เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [เช้า]
ธรรมเทกระจาด
เครื่องอะไรมารออยู่นี่ (โทรศัพท์มือถือครับ เขาโทรมาเข้าเครื่องทางนี้ บอกให้ทางนี้เอาไปวางไว้ที่ลำโพง เวลาหลวงตาเทศน์ก็ได้ยินพร้อมกันครับ) ทางสหรัฐขอมาทางนี้ ฟังธรรมจากที่นี่เทศน์ ลงไปสู่สหรัฐ นี่เขาก็มาฟัง เขาอยากฟัง เราเทศน์อยู่ศาลาวัดป่าบ้านตาดเขาก็ฟังธรรมพร้อมกัน คือขณะนี้เราก็ฟัง ทางสหรัฐก็ฟัง ได้ยินพร้อมกัน อยู่อุดรก็เหมือนกัน มานี่เขาก็มาขออีก ให้เทศน์ไปทางสหรัฐ ก็เหมาะสมอยู่แล้วสำหรับธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมที่เลิศเลอไม่เป็นข้าศึกต่อผู้หนึ่งผู้ใดเลย
พุทธศาสนาจึงเข้าได้หมดทั่วสามแดนโลกธาตุ เพราะเป็นธรรมล้วน ๆ มีแต่คุณอย่างเดียว โทษไม่มี นี่เขาอยู่ตั้งนู้นสหรัฐ เขาก็ยังได้ยินได้ฟังอรรถธรรม เราอยู่เมืองไทยก็สมควรอย่างยิ่ง คืออยู่ใกล้ชิดกว่าเขา ควรจะได้ยินได้ฟังอรรถธรรมประจำวัน เมื่อมีครูมีอาจารย์ผู้มาแนะนำสั่งสอน เราควรที่จะได้ยินได้ฟังเป็นเครื่องระลึก และเป็นสิริมงคลแก่จิตใจเราเป็นประจำวัน อย่างนี้เรียกว่าเรามีที่ยึดที่เกาะเป็นประจำ ดีกว่าผู้ที่ไม่มีเครื่องยึดเสียเลย ตื่นมาอย่างลอย ๆ หมดทั้งวันจนค่ำ ค่ำอย่างลอย ๆ ตื่นอย่างลอยๆ หลับอย่างลอย ๆ เป็นอยู่อย่างลอยลม ตายก็ลอยลม ดีกว่าพวกนี้เป็นไหน ๆ
สารคุณแห่งธรรมนี้เลิศเลอ เมื่อได้เข้าสัมผัสในใจแล้วถึงทราบชัดเจน ธรรมเข้าสัมผัสกับใจมากน้อยเพียงไร ใจจะตื่นเนื้อตื่นตัวขึ้นสู่ธรรม และมีความกระหยิ่มยิ้มย่อง จิตใจมีคุณค่ามีราคาขึ้นในขณะนั้น ๆ ต่างจากอารมณ์ทั้งหลายที่เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้จิตใจ คือกิเลสนั้นแหละมันบีบบี้สีไฟ หรือว่ามันคลุกเคล้าอยู่กับจิตใจเราตลอดเวลา ใจเราจึงกลายเป็นฟืนเป็นไฟเพราะกิเลสเป็นตัวไฟ ตลอดไปเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้จึงควรมีน้ำดับไฟ ได้แก่ธรรมชะล้างลงไปในใจของเรา ด้วยความระลึกถึงธรรมบทใดก็ได้ ระลึกถึงทานของตนก็ชุ่มเย็น เห็นผลประจักษ์มาโดยลำดับ
ระลึกถึงศีลถึงธรรม ระลึกถึงธรรมคือการภาวนา การเกิด การตายของเจ้าของ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่ที่จะไปข้างหน้าเหมือนกัน ไปภพนั้นไปภพนี้เรื่อย เมื่อเราระลึกถึงธรรมแล้วที่ยึดที่เกาะเราก็มี เช่นเราจะเดินทางไปจังหวัด ตำบลใดก็ตาม เราแน่ใจในรถเราแล้ว เราเป็นคนขับก็แน่ใจแล้ว เราก็ไปด้วยความแน่ใจ จนกระทั่งถึงด้วยความแน่ใจ ปลอดภัยด้วยความแน่ใจของเรา นี่เพียงเครื่องมือภายนอกเท่านี้เราก็เห็นได้ชัด ยิ่งธรรมเป็นของเลิศเลอด้วยแล้วยิ่งสร้างความแน่ใจให้แก่เราทุกระยะที่ระลึกถึงท่าน ถ้าไม่ได้ระลึกถึงท่านเลย อะไรกว้างแสนกว้างมีคุณค่ามีราคาอะไร จิตใจก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ตาย พลัดพรากจากกันไป อย่างที่โลกเป็นมานี้แหละ ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวไปเหมือนคุณงามความดีที่เราได้สร้างเป็นประจำวันของเรา
เพราะฉะนั้นธรรมนี้จึงไม่ได้ปรากฏขึ้นมาอย่างง่ายดายนะ ที่เราเห็นทุกวันนี้ก็คือธรรมพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นมาประสบพบเห็นกับธรรมอันเลิศเลอ แต่จิตใจเรามันเลวเสีย มันก็เห็นธรรมว่าเป็นข้าศึกศัตรูไปเสียอย่างงั้น เพราะตัวเองเป็นข้าศึกต่อตัวเอง แม้จะอยู่ในวงพุทธศาสนา ที่โลกทั้งหลายเขาตักตวงเอาบุญเอากุศลมรรค ผล นิพพาน พ้นจากทุกข์ไปมากมาย เราก็มีแต่ทางจมไปตลอด ๆ ทางอื่นไม่มี เพราะเราไม่หาทางพ้นทุกข์ มีตั้งแต่ทางล่มทางจมด้วยกิเลสตัณหาฉุดลากไป
ตื่นนอนขึ้นมาก็ไม่ระลึกถึงคุณงามความดี ระลึกถึงแต่ความทะเยอทะยาน ความดีดความดิ้น อันนั้นก็จะเอา อันนี้ก็จะเอา อันนั้นก็หวัง อันนี้ก็หวัง หวังเต็มหัวใจ แต่ความผิดหวังมันเข้ามาแทนที่และเต็มหัวใจ มีแต่กองทุกข์เป็นตัวผล บีบบี้สีไฟหัวใจของเราอยู่อย่างนี้ ทั่วไปนะโลกอันนี้ เราอย่าไปตำหนิคนนั้นคนนี้ว่าเขาเป็นอย่างนั้น เขาไม่ดีอย่างนี้ ตัวของเรานั้นแหละตัวการ ให้ดูตัวของเรา พิจารณาใคร่ครวญ แก้ไขดัดแปลงตัวของเราให้ดี จิตใจนี้ฝึกได้ ถ้าฝึกไม่ได้พระพุทธเจ้าจะไม่สอน และพระพุทธเจ้าก็ไม่มีในโลก เพราะฝึกไม่ได้ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้
