จิตเสื่อม ทางไม่เคยเดิน สมบัติไม่เคยมี
วันที่ 16 พฤษภาคม 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 39.19 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)

ค้นหา :

จิตเสื่อม ทางไม่เคยเดิน สมบัติไม่เคยมี

หลวงตา : มาเมื่อไร

โยม : มาเมื่อวานนี้เจ้าค่ะ มาเครื่องบินตอนกลางวันเจ้าค่ะ

หลวงตา : อ๋อ เครื่องบินเที่ยวกลางวัน เดี๋ยวนี้มัน ๔ เที่ยวนะ แต่ก่อน ๓ เที่ยว เขยิบขึ้นเรื่อย ๆ ทีแรกมาเที่ยวเดียวก็ไม่มีใครขึ้น ครั้นต่อมาคนขึ้นมากเขยิบเป็น ๒ เที่ยวแล้วต่อไปก็ ๓ เที่ยว เดี๋ยวนี้ ๔ เที่ยว ภาวนายังดีอยู่เหรอ

โยม : ยังดีเจ้าค่ะ

หลวงตา : เออ อย่างงั้นซิ ภาวนาเก่งนะนี่ใช่เล่นเมื่อไร

โยม : ลูกได้เห็นหลวงตาเทศน์ในทีวีเมื่อวันอาทิตย์เจ้าค่ะ ที่น้ำตาร่วงน่ะเจ้าค่ะ ลูกรีบมาเลย สุดยอดเลย

หลวงตา : หือ น้ำตาท่านร่วง ให้น้ำตาเราร่วงแบบเดียวกันก็อย่างเดียวกัน ไม่ต้องถามกัน เข้าใจหรือ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ก็ตาม ผางขึ้นเป็นอันเดียวกันหมด ไม่ต้องไปทูลถามท่าน นั่นละคำว่า สนฺทิฏฺฐิโก รู้เองเห็นเองไม่ต้องถามกัน นี่ธรรมพระพุทธเจ้า นี่ก็ทรงธรรมประเภทนี้มาได้ ๕๓ ปี เวลามันจะออกก็ผางทีเดียววันที่ ๒ ละมั้ง มีใครมาแหย่ก็ไม่รู้นะ แหย่แล้วพังถังเสียด้วย ถังก็คว่ำไปเลยเทียววันนั้น อย่างนั้นละ อย่างที่เราเคยพูด เมื่อวานนี้ก็พูดเรื่องหลวงปู่แหวน ท่านเก็บของท่านไว้อย่างงั้น มองดูที่ไหนก็มีแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้ง น้ำอันนี้จะไปชำระล้างอะไรจะเหมาะสมกัน น้ำที่สะอาดสุดยอด ท่านก็อยู่ของท่านอย่างงั้นแหละ สิ่งสะเปะสะปะ พระก็พระถังขยะ ประชาชนก็เป็นธรรมดาของเขา แต่พระที่จะมุ่งต่ออรรถต่อธรรมจริง ๆ กลายมาเป็นถังขยะต่อหน้าต่อตาท่าน ถังน้ำที่สะอาดสุดยอดท่านก็เลยเปิดไม่ได้ ก็อยู่อย่างนี้ไปอย่างนั้น

พอวันนั้นเป็นวันจังหวะดี ปัญหาสอดเข้าไป ๒ ข้อเท่านั้นแหละ ปัญหา ๒ ข้อนี้พูดให้ยันเลย ถ้าไม่รู้จะถามไม่ได้ ถ้าไม่รู้จะตอบไม่ได้ว่างั้นเถอะ เพราะเป็นภาค ปจฺจตฺตํ เป็นภาค สนฺทิฏฺฐิโก ในภาคปฏิบัติ เมื่อต่างคนต่างรู้อย่างเดียวกัน พอแย็บทางนี้ทางนั้นก็ผึงออกมาเลย อย่างนั้นแล้ว หลวงปู่แหวนวันนั้นท่านรื่นเริงเอามากจริง ๆ นะ เพราะท่านอยู่นั้นมานานเท่าไร ไม่เคยได้พูดธรรมะประเภทนี้ออกมาให้ใครทราบเลย ท่านพูดเสียวันนั้น ในกุฏินั้นปรากฏเหมือนว่าพระทะเลาะกันเลยนะ กุฏิท่าน เสียงลั่นขึ้นทีเดียวเหมือนพระทะเลาะกัน ความจริงก็มี ๓ องค์ คือพระที่อุปัฏฐากท่านองค์หนึ่ง กับท่านเองกับเราเท่านั้นเข้าไป

