลย ไม่มีเหตุมีผลอะไรถึงได้เลวอย่างนี้ ว่างั้น ตั้งหน้าเลวเอาเลย ไม่มีเหตุมีผล เด็กอมมือเขาก็ไม่ทำ แต่ทำไมมันทำได้ ถ้ามันไม่เลวสุดยอดมันทำไม่ได้ ว่างั้น ออกมาแง่ใดมุมใดเอามาพิจารณาทุกแง่ทุกมุมนะเรานะ มันไม่มีแง่ใดที่จะสนับสนุนความดีทั้งหลาย มันมีแต่กีดแต่ขวาง แต่ทำลาย แต่เตะ แต่ถีบ จะจุดจะเผาทั้งนั้น มีอย่างนั้น พิจารณาตรงไหนผมยังไม่เห็นนะ เท่าที่เป็นกันมานี้โดยลำดับลำดาจนกระทั่งป่านนี้ ผมยังไม่เห็นแง่ไหนว่าพวกนี้มีเหตุมีผล มีหลักมีเกณฑ์พอที่จะยังชาติบ้านเมืองให้รุ่งเรืองได้ มันมองไม่เห็น
มีแต่ว่าทำลาย ๆ ๆ ท่าเดียว ออกแง่ไหน แง่ทำลาย ๆ ตลอดไปเลย โอ้น่าทุเรศเหมือนกันนะ ถ้าหากอย่างเป็นฆราวาสก็เป็นอีกพักหนึ่ง แต่เรื่องเป็นพระนี่ซีมันยิ่งได้พิจารณามากนะ พระต่อพระพิจารณาเรื่องกันและกัน เพราะเรียนหลักธรรมหลักวินัยมาด้วยกัน นี่ซีผมสลดสังเวชมากนะ (พระ : ได้ข่าวว่าท่านเจ้าคุณประยุทธ์ออกหนังสือ ท่านก็พยายามเน้นบอกว่า พระเราทุกวันนี้อยากได้แต่อำนาจ แต่ไม่มองดูพระธรรมวินัยที่จะทำตัวให้เป็นพระ ก็รู้สึกว่าท่านพูดดี) ท่านออกหนังสือเหรอ (พระ : ออกเล่มเล็ก เขาเล่าให้ฟัง ผมยังไม่ได้อ่าน) ผมออกจากปากนี่ ใส่นี่ ออกจากนี้ปั๊บก็ขึ้นเวทีเลยเชียว ขึ้น ๆ ตลอด (พระ :เขาอยากได้อำนาจ อยากได้กฎหมายบังคับ) เหล่านี้ผมพูดแล้วทั้งนั้นๆ
มันไม่มองหน้ามองหลังนะจนสลดสังเวชเราก็ดี ถ้ามีแง่เป็นเหตุเป็นผลพอจะจับมาพิจารณานี้เราพิจารณาทันที เพราะพิจารณาอยู่แล้วในสิ่งทั้งหลาย และยิ่งการช่วยชาติบ้านเมืองนี้เราพิจารณาเต็มหัวอกเราทุกอย่าง ๆ ก่อนจะออกแสดงแง่ใด ๆ ๆ เห็นอะไรมาขัดเหตุผลที่พิจารณาเรียบร้อยแล้วมันถึงขวางกันทันที แล้วก็โต้ตอบกันทันที หรือถ้าพูดอย่างว่าโดนก็โดน ว่าชนก็ชนกันทันที ให้หลบไม่หลบ มาขวางมากั้นทางเดินที่ชอบธรรม โดยหาเหตุผลไม่ได้ มันก็ต้องเอากัน ธรรมไม่เหมือนโลก
ถ้ากิเลสเข้าไปแฝง กิเลสก็สามารถดึงธรรมไปเป็นโลกได้ เลยกลายเป็นเครื่องมือของกิเลสไปหมดได้ ถ้าธรรมเป็นธรรมล้วน ๆ แล้วอะไรมาแตะไม่ได้ ว่างั้นเลย มาแตะก็ขาดสะบั้นไปเลย นี่เอาธรรมล้วน ๆ ออกเรา ใครจะตำหนิก็ดี ชมก็ดี เราจะไม่หนีจากเหตุจากผล ในคำตำหนิก็ดี คำชมเชยก็ดี ถูกหรือผิด นั่น ชมเชยถูกก็ เออ ดี คนนี้เขามีเหตุผล การปฏิบัติตัวของเขาเองเขาก็จะดี ชมมีเหตุมีผล ติมีเหตุมีผล อย่างงั้นซิถึงเรียกว่า ธรรม คือธรรมต้องมีเหตุผลเป็นหลักเกณฑ์ขนาบเอาไว้ เหตุกับผลรวมแล้วเรียกว่า ธรรม
ธรรมดาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ อย่างที่โกลาหลอลหม่านอยู่ด้วยความชั่วช้าลามก แผ่อำนาจจะทำลายชาติและศาสนาให้ล่มจม นี้มันกระเทือนหมดทุกอย่างๆ อันนี้เอามาพิจารณาหมดเลย เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ควรค้านหนักค้านเบามันจึงออกทันที ๆ เลย ถ้าอันไหนรำคาญก็ปล่อยไว้เสียก่อน นาน ๆ ถึงว้ากทีหนึ่ง ปล่อยไป ๆ เฉยไปอย่างงั้น เรื่องพิจารณา พิจารณาหมด ออกมาแง่ไหน ๆ จับมาพิจารณา ๆ แล้วปล่อยไว้ ๆ หรือเก็บไว้ ๆ แหม เลวจริง ๆ พูดจริง ๆ นะ ผมไม่เอียงไหน ๆ ก็เราดำเนินเป็นธรรมทั้งดวง ว่างั้นเลย
การปฏิบัติของเราก็เป็นแบบนั้นมาตลอด ไม่มีเอนมีเอียงไปไหน เป็นธรรม หนักเบาก็เพื่อธรรม เพื่อธรรมอย่างเดียว จนผ่านมาถึงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับบ้านเมือง ที่เราได้เข้าเกี่ยวข้องอยู่นี้มันก็อดพิจารณาไม่ได้ ต้องพิจารณาอย่างเต็มหัวใจ เอามาเทียบมาเคียงทุกสิ่ง มันฟังไม่ได้ ดูไม่ได้ ว่างั้นเถอะน่ะ มันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาหน้าด้านทำได้สบาย ๆ แหม ทุเรศจริง ๆ นี่เหรอผู้ที่จะปกครองบ้านเมือง เป็นคนเช่นนี้เหรอ มันอดไม่ได้ที่จะถามว่า คนประเภทนี้เหรอที่จะปกครองบ้านเมืองให้มีความเจริญรุ่งเรือง ทำกันประเภทนี้เหรอ ประเภทฉิบหายนี้เหรอ ว่างั้นเลยเรา มันไม่มีแง่ใดที่จะเป็นไปได้ ฟัง พิจารณาแล้ว