แต่เมื่อฝึกได้แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าได้ สอนบรรดาสัตว์ มีสาวกเป็นสำคัญ ก็ได้สำเร็จมรรค ผล นิพพาน เป็นคนดิบคนดี เลิศเลอไปได้ด้วยอำนาจแห่งธรรม เราก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ควรจะได้อรรถได้ธรรมเข้ามาเป็นเครื่องประดับใจไม่มากก็น้อย ขอให้มีในวันหนึ่ง ๆ เราจะอยู่ด้วยความมีหวัง วันหนึ่ง ๆ เรามีหวังด้วยความดีติดใจเรา ตายไปแล้วไม่มีหวัง ภพนี้เราก็เป็นอย่างนี้แล้ว เป็นมนุษย์ตามฐานะกรรมดีชั่วของเรา และภพหน้าเราก็จะไปด้วยอำนาจแห่งกรรมเหมือนกัน
เพราะจิตใจไม่เป็นอิสระ ต้องมีสิ่งควบคุม สิ่งพาให้ไป ถ้ามีบาปมีกรรม ก็บาปกรรมพาให้ไป ฉุดลากให้ไป แม้ไม่อยากไปขนาดไหน ก็เหมือนนักโทษที่ถูกเขาจับได้ ไสเข้าเรือนจำนั้นแหละ ไม่อยากไปก็ต้องได้เข้าเรือนจำ ชื่อว่านักโทษใครไม่อยากได้ยิน ก็มาติดกับตัวของคนที่สร้างแต่โทษแต่กรรมเสียเอง นักโทษเต็มอยู่ในเรือนจำ ใครปรารถนาเมื่อไร นี้เรียกว่าสังคมไม่ยอมรับ สังคมไม่นับถือ แต่ผู้ที่ชอบความชั่วช้าลามก แม้ไม่อยากเป็นนักโทษตามความสำนึกอันหนึ่ง แต่ความอยากทำความชั่วซึ่งเป็นทางแห่งนักโทษนักกรรม มันก็ติดกับตัวของเราผู้สร้างผู้ทำขึ้นมาเอง แล้วก็โดนเข้าไปเป็นนักโทษจนได้นั้นแหละ
นี่ละเราเห็นชัด ๆ นักโทษใครต้องการ แต่มีไหมล่ะในเรือนจำ นักโทษ คนที่ต้องโทษอยู่นั้นมีขนาดไหน จนกระทั่งหาที่หลับที่นอนไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่นักโทษก็เป็นคล้ายคลึงกับมนุษย์เรา แต่ความเป็นอยู่ปูวายของนักโทษกับเราที่เป็นอิสระอยู่ตามบ้านตามเรือนของเราต่างกันมากนะ ในเรือนจำนี่เกลื่อนเลย นอนเหมือนขอนซุง ทั้ง ๆ ที่คนไม่ใช่ขอนซุง มีความรู้สึกนึกคิดดี ชั่ว สุข ทุกข์ประจำตนทุกคน แต่ก็ต้องได้ทนเมื่อเข้าไปถึงความเป็นนักโทษแล้ว เต็มอยู่ในนั้น นอนกองกันอยู่เลยเชียว
พอคนนี้เคลื่อนไป สมมุติว่าถ่ายเบาถ่ายหนัก กลับมาไม่มีที่นอน กลิ้งกันอยู่ตามแถวนั้น นี่ทุกข์หรือไม่ทุกข์ นี่ก็คือตัวเองไปสร้างขึ้นมา ไม่ใช่อยู่ๆ เจ้าหน้าที่เขาก็ไปหาจับมัดมือเข้ามา มัดคอเข้ามาใส่คุกใส่ตะราง ตัวเองนั้นแลเป็นตัวเสนียดจัญไรต่อตัวเอง ด้วยความคึกความคะนองของตัว แล้วสร้างในสิ่งที่โลกผู้ดีทั้งหลายไม่ปรารถนา ทีนี้เวลาไปเจอก็เจอสิ่งที่โลกผู้ดีไม่ปรารถนา แม้เราไม่ปรารถนาเราก็เจอ เพราะเราเป็นผู้สร้างเสียเอง ผลเป็นของเรา
เพราะฉะนั้นความเป็นนักโทษทั้งหญิงทั้งชาย จึงเป็นเรื่องของเราแต่ละคนๆ กัน ด้วยเหตุนี้จึงพากันระมัดระวัง โลกมนุษย์นี่หาได้ คัดเลือกได้ในสิ่งที่ดีงามทั้งหลาย เราพอคัดเลือกได้ เหตุใดผู้เสือกเข้าไปในเรือนจำมันยังมี ไปติดคุกติดตะราง มองเห็นแล้วน่าสลดสังเวชมาก นี่ละมันต่างกัน ตั้งแต่เมืองมนุษย์เรา ฐานะของคนก็ไม่เหมือนกัน เพราะอำนาจไม่เหมือนกัน อำนาจแห่งบุญแห่งกรรมไม่เหมือนกัน มันก็เป็นไปตามอำนาจแห่งกรรมที่เราสร้างขึ้นมานั้นแหละ
นี่เราเกิดในแดนพุทธศาสนา คือตลาดแห่งมรรค ผล นิพพาน ได้แก่พระพุทธศาสนา ขอให้พี่น้องทั้งหลายทำความระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมอันเลิศเลอนี้เข้าสู่ใจอยู่เสมอ จะประหนึ่งว่าเราเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เพราะพุทโธก็อยู่ที่ใจของเรา ธัมโม สังโฆก็มีอยู่ที่ใจของเรา พุทโธ ธัมโม สังโฆ คือธรรมอันเลิศ ใจของเราเมื่อพาดพิงกับธรรมอันเลิศแล้ว ก็กลายเป็นธรรมอันเลิศ เป็นเงาของธรรมอันเลิศเข้าไปเรื่อย ๆ ติดพันกันไปจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมอันเลิศนั้น
