เทศน์อบรมฆราวาส ณ สวนแสงธรรม
เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ [ค่ำ]
ธรรมรู้ในสิ่งที่เคยหลง
พูดแล้วลืมเลย จำไม่ได้ เราพูดเรื่องอะไร อย่างงั้นซิ การเทศน์มันถึงขาดวรรคขาดตอน เพราะพูดไปตรงไหน ลืม ตัดขาดเงียบระลึกไม่ได้ ระลึกไม่ได้ก็ขึ้นใหม่เลย ขึ้นใหม่ไป ต่อไปจะเทศน์ไม่ได้นะ ความจำตัด ตัดเรื่อย เด่นขึ้นเรื่อยนะเวลานี้ แต่ก่อนอย่างนี้ไม่มี เทศน์อะไรก็เป็นเรื่องเป็นราวไปเรื่อย ๆ เช่น ข้อเปรียบเทียบนี้มันก็ได้ทั้งสองไปเลยฉันใดฉันนั้น เดี๋ยวนี้ข้อเปรียบเทียบได้อันเดียวไปเลย เช่น ฉันใดนี้ไม่พูดกระทั่งว่าฉันใด ไปเลย ฉันนั้นจึงไม่มีเหลือ หมด เดี๋ยวนี้นะ ข้อเปรียบเทียบมันเป็นคู่กันที่จะให้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ผู้ฟัง ฟังได้ง่าย เข้าใจง่าย เป็นคู่เคียงกันกับการเทศนาว่าการ ที่ควรจะมีข้อเปรียบเทียบก็ต้องยกเข้าเทียบเคียง ๆ
เดี๋ยวนี้ไม่ได้แล้วนะ โอ๊ยไม่เป็นท่า ถ้าเปรียบเทียบก็ย่อ ๆ เอาเลย ย่อ ๆ แล้วกวาดเข้ามาหากันแล้วไปเลย ถ้ามียาว ๆ หน่อยไม่ได้เรื่องเดี๋ยวนี้ มันตัด เพราะเราใช้ขันธ์ ธาตุขันธ์เป็นเครื่องมือสำหรับธรรม ถ้าธาตุขันธ์ดีการแสดงธรรมก็สะดวก ๆ ๆ ถ้าธาตุขันธ์ไม่ดี เรียกว่าเครื่องมือไม่ดีก็ต้องลดลง ๆ ทุกวันนี้แล้วยิ่งลดลงโดยลำดับนะ ความจดจำนี่สำคัญตัดเรื่อย ๆ บางทีถึงได้เรียนให้บรรดาผู้ฟังทั้งหลายทราบ ว่าขอความกรุณาการเทศน์มันขาดวรรคขาดตอนไป เพราะความจำมันตัดให้ขาดไป พอจับได้ตรงไหน ๆ ก็ให้จับเอาตรงนั้นไปเลยนะ เราก็บอกอย่างนี้
ทีนี้ก็ว่าไปเรื่อย มันก็หลงไปเรื่อยของมัน มันเป็นอย่างงั้นจะทำยังไง นี่เรียกว่าเครื่องมือ ธาตุขันธ์ทั้งหมด รูปขันธ์เป็นตัวตั้งไว้ เสียงก็ออกมาจากรูปขันธ์เป็นตัวตั้งเอาไว้ เวทนา ความสุข ความทุกข์มันก็อยู่ในนั้น สัญญาขันธ์ เวลาเทศน์สัญญาจะค่อยแนบ ๆ ๆ พอเทศน์ไปนี้จำมานี้ต่อกับอันนั้น สัญญานี้จะดึงเกี่ยวโยงกันไปเรื่อย ๆ เป็นหลักธรรมชาติของมัน เมื่อสัญญายังดีอยู่ มันก็จับเกี่ยวโยงกันไปเรื่อย แนบกันไปเรื่อย ๆ แล้วเรื่องราวก็ต่อไป ทีนี้เวลาขันธ์ไม่ดี ความจำลด มันขาดเอง ขาดแล้วก็เขวแล้ว
สังขารคือความคิด ความปรุง ปรุงอรรถธรรมออกมา คือธรรมผลักออกมาให้คิด คิดแล้วก็ออกมาเป็นคำพูดคำจา สังขารเป็นผู้คิด ธรรมดันออกมา ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสภายในใจของโลกทั่ว ๆ ไป ส่วนมากมีแต่กิเลสดันออกมาให้พูด ให้ทำ ให้อะไร มันคิดปรุงปั๊บๆ แล้วทำตามมัน ๆ มันดันออกมาเป็นเรื่องของกิเลส เป็นพื้นฐานอยู่ในนั้น มันออกมาอย่างนั้น เรียกว่าสังขาร สัญญาคือความจำ
สังขาร คือความคิดปรุงทางใจ วิญญาณ ความรับทราบเวลาอายตนะภายใน คือตา หู จมูก ลิ้น กายของเราสัมผัสกับรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสกับรูปมันก็ทราบว่ารูป เสียง แพล็บออกมาก็ทราบ ๆ ขณะนั้นเรียกว่า วิญญาณ รับทราบๆ ในขณะที่สิ่งเหล่านั้นมากระทบ เช่น ตากระทบรูป ทราบว่ารูปอะไร เสียงกระทบหู ทราบแล้วว่าเสียง ว่ากลิ่น ว่ารส ท่านเรียกว่าวิญญาณ นี่เป็นขันธ์ห้าทั้งนั้น เรียกว่าเป็นเครื่องมือของวัฏจักร ของกิเลส ที่ใช้มาเป็นพื้นฐานเลยทุกสัตว์บุคคลไป
ท่านทั้งหลายฟัง จะแจงธรรมะให้เข้าใจจากภาคปฏิบัติ แน่ในหัวใจเลยว่าไม่ผิดเพี้ยน เพราะเอาอันนี้ออกปฏิบัติกำจัดกิเลส ก็เอาขันธ์นี้ออกเป็นเครื่องมือของธรรม ไม่มีขันธ์บางอย่างก็แก้ไม่ได้ มันต้องเกี่ยวกับขันธ์อยู่นั่นแหละ ธรรม สติปัญญาออกมาเป็นสังขารปรุงปั๊บ คือทางธรรมดันออกมา มาเป็นสังขารทางด้านปัญญา ปรุงแพล็บทางด้านปัญญา สติระลึกได้แพล็บ ๆ ๆ นี้เป็นอันหนึ่ง ๆ ทีนี้ก็ใช้ขันธ์นี้ไปเรื่อย ตามธรรมดาขันธ์นี้เป็นสมบัติของกิเลสล้วน ๆ อยากว่าอย่างงั้นนะ ธรรมมีน้อยมาก เพราะกิเลสเป็นผู้คุมอำนาจมาตลอด ถึงจะมีนิสัยปัจจัยขนาดไหน กิเลสยังต้องเรืองอำนาจอยู่ตลอด ๆ จนกว่าว่าเราได้ยินได้ฟังอรรถธรรม ทีนี้ธรรมนี้จี้อยู่นั้นก็จะซึมเข้ามา โผล่ออกมาๆ พอโผล่ออกมาก็กำจัดกิเลสนี่แหละ โผล่ออกมาก็กำจัดอันนี้ไปเรื่อย ๆ
ด้วยเหตุนี้ธรรมจึงแสดงได้ยากกว่ากิเลสตามปรกติ เพราะกิเลสเป็นพื้นฐานแห่งอำนาจของมันอยู่แล้ว เวลาเรามาปฏิบัติธรรม ธรรมก็มีอยู่ด้วยกัน เอาธรรมออกจากใจเช่นเดียวกัน กิเลสก็อยู่ในใจ กิเลสทำงาน พาคิด พาปรุง พารู้ พาเห็นอะไร ๆ เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ไปเลยแหละ ตาเห็นพับนี่ พอเห็นปั๊บนี่ปรุงเลยมันจะเป็นกิเลสแฝงไปด้วยเลย ไม่มากก็น้อย พอรูป รูปอะไร นั่นเข้าไปแล้วนะ ถ้ารูปเฉย ๆ เป็นอีกอย่างหนึ่ง ถ้าคิดเรื่องรูปนั้นอีกก็เป็นกิเลสเข้าไปแหละก่อนอื่น เช่นรูปต้นเสา ต้นเสานี้ดีนะ เราปลูกบ้านเราก็จะเอาแบบนี้ มันก็เป็นแถวของกิเลสไปเสีย ไม่รู้นะ เจ้าของไม่รู้ เห็นตึกรามบ้านช่อง ถนนหนทาง อะไรๆ มันก็ไปตามแถวของวัฏจักรไปเรื่อย ๆ
มองเห็นหญิง เห็นชาย นี่ก็ไปวัฏจักรทางกิเลสไปอีกประเภทหนึ่ง ได้ยินเสียงหญิง เสียงชาย เป็นยังไง นั่น นี่ละเรียกว่า กิเลสมันทำงาน พอผู้หญิงกับผู้ชายเห็นกันเป็นยังไง ความรู้สึกของกิเลสมันจะแทรกขึ้นมา ในหลักธรรมชาติของมัน เราไม่ได้ตั้งท่าอะไร มันเป็นของมันก่อนแล้ว ซึมซาบออกไปแล้ว ก็เอาไปวิพากวิจารณ์ ถ้าหนักกว่านั้นไปเป็นสัญญาอารมณ์ในหญิงคนนั้น ในชายคนนั้น นี่เป็นเรื่องของกิเลส เรียกว่ามันสั่งสมกำลังของมันอยู่ในนั้น แล้วก็เป็นวัฏฏะเรื่อยไป ๆ