แสดงออกมาแง่ไหนหาเหตุผลไม่ได้ แล้วในขณะเดียวกันมันก็ทราบชัด ๆ ว่า ตัวทิฐิมานะ ตัวเอาแต่ใจ ๆ คือกิเลสตัวเป้ง ๆ มันออกมา เช่นอย่างที่ท่านมหา เป็นเจ้าคุณแล้วนะนี่ มันติดปากมาตั้งแต่มหา ก็เลยเรียกมหากันไปเรื่อย อย่างท่านมหาว่าแล้ว ที่ว่าไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย นี่พิจารณาเต็มหัวใจแล้วนะ เพราะฉะนั้นการแสดงออกของเรา ถ้าลองได้ออกจากนี้แล้วขึ้นเลยเวที คือเราไม่สงสัยในคำพูดของเรา จะมีเล่ห์มีเหลี่ยมมีสันมีคมแบบกิเลสเราไม่มี เป็นความจริงล้วน ๆ ออกเต็มเหนี่ยว ถ้าลงได้ออกนี้ปั๊บ เอ้า ขึ้นเวที เมื่อมีคนมาถาม ท่านพูดอย่างงั้นใช่ไหม ใช่ แน่ะ ทันทีเลย แล้วว่ายังไงว่ามา แน่ะเอาแล้วนะนั่น มันจะซัดกันแล้วนะนั่น
ก็เราพูดความจริงผิดไปไหน เราพูดจริงๆ เราเป็นผู้นำ เราไม่มีเอียงนะ เสมอ ผิดถูกประการใดจะเอาธรรมจับตลอดเลย ถ้าผิดแล้วไม่แตะเรา ไม่ข้าม ไม่ฝืน ถ้าถูกแล้วก็ออกตามนั้น ถูกแล้วออกตามถูก เต็มที่ไม่มีสงสัยแล้วก็พุ่งเลย เป็นอย่างงั้น มันตั้งหน้าทำลายแบบหน้าด้านจริงๆ นะ เราพูดชัด ๆ อย่างนี้ นี่ก็ออกแล้วนี่ ออกก็ไม่สะทกสะท้าน เพราะผู้เป็นมันเป็นมาก่อนแล้ว เราพูดตามทางของมันเป็นมาแล้วต่างหาก เรียกว่าเดินตามรอยมันผิดไปไหนใช่ไหม ผู้ทำ ทำก่อนแล้ว เดินก่อนแล้ว เราพูดตามเรื่องราวนี้ผิดไปไหน แน่ะ ถ้าผิดก็ผู้นั้นทำทำไม แน่ะ ถ้าไม่อยากให้ทางนี้พูดทางนั้นทำหาอะไร แน่ะ ผู้นั้นผิดก่อนแล้ว ก็อย่างงั้นซี
ตัวทำทำได้ คนอื่นมาตำหนิในสิ่งที่ตัวทำผิดนั้น ตำหนิไม่ได้มีอย่างเหรอ เราเป็นตัวตั้งตัวตีไว้แล้วในการทำชั่วก็เราทำก่อนแล้ว เขาพูดตามเรื่องความชั่วของตัวเองผิดไปไหน แน่ะ ดีก็เหมือนกัน พูดตามเรื่องของความดี ผู้ทำดีดีก่อนแล้ว แล้วผู้พูดตามความดี ชมเชยสรรเสริญตามความดี ผิดไปไหน แน่ะ และผู้ที่พูดว่าผู้ทำชั่วก็แบบเดียวกันนั่นแหละ คราวนี้ผมได้พูดออกทางวิทยุมาหลายครั้งแล้ว พูดถึงว่าสมัยปัจจุบัน แหม เป็นสมัยที่ร้ายกาจที่สุดในวงพระพุทธศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งคือวงของพระ ว่างี้เลยผม บ้านเมืองจึงเกิดความเดือดร้อนระส่ำระสาย ยังไงก็ตามสำหรับพระรู้สึกว่าทรงความสงบร่มเย็นไว้ได้ดี เป็นที่ตายใจของประชาชนที่เขาเคารพนับถือ และอาศัยพึ่งร่มเงาตลอดมาได้พอสมควร และได้เป็นอย่างดี ตามจุดตามแห่งนะ ส่วนใหญ่ก็สงบได้ดีไม่เห็นมีอะไร
ประชาชนเขาไม่มีขอบเขต เป็นเพียงกฎหมายทั้งนั้นบังคับเอาไว้ ส่วนอย่างอื่นไม่ได้มา เขาจะทำอะไร ว่าอะไรก็เป็นเรื่องของเขาไป ส่วนพระเรานี้ทางกฎหมายให้อภัยหมดแล้ว กฎหมายไม่เข้ามาเกี่ยวข้อง นอกจากเราจะทะลึ่งออกไปด้วยความหน้าด้านสันดานหยาบของเรา มันก็ไปโดนกฎหมายเอง นั่น ถ้าอยู่ในวงของพระแล้วกฎหมายก็ไม่มายุ่งนะ กฎหมายก็เทิดทูนศาสนาด้วย นี่เราก็พิจารณามาโดยตลอดนะ กฎหมายไม่เคยมาเกี่ยวข้อง ให้พระปกครองกันเอง
หลักธรรมวินัยนี้ละเอียดลออยิ่งกว่ากฎหมาย นั่น เขาก็ยอมรับว่าหลักธรรมวินัยที่พระปฏิบัติตามนั้นแล้ว กฎหมายเข้ามายุ่งไม่ได้ เพราะละเอียดมากกว่านั้น ถ้าไม่ทะลึ่งออกไป แล้วพระก็ปฏิบัติตนตามหลักธรรมหลักวินัย ก็มีความสงบร่มเย็น ทั้งตัวเองและผู้เกี่ยวข้องมากน้อยไปโดยลำดับลำดา นี่คือเรื่องของพระให้ความสงบแก่โลก ให้อย่างนั้น ด้วยการรักษาธรรมวินัยให้ถูกต้อง เมื่อรักษาธรรมวินัย ปฏิบัติตามธรรมวินัยโดยถูกต้องแล้วก็ไม่มีอะไรผิด ไม่ผิดมันก็เย็น ตัวเองก็เย็น คนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องมองดูก็รู้ ใครที่แสลงหูแสลงตา การแสลงหูแสลงตาของผู้ดูผู้เห็นนั้นแหละ คือความผิดแล้ว นั่น ถ้าไม่ผิดไม่แสลง นอกจากเทวทัตจะหาตำหนิถ่ายเดียว เข้าใจไหม