อย่างที่ท่านสอนไว้ในตำราว่า พุทโธหนึ่ง ธัมโมหนึ่ง สังโฆหนึ่ง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ธรรม คุ้ยเขี่ยขุดค้นธรรมขึ้นมาให้ปรากฏแก่โลกได้กราบไหว้บูชา ประกาศธรรมสอนบรรดาสัตว์ จนปรากฏเป็นสาวกขึ้นมา ให้เราทั้งหลายได้กราบไหว้เป็นขวัญตาขวัญใจตลอดมา ท่านเรียกว่า พระรัตนตรัย แปลว่า แก้วอันเลิศเลอสามดวง คือพระพุทธเจ้าหนึ่ง พระธรรมหนึ่ง พระสงฆ์หนึ่ง นี้เป็นแก้วอันเลิศเลอ นี่เป็นความจดจำของเรา เพื่อจะเป็นทางเข้าไปถึงตัวจริงแห่งธรรมอันเลิศเลอ เราต้องยึดทางหรือยึดบันได เราจะขึ้นบ้านเราต้องขึ้นกับบันได ยึดบันได เกาะบันไดให้ติด อย่าปล่อยวางบันได แล้วก้าวเดินต่อไปจนถึงบนบ้านของเราได้ด้วยกันทุกคน
ทีนี้คำว่าพุทโธ ธัมโม สังโฆนี้ก็เป็นสิ่งที่เราเทิดทูนจิตใจ ประหนึ่งว่าจิตใจนี้ก้าวไปกับพุทโธ ธัมโม สังโฆ เมื่อก้าวไม่หยุดไม่ถอย ยึดพุทโธ ธัมโม สังโฆ เป็นสิ่งพาดพิง ถ้าพูดแบบโลกเรียกว่า เป็นบันไดของจิต แต่นี้เราไม่อยากพูดอย่างนั้น มันเสียความเคารพ แต่เราพูดถึงว่าจิตนี้ติดพันหรือเกาะติดกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไปไม่ลดไม่ละ เมื่อถึงจุดที่หมายปลายทาง คำว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นั้นก็กลมกลืนเป็นอันเดียวกันกับใจ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทั้งสามรัตนะนี้ กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน ใจกับธรรมที่เป็นอันเดียวกันนั้นก็กลมกลืนเป็นอันเดียวกัน
นี้คือหลักธรรมชาติแท้ของผู้ปฏิบัติธรรม ได้ถึงแดนพ้นทุกข์โดยสมบูรณ์ ได้แก่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะพาดพิงถึงกันไปตั้งแต่ คือบรรดาสัตว์ทั้งหลาย มีสาวกเป็นต้น เกาะติดตั้งแต่พุทโธ ธัมโม หลังจากนั้นก็กลายเป็นสังโฆภายในใจของเราขึ้นมา ทั้งสามพระรัตนตรัยนี้ก็มากลมกลืนเป็นอันเดียวกันกับใจของเรา เรากับพุทโธ ธัมโม สังโฆ หรือธรรมธาตุเป็นอันเดียวกันเลย นี่คือผลแห่งการปฏิบัติธรรม ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ให้เดิน หรือก้าวเดินไปเป็นขั้นๆ เหมือนเราขึ้นบันได ก้าวขั้นนี้ ก้าวขั้นนั้นก็ไปถึงบนบ้านโดยไม่สงสัย นี่เราก้าวไปด้วยอำนาจแห่งศีลแห่งทานการภาวนาของเราทุกวี่ทุกวัน นี่เรียกว่าก้าวเดิน ๆ จิตใจของเราก็สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมไปตลอดในเวลาเราทำบุญให้ทาน เมื่อถึงที่สุดเพราะอำนาจแห่งการก้าวเดินไม่หยุดไม่ถอยแล้ว ก็ถึงธรรมธาตุ หรือพุทโธ ธัมโม สังโฆโดยหลักธรรมชาติ ซึ่งกลมกลืนเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว
ดังที่เคยยกตัวอย่าง หรือเทียบเคียงให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า แม่น้ำมหาสมุทรนั้นกว้างขนาดไหน ผู้ที่เห็นแล้วก็ไม่สงสัย ผู้ไม่เห็นก็เชื่อคำบอกเล่าของกันและกันว่า แม่น้ำมหาสมุทรนี้กว้าง ลึกกว่าบรรดาแม่น้ำทั้งหลาย เช่นน้ำในตุ่ม ในไห ในห้วยหนองคลองบึง นี่ก็ว่าแม่น้ำใหญ่ แม่น้ำเล็ก แต่สู้แม่น้ำมหาสมุทรไม่ได้ แม่น้ำมหาสมุทรจึงเป็นที่รวมแห่งแม่น้ำทั้งหลาย
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมของพระพุทธเจ้าได้แก่ มหาวิมุตติ มหานิพพาน นี่เทียบกับน้ำมหาสมุทร น้ำมหาสมุทรนั้นเวลาจะกลายเป็นแม่น้ำมหาสมุทร ก็เพราะอาศัยน้ำสายต่าง ๆ จากน้ำฝนที่ตกลงมาจากบนฟ้า ไหลลงมาสู่พื้นแผ่นดินแล้วก็ไหลรวมลงไปมหาสมุทร มหาสมุทรเลยเป็นที่บรรจุของน้ำทั้งหลายทั่วแดนโลกอันนี้เข้ามาสู่จุดเดียว นี่ท่านเรียกว่า น้ำมหาสมุทร ทีนี้ฝนตกมาจากที่ไหน ไหลมาจากคลองใด ๆ ก็ไหลเข้าไปสู่มหาสมุทร ๆ ด้วยกันทั้งนั้น นี่แหละเมื่อเราบำเพ็ญคุณงามความดีก็เช่นเดียวกันกับข้อเปรียบเทียบอันนี้ คือมหาวิมุตติ มหานิพพานนั้น เป็นธรรมอันกว้างขวางครอบโลกธาตุ ซึ่งเทียบกับน้ำมหาสมุทรนั้นแหละ
เมื่อผู้บำเพ็ญมาโดยลำดับ ๆ น้ำมหาสมุทรนี้รับมาจากน้ำฝนที่ตกมาจากบนฟ้า มาตามคลองสายต่าง ๆ เข้ามาสู่มหาสมุทรฉันใด มหาวิมุตติ มหานิพพานก็เป็นที่รวมของจิตใจแห่งสัตว์โลกผู้บำเพ็ญคุณงามความดีทั้งหลายเป็นระยะ ๆ เช่นเดียวกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลลงสู่มหาสมุทร เป็นระยะใกล้ระยะไกลต่างกัน แม่น้ำสายนี้ไหลลงไป น้ำนี้ไหลลงไป น้ำนั้นไหลเข้ามา อันไหนเข้าไปถึงแม่น้ำมหาสมุทรแล้ว น้ำนั้นก็กลายเป็นน้ำมหาสมุทรไป อันใดที่ยังไม่เข้าถึงก็เรียกว่า น้ำคลองนั้น ห้วยนั้น ไหลเข้ามาจวนจะถึงมหาสมุทรแล้ว