สายเดินของกิเลสพาให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก คำว่าเพลิดเพลินมีนิดหนึ่ง ความทุกข์ก็แทรกเข้าไป ๆ มันก็ไปด้วยกันอย่างงั้นนะ หูก็เหมือนกัน ฟังเสียงธรรมดาเป็นอย่างหนึ่ง เสียงนกเสียงกาที่ได้ยินกิ๊กๆ แก็ก ๆ ธรรมดาเป็นอย่างหนึ่ง ฟังเสียงที่จะเป็นกิเลสมันมีมากอยู่นะ มันแทรกอยู่ในนั้น ถ้าฟังเสียงนก เสียงกา ถ้าไปคิดอีกแง่ใดแง่หนึ่ง มันก็เป็นกิเลสของมันไป ได้ยินสักแต่ว่าเสียงเฉย ๆ มันก็ยังไม่เป็นกิเลส พอเสียงนกเสียงกา แล้วคิดไปอีกในแง่ใด ๆ ความเป็นกิเลสมันก็เป็นของมันไปเรื่อย ๆ เสียงอะไรก็ไม่เด่นเหมือนเสียงหญิง เสียงชายนะ เราทุกคนแบกกิเลสประเภทนี้ไว้ในหัวใจ ไม่มีใครบอกใครกล่าว มีโอกาสแล้วจึงพูดให้ฟังอย่างนี้แหละ
เราจะไปอายมันอะไร ก็มันมีอยู่ในหัวใจของทุกคน นอกจากมันปิดตัวของมันไว้ไม่ให้แสดงออก ธรรมก็ไม่แสดง ถ้าจะพูดถึงเรื่องกิเลส มันมีลักษณะอายนะ กิเลสให้อายนะไม่ใช่ธรรมให้อาย กิเลสมันให้อายไม่อยากให้พูดถึง อันใดเป็นส่วนหยาบส่วนโลนของกิเลส ไม่อยากให้พูดถึง มันอยากหาแต่สิ่งที่หยดย้อย เพลิดเพลินให้หลง ตัวมันนั้นแหละ เพราะฉะนั้นโลกทั้งหลายจึงชอบตกแต่งภายนอก ตัวสกปรกอยู่ภายในมันปิดเอาไว้ มันไม่ให้เห็น ให้เห็นตั้งแต่ภายนอก แต่งเนื้อแต่งตัวสดสวยงดงาม อันมูตรอันคูถอยู่ในโครงกระดูกนั้นมีอะไร มันไม่ได้ให้เห็น นี่ละธรรม เรียกว่าธรรมจี้เข้าไป ไม่งั้นแก้กันไม่ตก แล้วกองทุกข์ เราจะต้องแบกหามตลอดไป ธรรมท่านจึงจี้เข้าไป
ปกปิดกำบังอะไร มีแต่เรื่องของกิเลส มันปกปิดสิ่งที่ธรรมไม่ปรารถนานั้นแหละ เอาไว้ ๆ สงวนแล้วเอาข้างนอกมาหลอกลวงสัตว์โลก ให้สัตว์โลกได้เห็น โอ๊ย สวยงามอย่างงั้นอย่างงี้ แต่งตัวโก้หรูสวยงามทุกอย่าง เครื่องแต่งตัวมีอะไรบ้าง มีแต่เครื่องประดับของกิเลสมันหลอก มันอยู่ข้างใน ฟังเสียให้ชัดนะวันนี้ ข้างนอกมันประดับประดาตกแต่งเอาไว้ เพื่อปิดบังภายในของมันเอาไว้ไม่ให้เห็น อะไร ๆ ก็ต้องเป็นไปตามนี้ ให้วิจารณ์ไปก็แล้วกันนะ เมื่อจะทำอะไรเข้าไป มันต้องมีอันหนึ่งอยู่ภายในๆ เรื่องของกิเลส มันจะปิดของมันไว้เสมอ เอาแต่สิ่งที่สัตว์โลกทั้งหลายจะติดจะพัน หลอกลวงไปเรื่อยด้วยความประดับประดาตกแต่ง สวยงามอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เราเห็นของสวยของงาม ติดพันเข้าไป ตัวนั้นไม่ให้เห็น นี่เป็นอย่างนั้นเรื่องของกิเลส
ทีนี้ส่วนธรรมไม่เป็นอย่างงั้น ธรรมเป็นธรรมชาติไม่เอียง กิเลสนี้ตัวเอียงแสนปลิ้นปล้อนหลอกลวง ไม่มีอะไรเกินกิเลส ของจริงจะไม่มีในกิเลส ถ้าว่าจริงก็จริงในเรื่องปลอม จริงเต็มสัดเต็มส่วนตลอดมา ว่างั้นเถอะ ไม่มีอย่างอื่น มีแต่จริงล้วน ๆ ด้วยการจอมปลอม ว่างั้น ถ้าจริงก็จริงไปแบบนั้นเสีย ส่วนธรรมท่านเป็นของจริง ตรงไปตรงมาเลย มันจึงเป็นข้าศึกกัน แล้วก็ต้องเอาธรรมนี้ไปชะล้างอันนั้น อันนี้มันหลอกไว้แล้ว ก็เพื่อกดสัตว์ทั้งหลายให้ได้ล่มได้จมไปตามมันตลอดหมดเลย ทุกแห่งทุกหน สามแดนโลกธาตุมีแต่เครื่องกล่อมของกิเลสกล่อมสัตว์ทั้งหลายไว้ทั้งนั้นแหละ สัตว์ทั้งหลายก็หลงไปตามมัน
ถ้าไม่มีธรรมต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไปเลย พอมีธรรม ธรรมเปิดออกมามากน้อย ผู้มีนิสัยบ้างพอประมาณ และมีนิสัยก็จะเปิดรับกัน ๆ แล้วค่อยเข้าอกเข้าใจไปเรื่อย ๆ ก็เปิดทางไปเรื่อย ๆ ๆ นั่นธรรมเป็นอย่างงั้นนะ นี่เรื่องของธรรมกับกิเลสเป็นอย่างนี้ ธรรมยิ่งรู้แล้วมันปิดไม่อยู่ มันจะปิดไว้ลึกขนาดไหนก็ตาม ธรรมเลิศเลอสุดยอดแล้ว ไม่มีที่จะผ่านสายตาของธรรมไปได้ ปั๊บมันรู้ทันทีเลย รู้ทันที ๆ ไม่รู้แก้ไม่ตก ต้องรู้แล้ว แก้ตกเรียบร้อยแล้วก็ยิ่งกระจ่างไปหมดเลย ธรรมเป็นอย่างงั้น นี่ละธรรมให้พากันทราบเสีย รู้ในสิ่งที่เคยหลงมาแล้ว กิเลสกล่อมให้หลงมา และธรรมมีขึ้นมานี้ก็มารู้สิ่งที่เคยหลง เมื่อสิ่งที่เคยหลงแล้วก็ปลดเปลื้องละที่นี่ ธรรมส่องเข้าไปเห็นแล้วก็ปลดเปลื้องออก ๆ เรื่อย ๆ
ทีนี้ความทุกข์ทั้งหลายที่กิเลสกล่อมไว้ เป็นผลขึ้นมาให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก ก็ค่อยเบาลง ๆ ทางนี้ก็เสริมตัวขึ้น ธรรมมีมากเท่าไรธรรมไม่ได้หนักนะ กิเลสมีมากเท่าไรยิ่งหนัก แต่กิเลสมันกล่อมไว้ให้ลืมเนื้อลืมตัวเย่อหยิ่งจองหอง ตัวหนักที่สุดอยู่นั้นละ กิเลสที่พกเอาไว้ในหัวอกมันไม่ให้รู้ แต่ธรรมนี้รู้มากรู้น้อยไม่ได้มีหนักนะ ยิ่งเบา มีมากเท่าไรยิ่งเบาขึ้นๆ เรื่อย ๆ ปลดปล่อยสิ่งที่เป็นภาระกดถ่วงด้วยความหลอกลวงของกิเลสนั้นออกเป็นลำดับลำดาไป เปิดออก ๆ นี่เรียกว่า ธรรม อยู่ในหัวใจอันเดียวกัน
กิเลสเป็นผู้ปิดบังไว้ไม่ให้เห็นตามความจริง ธรรมเป็นผู้เปิดความจริงออกมา เพื่อชะล้างสิ่งจอมปลอมที่ปิดบังไว้นั้นออกโดยลำดับ เมื่อเวลาเปิดออกจิตใจก็ค่อยสว่างไสว เช่นอย่างจิตใจฟุ้งซ่านรำคาญ เราฝึกหัดอบรมทางด้านสมาธิ ปัญญา มันก็มีความสงบให้เห็น พอเห็นความสงบแล้ว มันก็เห็นโทษแห่งความวุ่นวาย แต่ก่อนไม่เคยรู้ พอมีความสงบปั๊บ มันก็เทียบกันได้ทันที ไม่ต้องเอาไปเทียบมันก็รู้ทันที จิตสงบเย็นสบาย จิตใจดูดดื่ม ทีนี้เห็นโทษแห่งความวุ่นวาย พอวันไหนยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก ๆ โอ๊ย วันนี้ไม่ไหวแล้ว ยังไงต้องเข้าพักเครื่องด้วยสมาธิภาวนา นั่นเป็นอย่างงั้นนะ
คำว่า พัก บังคับ มันจะยุ่งไปกับสิ่งก่อกวนทั้งหลายเพื่อเพิ่มฟืนเพิ่มไฟมาเผาเรานี้ เราระงับมันด้วยอารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลสมันคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เพื่อเป็นฟืนเป็นไฟเผาเรา อารมณ์ของธรรม เรายังไม่ได้อะไรเอาคำบริกรรมเสียก่อน มาเป็นอารมณ์ของธรรม นี่เรียกอารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลสมันจะวิ่งไปตามสิ่งต่าง ๆ ที่มันชอบใจ ไม่ชอบใจ เกิดกิเลสทั้งนั้นละ มันเป็นอย่างงั้น ทีนี้อารมณ์ของธรรมปิดเอาไว้ ไม่ให้มันคิดยุ่งกับสิ่งเหล่านั้น