นี่พระให้ความสงบร่มเย็นมานาน เฉพาะเมืองไทยเรามีอย่างนั้นมาตลอด ที่ไม่ได้คาดได้คิดก็มาคราวนี้แหละ พระเสียเองเป็นตัวก่อข้าศึกศัตรูที่จะทำลายทั้งชาติทั้งศาสนาขึ้นในท่ามกลางแห่งเมืองไทยของเรา โดยเป็นพระล้วน ๆ นี่ล่ะ เห็นประจักษ์ ดีไม่ดียังออกก่อกวนแล้วก็ตั้งม็อบตั้งแม็บขึ้น ก็ไม่เคยเห็น นี้ละที่มันทุเรศเอามากนะ เราก็อดไม่ได้ ออกผางทันทีเลย หลังจากม็อบผ่านไปแล้วเราก็ตีเข้าไปตรงนั้นเลย จะว่าตีหรือไม่ตีก็แล้วแต่ ความสลดสังเวชมันไปพร้อมกัน แล้วก่อตลอดเวลา เวลานี้ก่ออยู่
ยังก่ออะไร จะเอาธนาคารสงฆ์ ธนาคารสงฆ์มันมีที่ไหน นี้ก็พูดแล้วเมื่อคืนนี้เรื่องพระวินัย พระพุทธเจ้าละเอียดลออขนาดไหน พูดตามหลักพระวินัยจริง ๆ เรื่องรูปิยะ คือเงินทองนี้มายุ่งไม่ได้เลย นี่พระพุทธเจ้าตัดขาดสะบั้น ไม่ให้มีชิ้นต่อเลยนะ เบื้องต้นที่ว่าพุทธบัญญัติ บัญญัติเบื้องต้นที่อนุโลมมาให้คนอื่นรับแทนไว้สำหรับใช้สอยเวลาจำเป็นก็เกี่ยวกับชาติ ชั้น วรรณะ ไม่เหมือนกัน เช่น พระราชามหากษัตริย์ออกมาบวช มีความเป็นอยู่อย่างละเอียดลออกว่าคนทั่ว ๆ ไป เมณฑกเศรษฐีท่านก็มีความห่วงใยในพระเจ้าพระสงฆ์ เพราะท่านดูแลพระสงฆ์อยู่ตลอดเวลา
กษัตริย์มาบวชท่านก็ดู ตาสีตาสามาบวชท่านก็ดู ความเป็นอยู่ของคนเรานี้ไม่เหมือนกัน จึงสงสารพระแล้วก็ไปขอทูลอาราธนาให้พระองค์ทรงผ่อนผันในพระวินัยข้อเงินและทองที่จะจับจ่ายใช้สอย เพื่อแบ่งหนักแบ่งเบาลงได้บ้าง คือทางนี้แสดงเหตุผลตามที่ว่าละ ด้วยความลำบากลำบน ที่ว่าพระไม่ต้องรับเรื่องเงินเรื่องทอง ขอผ่อนผันลงไปว่า ให้คนอื่นรับแทนได้ เพื่อเวลาจำเป็นแล้วพระท่านจะได้สั่ง จตุปัจจัยที่รับไว้เพื่อท่านนั้น ซื้ออะไร ๆ ต้องการอะไรได้ เป็นความสะดวกต่อพระท่าน
พระองค์ก็ทรงผ่อนผันลงมา นี่ก็เรียกว่า อนุบัญญัติ ผ่อนทีหลังพระวินัย บัญญัติเบื้องต้นก็มีแล้ว เด็ดขาดเลย ไม่เข้ามายุ่ง เงินทองนี้ขาดสะบั้นเป็นคนละฝั่ง เรียกว่าเป็นคนละโลกเลย ฟังซิน่ะ นี่ละพุทธบัญญัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องทำความกังวลวุ่นวายห่วงใยหน้าหลัง และเป็นการสั่งสมกิเลสไปในตัวสำหรับพระที่บำเพ็ญเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อความพ้นทุกข์ล้วน ๆ แล้วจะมาเกี่ยวโยงกับสิ่งเหล่านี้ ไม่เหมาะสมกัน เพราะฉะนั้นถึงตัดอันนี้ออกให้หมด ให้ท่านมุ่งต่ออรรถต่อธรรมโดยถ่ายเดียว
เมณฑกเศรษฐีก็มาขอความผ่อนผัน พระองค์ก็ทรงผ่อนลงมาว่า ถ้างั้นก็ให้มีไวยาวัจกรผู้ทำหน้าที่แทนท่านได้ ปัจจัยนั่นเวลาท่านต้องการกัปปิยภัณฑ์อะไรก็ให้ได้สั่งผู้ที่เก็บปัจจัยนั้นไว้ แต่ให้ยินดีในกัปปิยภัณฑ์ ไม่ให้มายินดีในเงินและทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ถ้ายินดีนี้ปรับอาบัติอีก นู่นน่ะฟังซิถึงขนาดนั้นนะ นี่ท่านบอกเอาไว้ และเรื่องจับเงินและทองนี้ก็เหมือนกันพระวินัยท่านปรับโทษ นี่ฟังซิ พระพุทธเจ้าท่านปรับโทษ ถ้าใครไปจับเงินจับทองเอามาเป็นของตัวแล้ว เงินทองเหล่านี้เป็น นิสสัคคีย์ต้องเสียสละให้หมด เจ้าของถูกปรับอาบัติปาจิตตีย์ แล้วเพื่อแก้ไขอันนี้ทำยังไง ให้พระสงฆ์มา ๔ องค์ ครบสงฆ์เลย ไปยึดเอามาจาก ที่เรียกว่าจับเงินจับทองมาแล้วนั้น ให้พระสงฆ์มารวม ๔ องค์ เป็นสักขีพยานในการเสียสละเงินเหล่านี้ เมื่อรวมกันแล้วให้พระอีกองค์หนึ่งมาเอาเงินนี้ไป เอาเงินทองที่พระองค์ถูกปรับอาบัตินั้นน่ะ ไปปาเข้าป่า ปาเข้าป่าแล้วห้ามกำหนดที่ตก ถ้ากำหนดที่ตกว่าตกที่นั่นที่นี่ มันมีความหมายใจอยู่ว่าจะไปเอาก็ได้ ว่างั้น ปรับอาบัติผู้นั้นอีก เป็นยังไงฟังซิ นี่ละพระวินัยข้อนี้
จากนั้นก็มาแสดงอาบัติยอมรับโทษของตน ว่าได้ทำผิดเพราะจับเงินและทองเหล่านั้น โทษก็ระงับไป นี่ละพระวินัยท่านแสดงไว้ อย่างอื่นไม่เห็นร้ายแรง แต่เรื่องเงินนี้จนขนาดที่เอาพระมา ๔ องค์ สละเงินนี้ในท่ามกลางสงฆ์นู่นน่ะ ธรรมดาเมื่อไร เป็นยังไงท่านมหา ที่ว่านี้พระวินัยมีไหมล่ะ (มีครับผม) มีเหรอ ก็มันเห็นด้วยกันจะให้ว่าไง คัมภีร์เดียวกัน นั่นละท่านเข้มงวดกวดขันขนาดนั้น เดี๋ยวนี้มันก็เลอะเทอะ ๆ ด้วยอันนี้เอง เดี๋ยวนี้กำลังลุกลามจะตั้งธนาคารสงฆ์ขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าปัดออก มันไปตั้งธนาคารขึ้นมาเหยียบหัวพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นยังไงฟังซิ ท่านตัดขาดมาขนาดนั้น ฟังซิ