ผู้บำเพ็ญคุณงามความดี บำเพ็ญไม่หยุดไม่ถอย จึงเทียบกับแม่น้ำที่ไหลมาจากคลองต่างๆ จะเข้าสู่มหาสมุทรฉันนั้นเหมือนกัน คือเมื่อเราบำเพ็ญคุณงามความดีได้มากขึ้น ๆ ก็เท่ากับเราก้าวเดินจวนจะเข้าถึงมหาวิมุตติ มหานิพพานเข้าแล้วโดยลำดับ พอจิตใจบรรลุธรรมปึ๋งจากการบำเพ็ญเต็มภูมิแล้ว ความบริสุทธิ์ของใจที่เรียกว่า ตรัสรู้หรือบรรลุธรรมขั้นสูงสุดนี้ เรียกว่าเข้าถึงมหาวิมุตติ มหานิพพานแล้ว ทีนี้เมื่อจิตดวงที่บริสุทธิ์นี้ได้เข้าถึงนี่แล้ว คำว่าผู้นั้นบำเพ็ญมาจากสายนั้นสายนี้ เป็นคนสกุลนั้นสกุลนี้ บำเพ็ญบารมีมาจากภพนั้นชาตินี้จนมาถึงบัดนี้ หมดปัญหาไปโดยสิ้นเชิง จะยังเหลือแต่มหาวิมุตติ มหานิพพานของจิตดวงที่อยู่ในมหาวิมุตติ มหานิพพานอันใหญ่หลวงนั้นแล
นี่แหละจิตบำเพ็ญเข้าไปแล้ว จะไม่ได้ทูลถามพระพุทธเจ้า ใครก็ตามบรรดาสาวกทั้งหลาย เมื่อเข้าถึงนิพพานแล้วจะไม่ถามถึงพระพุทธเจ้า ไม่ถามถึงนิพพาน ไม่ถามถึงวิมุตติ เพราะจิตนี้เป็นอันเดียวกับนิพพานกับวิมุตติเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับน้ำที่ไหลจากคลองเข้าสู่มหาสมุทรแล้ว เรียกว่ามหาสมุทรได้คำเดียว จะเรียกว่าน้ำคลองนั้นคลองนี้ไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าจิตนี่เข้าถึงมหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุโดยถ่ายเดียวเท่านั้น จะเรียกว่าผู้นั้นผู้นี้ คนสกุลนั้นสกุลนี้ บำเพ็ญมาจากภพนั้นชาตินี้ ก้าวเดินมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงบัดนี้นั้น พูดไม่ได้ พูดได้แต่เวลาบำเพ็ญอยู่ พอเข้าถึงจุดนั้นแล้วลบไปหมด เป็นธรรมธาตุอย่างเดียวกันหมด
นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าที่เลิศเลอ เลิศถึงขั้นนี้แล้วหมดทางต้องติ จะชมจะติว่ายังไง เลยไปหมดทุกอย่าง นี่ท่านบอกว่าโลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก คือเหนือโลกสมมุติโดยประการทั้งปวง ไม่มีอะไรเทียบได้ เช่นอย่างเราจะเทียบ หรือเราตั้งชื่อทุกวันนี้ว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อย่างนี้ก็ยังอยู่ในขั้นสมมุติอยู่ จะสุขเยี่ยมสุขยอดเป็นสุขอย่างยิ่ง ก็ยังมีสมมุติเข้าพาดพิงอยู่ แต่สุขในพระนิพพานอย่างแท้จริงนั้นไม่มีใครคาดได้เลย มีแต่พระอรหันต์และพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นผู้ทรงไว้และทราบด้วยตัวเองโดยไม่มีทางสงสัยแม้รายเดียวเลย
ธรรมประเภทนี้ใครเข้าถึงแล้วไม่ถามกันเลย พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุเวลานี้ และพระสงฆ์สาวกที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นั้นมีจำนวนมากขนาดไหน เพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียว พระสาวกของท่านมีจำนวนเท่าไร แล้วรวมสาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์มาเป็นอันเดียวกันแล้ว นั้นแลคือธรรมธาตุครอบโลกธาตุเสมอกันหมด เป็นอันเดียวกันหมด นี่คือผลแห่งการปฏิบัติกลั่นกรองจิตใจของเรา ที่ขุ่นมัวมั่วสุมไปด้วยส้วมด้วยถาน ด้วยกิเลสตัณหา ซึ่งมีแต่ของสกปรกโสมม ที่เจือปนคลุกเคล้าไปด้วยความทุกข์มากน้อยตลอดไป ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายมีอย่างเดียวกันนี้หมด ท่านข้ามอันนี้ไปหมดแล้ว สิ่งเหล่านี้จึงไม่มี ท่านประกาศก้องสอนพวกเรา รื้อถอนหรือขนพวกเราให้ขึ้นจากหล่มลึก คือกองทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสมันบีบบี้สีไฟให้จมอยู่ในกองส้วมกองถานนั้น ให้พ้นจากกองทุกข์ไปโดยลำดับลำดา