สังขารที่มันเคยคิดเอาไปใช้เป็นสังขารของกิเลส แล้วค่อยระงับอันนั้น เอาสังขารฝ่ายธรรมนี้ขึ้นมา ความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดหนึ่งเป็นความคิดของฝ่ายกิเลส ความคิดอันหนึ่งเป็นของฝ่ายธรรม เอาความคิดของฝ่ายธรรมขึ้นมา เช่นพุทโธ ๆ เป็นต้น ระงับดับ ความคิดเหมือนกันแต่อันนี้เป็นฝ่ายธรรม ฝ่ายธรรมนี้ระงับ ฝ่ายกิเลสเสริมไฟ ท่านเรียกว่าอารมณ์ของธรรม อารมณ์ของกิเลสเกิดจากใจดวงเดียวกัน เราบังคับไว้ จิตใจเราเมื่อบังคับ สติบีบเพราะกิเลสมันรุนแรง กระแสของมันรุนแรงมาก มันมีแต่อยากจะคิดอยากจะปรุง ลากเราไป ถูเราไป เราบังคับอันนี้ไว้ไม่ให้มันออก มันหนักเราก็หนัก จึงเรียกว่าสู้กัน
ครั้นสู้ไปนาน ๆ สติตั้งไว้ไม่หยุด ครั้นต่อไปค่อยสงบลง อารมณ์อันนั้นที่มันผลักดันออกไปค่อยเบาลง ๆ อารมณ์ของธรรมค่อยขึ้น ทับลงไป ๆ นี้เรียกว่า น้ำดับไฟ ไฟมันเกิดความเดือดร้อนด้วยความปรุงแต่งของกิเลส น้ำได้แก่คำบริกรรมของธรรมนี่แหละ เป็นน้ำดับไฟลงไป สงบ นี่มันก็เห็นแล้วที่นี่ อ้อ สุดท้ายที่มันวุ่น ๆ มันก็สงบลงได้ ต่อไปมันก็รู้จักวิธีปฏิบัติกัน ถ้าวันไหนจิตใจยุ่งเหยิงวุ่นวายมาก ๆ วันนั้นต้องหนักในการปราบมัน เราจะว่าหนักเป็นภาระธุรังที่ว่าให้เกิดความท้อถอยน้อยใจในการปราบกิเลสนี้ นั่นเรียกว่ากิเลสมันหลอกเอานะ มันหนักเราต้องหนัก อย่างงั้นถึงได้นะ
อารมณ์อันนั้นมันหนัก ทางอารมณ์ของธรรมเราที่จะต้านทานกันต้องหนัก สร้างขึ้นมา ต่อไปมันก็สงบได้ ๆ นี่เราเริ่มต้นเป็นอย่างงั้น ให้รู้เรื่องของการปฏิบัติต่อจิตใจของตัวเอง ซึ่งมีทั้งข้าศึกและคุณ คุณนั้นได้แก่ธรรม ข้าศึกคือกิเลส มันอยู่ในใจดวงเดียวกัน เอาธรรมขึ้นมาปราบมันแล้วมันก็สงบตัวลงไปๆ จากนั้นก็สงบเย็น นี่ได้พยานแล้ว เป็นเครื่องดูดดื่มในการทำความเพียรต่อไปได้เป็นอย่างดีโดยลำดับ ต่อไปก็พอฟัดพอเหวี่ยง ถ้าวันไหนกระแสของกิเลสมันรุนแรง วันนี้ต้องได้ใช้กระแสของธรรมอย่างมากทีเดียว เอาให้หนัก ไม่หนักแก้กันไม่ตก เมื่อแก้กันตก มันก็เป็นพยานอันหนึ่งขึ้นมา เอ้า หนักก็หนักมา ทางนี้ก็มีกำลังเหมือนกัน
มันไม่ได้คิดว่าการต่อสู้นี่เป็นภาระทำให้ความหนักหน่วงถ่วงใจ ไม่อยากทำ ไม่อยากปราบกิเลสนะ มันเลยเอา ทางนั้นหนักทางนี้ต้องหนักเพราะเคยได้ประโยชน์จากการทุ่มใส่กันแล้ว ใช่ไหม มันก็หนักทางนี้ สุดท้ายก็ได้อีก การฝึกอบรมจิตใจ อันนี้มันไม่ได้เสมอกันนะ บางรายก็ง่าย บางรายก็ยาก จะยากจะง่ายก็ตาม เราทำงานเพื่อผลประโยชน์แก่เรา อย่างไรจะเกิดเราทำ จะง่ายหรือยากก็เป็นงานเพื่อเรา เพื่อประโยชน์แก่เรา เราต้องทำ เหมือนตาน้ำอยู่ตื้นก็มี อยู่ลึกก็มี ขุดไม่ถอยมันก็เจอ คนที่อยู่ตื้นก็ตื้นไป คนที่อยู่ลึกลงไปก็ลึกลงไป แต่ขุดให้ถึง ขุดไปเรื่อยอย่างงั้น มันอยู่ลึกขนาดไหนก็ไม่พ้นขุดถึงจนได้นั่นแหละน้ำ
อันนี้เรื่องของเรา นิสัยวาสนามีอยู่ลึกอยู่ตื้นต่างกัน เราต้องช่วยตัวเราเองอย่างนั้น เพราะเราหวังประโยชน์จากการช่วยตัวเอง เราหนักเราต้องยอมรับซิ ต่อไปมันก็ได้ผล นี่ละอุบายวิธีการแก้กิเลส มีธรรมพระพุทธเจ้าเท่านั้น นอกนั้นแก้ไม่ได้เลย สามแดนโลกธาตุไม่มีกิเลสอันใดจะกลัว และจะแก้กิเลสได้ไม่มี มีธรรมเท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น อันนี้แก้ได้ตั้งแต่ต้นเรื่อย ๆ เป็นลำดับลำดาไป จนกระทั่งมีกำลังวังชา หนาแน่นขึ้นภายในใจ เพราะอำนาจของธรรมมีมากแล้ว มันก็รู้ขึ้น ๆ เป็นลำดับ กำลังของกิเลสก็ค่อยอ่อนตัวลง ๆ กำลังของธรรมก็หนักขึ้น ๆ เป็นอย่างงั้นนะ
ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นแบบเดียวกันหมดนะ ใครอยากใครง่ายก็อย่าเอามาเทียบเคียงกัน นั่นเป็นอำนาจแห่งอุปนิสัยหรือกรรมของใครของเรา หนักเบามากน้อยต่างกัน ก็ให้ยินดีในกรรมของเรา ในผลของเรา ในนิสัยของเรา จะลึกตื้นก็เป็นนิสัยของเรา เราจะแก้เราให้ได้ นั่น ก็เอาตรงนี้ เหมือนเขาขุดน้ำนั่นแหละ ลึกตื้นก็จะเอาให้ได้น้ำ ก็ได้ การแก้กิเลส การระงับจิตใจของเราให้มีความสุขบ้าง พออยู่ได้ไปได้วันหนึ่ง ๆ ไม่เตลิดเปิดเปิงมาตลอดเวลา อย่างที่เป็นมานี้แล้วเราต้องมีการอบรมจิตใจ ภาวนา ถ้าไม่อบรมแล้วมันจะเตลิดเปิดเปิงของมัน ไม่มีฝั่งมีฝา ตายก็ไม่มีกฎมีเกณฑ์ ไม่มีที่เกาะที่ยึดเลย ตายเลื่อน ๆ ลอย ๆ ด้วยอำนาจแห่งกรรมที่เราทำอย่างไร มันก็พาไปอันนั้น
ถ้าผู้มีกรรมดี มีหลักแล้ว มีหลักเป็นลำดับลำดา ถึงจะเจ็บไข้ได้ป่วยหนักมากน้อยเพียงไร จิตใจไม่ได้ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปตามนะ นี่ใจมีหลักเป็นอย่างงั้น เดือดร้อนก็เดือดร้อนร่างกาย สังขารของเรามันเจ็บปวดขนาดไหนก็ตาม จิตไม่ได้ปวด จิตไม่ได้ป่วย จิตมีความสงบผ่องใส มันเป็นคนละวรรคละตอน อยู่ด้วยกันกลาง ๆ นั่นแหละ จิตอยู่ในท่ามกลางอก ร่างกายจะเจ็บปวดแสบร้อนขนาดไหน จิตไม่ได้เป็น มันก็เห็นชัด ๆ จนกระทั่งแน่ในตัวเอง มันจะเป็นจะตายอะไร มันก็แน่ในตัวเอง เรื่องขันธ์ห้านี่จะมารุกรานจิตใจให้เขวไม่ได้เลย ไม่มีทาง แน่นปึ๋งแล้ว
อันสุดท้ายก็คือว่า เป็นคนละโลก ถ้าพูดถึงโลกนะ ขันธ์นี้เป็นโลกหนึ่งเสีย วิมุตติธรรมเป็นโลกหนึ่งเสีย วิมุตติธรรมคือจิตที่บริสุทธิ์ ถ้าเรียกว่าโลกก็เป็นโลกหนึ่งเสีย หรือฝั่งก็เป็นคนละฝั่งเสีย ยังไงก็เข้ากันไม่ได้ เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้ เรียกว่า อฐานะ เมื่อถึงขั้นนี้แล้วประจักษ์อยู่ในตัวเอง จะเป็นจะตายเมื่อไรก็เห็นแต่เรื่องของขันธ์มันดีดมันดิ้น มันจะระงับดับลงไปเมื่อไรก็ดูมันอยู่อย่างงั้น เมื่อมันไปไม่ได้เหรอสลัดปุ๊บเดียวไปเลย เพราะจิตไม่ได้เป็น มันเป็นแต่ขันธ์ สภาพของมันอ่อนตัวไปยังไง ๆ หือ จวนจะไปแล้วเหรอก็รู้ จะหมดสภาพแล้วเหรอมันก็รู้ แล้วก็ดีดเอง