ธรรมมันไม่สนใจ วินัยไม่สนใจยิ่งกว่าธนาคารสงฆ์ จะเอาให้ได้ จะตั้งธนาคารสงฆ์ให้ได้ พ.ร.บ.ตั้งขึ้นมา พ.ร.บ.ที่ไหน พุทธบัญญัติมี บกพร่องที่ตรงไหน คัมภีร์ในพุทธบัญญัติศาสนาของพระพุทธเจ้ามีบกพร่องที่ไหน คำสอนมีทั้งพระสูตร พระวินัย กฎหมายพระมีพร้อมแล้ว พระสูตร พระวินัย พระปรมัตถ์ มีหมดแล้วบกพร่องที่ตรงไหน ไปตั้งที่ไหนมา พ.ร.บ. ร.แบที่ไหน บังคับสงฆ์ สงฆ์ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยจะเอาอะไรมาปรับโทษท่าน อันนี้มันไม่ปฏิบัติธรรมวินัย ผู้มาบัญญัตินั้นน่ะตัวโทษใหญ่ มาเสือกหาอะไร เราว่างั้นนะ
ธรรมวินัยทำไมไม่สนใจ ไปเสือกหาอะไรอย่างนั้น ตั้งพ.ร.บ. ร.แบอะไรขึ้นมา ซึ่งไม่ใช่หลักของพุทธศาสนา อันนั้นอยู่นอกเป็นกาฝาก เข้ามาติดต้นไม้ด้วยแล้วมันจะกินต้นไม้ กินพุทธศาสนานี้คือต้นไม้ใหญ่ ที่ร่มเย็นใหญ่นี้จะให้ขาดสะบั้นไปหมดเลยด้วยกาฝาก ที่ว่าธนาคารสงฆ์นั่นน่ะ เงินสงฆ์นั่นน่ะ ไปรวบเอามาจากที่ไหน ๆ เข้ามาจุดศูนย์กลางจะเป็นผู้รักษาหมด อันนี้มันก็ว่าที่ไว้แล้วพวกนี้ ว่าที่ไง เงินที่เข้าในจุดส่วนรวมมันจะต้องเป็นเจ้าอำนาจป่าเถื่อนขึ้นมา แบบหน้าด้านเหมือนกัน ให้มีใครก็ตามซึ่งมีส่วนได้เสียด้วยกันแล้วมาปกครองสมบัติเหล่านี้ ใครมายุ่งไม่ได้
สุดท้ายพวกนี้จะเป็นพวกกลืนพวกกินทั้งหมด ใครจะเชื่อได้ล่ะ มันจะไม่กลืนไม่กินได้เหรอ มันลงตั้งขนาดนั้นด้วยความหน้าด้านแล้วนี่ ฟังซิน่ะ เราพูดย่นๆ เข้ามานะ ไม่ได้บรรยายอะไรมากมายนัก ทีนี้ศาสนานี้มีแต่วัตถุเต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณร ในหัวใจพระเณรมีแต่วัตถุเงินทองข้าวของ สิ่งนั้นสิ่งนี้เต็มไปหมด ธรรมภายในใจไม่มี ว่าไงมีความหมายอะไรศาสนา ฉิบหายแล้วเห็นไหม สิ่งเหล่านี้เข้าไปเหยียบย่ำทำลายหมด ธรรมก็มีอยู่ วินัยก็มีอยู่ ทำไมไม่สนใจปฏิบัติเพื่อความสงบร่มเย็นดังที่เคยเป็นมาแล้ว
นี้ก่อเรื่องเหล่านี้ขึ้นมามันสงบร่มเย็นที่ตรงไหน ผลของมันจะสงบที่ตรงไหน มีแต่ฟืนแต่ไฟที่จะเผาพระสงฆ์ทั้งประเทศนั่นแหละ จะเป็นอะไรไป ทั้ง ๆ ที่ท่านปฏิบัติดีอยู่ เอาไฟมาเผาท่านทำไม มันดื้อด้านอะไรนักหนาพระเรา นี่ละเวลานี้กำลังเกิดในท่ามกลางแห่งเมืองไทยของเรานี่ ไม่ได้เกิดที่ไหน เกิดที่นี่ ที่สงบมา ราบรื่นมาแต่ก่อน ลบล้างหมด เวลานี้กำลังจะตั้งฟืนตั้งไฟเผาศาสนา เผาพระเผาเณรผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้เสื่อมเสียกระทบกระเทือนไปตาม ๆ กัน กับความเลวร้าย หรือพวกเลวร้ายก่อขึ้นมาเผา จะเป็นใครที่ไหนไปวะ
มันน่าทุเรศจริง ๆ ไปหาดิ้นอยู่ข้างนอกน่ะ หลักธรรมหลักวินัยที่จะเป็นมรรค เป็นผล เป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมไม่สนใจ ไปดีดไปดิ้น เอาแบบฆราวาสมาใช้ทั้งหมดในนามของพระ เพศของพระ มันดูไม่ได้นะ งานของโลกเขา เขาทำก็งามตา งานของพระ พระทำก็งามตา นี้งานของโลกพระไปแย่งเอามาเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงใหญ่โต ไปควบคุมเสียหมดมาเป็นงานของตัวเองนี้ดูไม่ได้เลย เลวร้ายที่สุดเลย ผมพูดอย่างนี้ละท่านมหา พูดอย่างตรงไปตรงมา นี่ออกแล้ว เอ้า ถ้าสงสัยให้มา ว่างั้นเลย ให้ถอยไม่มี ถ้าลงได้ขึ้นแล้วไม่มีถอย ความจริงมีอย่างงั้น
หลักธรรมหลักวินัยมีอย่างงั้น พูดตามหลักตามเกณฑ์ผิดที่ตรงไหนวะ ผู้ที่ทำนอกหลักนอกเกณฑ์น่ะซิ ทำไมจึงไม่พินิจพิจารณาตัวเองเพื่อแก้ไขตัวเอง ถ้าได้ทำผิดพลาดไปแล้วก็ดีทำไมไม่รีบแก้ตัวเอง จะมาหาปรับโทษอะไรผู้ที่พูดตามหลักความจริง ตำหนิก็ตำหนิเพื่อก่อต่างหาก ไม่ได้ตำหนิเพื่อทำลายนี่นะ ให้สำรวมตัว ระมัดระวังตัว ปฏิบัติตัวให้ดีตามหลักธรรมหลักวินัยมันก็หมดปัญหาไปเท่านั้น นี่ยังไม่ยอม จะมาเอาผิดกับผู้พูดด้วยความเป็นธรรมนี่ มันถูกต้องไหมล่ะ ไอ้ผู้ทำเป็นยังไง ผิดขนาดไหนไม่ไปสนใจแก้ตัวเอง แล้วจะไปแก้ผู้ที่พูดด้วยความเป็นธรรม มันเข้ากันได้ไหมล่ะ นั่น