ท่านถึงได้ท้อพระทัย เพราะการฉุดลาก การแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกให้ไปในทางที่ดีนี้ จะถูกกิเลสขัดขวางต้านทานตลอดไปเลย ถ้ากิเลสหนาเท่าไร คำว่าความดีนี้คิดไม่ได้ พูดถึงไม่ได้ มีคนใดคนหนึ่งไปพูดให้ได้ยินนี้ขวางหูทันทีทันใดเลย นี่เพราะอำนาจกิเลสตัวสร้างกองทุกข์ มหันตทุกข์ มหาภัยต่อสัตว์ทั้งหลาย ไม่พอใจ กีดขวางจิตใจที่แย็บออกไปคิดเรื่องบุญเรื่องทานไว้โดยสิ้นเชิง ไม่ให้คิดออกไป จึงเป็นการลำบากที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย เพราะกำลังกิเลสที่มันกีดขวางจิตใจของสัตว์ทั้งหลายไม่ให้ระลึกรู้ความดีงามทั้งหลาย ให้สร้างความดีงามทั้งหลายได้ มันมากต่อมาก จึงทรงท้อพระทัย พระองค์ก็อุตส่าห์พยายามสั่งสอนสัตว์โลกตามที่สัตว์โลกมีอุปนิสัย มีนิสัย จนกระทั่งถึงตรัสรู้มรรค ผล นิพพานได้แทรกกันอยู่กับส้วมกับถาน คือมนุษย์และสัตว์ที่ไร้สาระนั้นแล เปรียบเหมือนส้วมเหมือนถานนั่นน่ะ
ส่วนท่านผู้มีอุปนิสัยพอที่จะบรรลุหรือบรรลุมรรค ผล นิพพานได้ ก็แทรกกันอยู่ในส้วมในถานนั้นแล ท่านจึงได้อุตส่าห์พยายามแนะนำสั่งสอน ฉุดลากลำบากขนาดไหนก็ทนเอา สุดท้ายท่านเหล่านั้นก็หลุดพ้นไปจากกองทุกข์จนได้นั้นแล อันนี้เราก็จมอยู่ในส้วมในถานคือกิเลสครอบหัวใจเรา ให้เอาธรรมของพระพุทธเจ้ามาฉุดมาลากเราออกจากส้วมจากถาน คือความขี้เกียจขี้คร้าน ขี้อ่อนแอ เป็นขี้ทั้งหมดอยู่ในใจของเรา ให้ถอดถอนอันนี้ออกไปสู่ทาน สู่ศีล สู่ภาวนา สู่ความระลึกถึงอรรถถึงธรรมเป็นประจำวัน วันหนึ่งๆ เราจะมีทางเล็ดลอดไปจนได้เมื่อเราระลึกอยู่เสมอ ด้วยความอุตส่าห์พยายามไม่ลดละถอยหลังแล้ว น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงกับมหาวิมุตติ มหานิพพานนั้น จะเป็นสมบัติของเราผู้ทรงไว้แต่ผู้เดียวโดยประจักษ์ จะไม่ต้องไปถามใครเลย จึงขอฝากธรรมะนี้ไว้กับบรรดาพี่น้องทั้งหลายให้ได้ไประลึก
การเทศนาว่าการทั้งนี้ หลวงตาไม่มีความสงสัยแม้เม็ดหินเม็ดทราย ประหนึ่งว่าถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ซึ่งตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยเห็นองค์พระศาสดาเลย พระพุทธเจ้าก็อ่านแต่ตำรับตำรา ว่าเป็นพระสิทธัตถราชกุมาร อยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ เสด็จออกทรงผนวช ๖ พระพรรษาได้ตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เราก็ได้ยินแต่ตำรับตำราท่านแสดงไว้ องค์ศาสดายังไม่เคยเห็น แต่เมื่อเชื่ออรรถเชื่อธรรม ของท่านที่แนะนำสั่งสอนไว้ เราก็พยายามตะเกียกตะกายศึกษาเล่าเรียน ระลึกตามอรรถตามธรรมทั้งฝ่ายดีฝ่ายชั่ว ควรละก็ละ ควรบำเพ็ญ บำเพ็ญไปโดยลำดับลำดามา
เช่นอย่างการภาวนา นี้ละคือการบำเพ็ญ ดำเนินไปตามสายทางที่ทรงสั่งสอนไว้เรียบร้อยแล้ว ค่อยก้าวเดินไป ๆ จิตก็ค่อยเปลี่ยนตัวไปตั้งแต่ความมืดดำกำตา ค่อยมีความสว่างไสว ระลึกรู้บุญ ระลึกรู้บาป จิตใจค่อยแนบสนิทกับธรรมเข้าเรื่อย ๆ เอาจนกระทั่งถึงสุดยอดของธรรมจากการบำเพ็ญ ถึงขั้นไม่สงสัยแล้ว พูดแล้วขอสาธุขึ้นเดี๋ยวนี้เลย เราไม่สงสัยพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ แม้ไม่เคยเห็นพระรูปพระร่าง พระโฉมท่านก็ตาม แต่พุทธะที่แท้จริง พระพุทธเจ้าที่แท้จริงคืออะไร นั้นแลคือมหาสมุทรทะเลหลวง นั้นแลคือมหาวิมุตติ มหานิพพาน กับจิตที่บริสุทธิ์แล้วเป็นอันเดียวกัน แล้วจะถามกันหาอะไร นี่ท่านทั้งหลายนำไปคิดนะ
เราแนะนำสั่งสอนโลก สั่งสอนด้วยความเมตตาสงสารล้วนๆ ไม่ได้หวังเอาอะไรเลยในโลกในสงสารนี้ มีแต่หวังอุ้มชูชาติไทยของเราให้พ้นจากหล่มลึก คือความที่จะล่มจะจมลงทะเลหลวงให้ได้รับความทุกข์ทรมาน หมดศักดิ์ศรีดีงามทั่วกันทั้งประเทศ ให้ได้ฟื้นตัวขึ้นมาสู่ความสมบูรณ์พูนผล ที่พอเป็นไปได้เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป และฟื้นจิตใจให้รู้ศีลรู้ธรรม รู้การบำเพ็ญภาวนาภายในตัวของเราแต่ละคน ๆ เราก็จะได้รับความสุขความเจริญยิ่งขึ้นไป ๆ นี่หลวงตามีความมุ่งหมายกับพี่น้องทั้งหลายอย่างนี้ มุ่งหมายอย่างที่ว่าทองคำ ๆ จนกระทั่งเขาจะไม่อยากมองดูหน้าหลวงตาบัวนั้นแหละ