แหม ท่านรื่นเริงจริง ๆ ตัวนี้แดงเลย นี่ละพลังของธรรม คือร่างกายนี่เป็นเครื่องมือของทั้งทางธรรมและทางกิเลส ถ้ากิเลสเป็นเจ้าของอยู่ภายในนี้แล้วแสดงออกมาก็ตัวแดงเหมือนกัน เป็นฟืนเป็นไฟฆ่ากันพินาศฉิบหายไปได้เลย นี่พลังของกิเลส พลังของธรรมพุ่งออกมาแรงเหมือนกันแต่แรงเป็นธรรม ไม่ใช่แรงเป็นฟืนเป็นไฟ วันนั้นท่านผาง ๆ ๆ ออกมา โหย มองดูท่านตัวแดงหมดเลย นี่อำนาจของธรรมพุ่ง ๆ ไม่มีกิเลสเจือปนแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย มีแต่ธรรมล้วน ๆ ออกเต็มเหนี่ยว ๆ ฟังนี้ถึงใจตลอดเลย ไม่ว่าประโยคไหนท่านขึ้น ถึงใจ ๆ ๆ ตลอดเลย พักที่สอง พักที่หนึ่งแรงมาก พักแรกเพียง ๑๐ นาที พอปั๊บเข้าไปนี่ท่านก็ผางออกมาเลย พอผางออกมาแล้วเราเข้าใจทันที ประมาณสัก ๑๐ นาที ท่านเหมือนจะหยุดนิ่งคอยฟังเหตุการณ์ พอท่านหยุดพักแย็บหนึ่งเท่านั้นเราก็ปั๊บเข้าอีก คราวนี้ไปใหญ่เลยพุ่ง ๆ ๆ

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ในหัวใจดวงเดียวจะเลิศเลอขึ้นในขณะนั้น ใครไม่เลิศก็ตามธรรมชาตินั้นจะเลิศ ใครไม่รู้ก็ตามธรรมชาตินั้นรู้ ใครสงสัยใครไม่เชื่อก็ตาม ธรรมชาตินั้นเชื่อ ๆ อย่างนั้นนะ นี่ธรรมพระพุทธเจ้า สด ๆ ร้อน ๆ สด ๆ ร้อน ๆ ต่อการปฏิบัติ ใครมีข้อปฏิบัติอย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้น ๆ เพราะธรรมนี้เป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเข้ามาทำลายได้ มีการปฏิบัติเท่านั้นเป็นสำคัญจะเปิดนี้ได้ ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่มี ถ้าปฏิบัติเมื่อไรก็ขึ้นเหมือนกันกับกิเลส กิเลสก็เป็น อกาลิโก ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ออกมาจากใจด้วยกัน พอเอื้อมไปทางกิเลสก็เป็นกิเลสขึ้นมา ๆ เต็มที่ของกิเลส ถ้าเป็นฝ่ายธรรมเอื้อมออกมาหรือแย็บออกมาทางธรรมก็เป็นธรรมเรื่อย ๆ จนสุดยอดของธรรม อยู่ในหัวใจดวงเดียวนี้

ใจนี้ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา ตายไม่เป็นด้วย ภาวนาซิ เอาให้จริงจังซิ อย่างเมื่อวานนี้เยาวลักษณ์มาพูดน่าฟัง มีอะไรที่ข้อง ๆ ใจอยู่เลยอธิบายอันนั้นให้พิจารณานั้นอีกทีหนึ่ง บอกอย่างนั้น พูดน่าฟังทุกข้อเลย ก็มีข้อตอนปลายจะรู้สึกแหว่ง ๆ ภายในจิตใจเราอยู่ เราเตือนเข้าไปอีกทีหนึ่ง ให้พิจารณาอย่างนั้น ๆ ลองดูซิน่ะ ให้ย้ำเข้าไปตรงนั้นอีกทีหนึ่ง เรื่องธรรมมีหลายประเภทนี่ ประเภทไหนมันก็ทำให้ติดใจทุกอย่าง เพราะฉะนั้นมันจึงหลงได้ ธรรมประเภทใดติดใจได้ทั้งนั้น ติดใจได้ก็หลงได้ แม้แต่สมาธินี้มันก็ติดใจอยู่ในสมาธิ ก็หลงอยู่ในสมาธิไม่อยากออกทางด้านปัญญาซึ่งเป็นธรรมสูงกว่านั้น เมื่อไม่มีผู้มาเตือนมันติดมันเพลินอยู่นั้น เพลินทั้งวันทั้งคืน