พอพูดอย่างนี้ เราก็มีตัวอย่างอันหนึ่งที่ให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังบ้างพอเป็นคตินะ คือเวลาทุกขเวทนามันสาหัส ก็รู้ว่าสาหัส แต่ยังไงมันก็เป็นคนละโลก ว่างั้นเถอะน่ะ มันเป็นอฐานะแล้วที่จะมาเอาฝั่งนั้นฝั่งนี้มาติดกันนี้ไม่ได้ละ มันเป็นคนละฝั่งแล้ว ทีนี้เวลามันเป็นมาก ๆ ถึงขั้นจะไปเลยนะนี่นะ นี่พูดตามสัดตามส่วน เราเคยยับยั้งไว้หลายหนนะ ไม่งั้นตายไปนานแล้ว คือปล่อยมันก็ไปเลย เมื่อพอรั้งไว้ได้เราก็รั้งไว้ ถ้าหากว่ามันรั้งไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังตาย เอาอย่างงั้นมาพูดนะ เมื่อพอรั้งได้ก็รั้ง รั้งเอาไว้ ทีนี้เวลามันเป็นเข้ามาหนักเต็มที่แล้ว มันจะไปจริง ๆ
เวลาจะไปจริง ๆ มันก็เป็นข้อเตือนอันหนึ่งว่า คนเราถ้ามีสติเป็นนักภาวนาอยู่ดี ๆ ถ้ามีสติดี ๆ แล้ว เวลาจะตายสติดีอยู่อย่างงั้นแล้ว ทุกขเวทนาในร่างกายทั้งหมด จะเรียกว่า เหลือกำลังของคนทั่ว ๆ ไป ว่างั้นเถอะ แต่ไม่เหลือกำลังของสติ เวลามันจะตายจริง ๆ ความทุกข์ทั้งหมดในสกลกายของเรานี้ มันจะหดเข้ามาภายในอก ความทุกข์ทั้งหมดหนักมากขนาดไหนก็ตาม มันจะหดเข้ามา ทางพื้นนี้ก็หดเข้ามา ข้างบนก็หดเข้ามา ทางนี้ก็หดเข้ามาพร้อมกันเลย เข้ามาอยู่จุดศูนย์กลาง ทีนี้ทุกขเวทนาทั้งหลายที่เป็นแทบว่าจะเป็นจะตายนั้น หมดโดยสิ้นเชิงนะ พอความรู้ที่รับผิดชอบในประสาทส่วนต่าง ๆ นี้หดตัวเข้ามา ประสาทเหล่านั้น ร่างกายเหล่านั้น หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกก็สักแต่ว่าเหมือนท่อนไม้ท่อนซุง ไม่มีความเจ็บปวดแสบร้อนอะไรเลย
พอความรู้สึกนั้นหดตัวเข้ามา ความรู้สึกของจิตนี่หดเข้ามาสู่ส่วนใหญ่คือจิต ร่างกายนี้หมด ความทุกข์ทั้งหลายหมดโดยสิ้นเชิง นั่นแหละจิตจะออกเวลานั้นล่ะนะ พอมันเข้ามานั้นถึงจุดนี้แล้ว มันชัดเจนแล้วจะไป หดเข้ามาหมดแล้ว ความรับผิดชอบส่วนร่างกายต่าง ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กายนี้ ไม่มีคำว่าหนวก ว่าบอด มันเป็นท่อนไม้ท่อนฟืนเสมอกันหมดในร่างกายของเรา เหลือแต่ความรู้ที่หดตัวเข้าไปก็เหลือตั้งแต่ความรู้อันนั้นอยู่เท่านั้น นี่เรียกว่า ๙๙% พอเข้าไปถึงนี้แล้ว ความทุกข์ในร่างกายทั้งหมด หมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ หูหนวกตาบอดเลย เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน ทุกข์ทั้งหลายดับโดยสิ้นเชิง เหลือแต่ความรู้
ทีนี้ถ้าไม่รั้งเอาไว้ อันนี้ดีดพับเดียวไปเลย นั่นเรียกว่า ร้อยเปอร์เซ็นต์ตาย ถ้าพอรั้งได้รั้งเอาไว้ พอรั้งเอาไว้แล้วความรู้นี้มันก็ซ่านออกมาอีก คือซ่านออกมาส่วนล่างมันก็ลงไปของมัน ส่วนข้างบนก็ขึ้น ส่วนนี้ก็ขึ้น พอความรู้อันนี้ซ่านออกไปเท่านั้น ทุกขเวทนาก็เป็นไปตามกัน แล้วเจ็บปวดแสบร้อนเหมือนก่อนที่จวนจะตายนั่นแหละ มันก็มีความเจ็บปวดเหมือนเดิม เป็นอย่างงั้นนะ แต่เวลามันจะไปจริงๆ มันดับหมด นี่ถึงรู้ได้ชัดเจนว่าจิตเป็นยังไง คือจิตนี้ไม่ตายเลย อะไร ๆ หมดความหมายแต่จิตนี้จะเต็มสัดเต็มส่วน รู้ชัดเจน จะปิดยังไงไม่อยู่ ไม่ให้รู้ เพราะเป็น อฐานะ จะทำให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้แล้ว ว่างั้นเถอะ
นั่นแหละการฝึกจิต เมื่อได้ถึงขั้นนี้แล้วมันชัดเจนขนาดนั้น นี่พระพุทธเจ้าสอนโลก สอนด้วยความฝึกอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งทุกอย่าง หายสงสัยแล้วจึงมาสอนโลก จึงไม่มีคำว่าผิด สวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุม จากพระญาณหยั่งทราบทั้งหมดเลย อย่างเราตัวเท่าหนูนี่เราก็พูดได้เต็มปาก เราไม่เคยสงสัย ในเรื่องการเป็นการตายของเรา เราจึงไม่ถือว่าเป็นภาระ การห่วงใยนี้ห่วงใยเรื่องโลกเรื่องสงสารต่างหาก เราแก่ขนาดนี้แล้ว เราจะมาห่วงใยตัวเอง แม้มิดหินเม็ดทรายเราไม่เคยมี ก็ใช้ไปอย่างงั้น
เมื่อถึงกาลเวลาแล้วมันก็รู้เอง ปล่อยปั๊บเลยเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรเป็นภาระ ว่าจะเป็นอย่างงั้น จะตายอย่างนี้ วุ่นวี่วุ่นวายทั้งคนผู้จะตาย ทั้งคนที่เป็นญาติเป็นวงศ์ ห้อมล้อมกันอยู่นั้นเลยเป็นบ้าด้วยกันไปหมด เข้าใจไหมล่ะ ผู้นั้นก็ไม่อยากตาย ถึงเวลาแล้วก็ยังไม่อยากตาย ก็ดิ้นอีกแหละ เมื่อถึงกาลเวลาหรือว่ารู้ตามหลักความเป็นจริงเต็มสัดเต็มส่วนแล้ว มันปล่อยไปหมดเลย มันไม่มีอะไรละ เหอ อยู่ก็อยู่มานานแล้ว จะไปเหรอ ไปก็ไปซิ แน่ะ เท่านั้นพอ ไปเลย ไม่มีอะไรที่จะมากระทบกระเทือนจิตดวงนั้นให้ด่างพร้อยหรือให้เสียหายเอนเอียงแม้นิดหนึ่งไม่มี สมมุติเป็นสมมุติล้วนๆ พังลงไปตามสมมุติ จิตเป็นวิมุตติล้วนๆ พุ่งเลย ถ้าจิตบริสุทธิ์เป็นอย่างงั้น นั่นแหละที่นี่เป็นธรรมธาตุ
คำว่า ธรรมธาตุ เป็นอยู่แต่ในจิตในกายนี้แล้ว แต่เมื่อยังมีธาตุขันธ์อยู่ก็เรียกว่าจิตที่บริสุทธิ์เฉย ๆ ความจริงแล้วคือธรรมธาตุนั้นแหละ ตั้งแต่ขณะตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาเป็นธรรมธาตุแล้ว เพราะฉะนั้นธรรมธาตุนี้กับธรรมธาตุของพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงเข้าเป็นอันเดียวกันได้ทันทีทันใด ดังที่เคยพูดให้ฟังเหมือนแม่น้ำมหาสมุทร เวลาไหลมาจากสายต่าง ๆ ยังไม่ถึงแม่น้ำมหาสมุทร ก็เรียกว่าแม่น้ำสายนั้นสายนี้เป็นธรรมดา ใกล้เข้ามา ๆ พอถึงมหาสมุทรแล้ว เรียกได้คำเดียวว่า น้ำมหาสมุทร จะเรียกว่าแม่น้ำนี้เข้ามหาสมุทรแล้วนี้ว่ามาจากสายนั้นสายนี้ไม่ได้เลย เรียกได้คำเดียวเป็นแม่น้ำมหาสมุทร
นี่ฉันใดก็เหมือนกัน คำว่าแม่น้ำสายต่าง ๆ นั่นน่ะ ก็คือพวกสัตว์ทั้งหลายที่บำเพ็ญคุณงามความดีมาโดยลำดับลำดา ผู้พ้นแล้วเรียกว่าถึงมหาสมุทรแล้ว มหาวิมุตติแล้ว ผู้นี้บำเพ็ญมาๆ ใกล้เข้ามา ๆ ก็ยังเป็นสัดเป็นส่วนๆ พอถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มที่แล้วผางเข้ามาในนี้แล้ว ไม่เรียกว่าผู้นั้นผู้นี้ดำเนินมา ได้บารมีมามากน้อยอย่างงั้นอย่างงี้ ไม่มี เข้าถึงมหาสมุทรอันเดียวกันแล้วเรียกได้คำเดียว มหาวิมุตติ มหานิพพาน อันเดียวกันหมด เพราะฉะนั้นบรรดาพระอรหันต์กับพระพุทธเจ้าจึงเป็นอันเดียวกัน คือเป็นมหาสมุทรอันเดียวกันหมด
ท่านจึงไม่ถามกัน ปั๊บเข้าไปนี้ท่านรู้หมดเลย ไม่เคยได้ไปเรียนถามใครก็ตาม ธรรมชาติที่บอกนี้รู้หมดเลย พระพุทธเจ้ามีมากมีน้อยเท่าไรไม่สงสัย พูดใครจะว่าบ้ากันทั้งโลกนั่นแหละ ถ้าพูดตามหลักความจริงของธรรมที่เข้าถึงกันแล้ว ธรรมที่บริสุทธิ์เต็มส่วนเข้าเป็นธรรมธาตุ กับบรรดาพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายนี้บริสุทธิ์ เป็นมหาวิมุตติมหานิพพานแล้ว กับธรรมที่เราเข้าถึงมหาวิมุตติมหานิพพานแล้ว จ้าทีเดียวมันเป็นอันเดียวกันหมดเลย กว้างแคบขนาดไหนมันรู้หมดเลย ทีนี้พระพุทธเจ้ามีมากขนาดไหน ไม่สงสัย
ทีนี้เวลาพูดให้โลกฟังเขาก็หาว่าบ้า เพราะเขาเริ่มฝึกซ้อมบ้ากันตลอดเวลาอยู่แล้ว พอแย็บเข้าไป เขาก็คว้าปั๊บเลย บ้าเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แล้วท่านไม่ใช่บ้าท่านจะพูดหาอะไร ท่านไม่พูด ใครเป็นเข้าไปมันรู้ ไม่ต้องไปถามใครเลย นี่ละท่านว่า สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติจะรู้เองเห็นเองเต็มสัดเต็มส่วนของตนในวาระสุดท้ายด้วยกันทั้งนั้น จึงไม่ต้องถามกัน ระหว่างพระพุทธเจ้ากับสาวกไม่ถามกันเลย เป็นแบบเดียวกัน มันพอดีด้วยกันหมด นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้ามีอยู่ตลอดมา เป็นแต่เพียงว่าถูกกิเลสมันปิดบังหุ้มห่อเอาไว้ แล้วมันก็เอาตัวของมันออกโชว์หลอกโลกหลอกสงสาร มีแต่มันเท่านั้น ไม่ว่าอะไรมีดิบมีดี มีอะไร มีแต่เรื่องของกิเลสดีทั้งนั้นๆ เราจึงหลงเป็นบ้ากับมัน ธรรมมันไม่ให้ดีมันเหยียบเอาไว้ มีแต่ของเลวของมัน พวกส้วมพวกถานเอาออกประกาศลั่นโลก อันนั้นก็ดี อันนั้นก็ดี อะไรผ่านมาที่ไหนดี ๆ ๆ สุดท้ายเมืองในเมืองนอกดีด้วยกันหมด เป็นบ้าด้วยกันหมด พวกเราพวกดีกับบ้า จำให้ดีนะ
กิเลสมันปิดไว้ไม่ให้เห็น ทีนี้ก็ว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ ไม่มีละซี มันปิดไว้หมดแล้ว ทั้ง ๆ ที่ธรรมชาตินี้มีมากี่กัปกี่กัลป์ใครคำนวณได้เมื่อไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ปึ๋งเห็นแล้ว ตรัสรู้ขึ้นมาหลังธรรมชาติเหล่านี้อยู่แล้ว พอตรัสรู้ขึ้นมาก็เห็นแล้วๆ มีอยู่มาตั้งแต่เมื่อไร แล้วพวกเรายังมาลบล้างว่าบาป บุญ นรก สวรรค์ไม่มี แข่งพระพุทธเจ้าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าขนาดไหน แล้วก็จม พระพุทธเจ้าไม่จม พวกนี้พวกจม พวกเก่ง ๆ นั่น เป็นอย่างนั้นนะ
พากันจำเอานะ เรื่องธรรมเป็นของเล่นเมื่อไร ละเอียดสุขุมมากทีเดียว ไม่มีคำว่าต้นว่าปลาย ไม่มีอดีต อนาคต เลิศเลอตลอดเวลา ท่านจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง คือธรรมธาตุอันนี้แหละเที่ยง ไม่มีเคลื่อนไหวไปมา กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา สลายหมดไม่มีอะไรเหลือ ถ้าลงจิตเข้าถึงนี่แล้ว กฎอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีเลย จึงเรียกว่านิพพานเที่ยง ถ้ามีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าถึงอยู่ อะไรก็ตามไม่มีคำว่าเที่ยงทั้งนั้น อยู่ในไตรลักษณ์ทั้งหมด มีแต่นิพพานที่ว่าจิตที่บริสุทธิ์แล้วหมด สมมุติทั้งปวงไม่มีเหลือเลย นั่นละเที่ยง
เดี๋ยวนี้มันก็ค่อยหมดไป ๆ เรื่องโลกเรื่องกิเลสตัณหานี้ แหม เราอ่อนใจเหมือนกันนะ พูดจริงๆ วันนี้เอาข้อนี้ วันนี้พูดเป็นตัวอย่างเป็นครั้งที่สองมาพูดสอนพระอยู่ที่วัดอโศการามบ้างแล้ววันนี้ เราเดินขึ้นไปกราบพระ กราบครูบาอาจารย์ทั้งหลายแล้วก็เดินไป เห็นอุบาสกคนหนึ่ง ผู้ชาย นั่งอยู่บนชั้น ๓ เขานั่งขัดสมาธิภาวนา เขาไม่รู้แหละเวลาเราไป เพราะเราไปเงียบ ๆ เดินไปข้างหลัง เขานั่งภาวนาด้วยความตั้งอกตั้งใจ หลับตานั่งภาวนา เดินไปเขานั่งอยู่นี่ พอมองเห็นแล้วเลยสะกิดพระ พอผ่านจากเขาไปพอสมควรแล้วก็สะกิดพระ นี่เห็นไหมนั่นน่ะ โยมคนนั้นนั่งภาวนาอยู่นั้น นี่เรียกว่าวิธีการของน้ำดับไฟ เราว่าอย่างงี้นะ
น้ำได้แก่ธรรม ระงับความฟุ้งซ่านรำคาญอันแสดงเปลวออกมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้หัวใจ ด้วยการภาวนาเป็นน้ำดับไฟ ระงับเพื่อให้ใจสงบเย็น เราว่างั้นนะ พูดสอนพระ ต่อไปนี้จะไม่มีนะ เวลานี้ยังมีเกาะมีดอน ไปวัดไปวายังมีสถานที่บำเพ็ญบ้างเพื่อความสงบใจ ต่อไปจะไม่มีนะ แม้แต่วัดเวลานี้ไปหาดูสถานที่ใดที่ไปเห็นพระนั่งภาวนาสงบเย็นใจ เดินจงกรม แล้วนั่งสมาธินั้นเห็นที่ไหน พระเป็นเจ้าของของวัด มันน่าจะเห็นอันนี้ก่อนเรายังไม่เห็นใช่ไหม แล้วนอกจากวัดไปแล้วเราจะเห็นได้ยังไง พิจารณาซิ เพราะฉะนั้นจึงบอกว่า นี้นับวันจะมีน้อย ๆ เข้าไป เวลานี้ยังมีอยู่ในวัดในวา มีผู้ทำสมาธิภาวนาเพื่อน้ำดับไฟกิเลสได้อยู่ แล้วก็มีความสุขความสบาย พอซุกหัวนอนได้ ในขั้นเริ่มต้นเป็นอย่างงี้ก่อน