ถ้าพูดแบบโลก ๆ หรือพูดแบบตลกนะ หลวงตาบัวไปไหนนี้เขาแตกฮือ ๆ ประชาชนแตกฮือ ๆ มาแล้ว ๆ อะไรมาแล้ว ก็หลวงตาบัวล่ะซิ แล้วหลวงตาบัวเป็นอะไร ถึงว่ามาแล้วตื่นเต้นกัน ก็มานี้ท่านจะมาบีบเอาทองคำ เอาดอลลาร์ เอาห้าเอาสิบตามคอตามข้อมือของใครก็ตาม ท่านบีบเอาหมดจะว่าไง ไม่กลัวท่านได้หรือ เหอ อย่างนั้นเหรอ แน่ะรู้กัน เพราะฉะนั้นเขาถึงต้องระวังหลวงตาบัว ไปที่ไหนเอาจริง ๆ พอเจอหน้าไหนล่ะทองคำ ไหนล่ะดอลลาร์ เป็นอย่างเขาว่าจริง ๆ นี่ละถ้าพูดแบบโลก ๆ จนประชาชนทั้งหลายเขาไม่อยากมองดูหน้าหลวงตาบัว ถ้าพูดเป็นแบบธรรมแล้ว มองเห็นหลวงตาบัวฟากทะเลสาบ ทางนี้ยิ้มแย้มแจ่มใส กราบราบไปแล้ว ๆ เพราะอำนาจแห่งเมตตาธรรมครอบโลกธาตุและเมืองไทยของเรา ด้วยการรื้อฟื้นให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปด้วยอำนาจแห่งจิตเมตตาล้วน ๆ นี่ละเราช่วยพี่น้องทั้งหลาย ช่วยแบบนี้
การเทศนาว่าการทั้งนี้นั้น เราไม่เคยมีความสงสัยข้อข้องใจ จะว่าวัดรอยก็แล้วแต่ เพราะเดินไปทางสายเดียวกัน ไม่ว่าวัดรอยมันก็เป็นวัดรอย ไม่ว่าเดินตามก็เป็นเดินตาม การปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นจากการบำเพ็ญในธรรมทั้งหลาย เมื่อตรัสรู้แล้วพระองค์ไม่ทรงถามใครเลย เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นตรัสรู้ขึ้นมา สั่งสอนสัตว์โลกทั่วแดนโลกธาตุ ไม่หวาดไม่หวั่นไม่ไหวต่อสิ่งใด เพราะแน่ต่อสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วอย่างมั่นคง จะว่าร้อยหรือพันเปอร์เซ็นต์ก็สุดที่จะกล่าว ด้วยความแน่พระทัยท่าน
บรรดาสาวกทั้งหลายที่ได้รับอรรถรับธรรมจากท่านปฏิบัติตาม ก็เข้าถึงขั้นแน่แบบเดียวกัน พระสงฆ์สาวกทั้งหลายก็ไม่สงสัยพระพุทธเจ้า ไม่สงสัยธรรมที่ตนบรรลุ นี่ก็ปฏิบัติมาแบบเดียวกัน เดินไปตามรอยเดียวกัน พูดแล้วขอสาธุซ้ำอีก ไม่ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าอยากจะพบ อยากจะเห็นพระพุทธเจ้า เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์พระรูปพระโฉมเช่นไร ก็ไม่ต้องการ เพราะความอิ่มพอแห่งธรรมทั้งหลายในหัวใจนี้ เป็นธรรมที่เลิศเลอที่พระพุทธเจ้าประสิทธิ์ประสาทให้แล้ว คุณค่าเกินกว่าที่จะไปตามดูพระรูปพระโฉมพระองค์เป็นไหน ๆ
เพราะฉะนั้น บรรดาพระสาวกทั้งหลายตรัสรู้ธรรมขึ้นมา จึงไม่ดิ้นหาพระพุทธเจ้า นอกจากใจที่บริสุทธิ์อิ่มพอในธรรมทั้งหลายนี้อย่างเดียวเท่านั้น นี่เราก็ปฏิบัติมาอย่างนี้ ปฏิบัติแทบล้มแทบตาย นี้เป็นต้นเหตุ ผลที่ได้รับขึ้นมาเป็นที่พึงพอใจตลอด อนันตกาล เรียกว่านิพพานเที่ยง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่มีใครเกินสัตว์โลกและเกินเราไปเลย เมื่อเข้าถึงขั้นที่ตัดขาดสะบั้นจากความเกิดตายซึ่งแบกหามกองทุกข์ไปนี้ ออกจากจิตใจโดยสิ้นเชิงแล้ว ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ปัจจุบันก็ไม่มี เพราะเป็นสมมุติทั้งมวล เหลือแต่ธรรมชาติที่พอตัวเต็มเหนี่ยวแล้วเท่านั้นภายในจิตใจ จากการปฏิบัติด้วยความตะเกียกตะกายของตัวเอง
พี่น้องทั้งหลาย บรรดาสัตว์โลกทั่วๆ ไปที่เป็นชาวพุทธ ขอให้ยึดหลักธรรมนี้ไว้ไปปฏิบัติ จะไม่เป็นอย่างอื่น ความทุกข์ยากนี้เพื่อความสุขแก่ท่านทั้งหลายผู้บำเพ็ญเอง อย่าเป็นความอิดหนาระอาใจ ยากลำบากในการสร้างคุณงามความดี เอา ยากเถอะ ว่างั้นเลย ยากเพื่อง่าย ทุกข์เพื่อสุข ไม่เหมือนเขายากเพื่อยาก ทุกข์เพื่อมหันตทุกข์ คือผู้ที่พยายามทำตั้งแต่ความชั่ว คนทำชั่วเขาก็ยากเหมือนกัน แต่เขาพอใจทำ วิถีทางเดินของเขาเป็นอย่างงั้น เขาต้องบึกบึนไปตามทางเดินของเขา ยากง่ายเขาก็ทำ จนกระทั่งได้เป็นนักโทษหรือติดคุกติดตะรางเพราะความยากนั้น เขาก็ยอมรับ
ทีนี้เรายากเพื่อความดี เอา ยากไปทุกข์ไป ความดีนี้จะสนองขึ้นมาจากความยากของเรา กลายเป็นความง่าย เป็นความสุขความเจริญพ้นจากทุกข์ไปได้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจดจำ ธรรมที่หลวงตามาเทศน์นี้เรียกว่าเทกระจาดเลยนะ หลวงตาไม่ได้รักไม่สงวนแต่อย่างใด ยิ่งกว่าความเมตตาโลกที่มีคุณค่ามาก อันนี้มากกว่า ที่เราจะมาเก็บไว้ เก็บไว้ไม่เกิดประโยชน์อะไร ของที่มีค่ามีราคา เช่นทองคำอย่างว่านี่ มันก็ไม่มีประโยชน์ เอาไปไว้เพื่อประโยชน์ก็เป็นประโยชน์ เช่นเอาไปไว้ในคลังหลวงของเรา คลังหลวงนี้คือหัวใจของชาติ พอทองคำเข้าสู่คลังหลวงแล้วเป็นหัวใจของชาติขึ้นมาทันที แม้จะไม่จับจ่ายไปไหนก็ตาม นี้คือหัวใจของชาติเท่านั้น พอใจกัน อบอุ่นกันทั่วเมืองไทย ธรรมก็อย่างนั้นเหมือนกัน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ยึดไปเป็นหลักเป็นเกณฑ์