เพียงสมาธิเท่านี้มันแสนสบายแล้วนะ ไม่ติดได้ยังไง พอมีผู้มาเตือนเบิกออกทางด้านปัญญาที่จะแก้สิ่งที่ละเอียดแหลมคมกว่านี้ หรือแปลกประหลาดอัศจรรย์กว่านี้ยังมีนะ ปัญญาจะเป็นผู้เปิดออก ๆ พอปัญญาออกก้าวเดินมันก็จ้าออก ๆ ทางนี้ก็ลดคุณค่าลง ๆ สุดท้ายเหมือนหนึ่งว่าไม่มีคุณค่า สมาธิที่เคยติดมานมนานด้วยความพอใจ พอทางด้านปัญญาก้าวขึ้นมา นั่นละธรรมมีการติดได้ทุกขั้นของธรรม คือติดให้นอนใจนะ ไม่ก้าวเดินต่อไปหาความละเอียดยิ่งกว่านั้น ติดได้ไม่สงสัย ธรรมขั้นใดก็พอใจในขั้นนั้น ๆ ทีนี้พอใจมันก็อยู่นี้เสีย เมื่อพอใจในจุดไหนแล้วก็ต้องอยู่ ถ้ายังมียิบแย็บ ๆ ยังมีอะไรที่จะขยับอีก มันก็สืบต่อไป

เรามันเห็นสด ๆ ร้อน ๆ นี่ พ่อแม่ครูจารย์มั่นขนาบเอาอย่างหนักยังเถียงท่านอีก ฟังซิน่ะ ลงเถียงหลวงปู่มั่นได้เป็นยังไง เก่งไหม เก่งด้วยความติดของเรา ความหลงของเรานั่นแหละ ไม่ได้เก่งอะไร ท่านฟาดเสียจนแหลก ถึงขนาดที่ว่าสมาธิหมูขึ้นเขียง มันไม่ยอมลงเขียง คือนอนจมอยู่ในสมาธิ คือนอนจมอยู่ในเขียง ความหมายว่างั้น นั่นเห็นไหมล่ะ ถามเมื่อไรก็พูดอย่างอาจหาญ แต่ก่อนจิตวุ่นวี่วุ่นวาย ท่านก็เห็นตั้งแต่ต้นขึ้นไปหาท่าน จิตเสื่อมก็บอกท่านตรง ๆ เลย เจริญขึ้นไปแล้วเสื่อม ๆ อยู่อย่างนั้นตลอด โห ทุกข์แสนสาหัส

เรื่องจิตเสื่อมแหม เราเทียบได้อย่างที่ว่า คนที่เคยมีเงินหมื่นเงินแสนเงินล้าน แล้วไปล่มจมด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง เหตุการณ์ใดก็ตามนะ แล้วก็ยังมีเหลืออยู่เงินในกระเป๋าหรือเงินในคลังในธนาคารจะเป็นหมื่นเป็นแสนก็ตาม จะไม่สนใจกับเงินที่ยังตกค้างอยู่นั้นเลย มันจะไปสนใจกับเงินที่จำนวนมากซึ่งล่มจมไปแล้วนั้น จิตมันอยู่นู้นนะ ผู้นี้ละผู้เดือดร้อนมาก ตาสีตาสาอยู่ตามท้องนาเขาหาเช้ากินเย็น วันหนึ่งเท่าไร เขาไม่ได้เป็นทุกข์นะ ผู้ที่ล่มจมด้วยเงินหมื่นเงินแสน จมลงด้วยเหตุการณ์ใดก็ตาม แม้จะมีเงินอยู่ในคลังเป็นหมื่นเป็นแสนก็ตาม เงินที่เป็นล้าน ๆ จมลงไปแล้ว จิตจะไปอยู่ที่นั่น เสียดายอยากได้กลับคืนมา แล้วจะหาวิธีการใดถึงจะได้อย่างนั้นคืนมาอีก นี้ร้อนเป็นไฟนะ

เงินล่มจมลงไปเป็นล้าน ๆ จนไม่มีอะไรติดตัว เงินที่เหลือในธนาคารเป็นหมื่นเป็นแสนไม่มีความหมายนะ มันไปอยู่โน้นหมด นี่ละเป็นทุกข์เพราะอันนี้ แล้วจะไปสานหวดขาย หวดใบหนึ่งราคากี่บาท กับเงินที่จมไปนั้นมันเข้ากันได้เหรอ มันเห็นชัด ๆ อย่างนี้นะ เราจิตเวลามันเป็นทีแรกเหมือนหินนี่นะ อยู่ที่ไหนแน่นหนามั่นคงสบายแสนสบาย แต่เราไม่รู้จักวิธีรักษา เพราะทางไม่เคยเดิน สมบัติไม่เคยมี จึงไม่รู้จักวิธีรักษา มันก็เสื่อมลง เสื่อมไม่ได้เสื่อมมาก พอเข้าสนิทได้บ้างไม่สนิทได้บ้าง มีแปลก ๆ อ้าว ผิดปรกติแล้วโดดเลย มันลงหมดเลย มันลงหมดนี่ตอนมันทุกข์มากนะ อยู่ที่ไหนเหมือนไฟไหม้กองแกลบอยู่ในหัวอก ร้อนอยู่งั้น แหม ทุกข์มาก เห็นโทษจริง ๆ เห็นโทษของจิตเสื่อม