มันไม่มีธรรมมีวินัยเลยเวลานี้ โถ เลอะจริง ๆ พระเณรเรานี่เลอะมาก นี่เราประกาศป้าง ๆ อยู่แล้ว เลอะลงไปทุกวัน ๆ ไม่ใช่ธรรมดานะ เบื้องต้นก็เคยพูดมาเรื่อย ๆ เป็นลำดับลำดามา บรรดาลูกศิษย์ลูกหาก็แน่ใจว่าเคยได้ยินได้ฟังแล้วที่เราพูดออกไปแต่ละครั้ง ๆ เกี่ยวกับความเสียหายต่อพระเณรและพระศาสนาทุกวันนี้ สำหรับวงพระเรา เริ่มมาตั้งแต่นู่น ตั้งแต่หนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์นี้เป็นเรื่องของโลกของสงสาร ข่าวคราวต่าง ๆ เขาลงในหนังสือพิมพ์ ไม่ใช่เรื่องของพระที่จะไปเกี่ยวข้อง นี่ข้อหนึ่ง
พระหาอยู่แต่ที่สงบสงัด บวชแล้ว รุกฺขมูลเสนาสนํ ไล่เข้าป่าเข้าเขา พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งเอง ให้อยู่ในป่าในเขา ตามถ้ำเงื้อมผา หรือป่าช้าป่ารกชัฏ ที่ไหนเป็นที่เหมาะสมเพื่อการประกอบความพากเพียรด้วยความสะดวกสบาย ไม่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งก่อกวนทั้งหลาย เพราะที่เช่นนั้นโลกเขาไม่ต้องการ พระจึงอยู่ได้สะดวก และจงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่อย่างงั้นตลอดชีวิตเถิด นี่อนุศาสน์สอนไว้อย่างนี้ แล้วมันจะเข้ากันได้ไหมกับหนังสือพิมพ์ ผ่านมาโลกไหน ๆ ก็ไปคว้าเอามา คว้าเอามาอ่าน มันเข้ากันได้ไหมกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้หลีกเร้นอยู่ตามป่าตามเขา เพื่อการบำเพ็ญสมณธรรม สงบใจตัวเอง มันเข้ากันได้ไหมล่ะ เอามาเทียบกันดูซิ นี่ละพระพุทธเจ้าทรงรับสั่งมาอย่างนั้น นี่อันดับหนึ่ง
อันดับสองวิทยุก็คือเรื่องโลกเรื่องสงสาร ไม่ใช่เรื่องพระเรื่องเณรเรา ถ้ายังมีความสนใจกับสิ่งเหล่านี้อยู่สึกออกไปเสีย ถ้าจะไปผูกพันกับมันในสิ่งเหล่านั้นยิ่งกว่าอรรถกว่าธรรม กว่าเพศของตัวเองแล้วสึกออกไปเสีย เขาก็ไม่ว่า ถ้าอยู่ในเพศนี้ไม่ควรเข้ามายุ่ง โลกเขาเป็นโลก ธรรมเป็นธรรม หน้าที่ของโลกเขาทำของเขาเอง เราเป็นพระเราเป็นธรรม ดำเนินหน้าที่การงานของเราด้วยอรรถด้วยธรรมเพื่ออรรถเพื่อธรรมเป็นลำดับไปเท่านั้น นี่อันดับสองวิทยุ
อันดับสามก็เทวทัต โทรทัศน์ โลกเขาดูได้ทำได้เป็นอะไรไม่มีอะไรเสียหาย แต่พระนี่ไม่ได้นะ เรื่องราวมันเกิดขึ้นจากอันนี้คืออะไร การดูการเห็นโทรทัศน์เทวทัตในเรื่องราวต่าง ๆ ซึ่งส่วนมากมีแต่เรื่องของโลกล้วน ๆ กับพระไปดูอย่างงั้นมันเข้ากันได้ไหมล่ะ นั่น เมื่อเข้ากันไม่ได้มันก็เป็นความเสียหายสำหรับพระๆ ไปตลอดเลย นี่เป็นข้อที่สาม โทรทัศน์ วิดีโอ เป็นข้อที่สาม
ข้อที่สี่นี้ตัดคอเลยเชียว ตัดคอยังไงข้อที่สี่ โทรศัพท์มือถือ ติดคอไปแล้วพูดกับใครก็ได้ ชอบอีหนูคนไหนก็พูดกัน นัดกันไปที่ไหน ๆ ไม่ว่าที่ลับที่แจ้ง ช่องไหนที่ว่าง ๆ โทรศัพท์นัดกันเลย ไปได้อย่างสะดวกสบาย คอขาดอย่างไม่มีเจ้าของ ถ้าเป็นสัตว์ก็ไม่มีเจ้าของ คอขาดไปเลย พระหมดความมีเจ้าของ คอขาดไปเลย นี่โทรศัพท์เป็นวาระสุดท้ายที่จะประหารชีวิตของพระ ที่เริ่มก้าวมาตั้งแต่หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เทวทัตเป็นสื่อสำคัญให้ดูดดื่มในเรื่องกิเลสตัณหา กามราคะ พอได้โทรศัพท์มาแล้วก็ได้เครื่องมือแล้วก็นัดกันได้ กับผู้ย่าผู้หญิง นัดที่ไหนได้ทั้งนั้น นี่ฟังเอาซิเสียงอรรถเสียงธรรม พูดตามหลักความจริงผิดไปไหน เรื่องมันเป็นอยู่อย่างงั้น พระเอามาทำก็เป็นอย่างนี้ เราพูดไว้ให้รู้เรื่องรู้ราว มันเป็นอยู่ก่อนแล้วมิใช่เหรอ
นี่ละมหาภัยต่อพุทธศาสนาต่อพระต่อเณรเรา คือสี่อย่างนี้เป็นมหาภัยมากที่สุด แล้วเดี๋ยวนี้มันเต็มอยู่ที่ไหนล่ะ มันไม่นอกเหนือไปจากวัด วัดหนึ่งกุฏิหลังหนึ่ง ห้องหนึ่ง ๆ มันมีอะไรบ้าง หนังสือพิมพ์ก็เต็มห้อง วิทยุก็เหมือนกัน โทรทัศน์เทวทัตเต็มห้อง มีกี่เครื่องกี่อัน แล้วโทรศัพท์มือถือมันติดไว้หมดละมั้งแถวนี้เพื่อความสะดวก นี่เต็มวัดเต็มวา เต็มพระเต็มเณร อันนี้มันเป็นยังไง ก็มีแต่ภัยทั้งนั้นรอบตัวอยู่ แล้วหาคุณธรรมมาจากที่ไหน เอามาเทียบดูซิน่ะ หาธรรมท่านไม่ได้หาอย่างนี้ ท่านตัดออกเลย เพราะอันนี้เป็นข้าศึกต่อธรรม ต่อพระเรา เวลานี้มันเป็นยังไงเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มวัดเต็มวา หน้าด้านหรือไม่หน้าด้านพระเราน่ะ