การเทศนาว่าการนี้ หลวงตาไม่ได้เอาโลกเอาสงสาร เอาถังขยะแขยะมาเป็นเครื่องกีดกัน หรือกีดขวางนะ เช่นพูดอย่างนี้ เขาจะตำหนิอย่างนั้น เทศน์อย่างนั้นเขาจะตำหนิอย่างนี้ เขาจะโจมตีอย่างนั้นอย่างนี้ นี้ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นถังขยะต่อธรรมทั้งหลายที่เหนือโลกเป็นไหน ๆ ซึ่งแสดงหรือครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ อย่างหลวงตาบัวนำมาเทศนาว่าการพี่น้องทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน จึงไม่เคยหวั่นเคยไหวกับอะไรทั้งนั้น ความกลัวเราก็ไม่มี ความกล้าเราก็ไม่มี ความได้ความเสีย ความแพ้ความชนะ เราไม่มีในธรรมทั้งหลาย และไม่มีในหัวใจของเรา มีแต่สั่งสอนโลกด้วยความเมตตาล้วน ๆ เราจึงไม่เคยหวั่นไหว
การแสดงออกทั้งนี้เป็นที่แน่ใจทุกบททุกบาทแห่งธรรม ไม่ว่าธรรมขั้นใดภูมิใดจนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นเราไม่สงสัย ถอดออกจากหัวใจนี้ทุ่มเทลงไปเพื่อจิตใจของท่านผู้มีเจตนาหวังอรรถหวังธรรมแล้วจะได้ยึดได้เกาะ ได้ถือไปเป็นข้อปฏิบัติตามกำลังแห่งความสามารถของตน เราจึงไม่เคยหวั่น ใครตำหนิติชม
ถ้ามีหวั่นอยู่ เขาตำหนิอย่างงั้น เขาชมอย่างนี้ ธรรมก็ไม่เป็นของแปลกประหลาดอะไร ก็เหมือนโลก โลกก็เหมือนธรรม ไม่เหนือกัน แล้วกราบไหว้กันหาอะไร ศักดิ์สิทธิ์วิเศษที่ไหน ธรรมเหนืออยู่แล้ว ท่านถึงเรียกว่าโลกุตรธรรม เหนือตลอดเวลา นำมาสอนโลกสกปรก ธรรมนั้นสะอาดสุดยอดแห่งธรรม แล้วจะเสียหายไปที่ไหน นี้การแสดงเพื่อพี่น้องทั้งหลาย เราก็ไม่ได้หวังเอาอะไร ได้อะไรนะ การสอนพี่น้องทั้งหลาย เรียกว่าสอนหมดเปลือก ถอดออกมาจากหัวใจทั้งหมดมาสอน เพื่อหวังอะไรเราไม่มี มีแต่เพื่อพี่น้องทั้งหลายได้รับแล้วจะได้เป็นมงคล มหามงคลแก่ตน เมื่อปฏิบัติได้มากน้อยเท่านั้น เราจึงอุตส่าห์พยายามทุกแง่ทุกทาง
ฟังซิ อย่างเมื่อคืนหรือเมื่อไร นี่เราก็ได้ยินได้ฟังมาแล้ว หาเรื่องมาโกหกที่ไหน เราสร้างความดีเพื่อชาติบ้านเมืองเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไอ้เรื่องเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลาย เราไม่ต้องพูด พูดแค่มนุษย์เรานี้ มันยังทะเลาะถกเถียง เป็นสนามหมากัดกันได้ในวงแห่งชาวพุทธของเรา ในเมืองไทยนี้แหละ ผู้หนึ่งทำความดิบความดีแทบเป็นแทบตาย คนหนึ่งไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่กีดแต่ขวาง มีแต่ถีบแต่ยัน มีแต่จุดแต่เผาตลอดเวลา และเอาสิ่งเลวร้ายทั้งหลายนี้มาประกาศตนว่าเป็นผู้เลิศเลอ ใครเชื่อได้ไหม พิจารณาซิ
แต่ผู้ที่ทำความดีงามทั้งหลายแทบเป็นแทบตาย กลายเป็นผู้ขวนขวายหาโทษหาภัย หาฟืนหาไฟมาเผาโลกมีไหม พิจารณาซิ นี่ก็ได้พยายามสร้างเต็มกำลัง ประกาศตนมาเป็นผู้นำของพี่น้องทั้งหลายเป็นเวลาร่วม ๕ ปีนี้แล้ว ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวหลวงตา เราไม่เห็นอะไรมีคุณค่ายิ่งกว่ามนุษย์เราที่อยู่ร่วมกัน เราจึงทุ่มลงไปทุกสิ่งทุกอย่าง สมบัติเงินทองข้าวของ อรรถธรรมมีเท่าไรทุ่มลงไป ๆ เต็มกำลังของเรา เราไม่มีอะไรติดหัวใจเลย แม้เช่นนั้นมันก็ยังมี
นี้เราก็พูดตามหลักความจริง แล้วเราไม่ได้ไปก่อโทษก่อกรรม ไม่ไปผูกกรรมผูกเวรกับผู้หนึ่งผู้ใด ดังภาษิตท่านแสดงไว้ว่า น หิ เวเรน เวรานิ สมฺมนฺตีธ กุทาจนํ ตลอดกาลไหน ๆ เวรย่อมไม่ระงับเพราะความก่อกรรมก่อเวรต่อกัน แต่เวรจะระงับลงได้ด้วยการไม่ก่อกรรมก่อเวรซึ่งกันและกัน ใครจะว่าอะไรก็ตาม หลวงตาบัวไม่เคยก่อกรรมก่อเวรต่อผู้ใด มีแต่ทำประโยชน์ให้โลก นี่ก็ประกาศก้องมาทั่วทุกแห่งทุกหน เท่าที่ทราบได้จากคำบอกเล่าของผู้มาเล่าเรื่องราวนี้ให้ฟัง ไม่ใช่เป็นผู้โกหกพกลมเราพอจะเชื่อถือไม่ได้ เป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ ตายใจได้มาพูดให้ฟัง ว่าหลวงตาบัวนี้กำลังสร้างความดี เวลานี้กำลังถูกหมายหัว ถูกเด็ดหัว นายกรัฐมนตรีหนึ่งที่ถูกหมายหัว ถูกเด็ดหัวจากพวกมหาอำนาจป่าเถื่อนอะไรก็ไม่ทราบแหละ มหาอำนาจ มหาภัยเหล่านี้