แต่ก่อนเราไม่มีจิตอย่างนี้เราก็สบาย เหมือนตาสีตาสาอยู่ตามท้องนาก็สบายแบบนั้น พอได้มีเงินก้อนคือสมบัติสมาธิแน่นหนามั่นคงขึ้นภายในใจแต่เสื่อมไปเสียนี้ แหมทุกข์มากนะ ทุกข์จริง ๆ จากนั้นก็ฟิตกันใหญ่เลย ทำวิธีไหน ๆ ไม่ให้มันเสื่อมมันก็เสื่อม มันเสื่อมลงไปแล้วนี้เราพยายามอยู่ประมาณ ๑๔-๑๕ วัน บางคืนไม่นอนเลย มันก็เสื่อมลงต่อหน้าต่อตาพอถึงกาลเวลามันแล้ว ขึ้นไปเจริญอยู่ทรงอยู่ได้สองสามคืน สักเดี๋ยวเคลื่อนแล้ว สุดท้ายก็ลง ดึงยังไงก็ไม่อยู่ ๆ มันก็ทุกข์อีกแหละ ลงไปแล้วฟื้นขึ้นมาอีก พยายามกลิ้งครกขึ้นภูเขา พยายามกลิ้งขึ้นไป ๆ พอขึ้นไปได้สักสองสามวันเท่านั้น ทีนี้กลิ้งกลับมาทับหัวเราไปด้วย ๆ มันก็เป็นทุกข์มากเราไม่ลืมนะ จึงว่าเป็นบทเรียนอันหนึ่งที่จะได้สั่งสอนลูกศิษย์ก็ได้นะ เวลามันผ่านมาแล้วมันเข้าใจหมดเรื่องสอน ใครแย็บไปทางไหน จะเสื่อมมันรู้ทันที

มันหมดทาง เสื่อมแล้วเจริญ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกา ปีกลายถึงเดือนเมษาปีหน้า มีแต่เสื่อมเจริญอยู่นี้เป็นปีกว่า พฤศจิกา ธันวา มกรา กุมภา มีนา เมษา มันเสื่อมถึง ปีกับ ๕ เดือนนะ นี่ละทนทุกข์ทรมานตกนรกทั้งเป็นเลย แหม ทุกข์มากจริง ๆ หาอุบายวิธีการต่าง ๆ แต่มันดีอย่างหนึ่งที่มันไม่มีถอยที่จะแก้ไขดัดแปลงวิธีไหน ๆ ถ้ามันมีความอ่อนใจลงไปสักนิดพังเลยนะ จึงได้มาพิจารณาตั้งให้ดี ฟาดทีหลังนี้เอากันอย่างมั่นคงกับคำบริกรรมนี้แหละ เรากำหนดเอาจิตเฉย ๆ มันอาจมีเวลาเผลอได้ คราวนี้จะเอาคำบริกรรม เรามันติดพุทโธมาแต่ดั้งเดิม เราจะเอาพุทโธติดกับใจ ใจดวงนี้จะไม่ยอมให้คิดเรื่องอะไรทั้งนั้น ประหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มี มีแต่ความรู้กับพุทโธ

แต่ใจเราไม่ได้เหมือนใจใครนะ ถ้าลงปักลงตรงไหนขาดสะบั้นไปเลย แก้ไม่ได้เลย นี่ละเรียกว่าตกนรกทั้งเป็นตอนนี้อีกอันหนึ่ง บังคับจิตไม่ให้มันคิดกับอะไรเลย ตั้งแต่ตื่นนอนปั๊บพุทโธติดปุ๊บเลย จะไม่ยอมให้เผลอไปไหน มันจะเคลื่อนเรื่องราวอะไรก็ตามพุทโธนี้จะติดแนบ นี่มันหนักตรงนี้หนาการบังคับจิต หนักมากตรงนี้ ไม่ยอมให้คิดไปไหน ทำไมมันเสื่อมไปได้ คราวนี้จะไม่ให้มันเผลอจากพุทโธ ทีนี้ทอดอาลัยนะ เอา เสื่อมก็เสื่อมไป เจริญก ฟาดเสียตลอดรุ่ง นี่แหละที่ตลอดรุ่ง

มันจะตายจริง ๆ มันหาทางออกนะคนเรา ไม่มีอะไรทุกข์ยิ่งกว่าการนั่งตลอดรุ่งนะ แหม.ทุกสัดทุกส่วนร่างกาย กระดูกนี้เหมือนจะแตกจะหักเป็นไฟเผาศพทั้งเป็นเลย ไม่ถอย สติปัญญาหมุนติ้ว ๆ พอลงก็ผาง นั่นให้เห็นแล้วนะที่นี่นะ เวลามันจะเป็นจะตายมันแยกมันแยะเรื่องทุกข์ กาย เวทนา จิต ธรรม มันซัดกันอยู่นั้นไม่ยอมออกนะ ทุกข์เท่าไรจิตยิ่งหมุนเรื่อย ๆ เลย ให้ถอยไม่มี ทีนี้หมุนไปหมุนมามันก็ได้จังหวะ ๆ มันก็ลงผึงเลย พอลงนี้สว่างจ้า โถ.อัศจรรย์ เงียบหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ

ทุกข์กำลังเป็นไฟเผานั้นพอมันรอบกันแล้ว ทุกข์ก็ดับพรึบไปพร้อมกัน จิตก็ลงจ้าเลย นั่น นี่เป็นครั้งแรกในการนั่งสมาธิตลอดรุ่ง เรียกว่าเป็นคติได้อย่างเอกทีเดียว มันก็ขึ้นภายในอีก ทีนี้ไม่เสื่อม เสื่อมไม่เสื่อมก็ตาม นี้ก็เป็นอันหนึ่งที่เราจะปฏิบัติต่อตัวของเรา ต่อความเคยเสื่อมเคยเจริญมานี้ เราแทบเป็นแทบตายแล้ว จะว่าเชื่อก็ไม่เชิงไม่เชื่อก็ไม่เชิง ที่ว่าทีนี้ไม่เสื่อมว่างั้น ขึ้นมาบอก ออกมาก็ฟัดกันอีกเหมือนเก่า เสื่อมไม่เสื่อมไม่สนใจ เว้นสองคืนบ้าง สามคืนบ้าง เอาอีก เอาทีไรจ้าทุกคืน ๆ ได้หลักได้เกณฑ์มั่นเหมาะที่นี่นะ แน่ใจเลยว่าไม่เสื่อม

นั่งเก้าคืนสิบคืนนะ จะเว้นสองคืนสามคืนบ้าง นั่งตลอดรุ่ง ได้ทุกคืน ความแปลกประหลาดอัศจรรย์จ้าขึ้นมา ๆ ได้ทุกคืน เพราะฉะนั้นมันจึงเอาตายเข้าว่าเลย ธรรมนี้เหนือตาย เลิศเลอเหนือตาย เอาตายเข้าบูชาเลย จากนั้นมาก็แน่ใจว่าไม่เสื่อม ถ้าเสื่อมคราวนี้เราต้องตาย มันจะตายแบบไหนก็ตาม คือเราเข็ดถึงขนาดนั้นแล้ว จึงต้องบังคับจิตจะไม่ให้เสื่อมอย่างนั้นอีกต่อไป ถ้าความเสื่อมมีเมื่อไร ความตายต้องมี มันเป็นไปได้นะจิตใจของเราน่ะ เพราะมันเด็ดจริง ๆ นี่นะ มันถึงขั้นจะควรตายแบบไหนมันอาจจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นจึงเอาอันนี้ไม่ให้มันเสื่อม จากนั้นมาจึงก้าวขึ้นจนกระทั่งเป็นสมาธิ ไปสบายอยู่สมาธิละที่นี่

จนพ่อแม่ครูอาจารย์ลากออกสมาธิ ว่าหมูขึ้นเขียง ๆ นอนตายอยู่ในสมาธิ ความสุขในสมาธิก็เท่าเนื้อติดฟัน เนื้อติดฟันมันมีความสุขมากน้อยเพียงไร หือ ๆ เอาเลยนะ นี่แหละสุขในสมาธินี่ มันเท่ากับความสุขในเนื้อติดฟันเรานั่นแหละ เพียงเท่านั้นแหละท่านว่า ขนาบใหญ่เลย นี่ความสุขหมูขึ้นเขียง ขึ้นเขียงแล้วไม่ยอมลง คือความติดนี่ก็ติด มันควรติดอะไรมันติดได้นะจิต เพราะไม่เคยรู้ในสมาธิก็ติดสมาธิ ทีนี้ออกทางด้านปัญญามันก็หมุนของมันติ้วเลย นี้ท่านก็รั้งเอาไว้ นั่น มันต้องอาศัยครูอาจารย์ผู้ที่ผ่านไปแล้วทั้งนั้นแหละ มันถึงจะไปด้วยความคล่องแคล่ว เอาตัวของเรายันเลย มีพ่อแม่ครูอาจารย์แหละเป็นผู้สับผู้เขกตลอดเวลา