ครั้นต่อไปนี้มันจะไม่มีนะ มันจะมีแต่ฟืนแต่ไฟเต็มโลกเต็มสงสาร ไม่ว่าในวัดนอกวัด ที่ไหนเหมือนกันหมด เพราะกิเลสมันเรืองอำนาจมากเวลานี้ แม้แต่พระเรายังเป็นขอนซุงให้กิเลสไถไปจนแหลก เวลานี้ดูมันชัด ๆ ซิ ดูพระน่ะ ดูทั้งเขาทั้งเรา พระเขา พระเราเป็นยังไง ดูให้ดี ความชั่วของกิเลสมันฝังอยู่ในจิตด้วยกัน เราไม่ได้บวชเป็นพระ เราเป็นฆราวาส ก็ขอนซุงของฆราวาสนั้นแหละ ผู้เป็นพระก็ขอนซุงของพระ รู้บาปรู้บุญเมื่อไร ผู้มันหนามันหนาจริง ๆ นะ อันใดที่ธรรมท่านชมเชยสรรเสริญว่าดี มันตำหนิว่าชั่ว ว่าเลว คอยทำลาย คอยกีดคอยกัน คอยเตะ คอยถีบ คอยยัน คอยเผาอยู่ตลอดเวลา นี่ตัวร้ายกาจที่สุด พิจารณาซิ
มันเป็นได้ทั้งพระทั้งฆราวาส เป็นแบบนี้น่ะ เป็นได้ด้วยกัน นี่แหละกิเลสมันหยาบ มันอยู่ในร่างใดก็ตาม มันก็ถือร่างนั้นเป็นเครื่องมือของมัน อยู่ในร่างของพระมันก็ถือพระเป็นเครื่องมือก่อกวนบ้านเมือง ที่เขาสร้างคุณงามความดีเป็นประโยชน์แก่ตนเองและส่วนรวม มันก็ไปแหย่ ไปทำลาย ไปเตะ ไปถีบ ไปยัน คนชั่วมันทำความดีไม่ได้ มันต้องทำแต่ความชั่ว เขาทำความดีขนาดไหน มันถือว่าเป็นข้าศึกของมัน ซึ่งเป็นคนชั่วตลอดไป เพราะฉะนั้นเรื่องการทำดีทั้งหลายมันจึงมีการขัดการแย้งกัน ทั้งภายนอกที่เป็นส่วนรวม ทั้งภายในที่เป็นในหัวใจของเราเอง
ในหัวใจของเราเวลาจะสร้างคุณงามความดี ไอ้ตัวกิเลสตัณหาตัวเลว ๆ นั้นมันมาคอยถีบคอยยันนะ คอยเตะ คอยทำลาย จะนั่งภาวนา โอ๊ยเหนื่อยแล้ว เอาแล้วนั่น เริ่มแล้ว พอนั่งภาวนาไปเราดึงเข้ามา กิเลสลากไป ๆ โอ๊ยไม่ไหวแล้ววันนี้ แน่ะ กำลังไม่พอแล้ววันนี้ นอนเสียก่อน เรียกว่าเขาสั่งสมกำลัง เข้าใจไหม พอตื่นขึ้นมาแล้วเหมือนหมูเหมือนหมาตัวหนึ่ง ไม่มีธรรมในใจเลย เป็นยังไงกิเลสหลอกคน นี่เราพูดถึงเรื่องธรรม ของดีคนชั่วจะไม่เห็นเป็นของดีเลย จะเห็นเป็นของชั่วช้าลามก เห็นเป็นฟืนเป็นไฟ เห็นเป็นข้าศึกศัตรูทั้งนั้น เพราะฉะนั้นจึงต่อจึงต้าน จึงทำลายกันได้ลงคอคนเรา
ถ้าหากว่ามีความรู้สึกตามทางเดินหรือตามธรรมของพระพุทธเจ้าจริง ๆ แล้ว ยิ่งเพศของพระด้วยแล้ว จะเป็นเพศที่รู้ได้ชัดเจนในเรื่องบาปเรื่องบุญ คุณ โทษ ประโยชน์หรือไม่ใช่ประโยชน์ต่าง ๆ หิริโอตตัปปะประจำใจ จะไม่ทำได้เลย ผู้ที่ทำดีมีแต่อนุโมทนาสาธุการให้ท่านทำดีมาก ๆ แม้เราทำไม่ได้ก็ขออนุโมทนากับท่านผู้ทำได้ เป็นอย่างนั้นสำหรับจิตของคนที่มีธรรมในใจ แต่จิตที่มีตั้งแต่บาปแต่กรรมเต็มหัวใจแล้ว มีแต่เป็นข้าศึก ผู้ทำดีมากน้อยเพียงไร ถือว่าเป็นข้าศึกต่อตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ตัวเองเป็นข้าศึกตัวเองพอแล้ว ยังไม่พอ ยังไปกว้านที่อื่นเข้ามาเผาตัวเองอีก มันเป็นได้อย่างนั้น พากันพิจารณาก็แล้วกัน
เราพูด เราสลดสังเวชจริงๆ นะ เพราะเราช่วยโลก เราช่วยด้วยความบริสุทธิ์ใจ เราไม่มีเกี่ยวข้องอะไรกับใคร เช่นอย่างว่า ความแพ้เราก็ไม่มีในหัวใจของเรา ความชนะเราก็ไม่มี ความได้ ความเสีย ได้เปรียบ เสียเปรียบ เราไม่มี ไม่มีทั้งนั้น ๆ มีแต่ความเมตตาธรรมล้วน ๆ เป็นศูนย์กลาง ๆ ๆ วางไว้ตลอด แสดงออกตามนั้น หนักเบามากน้อยตามแต่ที่ควรจะแสดงออกในแง่หนักแง่เบาซึ่งเป็นธรรมล้วน ๆ เหมือนกันหมด เราไม่มีอะไรกับใคร เราไม่อยู่ในวงกรณีทะเลาะวิวาท วงกรณีหมากัดกัน ธรรมเหนือแล้ว แสดงออกมาลงมาให้รู้จักผิด ถูก ดี ชั่วประการต่าง ๆ ให้แยกกันไป ถ้าเป็นหมากัดกันก็ให้ต่างคนต่างจับขาลากมันออกไปคนละทิศละทาง ต่างคนก็จับหัวมันไสออกจากกันไปอย่าให้มันกัดกัน เป็นคน เป็นพระ เป็นเณร มากัดกันยังไงไม่ใช่หมา ให้จับขามันออกไป
เราไม่ได้อยู่ในวงกรณีพิพาทของหมากัดกัน ธรรมะนี้เป็นธรรมของพระพุทธเจ้า เหนือตลอดเวลา มาชี้แจงแสดงเหตุผล เหมือนกับว่าไล่หมาอย่าให้กัดกัน ตัวไหนที่เจ็บที่ปวด ไล่ออกไปแล้วเอายาใส่ให้มันเสีย อย่าไปยุให้มันกัดกันอีก อย่างงั้นต่างหาก เพราะฉะนั้นเราจึงสลดสังเวชนะ การช่วยชาติบ้านเมืองคราวนี้มีอุปสรรค มีอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่แสดงขึ้นมาอยู่ตลอดเวลา ก็ไม่พ้นที่จะกระทบกระเทือนถึงพี่น้องชาวไทยด้วยกัน และเราผู้พาดำเนินนี้ก็ต้องได้รับทราบทุกอย่าง ถึงจะไม่กระทบกระเทือนจิตใจของเราให้หวั่นให้ไหวก็ตาม เราพูดตรง ๆ สิ่งเหล่านี้มากระทบไม่ได้ มันอยู่ในแดนสมมุติ ที่จะทำจิตใจเราให้ไหวไปตาม ไม่มี บอกว่าไม่มีเลย สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ ว่างตลอดเวลา
นี่แยกตัวออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องโลกเรื่องสงสารต่างหาก จึงได้มีการแนะนำสั่งสอน ถึงเรื่องมันทะเลาะเบาะแว้ง ผู้สร้างความดีสร้างแทบเป็นแทบตาย ทั้งบ้านทั้งเมือง ผู้ที่คอยทำลายมีแต่เรื่องทำลายโดยถ่ายเดียว หาความดิบความดีพอที่จะไปเป็นที่ระลึกอนุโมทนาบ้างไม่มีเลย อย่างนี้มันเลวขนาดไหน ถ้าเป็นคนเลวขนาดไหน ถ้าเป็นพระพระเลวขนาดไหน เลวยิ่งกว่าเปรตกว่าผีไปอีก ก็คือคนพวกนี้ เปรตพวกนี้ พระพวกนี้เอง พิจารณาซิ ถ้ามีอรรถมีธรรมแล้วจะไม่ทำ ทำไม่ได้ คนไม่มีธรรมเท่านั้น มีตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ ถือไฟนั้นว่าเป็นของดิบของดี จึงเอาไฟไปหาเผาก็มี และมันก็มาเผาเจ้าของนั่นแหละ
ไปเผาใครก็ตาม มันไม่ไปไหนนะความชั่ว เราทำลงไปก็มาหาเรานี้ เราว่าเราชนะ ชนะตั้งแต่ลมปาก แต่เรื่องกรรมที่เราไปทำนั้นมันชนะเราแล้ว เผาหัวใจเราแล้ว นี่เราก็อดไม่ได้เหมือนกัน เราพูดจริงๆ ตามความสัตย์ความจริง เพราะเราไม่มีส่วนอะไรกับใครในสามแดนโลกธาตุนี้ เราไม่มี ไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องเลย มีแต่ความเมตตาสงสารช่วยโลกมาจนกระทั่งบัดนี้ ถึงขนาดที่ได้ชี้นิ้วขึ้นมาเลยว่า บรรดาพี่น้องทั้งหลายที่นำสมบัติมีคุณค่ามีราคาขนาดไหน ออกมาจากความรักความหวงแหนของตน ถอดออกมาบริจาคเพื่อชาติไทยของเราด้วยความรักชาติของตนนั้น มีจำนวนมากน้อยเพียงไรที่ผ่านเราซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง
ถ้าธรรมดาแล้ว ไม่รั่วไหลแตกซึมไปมาก ก็น้อยต้องมีเป็นธรรมดา แต่สำหรับเราชี้นิ้วเลย บาทเดียวก็ไม่มี ฟังซิน่ะ อาจหาญขนาดนั้นน่ะที่เราทำต่อโลกด้วยความเมตตา และความบริสุทธิ์ของเราก็เต็มเหนี่ยวอย่างนั้นด้วย ใครจะมาว่าอะไรเราจึงไม่สนใจ เขาจะว่ายังไงก็ว่าไป การทำเป็นเรื่องของเราที่จะทำประโยชน์ให้โลก เอา ทำลงไป ถ้าเป็นความเสียหายแล้ว โลกก็ไม่ควรที่จะได้รับประโยชน์ดังที่เห็นมาเป็นลำดับจากการช่วยเหลือของเรา ใช่ไหมล่ะ นี่ก็เห็นกันอยู่ประจักษ์ เมื่อวานนี้ก็ไปมอบทองคำตั้ง ๕๐๐ กิโล แล้วดอลลาร์ตั้ง ๓๐๐,๐๐๐ เป็นยังไง เป็นมงคลไหม นี่พาพี่น้องทั้งหลายทำเพื่อเป็นมงคลแก่ชาติไทยของเรา มันเสียหายไปตรงไหน
ผู้ที่ไม่ทำอะไรเลย คอยแต่จะเอาฟืนเอาไฟไปเผาคนที่ทำดีทั้งหลายให้แหลกเหลวเป็นจุณวิจุณไปเลย นั้นน่ะเป็นผู้ที่เลวมากที่สุด ทำไมจึงยกยอว่าตัวเป็นของดีอยู่ มันเลวขนาดไหนมนุษย์เรา ถ้าคนธรรมดาจะทำอย่างงั้นไม่ได้ ถ้าไม่ใช่คนที่เลวจนดูไม่ได้แล้ว ทำได้ทุกอย่างคนที่เลวแล้ว นี่เราพูดถึงเรื่องเรารู้สึกอิดหนาระอาใจเหมือนกัน ถ้าแยกออกมาอย่างนี้รู้สึกอิดหนาระอาใจ แต่เมื่อแยกไปอีกอันหนึ่ง อ๋อ ดีกับชั่วมันก็มีอยู่ด้วยกันในโลกในสงสาร มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ไปตื่นมันหาอะไร แยกปั๊บทันทีเลย เอ้า ทำดีทำไป ผู้ทำชั่วมันก็ทำไปมาตั้งกัปตั้งกัลป์ มันก็มาอย่างงี้ ผู้ทำดีทำไป ผู้ทำชั่วทำไป สถานที่อยู่ที่จะได้เสวยกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่กับทุกคน
เพราะฉะนั้นนรกจึงไม่มีคำว่าจน สวรรค์ พรหมโลก นิพพานจึงไม่มีคำว่าจน นรกกี่หลุมก็ไม่จน กำเนิดของเปรตของผีต่าง ๆ ไม่จน ใครทำสมควรที่จะได้รับกรรมประเภทใดจะเป็นขึ้นมาทันที ๆ โดยไม่มีอะไรปิดบังไว้ว่า ที่มันเต็มแล้ว ไปแล้วกลับมา เช่นไปเข้าคุก เรือนจำเต็มแล้วเข้าไม่ได้ กลับมาอยู่สบาย ๆ ไม่เคยมี ใช่ไหมล่ะ อันนี้แบบนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน ก็เหมือนกันอย่างนั้น นี่เป็นกรรมของใครของเรา ใครอยากทำอะไรก็ให้ทำลงไป เรื่องนี้พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้วทุกพระองค์ ทุกกระเบียดไม่มีเคลื่อนคลาดจากกันเลย ตรงเป๋ง ๆ เลย
นี่เราจะเชื่อได้หรือไม่ได้ให้พิจารณานะพี่น้องทั้งหลาย องค์ศาสดาองค์เอกมาสอนโลก หลุดพ้นจากทุกข์ได้มากขนาดไหน ไอ้พวกกิเลสตัณหามันสอนใครให้ได้หลุดพ้นจากทุกข์ มีแต่ลากลงให้จม ๆ ถ้าเป็นของดีตำหนิว่าชั่ว ถ้าเป็นของชั่วชมเชยว่าดี นี่เรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น เรื่องของธรรมดีบอกว่าดี ชั่วบอกว่าชั่ว ควรแก้ แก้ ควรถอดถอนควรถอดถอน ควรส่งเสริมให้ส่งเสริม ท่านสอนอย่างนี้ เราก็ดำเนินไปตามนั้น ลูกชาวพุทธจำให้ดีทุกคนนะ ไม่งั้นจะตายจมไปด้วยความชั่วช้าลามก ที่มันมีอำนาจมากครอบโลกธาตุเวลานี้ ยิ่งหนาแน่นมาก
อย่างที่ว่าผู้ชายคนที่เขานั่งภาวนา นั่งภาวนาเป็นน้ำดับไฟ เขาภาวนาด้วยธรรม ให้จิตใจที่ฟุ้งซ่านวุ่นวายด้วยกิเลสนั้นระงับดับลง เราก็บอกกับพระที่ไปด้วยกัน นี่ดูเอาซิ นี่ยังมีอยู่นะ ในวัดในวา ในสถานที่บำเพ็ญความสุขความดี ยังมีอยู่ ต่อไปนี้จะลดน้อยลง ๆ ๆ ๆ ดีไม่ดีไม่มี แม้กระทั่งวัดก็จะไม่มี อำนาจของกิเลสจะกลืนไปหมดๆ เป็นอาหารของกิเลสอย่างโอชาทีเดียว หมดเลย ว่างั้นนะ เวลานี้เรายังมีโอกาสอันดีงาม พระพุทธเจ้าก็เท่ากับยังทรงพระชนม์อยู่นั้นแล คือธรรมและวินัยนั้นแลเป็นศาสดาของพวกเราทั้งหลายเวลานี้ ไม่ได้สูญหายไปไหน
เอ้า นำมาเทิดทูน นำมาปฏิบัติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แล้วระลึกถึงธรรมถึงวินัย อะไรผิดอะไรถูก อยู่กับตัวเสมอแล้วเท่ากับเราตามเสด็จพระพุทธเจ้าติดตัวไปเลยๆ นี่ผู้มีศาสดา คือผู้มีหิริโอตตัปปะภายในจิตใจ ถ้าไม่มีหิริโอตตัปปะจะไปเอาพระพุทธเจ้ามาจากภูเขาลูกไหน กี่พระองค์ก็เป็นของเศษเดนไป ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะคนนั้นหมดค่าหมดราคาแล้ว ให้เอาพระพุทธเจ้า คือธรรมของพระพุทธเจ้า เข้ามาสถิตไว้ที่ดวงใจของเรา นี้ละฝากเป็นฝากตายได้ไม่สงสัย กิเลสฝากมันไม่ได้นะ มีแต่มันหลอกลวงให้หลงไปตามมัน และจมไปๆ ด้วยกันนั่นแหละ
เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ เหนื่อยแล้วนะ พูดไปพูดมาก็เหนื่อย มันหากไปของมันเองนะ เลยเตลิดเปิดเปิง เหนื่อยถึงรู้นะ ความเหนื่อยกระตุกเอา ไม่งั้นมันยังจะไปอีกนะ
(ม.ร.ว.ทองศิริ ทองแถม : ญาติโยมเขาช่วยงานศพหมู ๗๐๐,๐๐๐ บาท ซื้อ ดร้าฟท์มาถวายหลวงตา) อ๋อ นี่ละอย่างนี้ มันไม่มีนะว่าจะมาเข้าหลวงตาบัว ถวายเป็นของหลวงตาบัวจริงอยู่ แต่เวลาหลวงตาบัวออกทำประโยชน์ไม่มีคำว่าหลวงตาบัว เลยหมด ถึงไหนถึงกันตลอดมาอย่างนี้ พี่น้องทั้งหลายจำไว้นะ เราจึงไม่มีอะไรเป็นของเรานะ เพราะได้มาปั๊บนี้มันวิ่งแล้ว ตั้งแต่มันยังไม่มีมันยังวิ่งอยู่แล้วที่จะให้ แต่มันไม่มี จนซะก่อนนะ พอมีได้มากน้อยผึงออก
สมบัติของพี่น้องทั้งหลายที่มาบริจาคอุทิศส่วนกุศลในงานเผาศพหมูเรานั่นนะ ภรรยาของคุณชาย หม่อมราชวงศ์ทองแถม ทองศิรินั่นแหละ (ทองศิริ ทองแถมครับ) เออ เอาละมันผิดไปไปเลย อย่าไปยุ่งกับมัน ที่เอามาบริจาคนี้นะ รวมมานี้ทั้งหมด บรรดาปัจจัยทั้งหลายที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคมา รวมแล้วเอามาบริจาคนี้ทั้งหมด นี้เราก็จะทำประโยชน์ต่อไป ให้อนุโมทนาไว้อย่างแน่นอน เป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะเราเคยปฏิบัติอย่างนี้มาอยู่แล้วนะ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้
เทศน์วันนี้ก็ดูเหมือนไม่ถึงชั่วโมง (๔๕ นาทีได้ครับ) เออ คงจะได้ระยะ ๔๕ แต่ว่ามันก็มีเร่งบ้างนะ ถ้าเร่งเนื้อธรรมมันก็มาก แต่ถ้าเร่งมันเหนื่อยนะ ถ้าพูดเอื่อย ๆ ธรรมดานี้ก็ไปได้นาน แต่ถ้าเร่งแล้วมันก็เป็น นี่ละฟังเอาสิเสียงธรรมเป็นอย่างงั้นนะ คำว่าเร่ง ไม่เร่งนั้นน่ะ ธรรมนี้เป็นจุดศูนย์กลาง บรรจุไว้ที่หัวใจ ที่ควรจะออกมากน้อยนั้นจะออกจากหัวใจ ถ้าควรจะออกขนาดไหน เรียบ ๆ ธรรมดาก็เรียบ ๆ ธรรมดา เรื่อย ๆ ๆ ธรรมดา ถ้าควรจะออกหนักขนาดไหนจะออกเป็นพักเป็นตอน ถ้าหนักมากปั๊บปึ๋ง ๆ เลยนั่น ธรรมเป็นอย่างนั้น
นี่ละที่คนเขาคาดคะเน หรือด้นเดาเกาหมัด เกาหมัดมันถูกหลังหมาก็ไม่สนใจกับมัน ได้เกาหมัดก็เอาพวกนี้น่ะ เขาก็ว่าหลวงตาบัวนี้ดุ นี้ที่น่าทุเรศนะ นี่ท่านดุแล้วนะ เนี่ย เทศน์กระแทกแดกดัน ความจริงคือพุ่ง ๆ เข้าใจไหมล่ะ เทศน์ดุ เทศน์ด่า เทศน์หยาบ เทศน์โลน เขาว่า นี่ละคือกิเลส ตัวมันหยาบโลนมันไม่ได้ดูตัวของมันนะ ธรรมะที่จะไปชะล้างหัวมัน มันบอกว่าหยาบโลน เข้าใจไหม นี่ละกิเลสฟังเอา และเขาว่าอย่างงั้นทั้งนั้น เราบางทีรู้สึกมีความสลดเหมือนกันนะ โอ้ เราเทศน์เพื่อประโยชน์แก่โลกด้วยความเต็มอกเต็มใจของเรา
ธรรมะนี้ออกเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วผู้ฟังกลับพลิกไปเป็นภัยต่อตนเอง หาว่าเทศน์ดุ เทศน์ด่า เทศน์หยาบ เทศน์โลนไปอย่างนี้ มันเป็นภัยเข้าใจไหม นี่อดคิด บางทีสลดใจแย็บเหมือนกันนะ แล้วก็จะทำยังไง ผู้ดียังมีอยู่มากนะ ผู้ไม่ดีมีเพียงเท่านี้ เราจะเห็นแต่ผู้นี้ไม่ให้เขาเกิดโทษ ผู้ที่จะเกิดประโยชน์มากมายนี้ทำไมมันไม่เห็น มันก็ออกของมันละสิ ควรออกขนาดไหนมันก็พุ่ง ๆ ของมัน พากันเข้าใจเอานะ เรื่องที่จะเป็นอย่างโลก พูดจริง ๆ ยันเลยเชียว เราไม่มีมาแล้วได้ ๕๐ กว่าปีนี้แล้ว ถ้าหากว่ามันมี มันต้องแสดงออกกิเลส ถ้ามันหมดแล้วจะทำยังไงมันก็ไม่มี จึงเรียกว่าหมดกิเลส ทีนี้มีแต่พลังของธรรมออกพุ่ง ๆ เลย หนักเท่าไรยิ่งพุ่ง ๆ ๆ เลย เรื่องของกิเลสออกเท่าไรเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ โลกนี้เป็นเถ้าถ่านไปหมด มันต่างกันอย่างงั้นนะ ถ้าเรื่องของธรรมเหมือนน้ำดับไฟ
น้ำอะไรหวาน ๆ หน่อยว่ะ (น้ำผลไม้เจ้าค่ะ) พอชมอย่างนี้ว่ามีหวาน ๆ หน่อย วันหลังให้เอามาสักสองโอ่งใหญ่นะ วันนี้ท่านว่าดีนะ ฟาดมาสองโอ่งใหญ่ ฟาดเข้าป่าเลย แทนที่จะกินฟาดเข้าป่าเลย นั่นโอ่งใหญ่ว่างั้น มันเก่งนัก เป็นยังไง พูดอย่างนี้ ใครฟังบ้าง มันเป็นยังไง เจ็บไหม หรือไม่เจ็บ ฟังอย่างนี้มันน่าเจ็บนะ มันเจ็บไหมล่ะ เอามาสองโอ่งปาเข้าป่าเลย นั่นโอ่งใหญ่ ว่างั้น แทนที่จะกินไม่กิน
ใครเคยเห็นไหมในตำราเรื่องพระโมคคัลลาน์ ท่านเข้าฌานสมาบัติ เหาะไปชมหอปราสาทแดนสวรรค์ ถามถึงหอปราสาทราชมณเฑียรที่เต็มอยู่แดนสวรรค์ คนเฝ้าอยู่เจ้าของยังไม่มา นั่นเห็นไหมล่ะ เฝ้าบริษัทบริวารที่มีวาสนาด้วยกันนั่นน่ะ หากเป็นอยู่ในฐานะบริษัทบริวาร หอปราสาทที่สวยงามมากที่สุด สะดุดตาสะดุดใจ ท่านก็ถามอีก นี่เป็นหอปราสาทหรือยังไง ไม่เห็นมีคน อ๋อ เจ้าของยังกำลังสร้างบุญสร้างกุศลอยู่แดนมนุษย์ พวกนี้ได้ล่วงลับมาก่อน ตายมาก่อนแล้วก็เป็นบริษัทบริวารของท่าน มันหากเป็นไปเองก็เลยได้มาเฝ้าหอปราสาทท่าน นายยังไม่มา ลูกน้องตายแล้วยังมารู้จักหอปราสาทของนาย ฟังซิ
เวลาท่านไปแล้วขอเชิญท่านให้รีบขึ้นมา หมายความว่า ให้รีบตาย ให้รีบขึ้นมาอันนี้ยังร้างอยู่เจ้าของยังไม่มา (โยมกำลังเข้ามาถวายปัจจัย) นี่จะรีบไปหรือยังไงกันนี่สองคนนี่ ไม่รีบไป เอารีบมา
วัดอโศการามมันเกี่ยวกับท่านพ่อลี เกี่ยวโยงกันกับเรามาตลอดตั้งแต่เริ่มสร้างวัดนะ เพราะฉะนั้นเราจึงได้มีการเข้าการออกอยู่เสมอ เลยกลายเป็นความเคยชิน เป็นนิสัย อยากเป็นเมื่อไรก็ไป อยากมาเมื่อไรก็มา เพราะเคยมาแล้วตั้งแต่เริ่มสร้างวัด ท่านพ่อลีท่านเกี่ยวข้องเมตตาเราอยู่ตลอดนะ บางทีท่านก็สั่งให้ไปหา จดหมายไปอุดรให้มา งานอะไร ๆ ท่านสั่ง นิสัยท่านพ่อลีเป็นสำคัญมากนะ ท่านหลวงปู่มั่นเราก็ชมเชยอยู่เรื่อย ๆ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาผู้ใหญ่ของท่าน ท่านจะปรารภถึงอยู่เสมอ องค์นั้นเป็นยังไง ๆ แต่ท่านพ่อลีนี้ ท่านชมเชยมาตลอด ท่านพูดถึงเสมอ คือธรรมดาท่านพูดถึงองค์นั้นองค์นี้ไปทั่ว ๆ ไปหมดเรื่อย ๆ ท่านไม่ค่อยพูดแหละ พูดก็เพียงผ่านเฉย ๆ ไม่ได้มีจุดเน้นหนักหรือจุดสำคัญให้เราได้คิด ท่านพูดออกจุดไหนน่าฟัง
บอกว่า ท่านลีเป็นพระที่เด็ดเดี่ยวอาจหาญทุกสิ่งทุกอย่าง เด็ดเดี่ยว จริงจัง ท่านพูดนะ ไม่เหลาะแหละ พูดให้อะไรท่านขึ้นอย่างงี้ก่อน ขึ้นก่อนเลย จากนั้นก็พูดถึงเรื่องนิสัยวาสนาของคนเรา ของพระ ของเณรไป แล้วก็มาเกี่ยวกับท่านพ่อลีเหมือนกัน อันนี้ก็นิสัยวาสนาของท่าน มันเป็นอย่างงั้น ท่านก็พูดให้ฟังเรื่องราวต่างๆ ที่ท่านอยู่จันทบุรี เล่าให้ฟัง ตั้งแต่นั้นมาแล้วเราก็เข้าออก ๆ ตลอดมา จนกระทั่งท่านมรณภาพจากไป ก็เรื่อยมาอย่างนี้ คือก่อนหน้าเราก็เข้าออกอยู่แล้ว เวลาท่านมรณภาพจากไป เราก็ไปมาของเรา
ยิ่งมีรูปครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาหลาย ๆ องค์อยู่นั้น เพราะฉะนั้นเราจึงได้ไป หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ ท่านพ่อลี สามองค์นี้เป็นที่เคารพบูชาอย่างยิ่งของเรา เราก็ไป เอาล่ะงดล่ะ มันหมดจะเอาอะไรมาพูดอีก ก็ต้องหาอุบายออกว่า หมดเวลาบ้าง อะไรบ้าง ความจริงมันหมดธรรม ไม่มีอะไรจะพูด จะให้เปิดออกมาอีก มันหมดก็บอก ว่าหมด ต่อไปนี้จะให้พรนะ
อ่านและฟังธรรมเทศนาหลวงตา วันต่อวัน ได้ที่
www.Luangta.or.th or www.Luangta.com |