คือนายกรัฐมนตรี หนึ่ง หลวงตาบัว หนึ่ง แล้วพระหรือประชาชนผู้ใดก็ตามที่คัดค้านต้านทาน ไม่เห็นไปตามพวกของเขานั้น จะถูกหมายหัวไปเรื่อย ๆ เด็ดหัวไปเรื่อย ๆ เวลานี้ประกาศออกมา เป็นยังไงเลวร้ายหรือไม่เลวร้าย เมืองไทยเราเป็นยังไง พระแท้ ๆ นะ เราได้ทราบ พระเป็นผู้กล่าวอาฆาตมาดร้าย เป็นผู้เด็ดหัวนายกรัฐมนตรี เด็ดหัวหลวงตาบัว และเด็ดหัวพระผู้ที่คัดค้าน เด็ดหัวฆราวาสผู้คัดค้านเพื่อสมบัติแห่งชาติไทยของตนเอง ถูกหมายหัว ถูกเด็ดหัวทั้งนั้น
นี่ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง การกล่าวทั้งนี้เราไม่ได้กล่าวด้วยความอาฆาตมาดร้าย กล่าวตามหลักความจริง ที่การสร้างความดีมันก็มีความชั่วเข้ามาแทรกแซง เพราะคนดีมี คนชั่วมี สับปนกันอยู่ พระก็มีทั้งพระดี พระชั่ว พระพุทธเจ้า พระเทวทัต มันก็สับปนกันไป นี้จึงมาเล่าให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เพื่อให้คัดให้เลือกเอา แต่ไม่ได้ให้ไปก่อกรรมก่อเวรต่อผู้ใดก็ตาม ถ้าก่อกรรมกันก่อเวรกันก็ให้ก่อกับตัวเอง ก่อโดยความเป็นธรรม คือเวลานี้ธรรมกับกิเลสนี้ สู้กิเลสไม่ได้นะ มีแต่กิเลสฟัดเอา หัวฟัดหัวเหวี่ยง ล้มหงายหมูหงายหมาไปไม่รู้ตัว นี่กิเลสฟัดเอา ให้ก่อกรรมก่อเวรกับกิเลสนะ จะเป็นธรรมอย่างยิ่ง เคียดแค้นให้กิเลส ก่อกรรมก่อเวรกับกิเลส ฟัดกิเลสให้มันขาดสะบั้นลงไปจากใจ
กิเลสยังไม่ขาดสะบั้นเมื่อไร ตายเป็นตาย ซัดกันกับกิเลสตลอดไป ผูกกรรมผูกเวรกันอย่างนี้เป็นอรรถเป็นธรรม ไม่ได้เป็นผูกกรรมผูกเวรเหมือนกิเลส นี่เป็นเรื่องธรรม ท่านทั้งหลายจำเอาไว้ ถ้าหากว่าจะก่อกรรมก่อเวรให้ก่อกับตัวเองนะ เวรกรรมมันอยู่กับตัวของเรา ก่อกรรมก่อเวร คือก่อความดีซัดกัน ชะล้างความชั่วให้มันหมดไปจากใจของเรา นี่ถูกต้อง ที่จะไปหาก่อกรรมก่อเวรคนนั้นคนนี้
แม้แต่ได้ยินอย่างนี้ เราก็สลดสังเวชพอแล้วนะ ท่านทั้งหลายฟังเป็นยังไง พระแท้ๆ ออกคำพูดคำจามาชนิดนี้เคยมีที่ไหน พุทธศาสนาในเมืองไทยของเรา ที่จะเด็ดหัว หมายหัวผู้ทำความดีงามทั้งหลาย เราก็ไม่เคยมีเคยเห็น แต่นี้มันก็เป็นขึ้นมาแล้วในวงแห่งชาวพุทธ หรือในวงแห่งพระเจ้าพระสงฆ์ของเราอย่างชัดเจน แล้วจะให้ว่ายังไง เราสอนธรรมด้วยความถูกต้องแม่นยำตามความสัตย์ความจริง เมื่อได้ยินได้ฟังมายังไง เราก็พูดตามนั้น เราไม่ได้ยินต่อปากต่อคำที่มาพูดว่าจะมาหมายหัวหลวงตาบัว เราก็ไม่ได้ยินต่อปากต่อคำ เราก็นำมาเล่าตามความเป็นจริงที่เขามาเล่าให้ฟังนี้แหละ ให้ท่านทั้งหลายยึดไว้เป็นคติ
ผู้ที่เลวร้ายต่อชาติบ้านเมืองมีอยู่อย่างนี้ ความดิบความดีไม่สนใจจะทำ แต่สิ่งใดที่จะทำลายชาติ ศาสนาให้ล่มจม โอ๋ย เป็นที่สนใจมาก ติดประกาศเต็มบ้านเต็มเมืองอย่างไม่มีมารยาท สัตว์หรือเด็กอมมือเขาก็ไม่ทำ แต่เหล่านี้เป็นพระก็มี เป็นฆราวาสก็มี ช่วยกันติดป้ายประกาศโฆษณา ให้เป็นไปตามความต้องการของตน ส่วนผิด ถูก ชั่ว ดีไม่สนใจ นี้มีเต็มเกลื่อนไปหมด ไปทางภาคเหนือก็มี เขาบอกว่างั้น มีไปทางนู้น ๆ นี่เราก็ทราบจากคำบอกเล่าของเขา แต่ไม่เท็จ เป็นความจริง
นี่ละความเลวร้าย มันก่อไปทุกแห่งทุกหน เราเป็นคนดิบคนดี เป็นเจ้าของสมบัติแห่งชาติไทย เราจะหัวหดอยู่ในกระดองเหมือนเต่าหรือ ให้ถามดูตัวเองนะทุกคน เราเป็นคนทั้งคนรักษาสมบัติของชาติไทยทั้งชาติ ๖๒ ล้านคน เราไม่ใช่เต่าหัวหดอยู่ในกระดอง เป็นผู้รักษาทรัพย์สมบัติ อันใดที่มาควรปัดต้องปัด ควรเป่าต้องเป่า ควรวิธีใดเป็นหน้าที่ของเจ้าของสมบัติ จะปฏิบัติต่อผู้ที่มาเกี่ยวข้องหรือสิ่งเลวร้ายทั้งหลายนั้น เพื่อรักษาสมบัติของตน จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายพินิจพิจารณา จิตใจให้เข้มข้นทุกคน ๆ นะ วันนี้ก็พูดเพียงเท่านี้
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com
|