พอออกทางสมาธิแล้ว ทีนี้มันเห็นคุณค่าของปัญญาการฆ่ากิเลสละซีที่นี่ มันเห็นคุณค่าความสว่างไสวแยบคายทุกอย่าง มันกระจายออกทางด้านปัญญา กิเลสตัวใดที่ไม่เคยเห็นไม่เคยรู้ ทั้ง ๆ ที่มันอยู่กับตัวเอง มันก็รู้ด้วยปัญญา ๆ เอ๊ะ.ชอบกล ๆ เรื่อยนะ ทีนี้ก็หมุนเลย หมุนทีนี้ก็หมุนใหญ่เลย ไม่นอนทั้งวันทั้งคืน นั่นเห็นไหมล่ะ ทีนี้เวลาปัญญาก้าวเดินมันอัศจรรย์อีกแบบหนึ่งนะ เรื่องสมาธิว่าเป็นความสุข มันก็แบบท่านว่าเนื้อติดฟันนั้นเอง โอ๋ย.นี่สมาธินี่มันนอนตาย ไม่เกิดประโยชน์อะไร ปัญญาต่างหากแก้กิเลส

ทีนี้ว่าปัญญาแก้กิเลส มันก็หมุนไปทางปัญญาแก้กิเลส เลยไม่รู้จักยับยั้งตัวเอง กลางคืนไม่ได้นอน บางทีถึงสองคืนสามคืนมันจะตายจริง ๆ จิตมันหมุนติ้ว ๆ ด้วยปัญญา ขึ้นหาท่านอีก พอขึ้นหาท่าน พ่อแม่ครูอาจารย์ว่าให้ออกทางด้านปัญญา เวลานี้มันออกแล้วนะ ก็บอก มันออกยังไงท่านว่า โอ๋ย บางคืนไม่ได้นอนเลย นี่ก็ไม่ได้นอนได้สองคืนสามคืนแล้ว มันหมุนติ้ว ๆ เลย นั่นแหละมันหลงสังขาร ขึ้นเลยนะ เห็นไหมล่ะ เมื่อมันเลยประมาณสังขารส่วนสมุทัย แทรกเข้าไปในสังขารของปัญญาได้ แต่ก่อนเราไม่รู้นะ

ท่านไม่พูดมากกับเรา มีแต่เอาไม้ทั้งท่อนมาให้จาระไนเอง ท่านไม่แจงนะกับเรานี้ไม่มีแจง ไม่ว่าธรรมะขั้นใด พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ถ้าเป็นไม้ก็เอาไม้ทั้งท่อนมา ให้มันเลื่อยเอาเอง มันฉลาดให้มันเลื่อยเอาเอง ไม่ฉลาดให้มันเอาขอนซุงทั้งท่อนนั้นทับหัวมันเสีย มันโง่ความหมายว่างั้น นั่นแหละมันหลงสังขาร ทางนี้ก็ออกเลย ถ้าไม่พิจารณามันก็ไม่รู้ เราว่า นั่นแหละบ้าหลงสังขาร ว่าเลยนะ เท่านั้นแหละ ทีนี้ไม่ตอบ มันเห็นจะถูกอย่างท่านว่าแหละ เป็นมาตั้งแต่สมาธินั่นแล้ว แต่มันไม่ถอย หมุนติ้ว ๆ

สรุปความลงมา ถึงขั้นเวลาปัญญามันออก มันเบิกกว้างมันเห็นในเรื่องภัยอะไร ๆ กิเลสที่ฝังจมมานมนาน พาให้เกิดให้ตายลงนรกอเวจี คือกิเลสที่ฝังอยู่ในใจ ใจมันไม่เคยตาย บาปกรรมทั้งหลายมันก็ติดอยู่กับใจพาลง เป็นอย่างนั้นนะ ทีนี้เวลามันได้เห็นด้วยปัญญามันเห็นหมดนี่ เมื่อเราได้เห็นโทษของกิเลสมากเท่าไร ก็เห็นคุณค่าของธรรมของสติปัญญามากเท่านั้น นี่ละมันบืนของมันนะ ไม่รู้จักหลับจักนอน ตลอดรุ่งไม่นอน นอนลงก็หมุนกันอยู่ภายในใจ เหมือนนักมวยต่อยกันอยู่ตลอดเวลา ไม่มีการให้น้ำ มันก็จะตายละทีนี้

เวลามันจะตายจริง ๆ ก็หักเข้ามาสมาธิ บังคับเข้าสู่สมาธิ ให้อยู่ในความสงบ เพราะสมาธิของเรามันก็เกรียงไกรพอแล้ว แต่เวลานั้นไม่สนใจกับสมาธินะ หมุนแต่ทางด้านปัญญา เพราะเห็นคุณค่าของปัญญาเหนือขึ้น ๆ โดยลำดับ เวลามันจะตายจริง ๆ มันไม่ได้หลับได้นอน กลางวันนี้ถ้าได้ลงทางจงกรมเดินทั้งวัน นั่นเป็นอย่างนั้นนะ ไม่มีเบรกห้ามล้อแหละ หมุนไปเรื่อย ๆ สติปัญญา เวลามันจะตายจริง ๆ หักเข้ามาสู่สมาธิ บังคับนะ ทั้ง ๆ ที่สมาธิมันเก่งพอแล้ว แต่เรื่องปัญญาเก่งกว่านี้ขนาดไหน มันจึงเห็นว่าสมาธินี่นอนตายอยู่เฉย ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ ก็ต้องหักเข้ามาเวลามันจะตาย หักเข้ามาสมาธิ ให้จิตสงบแน่ว ๆ บังคับอยู่นั้นไม่ให้มันออก คือออกมันจะไปทำงาน เรียกว่าต่อยเลยถ้าออกแล้วไม่ถอย บังคับ