ธรรมวินัยมีอยู่ เรียนด้วยกันทุกคน เห็นอยู่ด้วยกันทุกคน ทำไมจึงไปหน้าด้านเอาขนาดนั้น ไปแตะไม่ได้นะ มันของเล่นเมื่อไร มันเป็นมหาโจรหรือมหาภัยเต็มตัวแล้ว เข้าไปแตะไม่ได้นะ นี่แหละเรื่องราวมันเป็นอย่างงี้ แล้วศาสนาจะไม่เสื่อมยังไง พระเณรมีมากขนาดไหนมันก็มาทำแบบเดียวกัน แล้วจะไม่ฉิบหายยังไงศาสนา ยิ่งพระเณรเรามีมากเท่าไร ยิ่งสร้างแต่สิ่งเหล่านี้มากขึ้น ๆ ศาสนาฉิบหายเลย พระเณรบวชเท่าไรยิ่งทำให้ศาสนาเสื่อมลงเป็นลำดับลำดาดังที่เห็นนี่แหละ เอาไปเทียบดูซิน่ะ เราพูดนี้ผิดไปไหม มันไม่มีอะไรผิด หลักธรรมหลักวินัยกางออกให้เห็นกันอยู่ทั่วหน้ากัน
ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว พระเณรมีมากเท่าไรยิ่งชุ่มเย็น องค์ไหน ๆ ก็ปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยแบบเดียวกันแล้วชุ่มเย็นไปหมด ดังพระสาวก ท่านอยู่ด้วยกันมีจำนวนเท่าไรท่านชุ่มเย็นเสมอหน้ากันหมด พระสาวก ไม่เคยมีเรื่องมีราว หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า ปัจเจกโพธิ ท่านอยู่ที่ไหนท่านอยู่ด้วยอรรถด้วยธรรม องค์ไหนก็เป็นธรรมเต็มตัว องค์ไหนธรรมเต็มตัว เมื่อธรรมเต็มตัวแล้วจะไปทะเลาะกับอะไร ถ้ากิเลสเต็มตัวแล้วกัดกันยิ่งกว่าหมา เข้าใจไหมล่ะ มันต่างกันอย่างนี้
ถ้าตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้องดีงามตามหลักธรรมพระพุทธเจ้าแล้ว อะไรจะเย็นยิ่งกว่าผู้ปฏิบัติตามธรรม เช่น พระเณร เป็นต้นนะ ไปไหนก็เย็นไปหมด พูดรู้เรื่องกันอย่างง่ายดาย พอทำผิดตรงไหนคนหนึ่งเตือนนี้รับทันที ยอมรับ ๆ นี่ละธรรม พูดกันง่าย เตือนกันง่าย บอกกันง่าย ไม่มีอะไรเป็นแง่เป็นงอนเหมือนกิเลส ถ้ากิเลสไม่ยอมรับ ดูซิเขาติดคุกในเรือนจำ ไปถามเอาซิรายไหนก็รายนั้น ทำไมต้องมาติดคุกอย่างนี้ล่ะ เขาหาว่า นั่นฟังซิ มันไม่ได้ยอมรับว่ามันทำ แล้วความจริงเป็นยังไง จริง ๆ ล่ะครับ แน่ะ นี่ละกลมายาของกิเลส ผิดก็ไม่ยอมผิด อยู่ในเรือนจำเป็นนักโทษทั้งตัวทั้งคน มันก็ไม่ยอมรับว่าถูกเขาหาต่างหาก มันบริสุทธิ์อยู่นี่ นี่แหละกิเลสไม่ยอมอย่างนี้
นี่แหละที่มันก่อกวนจิตใจของโลกของสงสารทั้งท่านและเราอยู่นี้ เพราะกิเลสไม่ยอมรับความจริง มันจะปลิ้นปล้อนหลอกลวง พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม แล้วก็เพื่อทำลายเจ้าของคือตัวของเราเองที่ไม่รอบคอบกับมัน เพราะฉะนั้นจึงพากันนำไปปฏิบัติให้มีความรอบคอบต่อกิเลส กิเลสมันอยู่กับทุกคน ภัยจึงอยู่กับทุกคน แล้วธรรมก็มีอยู่กับทุกคน มาประพฤติปฏิบัติคุณก็มีกับทุกคน แก้กิเลสไปได้ด้วยกันทุกคนตามกำลังของตน มันมีอยู่เครื่องแก้ถ้าจะนำมาแก้ แต่นี้มันไม่นำมาแก้ หาแต่ฟืนแต่ไฟมาเผากันตลอดเวลา
ไปที่ไหนบ่นกันอื้อ ๆ ทั่วโลกดินแดน ทั้ง ๆ ที่หาความสุขความเจริญให้สมหวัง ๆ ทั่วโลกดินแดน ครั้นเวลามาคุยกันมีแต่เรื่องความผิดหวัง ๆ มีแต่ความทุกข์ความทรมาน อยู่แง่ไหนมุมใด แม้มหาเศรษฐีก็เถอะแบบเดียวกัน ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกนะ ถ้ามีธรรมไม่ว่าคนทุกข์ คนมี คนจน เป็นสุขไปตามกำลังของตนที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็นเครื่องรักษาความสงบสุขเย็นได้ดีทั่วหน้ากันแหละ ถ้าไม่มีธรรมแล้วใครอย่ามาอวดนะ หลวงตาบัวนี้พูดตรง ๆ เลย อย่าเอามาอวดนะ ว่างั้นเลย มันได้ดูหมดแล้วดูโลก
ดูไปที่ไหนก็เห็นแต่เรื่องกิเลสเต็มเนื้อเต็มตัว คนทั้งคนจนมองหาคนไม่เห็น มีแต่กิเลสปิดบังไว้หมด กิเลสห่อหมดทั้งตัวมองหาคนก็ไม่เห็น นี่แต่งตัวมาโก้ ๆ หรู ๆ เป็นยังไงล่ะ แหม วันนี้สวยงามมากนะ แต่งตัวสวยงามมาก ยิ่งนุ่งแบบจิ๊กโก๋จิ๊กกี๋มาแล้วอุ๊ย ยิ่งสวยงามมาก ต่อไปมันปล่อยหีมาเปิดหีมา อุ๊ยอันนี้ยิ่งสวยงามมากเข้าอีกนะ มันจะสวยงามมาก ผู้ชายก็ปล่อยหำปล่อยควยมา ผู้หญิงก็ปล่อยหีมาแบหลอกกัน ล่อกัน มีแต่ของสวยของงามทั้งนั้น นี่เห็นไหมกิเลส นี่ละมันเป็นอย่างงี้ มันจะเป็นอย่างงี้ต่อไป มันหมดยางอายในธรรมทั้งหลาย จะกลายเป็นสัตว์ลงไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีหางนะ ให้คิดเสียทุกคนนะ ถ้าจะคิดให้คิด ไม่เอากันอย่างนี้ไม่ได้ กิเลสมันหน้าด้าน ต้องซัดกันไปอย่างนี้
ที่กล่าวมาเหล่านี้มันเป็นมาแล้วมิใช่เหรอ เราหาอุตริเมื่อไร ไปที่ไหนบางทีดูไม่ได้นะ มันแต่งหาพ่อหาแม่มันอะไรก็ไม่รู้นะ ทั้งโก้ทั้งเก๋ทั้งอวด อู๊ย นุ่งล่อนจ้อน ปิดไว้แต่หีเท่านั้น ตัวผู้หญิงนี่ตัวสำคัญ มันตื้นกว่าเขานะ สะวี้ดสะว้าด ไปที่ไหนอยากให้ผู้ชายชอบ เขาจะชอบอะไรเหมือนหมา เขาจะชอบอะไร ผู้ชายก็เป็นคน เราก็ควรจะเป็นคนบ้างซิ มีหิริโอตตัปปะ รู้จักความสวยความงามชุ่มเย็นตาบ้าง การแต่งเนื้อแต่งตัวมาด้วยความสวยงามมานี้ มองเห็นกันแล้วมันชุ่มเย็นตานะ จิตใจอะไรก็ไม่กำเริบ อันนี้การแต่งมานั้นเพื่อจะหลอกกิเลสตัณหาของคนให้กำเริบนั่นเอง มันไม่กำเริบซีผู้มีธรรมมีอยู่ มีแต่ความสลดสังเวช มันเลอะเทอะไปหมด แต่งตัวจนจะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว มันหน้าด้านเข้าไปทุกวัน ๆ นะเวลานี้ ดูจนจะดูไม่ได้
พากันจำเอานะ หลวงตานี่พูดอะไรอย่างงี้ว่ะ ฟาดปากเอานะ อย่ามาพูด หลวงตานี่พูดยังไงอย่างนี้ ปั๊วะเลยฟาดปาก นี่มันอยู่ไกลมันฟาดไม่ถึง ก็ขู่เอางั้นแหละ เอาละเอาแค่นี้ก่อน ว่าไงท่านมหาพูดอย่างนี้มันผิดไปแล้วเหรอ เอ้าฟังซิน่ะ ก็เรื่องมันเป็นเต็มแผ่นดินอยู่นี้จะไม่ให้พูดบ้างไง นี่ก็ดูมานานแล้ว วันนี้ทนไม่ไหวก็ขึ้นบ้างซี (พระ : มีแต่ท่านอาจารย์องค์เดียวที่พูดปรามโลกอยู่ทุกวันนี้) ปรามโลก ก็มีแต่เราองค์เดียวที่กิเลสต่อสู้เราอยู่นี้ก็ดี จะเป็นอะไรไป เราพูดจริง ๆ นะ นี่แหละคือพูดธรรมล้วนๆ จะไม่มีสูงมีต่ำเลย ไม่ได้ตำหนิใคร ตำหนิความจริงที่มันเป็นให้เห็นให้รู้อยู่ มันขัดกับมนุษย์ผู้มีศีลมีธรรม ถ้าไม่มีศีลมีธรรมอย่างหมานี่ เขาจะมีกี่ตัว มีหำกี่หำ มีหีกี่หีไม่สนใจกับเขา หมาเข้าใจไหม ถ้าคนนี้ไม่ได้ มันต่างกันตรงนี้น่ะ เข้าใจเหรอ แม้ที่สุดตั้งแต่ลูกเขาเป็นอย่างงั้น นี้ก็ไม่กล้าไปเตือนนะ ถ้าลูกเราไม่ได้เอาเลยนะ พอตีตีเลยใช่ไหมล่ะ มันต่างกันอย่างนี้แหละ ที่ใกล้ ไกล ใน นอกต่างกัน นี่สอนมาว่ากันมาเป็นวรรคเป็นตอน ๆ อย่างนี้ต่างหากนะ
โอ๊ย มันเลวขึ้นทุกวัน ๆ นะ เอาธรรมจับนี้ แหมจะดูไม่ได้จริงๆ การพูดนี้ไม่ได้มาพูดดูถูกเหยียดหยาม ก็สอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาเพื่อความเป็นคนดี มีความสงบสุขร่มเย็น ไม่ดีดไม่ดิ้นจนเกินไปด้วยอรรถด้วยธรรม ผิดไปตรงไหน การทำอย่างนั้นมันดีดมันดิ้นเลยเหตุเลยผล เลยอรรถเลยธรรม แล้วจะสร้างตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานแก่ตนทั้งนั้น ชิ้นดีไม่มี นั่น เพราะฉะนั้นถึงได้เตือน หนักบ้าง เบาบ้าง ต้องว่ากันซิ นี่พูดจริง ๆ มันไม่มีอะไรในสามแดนโลกธาตุ เรื่องที่จะมีสะทกสะท้านกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ อันนั้นสูง อันนี้ต่ำ เราพูดจริง ๆ เราไม่มี มีแต่ธรรมล้วน ๆ ครอบโลกธาตุในหัวใจนี้ว่างั้นเลย
นี่ละจึงได้ยอมรับพระพุทธเจ้า กราบอย่างตายไปเลยเทียว หมอบราบ กราบอย่างราบหาที่ขัดแย้งไม่ได้ คือธรรมของพระพุทธเจ้า ธรรมกับศาสดาองค์เอกเป็นอันเดียวกัน เห็นอันนี้ชัดเจนแล้วหาที่ค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้แล้ว และจะไม่กราบได้ยังไง แล้วเวลาพูดมามันก็สุ่มสี่สุ่มห้าไปเสีย แต่เรื่องธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมสุ่มสี่สุ่มห้า ผู้ปฏิบัติไม่ใช่ผู้ปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้า เอาจริงเอาจัง มันก็รู้จริงรู้จังตามที่ทรงแสดงไว้แล้วทุกอย่าง แล้วค้านท่านไปไหน อะไรจะเลิศเลอยิ่งกว่าธรรมในโลกอันนี้ ว่างั้นเลยนะเรา เรามองไปหมดแล้ว สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรที่จะเลิศเลอ หรือเป็นคู่แข่งของธรรม ไม่มี ธรรมครอบโลกธาตุ ถ้าว่าเลิศมันก็เหนือโลกสมมุติไปเสีย อะไร ๆ เหนือไปหมด
เช่นอย่างความสว่างไสว จ้าอยู่ภายในจิตใจ มันไม่ได้สว่างจ้าเหมือนดวงไฟเรานี้ ดวงไฟเรานี้เป็นดวงไฟสมมุติ เป็นสมมุติ ไฟของวิมุตติธรรมวิมุตติจิตนั้นไม่ได้เป็นอย่างนี้ จะพูดว่ายังไงพูดไม่ได้ แต่เจ้าของไม่สงสัย ยอมรับแต่ว่าอัศจรรย์เท่านั้น ไม่มีอะไรเหมือน ฟังซิน่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เหมือนกับธรรมธาตุหรือวิมุตติจิต วิมุตติธรรมของท่านผู้บรรลุนั้นเลย ไม่มีอะไรเหมือน แต่ท่านไม่ตื่น จะเทียบอะไรเขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว เราไม่สงสัยอะไร เป็นยังไงก็เป็นเรื่องของเรา ก็อยู่กันไปอย่างงั้น หูหนวกตาบอดไปเสียบางกาลสถานที่ เหมือนไม่รู้ไม่เห็น เพราะท่านไม่เจ็บไม่ปวด ไม่แสบไม่ร้อนเหมือนกิเลส
กิเลสนี้ผ่านไปตรงไหนมันแทงกันนะ แทงหูแทงตาให้กระทบกระเทือน ส่วนธรรมไม่มี ใครจะทำยังไงก็ตาม ท่านไม่มี แต่เวลาจะเกิดประโยชน์ที่จะนำมาสั่งสอนนี้ท่านก็นำมาสอน ควรจะเด็ดก็เด็ด ควรจะดุท่านก็ดุ ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่ได้กระทบกระเทือนกับสิ่งที่เคยสัมผัสมานั้นเลย ท่านไม่มี
ทางออสเตรเลียคงเป็นสถานที่บำเพ็ญสะดวกดีมาก (พระ : ดีมากครับ เป็นป่าโปร่งและที่กว้างขวาง) มันเป็นดงหรือมันเป็นอะไร (พระ : เป็นดงเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นป่าโปร่งแบบที่ว่าไม่ทึบเพราะว่าเป็นเมืองที่แล้ง เหมือนกับป่าโปร่งภาคอีสานครับผม ที่กว้าง ๆ บำเพ็ญภาวนาสะดวกสบาย ที่บางแห่งเป็นหลายร้อยไร่ ดีกว่าที่อื่น มีหลายแห่งที่สถานที่กว้างขวาง ที่กระผมรับผิดชอบอยู่มี ๒๒๐ เอเคอร์ครับผม กว้าง) แถวนั้นมีสัตว์ไหม ( พระ : ถ้าจะมีก็มีแค่งู งูก็ไม่ทำอะไร สัตว์ป่าก็มีจิงโจ้ พวกวัวพวกอะไรเขาก็อยู่ตามฟาร์ม แต่ในป่าจริง ๆ แล้วจะมีจิงโจ้ นกมีมากครับผม นกมีหลายประเภท ได้ยินแต่เสียงนก เพราะเขาไม่กินนกครับผม ไม่ฆ่านก) เพราะเหตุไรเขาจึงไม่กิน ทราบไหม (พระ : ฝรั่งไม่เคยกินนกครับผม) ฝรั่งไม่เคยกินนก เออ เข้าใจ พวกสัตว์เหล่านั้นน่ะเขากลัวไหม จิงโจ้ (พระ : ไม่ค่อยกลัว ถ้ามันมากฝรั่งเขาไปฆ่ามันทิ้ง เพราะมันไปทำลายสวนทำลายพืชเขา) พวกเสือมีไหม (พระ : ไม่มีครับผม เสือ ลิงไม่มี หมูป่ายังมีบ้าง) หมูป่าก็มีเหมือนเมืองไทย (พระ : แต่มันก็ไม่เป็นอันตรายแก่คน)
เราก็เลยไม่มีเวลาไม่มีโอกาสที่จะไปเยี่ยมทางออสเตรเลียบ้าง นานเท่าไรงานยิ่งหนักเข้า ๆ เลยไม่มีเวลานะ (พระ : สงสารท่านอาจารย์ ทั้งสนับสนุน ทั้งเคารพทุกอย่างท่านอาจารย์ครับผม ท่านเหนื่อยมากสู้กับโลก) เดี๋ยวนี้เทศน์ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะ หลงหน้าหลงหลังแล้วเดี๋ยวนี้ เทศน์ไปๆ หายเงียบ ไม่ทราบว่าเทศน์อะไรมา ระลึกไม่ได้ ตั้งใหม่ไปเรื่อย แล้วเทศน์ไป ๆ ขาดปุ๊บหายเงียบ ตั้งใหม่ไปเรื่อยแหละ โอ๊ย เทศน์กัณฑ์หนึ่งมันได้หลายกัณฑ์ ต่อไปจะเทศน์ไม่ได้นะ สัญญาอารมณ์เริ่มตัด (พระ : แต่ก่อนนั้นมีเทปม้วนหนึ่งก็กัณฑ์หนึ่ง เดี๋ยวนี้เขามีซีดีฟังจุใจ ใส่หูแล้วฟังได้หลายกัณฑ์ สามสี่กัณฑ์ เขาทำดี ให้ฟังได้ ซีดีมันหลายกัณฑ์ครับ ๒๐ กัณฑ์ก็มี)
มีในเมืองไทยเรามีไหม (โยม : เมืองไทยเราก็มี ลูกศิษย์เราก็ฟังกันอยู่ครับ) เราไม่ค่อยเข้าใจ พึ่งมาได้ยิน ตอนเราภาวนาจริง ๆ ไม่มีเลยนะสิ่งเหล่านี้ พวกเทปพวกอะไรไม่มีเลย พึ่งมามีเอาหลัง ๆ นี่นะพวกเทป จะเกี่ยวเข้าไปในวัดป่าบ้านตาดประมาณ ๒๕๐๔
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|