โอ๋ย.เวลาจิตเข้าสู่สมาธินี้มันสงบเยือกเย็นแน่ว เหมือนถอดเสี้ยนถอดหนามนะ พัก...เย็น แต่บังคับไว้นะ ถึงขนาดนั้นยังต้องบังคับ ถ้าไม่บังคับมันออก เพราะทางด้านปัญญาเหนือกว่าสมาธินี้ บังคับ พอเห็นได้กำลังวังชาเต็มที่แล้ว เอ้า.ทีนี้ปล่อย พอแย็บแล้วพุ่งเลย มันเหมือนกับว่ามีดได้ลับหินแล้ว เจ้าของรับประทานอาหารมีกำลังแล้ว ไม้ท่อนเก่านั้นแหละ ฟันทีนี้ขาดสะบั้นไปเลย กำลังก็มีมีดก็คม แต่ก่อนมันไม่ทราบเอาทางสันทางคมลง มันฟัดกันอยู่นั้น พอได้มาฝึกสมาธิพักสมาธิออกแล้วผึง ๆ

นั่นละจิตเวลาได้เห็นโทษของกิเลสแล้วอยู่ไม่ได้นะ ใครก็ตาม เวลาเห็นโทษของกิเลสมันหมุนไม่หยุด หมุนเพื่อจะออก เวลาเห็นคุณของกิเลสนี้ก็หมุนไม่ออก ไม่หยุด มันเห็นคุณของกิเลส อย่างโลกเรานี้โลกเห็นคุณของกิเลส กิเลสจึงสนุกหลอกได้สบายต้มได้ตลอด เอาทุกข์ฝังใจ ๆ ๆ ไว้ นี่ละผลของกิเลสเป็นทุกข์ฝังใจ ทีนี้เวลาได้เห็นโทษของกิเลส มันก็ผึง ๆ ๆ เลย นี่เราสรุปเอานะ เรื่องความเพียรไม่ต้องบอก นี่ละท่านเรียกว่า ความเพียรกล้า คือไม่รู้จักเวลาพักผ่อนนอนหลับเลย หมุนติ้วเหมือนนักมวยเข้าวงในกัน จะไปสนใจกับการพักการเจ็บการปวดอะไร มันไม่ได้สนใจนักมวยเข้าวงในกัน อันนี้ก็แบบเดียวกันหมุนติ้ว ๆ เวลามันจะตายจริง ๆ เข้ามาพักสักทีหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งมันไม่อยากพักละเรื่องพัก

นี่ละสรุปลง เอาเต็มเหนี่ยว ๆ ตลอดเวลา เอาจนกระทั่งสรุปลงเลย ถึงวาระสุดท้ายก็อย่างว่า ผางทีนี้หมดเลย ความเพียรที่หมุนตัวเป็นเกลียวไม่ทราบหายไปไหน สติปัญญาที่หมุนตัวเป็นธรรมจักร เป็นสติเป็นมหาสติหมุนตลอดเวลานั้น พอกิเลสซึ่งเป็นตัวข้าศึกขาดสะบั้นลงไป ความเพียรประเภทสติปัญญาประเภทนี้หมดปัญหาไปทันที สติกับปัญญานี้ก็เป็นเครื่องมือ พอเราทำงานสำเร็จด้วยเครื่องมืออะไรแล้ว เครื่องมือเราก็ปล่อย ๆ พอทำเสร็จแล้วเครื่องมือปล่อยหมด เขาปลูกบ้านสร้างเรือนเหมือนกัน เครื่องมือสร้างบ้านสร้างเรือนปล่อยหมด เวลาบ้านเรือนสมบูรณ์ นี่เวลาจิตมันสมบูรณ์มันก็ปล่อยหมดเหมือนกัน นี่สติปัญญา มหาสติมหาปัญญา ความเพียรกล้าทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอนหายหน้าไปหมด เป็นอย่างนั้นนะ นอนเวลาไหนก็นอน ไม่มีห่วงมีใยกับอะไร แน่ะ นี่ละจำเอานะ

นี่ธรรมพระพุทธเจ้า เมื่อมีผู้ปฏิบัติตามอยู่จะเจอจะเห็นอย่างนี้ตลอดไป เพราะธรรมที่เป็นสวากขาตธรรมตรัสไว้แบบสมบูรณ์แล้ว สมบูรณ์แบบ เอ้า.ให้เดินตามนี้จะไม่เป็นอะไร ไปตรงแน่วตามมรรคตามผลนั่นแหละ นี่พูดเรื่องภาวนาจำเอานะ เอาให้ดี ถ้ามีผู้ปฏิบัติอยู่เราจะเห็นดอนแห่งความสงบสุขเย็นใจ และดอนแห่งความรื่นเริงอยู่ที่ผู้ปฏิบัติธรรม นอกนั้นเป็นไฟไปด้วยกันหมด ใครจะสูงจะต่ำขนาดไหนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของกิเลสทั้งนั้นไม่ได้เหนือกิเลส แต่ธรรมนี้เหนือกิเลส เหยียบกิเลสลงไป เพราะฉะนั้นจึงมีสุข ๆ โดยสมบูรณ์ หาความทุกข์ไม่ได้ ผู้ปฏิบัติธรรมสมบูรณ์แบบแล้วไม่มีความทุกข์เอามาบีบบังคับได้เลย

ดังพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ตั้งแต่ขณะกิเลสซึ่งเป็นตัวเหตุสร้างทุกข์ให้สัตว์โลกพังลงไปแล้วเท่านั้น เรื่องความทุกข์จึงไม่มีในใจพระอรหันต์ ความเลิศเลอเป็นนิพพานเที่ยง เลิศเลอนั้นเที่ยง เที่ยงตลอดไม่ต้องมีอดีตอนาคตเข้ามากวนนะ หมด นั่นละท่านว่านิพพานเที่ยง เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจแบบเดียวกัน ผางขึ้นมาแล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เท่านั้น เป็นอย่างเดียวกันหมด บรรดาสาวกพระพุทธเจ้ากี่พระองค์เป็นอันเดียวกันหมด ถามกันหาอะไรเท่านั้นพอ เอาละทีนี้ อันนี้เป็นเหตุแล้วก็พูด วันนี้พอเบาะ ๆ ดูเหมือนจะเป็นเทศน์กัณฑ์หนึ่งเหมือนกันนะวันนี้

โยม : ขอโอกาส ที่ภาวนาแล้วตัดสินว่า คราวนี้ไม่เสื่อมนี้เป็นยังไง

หลวงตา : ไม่เสื่อมก็บอกว่า ถ้าเสื่อมเราต้องตาย ขนาดนั้นนะ เพราะฉะนั้นเราจึงแน่ใจในจิตอันนี้นะ มันจะตายได้จริง ๆ มันก็มีตัวอย่าง พระโคธิกะ ท่านบอกว่า ฌานเสื่อมถึงห้าหน หนที่ห้าท่านเอามีดเชือดคอเจ้าของ คือมันทนทุกข์ต่อไปไม่ได้ เราย้อนรู้ได้ทันทีนะ ท่านเลยเอามีดเชือดคอ แต่ท่านมีอุปนิสัยนี่ ตอนนั้นท่านจะยังไม่ทรงบัญญัติการฆ่าตัวเองละมั้ง พอมีดเชือดคอเลือดทะลักออกนี่ ท่านมองเห็นเลือดท่านพิจารณาขณะนั้น บรรลุธรรมเป็นอรหันต์ขึ้นมาในเดี๋ยวนั้นเลย นี่ละมันมีสาเหตุว่าท่านเป็นยังไงท่านถึงยอมฆ่าตัวตาย ก็คือทนทุกข์ไม่ไหว แบกทุกข์เพราะจิตเสื่อมนี้แหม ทุกข์จริง ๆ นะ เราเสื่อมตั้งปีกับห้าเดือน

เพราะฉะนั้นถึงได้ตัดสินใจ คราวนี้จิตของเราจะเสื่อมไม่ได้ถ้าเสื่อมเราต้องตายเท่านั้น เมื่อเราไม่อยากตายจิตเราจะเสื่อมไม่ได้ เวลานี้เรารักษาด้วยวิธีใด จิตของเราจึงคงตัวอยู่ได้ขนาดนี้ รักษาด้วยวิธีนี้จะไม่ให้เคลื่อนด้วยวิธีนี้เลย นั่น มันก็ฟัดกันเลย จากนั้นจิตก็ไม่เสื่อมเรื่อย ๆ พุ่ง ๆ เลย ถ้าเสื่อมอาจจะตายได้ คือมันเหลือที่จะทนต่อไป มันทุกข์จริง ๆ เหมือนไฟเผาไหม้หัวอกนี่ แหมตั้งแต่ก่อนจิตไม่เคยเป็นสมาธิก็อยู่ธรรมดาเหมือนโลกทั่วไป เหมือนตาสีตาสาอยู่ตามท้องนา พอมีรายได้ขึ้นมามาก ๆ แล้วจมลงไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่งนี้ แหม มันทุกข์แสนสาหัสนะ เราจึงไม่ลืม ทีนี้ก็จะให้พร

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก