เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕
อานุภาพแห่งธรรม
พี่น้องทั้งหลายต่อไปนี้เรามีเร่งขึ้นเรื่อย ๆ เวลานี้เร่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่มีอย่างอื่นอย่างใดแล้วมีแต่จะพยายามหาทองคำเข้าสู่คลังหลวง ให้ได้ตามจุดที่ต้องการคือจำนวน ๑๐ ตัน เวลานี้ได้แล้ว ๕,๕๕๙ กิโลครึ่ง แล้วได้มานี้ก็บวกกันเข้าไปเรื่อย หากว่าทองคำเราพอ ๕๐๐ กิโลในระยะเช่นเดือนเมษานี้ เราอาจจะมอบอีกทีหนึ่งก็ได้ในเดือนเมษา เพราะเวลานี้เราได้ในเงิน ๘๔,๐๐๐ กองของกฐินนั้น คิดเป็นทองคำแล้ว เงินในกฐินนี้จะซื้อทองคำได้ถึง ๓๐๐ กิโล นี่ก็ยังขาดอยู่อีก ๒๐๐ กิโล ถ้าหากว่าถึงเดือนเมษา ๒๐๐ กิโลนี้ได้ก็จะเข้าอีกเป็นระยะ ๆ กรุณาทราบตามนี้เลย
เวลาเราไปกรุงเทพนี้ก็ไปรับงานทั้งนั้นนะ เราไม่ได้ไปสบาย ๆ ไปเพราะมีงาน มีงานนี้แล้วยังมีงานติดงานต่อตลอดไปเลยจนกระทั่งกลับ เราจำไม่ได้ว่าจะมีที่ไหน ๆ บ้าง ก็คือการเทศน์นั้นแหละมีที่ไหน ๆ บ้างจำไม่ได้ เราแน่ใจแต่ว่าถ้าลงในโครงการว่าไปเทศน์ที่นั่นที่นี่แล้ว เรียกว่าแน่นอนแล้วคือเรารับ ก่อนที่จะรับก็มีเหตุมีผลต้นปลายเทียบเคียงทุกสัดทุกส่วน เป็นที่แน่ใจแล้วรับ จากนั้นก็เข้าเป็นโครงการไปเลย เพราะฉะนั้นงานไหนที่ว่ามีในโครงการแล้วก็เรียกว่าแน่แล้ว ๆ เราก็ไปเทศน์ตามนั้น ดูไม่มีเทศน์แต่งานธนาคารชาติเท่านั้น เพราะนี้ไปในงานมอบทองคำ ไม่มีเทศน์ มีแต่การมอบทองคำ
ดอลลาร์เราดูว่าได้ ๒๓๘,๐๐๐ ดอลล์ที่เราจะได้เข้า นอกจากว่ามันมาอย่างปุบปับที่ควรจะได้เพิ่มขึ้นไปกว่านั้นอย่างปุบปับ เราก็เอาปุบปับเลย เรียกว่ากำหนดอย่างไร ๆ ไปแล้วเราลบได้เลย เราเอานี้เข้าทับเลย ถ้าธรรมดาก็จะเป็นอย่างนั้น คือ ๒๓๘,๐๐๐ ดอลล์ ได้กำหนดไว้เรียบร้อย ทบทวนทั้งบัญชีทางโน้นบัญชีทางนี้มาบวกกัน ได้ ๒๓๘,๐๐๐ ดอลล์ แค่นั้นก็เอาก่อน เรานี้รู้สึกจะแน่ใจแล้วเมื่อทองคำถึง ๑๐ ตันแล้ว ดอลลาร์จะได้ ๑๐ ล้านนะ อันนี้เราค่อนข้างแน่ใจ เพราะทองคำมีน้ำหนักมากอยู่ กว่าจะเต็ม อันนี้ตามกันทัน ดีไม่ดีจะเลยไปอีกกว่าก็ได้ แต่จะให้ต่ำกว่า ๑๐ ล้านน่าจะไม่ต่ำ ต่ำไม่ได้ เราจะหาออดเอาตรงนั้นออดเอาตรงนี้จนได้ ๑๐ ล้านจนได้นั่นแหละ
นี่ละชื่อเสียงของเมืองไทยเราจะดังขึ้นเมื่อทองคำได้น้ำหนัก ๑๐ ตัน และดอลลาร์ได้ ๑๐ ล้านนี้ จะดังขึ้นทั่วโลกเลย เราจึงพยายามกันทุกคน อุตส่าห์พยายาม เวลามันจะล่มจะจมเมืองไทยดูหน้ากันไม่ได้เลยนะเมื่อ ๓-๔ ปีผ่านมานี้ เมืองไทยมองดูหน้ากันไม่ทั่วถึง เหือดแห้งไปหมด ดูหน้าเขาก็ไม่อยากดู หน้าเราไม่อยากดู เพราะไม่น่าดูว่างั้นเถอะน่ะ สำหรับหลวงตาเองก็ถึงขนาดร้องโก้ก นี่ละที่ได้ออกช่วยพี่น้องทั้งหลาย เพราะเราไม่เคยคิดไว้เลยในเรื่องอย่างนี้นะว่าจะได้ช่วยบ้านช่วยเมืองอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ เรื่องราวนั้นทราบมาตลอด ทางการบ้านเมืองเขาดำเนินกันยังไง ๆ นี้ทราบตลอด เพราะลูกศิษย์เราอยู่ในกระทรวงไหนก็มีทุกกระทรวง พวกใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ก็ทราบเรื่องราวมาเป็นลำดับ ทราบแล้วก็ควรจะปลงธรรมสังเวชก็ปลงไป ๆ ไม่ได้คิดว่าจะทำการแก้ไขอะไร หรือจะมีส่วนอะไรกับทางการบ้านเมือง มีแต่ทราบไป ๆ ถ้าดีควรชมเชยก็ชมเชยไปภายในใจ ถ้าไม่ดีก็ตำหนิโดยธรรมภายในใจ ก็เป็นอย่างนั้นเรื่อยมา เราก็ไม่เคยคิด
แต่ครั้นอยู่ ๆ มันก็เป็นอย่างนี้แหละมันบันดลบันดาล นี่เราอดคิดไม่ได้ก็คือว่า โรคท้องเรานี้มันจะตายโดยท่าเดียวเท่านั้น มันจะฟื้นขึ้นมาได้ยังไง นั่นซิน่าคิดมากนะ ก็มันรอจะตายอยู่แล้ว แล้วอยู่ ๆ ก็เป็นปาฏิหาริย์ขึ้นมา ยาก็เป็นยาเทวดาแทรกเข้ามาในนั้นขึ้นได้ จึงได้พอพยุงตัวนำพี่น้องทั้งหลายเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เรื่องโรคท้องก็หายขาดมาได้ ๓ ปีนี้ โรคท้องที่เป็นอย่างรุนแรงถึงกับจะต้องตายโดยถ่ายเดียวเท่านั้น มันฟื้นขึ้นมาเต็มสัดเต็มส่วนแล้วเวลานี้ อันนี้ก็น่าคิดอยู่ เป็นดวงชะตาของชาติไทยเราไม่ใช่อะไรนะ ชาติไทยเราเป็นลูกพระพุทธเจ้า แดนแห่งพุทธศาสนาที่ชาติไทย ทีนี้ชาติไทยก็จะพากันจมทั้ง ๆ ที่เป็นแดนพุทธศาสนานี้ก็คงจะสลดสังเวชถึงพระทัยพระพุทธเจ้าจนได้นั้นแหละ มันถึงได้ปุ๊บปั๊บ ๆ แล้วก็ฟื้นขึ้นมา ๆ จนกระทั่งทุกวันนี้ทุกอย่างเป็นที่พอใจเป็นลำดับ ไม่มีที่ว่าจะเสียใจตรงไหน ๆ ที่จะล่อแหลมต่อภัยคือชาติล่มจม เวลานี้ไม่ปรากฏ มีแต่ฟื้นขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความรักชาติ ความเสียสละของพี่น้องชาวไทยเราทุกคน ๆ นั้นแหละ ตั้งแต่ทุคตะเข็ญใจถึงท่านผู้มีเงินจำนวนมากๆ แล้วหนุนกัน ๆ .
ฝนตกก็มีลูกเห็บด้วยนะตกลงมาด้วย เป็นเม็ด ๆ ของเม็ดฝนทั้งหลายด้วย ก็ทำให้น้ำเต็มตามท้องไร่ท้องนา ท้องไร่ท้องนาเราคือคลังหลวง เวลานี้กำลังเต็มตื้นขึ้นมา วันที่ ๑๐ นี้ก็จะเข้า ๕๐๐ กิโล ส่วนดอลลาร์ก็ ๒๓๘,๐๐๐ นี่เป็นความแน่นอนแล้ว จะเข้า หากว่าได้ปุบปับมาระยะนี้ก่อนถึงวันที่ ๑๐ ตอนที่เราไปกรุงเทพฯ หากว่ามีปุบปับมา เราอาจจะสั่งปุบปับเลย แก้นั้นทันทีเลย ถ้าว่าเราเป็นคนพูดเองสั่งเองก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าคนอื่นมันก็ต้องมีอะไรกันใช่ไหม เรามันเป็นอาจารย์ใหญ่ ลูกศิษย์ก็ต้องฟังละซิ อาจารย์ใหญ่พูด ถ้าไม่ฟังเสียงอาจารย์จะฟังเสียงใคร มันก็ยิ่งล้มเหลวใหญ่เลย ฟังเสียงครูเสียงอาจารย์ผิดที่ตรงไหนเสียหายตรงไหน ก็มาพิจารณา พร้อมทั้งความเคารพยอมรับ นั่น
อันนี้สมมุติว่าแก้ แก้เพื่อผลบวกไม่ได้แก้เพื่อผลลบนี่นะ เราคิดมานานเหมือนกัน เกี่ยวกับเรื่องวัดวาอาวาสซึ่งเป็นสถานสำคัญของหัวใจแห่งชาวพุทธเราในสถานที่นั้น ๆ วัดอยู่ที่ไหน ๆ มันอดคิดไม่ได้แหละ วัดอยู่ที่ไหนที่เป็นที่รวมได้เป็นยังไง มันก็เหมือนกับบึง ที่ลุ่มที่ไหนน้ำก็ไหลลงไปที่ลุ่ม ๆ น้ำก็รวมขึ้นที่ลุ่ม ๆ มันเป็นธรรมดา บรรดาครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ที่ไหน ๆ เราดูมาโดยลำดับในปัจจุบันนี้ละ เราไม่ต้องดูที่ไหน ดูเอาปัจจุบันนี้เลย สำหรับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนั้น ยกไว้เกี่ยวกับเรื่องประชาชน เพราะท่านอยู่ในป่าในเขาลึก ๆ เป็นประจำ ท่านไม่ออกมาเลย แต่ประโยชน์อันใหญ่หลวงที่ประชาชนทั้งหลายจะได้ ได้จากพระที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับท่านซึ่งท่านเปิดรับตลอด พระผู้ตั้งใจปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ในป่าในเขา ท่านรับ ๆ ๆ ถ้ามีมากส่งออกไป คนนี้เข้ามาคนนั้นเข้ามา มีแต่พระที่ตั้งใจปฏิบัติล้วน ๆ
นี่ละพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเองนั้น องค์ท่านเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน แต่ลูกศิษย์ของท่านที่ได้รับคำสั่งสอนอันสำคัญ ๆ มาจากท่านนี้กระจายทั่วไปหมด แล้วก็มาตั้งเป็นวัดเป็นวา ปัจจุบันนี้เช่นอย่างหลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว หลวงปู่คำดี หลวงปู่แหวน อย่างนี้ชื่อท่านดังมาเท่าไร ถึงไม่ได้ไปจิตใจมันก็เกี่ยวข้องถึงกัน ๆ อยู่ ทีนี้วัดของท่านเป็นที่ร่มเย็น ใครเป็นนั้นมีแต่ความตายใจ ๆ พร้อมกับความอบอุ่น นี่อำนาจแห่งธรรม เพราะฉะนั้นวัดมีอยู่สถานที่ใด มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จึงเป็นสถานที่ให้ความร่มเย็น ปลงจิตปลงใจของประชาชนได้ทั่ว ๆ ไป
ถ้ามีแต่ชื่อของวัดมีแต่ชื่อของพระเฉย ๆ นั้น ไม่ว่าเขาว่าเรามันเหมือนกัน ตัวเองก็เป็นไฟเผา แล้วจะเอาความชุ่มเย็นให้คนอื่นได้ยังไง เมื่อตัวเองมีความชุ่มเย็นขนาดไหนมันก็แผ่ออกไปเอง ไฟก็ร้อนไปจากตัว น้ำก็เย็นไปจากตัวนั้นแหละ จะไปจากไหน นี่แหละที่สำคัญ วันหนึ่ง ๆ นี้คิด เช่นวันเสาร์ อาทิตย์หรือวันพระอย่างนี้จะคิดประหวัด ๆ ๆ หนักเข้าในวัดในวาตลอด ๆ การทำความชั่วช้าลามกนั้นจะไม่รุนแรง คนเราเมื่อจิตใจใฝ่ธรรมแล้ว ความชั่วย่อมอ่อนตัวลง เพราะใจที่มีกิเลสเข้าเสริมให้เป็นฟืนเป็นไฟนั่นละพาให้ทำความชั่ว เมื่อธรรมเป็นน้ำดับไฟเข้าไปชะล้างกันอยู่เสมอแล้ว ด้วยความมีวัดมีวามีครูมีอาจารย์เป็นที่อบอุ่นตายใจแล้ว จิตใจของคนเราย่อมไม่เดือดร้อน ไม่วู่วาม ไม่เป็นฟืนเป็นไฟโดยถ่ายเดียว มีน้ำดับไฟประจำ
วันหนึ่ง ๆ คิดถึงศีลถึงธรรม ไปทำงานทำการทำมาหาเลี้ยงชีพในแขนงใดก็ตาม จิตใจมีประหวัด ๆ อยู่กับศีลกับธรรม นั่น มันต่างกันนะ อำนาจของธรรมกระจายไป เป็นแต่เพียงว่าใครไม่พูดเฉย ๆ หากรู้อยู่ในใจของตัวเอง เพราะฉะนั้นวัดวาอาวาสหรือครูอาจารย์จึงเป็นแม่เหล็กอันสำคัญ เอ้า ยกตัวอย่างเลย หลวงตานี้เอง มันประจักษ์จริง ๆ จนกระทั่งถึงมากราบเรียนท่าน ท่านก็ไม่ว่าอะไร ก็มันเป็นในหัวใจเราตลอด เวลาอยู่กับท่านก็อบอุ่นแบบหนึ่ง เวลาออกจากท่านไป จิตใจของท่านกับของเรามันเหมือนกับว่าดึงใส่กันอยู่ตลอดเวลา พอหลับตาปั๊บนี่มาแล้ว เอ้า พูดให้มันชัด พอหลับตาปั๊บมาแล้ว ๆ นั่นกระแสของจิตที่ภาวนาได้เข้ามาถึงกัน ภาพของท่านมาแล้วๆ มาแสดงกิริยาอาการต่าง ๆ ให้ฟัง เปิดเสียบ้างวันนี้
นี่ละการภาวนาเห็นกันอย่างลับ ๆ อย่างนี้ แต่ไม่สมควรที่จะพูดก็ไม่พูด นี่ถึงกาลเวลาที่จะควรพูดเดี๋ยวหลวงตาจะตายไปเสียก่อน มันรู้จริง ๆ เห็นกันจริง ๆ อย่างนั้นจะให้ว่ายังไง เวลานั่งภาวนา ถ้าเราลืมหูลืมตานี้จิตมันก็มีของมัน มันก็ดูดดื่มของมันประเภทหนึ่ง ๆ พอเข้าที่ภาวนาปั๊บ หลับตาปั๊บ สำรวมจิตเข้าปั๊บนี้เรื่องจะเข้ามาถึงกัน ก็เหมือนอย่างอากาศ เขาพูดสหรัฐมันก็ยังได้ยินอยู่นี่ พูดที่นี่ยังถึงสหรัฐเข้าใจไหม โลกของเขาก็พอเทียบกันได้กับกระแสของธรรม ก็แบบเดียวกัน ยิ่งกระแสของธรรมยังละเอียดกว่านั้นอีกมากมาย จนกระทั่งมาถามท่าน ก็มันเป็นอยู่ตลอดเวลา ท่านไม่ได้ปฏิเสธ ท่านก็พูดธรรมดาแต่ยอมรับลึก ๆ มันเป็นยังไงเวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ นั่งภาวนาไม่ค่อยเห็นครูบาอาจารย์ ว่าอย่างนี้ละเรา เวลาออกจากพ่อแม่ครูอาจารย์ไป ไปอยู่ที่ไหนก็ตามมันทุกคืนเลย ว่าอย่างนี้เลย เราบอกไม่มีเว้นว่างั้นนะ ทุกคืนเลย
พอหลับตาปั๊บมาแล้ว ๆ อยู่อย่างนั้น ประสานอยู่ตลอดเวลา มันเป็นยังไงอย่างนั้น โอ้ ธรรมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านพูดเท่านั้นไม่พูดมาก ท่านบอก เออ ธรรมก็เป็นอย่างนั้นแหละ ท่านไม่พูดมาก แต่เราเข้าใจเพราะท่านเข้าใจก่อนแล้วนี่นะ นี่ละมันเป็นจริง ๆ แล้วมันจะไม่อบอุ่นได้ยังไง อยู่ที่ไหน ๆ ในป่าในเขาขนาดไหนก็ตาม เครื่องอบอุ่นมันดึงดูดถึงกันอยู่ตลอดเวลา พอหลับตาปั๊บมาแล้ว บางทีมาเตือนข้อนั้นมาเตือนข้อนี้ อันนี้คำเตือนเวลาเห็นก็มีความรู้สึกประเภทหนึ่งของธรรมขึ้นมา เวลาจากท่านไปแล้วภาพที่ปรากฏนั้น ท่านว่ายังไง ๆ เอาอันนั้นมาพิจารณาอีกที อยู่อย่างนั้นเป็นประจำ มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรมเกี่ยวกับท่าน แล้วก็มีกำลังใจที่จะฟัดกับกิเลสตลอดไปอีกเหมือนกัน เป็นเครื่องดูดดื่มอย่างนี้นะ
นี้ฟังเสียพี่น้องทั้งหลาย นี้แหละนักภาวนาท่านเข้าใจว่าธรรมนี้มืดมิดปิดตา ตาบอดหูหนวกไปหรือ หูดีตาดีตั้งแต่พวกบ้าหรือ โรงลิเก ระบำ รำโป๊ ที่ไหนหูดีตาดีไปหมด เรื่องศาสนา เรื่องอรรถเรื่องธรรมมันไม่คอยสนใจ ที่ท่านทำอย่างนั้นเห็นไหม ท่านดูกันอยู่ตลอดเวลา อรรถธรรมทั้งหลายกระจายถึงกันตลอดเวลา นี่ละกระแสของธรรมเลิศเลอ ละเอียดลออยิ่งกว่ากระแสของอากาศที่พาดพิงถึงกันนี่นะ บางทีอยู่ ๆ มาเตือน แล้วแต่ภาพนี้จะแสดงอาการอะไร นั่นละ ธรรมานุภาพ เข้าใจไหม จะเป็นองค์ท่านจริง ๆ มา ท่านก็นั่งภาวนาอยู่ที่วัด เราก็อยู่ที่นี่มันก็เป็นคนละโลกแล้ว แต่กระแสของธรรมเรื่องของธรรมเป็นอย่างนั้นจะให้ว่ายังไง อย่างที่ท่านเคยเล่าให้ฟังในชีวประวัติของท่าน ก็เป็นอย่างนั้นตามที่ท่านเล่าให้ฟัง เรียกว่าภาพของพระธรรมมาปรากฏอย่างนั้นอย่างนี้ แปลกประหลาดอัศจรรย์หลายแบบหลายฉบับ
อันนี้เรื่องเหล่านี้มันก็แบบเดียวกันกับผู้นั่งภาวนาทั้งหลาย เวลาภาพของธรรมปรากฏมันก็เป็นอย่างนั้น นี่ละอานุภาพแห่งธรรม ใครจะไปคาดไปด้นเดาไม่ได้นะเรื่องธรรม เหนือทุกอย่าง อำนาจแห่งกรรมรวมแล้วเรียกว่าธรรม ธรรมดีธรรมชั่ว แน่ะ ธรรมทางฝ่ายดีธรรมทางฝ่ายชั่ว ฝ่ายชั่วแล้วท่านไม่เรียกว่าธรรมแหละ แต่พูดเพื่อเป็นคู่เคียงกันก็ว่าธรรมกลาง ๆ เอาไว้ แยกออกไปก็เป็นดีเป็นชั่ว ธรรมเป็นหลักธรรมชาติ ชั่วก็เป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่ง ดีเป็นหลักธรรมชาติอันหนึ่ง แยกออกไปจึงเป็นดีเป็นชั่ว ใครจะไปด้นเดาคาดคะเนเรื่องกรรม เรื่องวิบากกรรม เรื่องบุญเรื่องกรรมไม่ได้นะ เหนือทุกอย่างเลย คาดไม่ได้ทั้งนั้น ท่านจึงสอนไว้อย่าไปทำ เราคาดหรือเราคิดด้นเดาตามที่เราว่าบาปไม่มีอย่างนี้ เราคิดไว้แล้ว มันมีแต่เมื่อไรนั่นน่ะ เหนือขนาดไหนเหนือเรา เราตัวเท่าอึ่งจะไปลบล้างบาปไม่มีได้ยังไง บุญไม่มีได้ยังไง
องค์ศาสดาทุกองค์ไม่เคยมีพระองค์ใดลบล้าง เหตุใดเราจะเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ไป ลบล้างว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นั่นคือเรืองความจมที่จะฟัดหัวเจ้าของให้จมแน่วลงไป ให้ระวังนะ ให้ฟังเสียงศาสดา อย่าฟังเสียงกิเลสที่เป็นกองต้มตุ๋นมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้วนักหนา จะจมได้นะ ให้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมเสียงพระพุทธเจ้าเป็นเสียงเลิศเสียงเลอมาตลอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ยังจะเลิศเลอต่อไปอีก นี่ละให้พากันฟัง มันอยากทำขนาดไหนก็ตามขึ้นชื่อว่าความชั่ว ให้มองดูศาสดาเสียก่อน ใครจะเป็นผู้ประกัน ศาสดาประกันไว้แล้วว่าการพูดนี้สอนนี้ไม่ผิด ประกันไว้แล้ว เราอย่าฝืนท่าน ท่านบอกว่าผิดอย่างนี้จะฝืน นั่นเอาแล้วนะ แล้วใครจะช่วยได้ ลงศาสดาช่วยไม่ได้เจ้าของจมแล้ว ให้พากันระมัดระวังนะ
เรื่องธรรมนี้ให้ปรากฏในหัวใจเถอะน่ะ สามโลกธาตุนี้มาค้านไม่มีไหวเลย ฟังซิ เหนือขนาดไหน ความรู้ที่เป็นธรรมออกจากหัวใจ จ้าอยู่ในหัวใจนี้มองเห็นอยู่อย่างนี้ ใครจะมาลบล้างว่าไม่มีไม่เห็นไม่ได้เลย ไม่สนใจ ไม่เอาใครมาเป็นพยาน เอาธรรมชาตินี้เป็นพยานเลย กับสิ่งที่รู้ที่เห็นประจักษ์กันอยู่นี่เป็นพยาน สิ่งอื่นใดเป็นพยานไม่ได้ นี่ละให้พากันจำเอานะ ศาสดาองค์เอกทุกองค์มาสอนโลก รื้อขนพวกสัตว์ทั้งหลายขึ้นจากกองทุกข์ เราทำไมจึงจะบืนหาตั้งแต่ความทุกข์ ความลำบากลำบน ตกนรกอเวจี ท่านก็บอกแล้วมันน่าเข็ดหลาบขนาดไหน สัตว์ตกนรกมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว ผู้ไปสวรรค์นิพพานก็มากมายขนาดไหนกี่กัปกี่กัลป์ ไม่เอามาชั่งกันบ้างเหรอมันเป็นยังไง ศาสดาองค์เอกทุกองค์ ๆ สอนแบบเดียวกัน ทำไมเราถึงไม่ยอมเชื่อ มันไม่หนามากเกินไปแล้วหรือเรานั้นน่ะ ให้ถามตัวเองนะ
ถ้ามันยังไม่หนามากให้ห้ามเจ้าของ สิ่งใดไม่ดีอย่าทำ ทำก็ทำลายเจ้าของนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านไม่เสีย มันเสียเราต่างหาก ตกนรกหมกไหม้ก็เรา ไปสวรรค์นิพพานก็คือเรา ท่านพอทุกอย่างแล้ว ให้พากันจำทุกคน ๆ วันนี้ก็ไม่ได้พูดอะไรละ พอหลังจากนี้แล้วเราก็จะออกเดินทางไปกรุงเทพฯ แล้ววันที่ ๑๐ ก็จะได้มอบทองคำ จากนั้นงานก็ต่อเรื่อยแหละเรา ไม่มีเวลาว่างเลย หมุนเพื่อพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศนั่นละ เราพูดจริง ๆ สำหรับเราเองเราไม่มี เราบอกว่าเราไม่มี ไม่มีทุกอย่าง อะไรขึ้นชื่อว่าแดนสมมุติที่จะเข้ามาผ่านหัวใจให้ได้แก้ได้ปลดไม่เคยมี ตั้งแต่กิเลสตัวมหาเหตุที่มันก่อภัยก่อกรรมก่อเวร สร้างกองทุกข์ให้หัวใจนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีพระพุทธเจ้า พระอรหันต์องค์ใดที่ท่านจะแก้เรื่องแก้ราวภายในจิตใจของท่าน ทั้ง ๆ ที่ท่านบรรลุแล้ว อย่างนี้ไม่มี หมดโดยสิ้นเชิง
ท่านจึงบอกว่าสิ้นทุกข์ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว เรียบร้อยแล้วการชำระกิเลสมาถึงยุติ ขั้นกิเลสพังแล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมาพระพุทธเจ้าก็ดี สาวกก็ดีไม่เคยมีพระองค์ใดที่ว่าแก้กิเลสอีก แม้เม็ดหินเม็ดทรายให้เป็นการสร้างความทุกข์ยากในจิตใจของท่าน ไม่มีเลย นั่นละแดนพ้นทุกข์ แล้วพ้นตลอดไปเลย คือว่าเที่ยงตลอดไปเลย กับเราที่จมไปตลอดนี้มันเป็นยังไง มันน่าพิจารณาไหม เอามาแก้ไขดัดแปลงตนเองบ้างซิ ทุกข์เพื่อความสุขเป็นอะไร ทุกข์ด้วยความอุตส่าห์พยายามหาความดิบความดีแก้ไขตนเองนี้ ทุกข์ไปเถอะ ทุกข์นี้ทุกข์เพื่อความสุข แต่ทุกข์สมบุกสมบันไปตามความชอบใจที่เดินตามกิเลสต้อย ๆ นี้ทุกข์ตลอดไป จะไม่มีวันจบสิ้นลงได้ เอาละทีนี้ให้พร ได้เวลาพอดี
โยม หลวงตาคะ ถวายเงินกับยาหอมค่ะ หนูถามนิดหนึ่ง เมื่อกี้หลวงตาบอกเวลานั่งภาวนาหลวงปู่มั่นมาสอน แล้วทำไมเวลาหนูนึกถึงหลวงตา หลวงตาไม่มา
หลวงตา ไม่มายังไง มันนอนหลับมันไม่เห็น กี่ล้าน ๆ หลวงตาบัวมันก็ไม่เห็น ถ้ามันนอนหลับ
โยม ไม่ค่ะ แต่ท่านพ่อลีมา เวลาหนูเข้าตาจน หนูบอกหลวงตาช่วยหนูด้วย แต่ท่านพ่อลีมา
หลวงตา ท่านพ่อลีมา โอ๋ นี่มันอยู่ใกล้วัดอโศการาม มาได้ง่าย ๆ นี่มันอยู่ไกล
โยม หลวงตาก็นั่งเรือบินไปซี
หลวงตา โอ๊ย.กว่าจะไปถึงนั้นตกเหวไปแล้ว เข้าใจไหม กว่าจะไปถึงสนามบิน เอาละ ๆ พอใจ ๆ
โยม ไม่เคยไปหาหนูเลย
หลวงตา คนไปจนจะตายไม่ว่า ยังมาว่าไม่เคยไป
โยม(อินโดนีเซีย) กำหนดไฟเผาร่างกายไหม้ละลายไปแล้ว
หลวงตา นั่นละเรื่องพระธรรม พระธรรมมีหลายประเภท ประเภทหนึ่งเป็นอย่างนี้ เวลาพิจารณาไปจะแสดงเตือนมา บางทีมีคนมาตายอยู่ต่อหน้า คนอื่นตายไม่ใช่เราตายนะ โอ๋ นี่คนตาย แล้วแสดงอาการแปลก ๆ ต่าง ๆ ให้เห็น นี่พระธรรมท่านเตือนให้เรารู้เนื้อรู้ตัวว่า การตายของเขาของเรามันอย่างเดียวกันนี้ เอ้าทีนี้ว่าไป
โยม ร่างกายไหม้หมด
หลวงตา ร่างกายไหม้หมดแล้ว จิตมันรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไหม้หมด แต่จิตนี้ไม่ตายนะ แล้วเราตั้งขึ้นมาใหม่ นี่มันตายมันเป็นอย่างนี้ ถูกเผาไปหมด แล้วมันจะไปเกิดอีก มันจะเป็นอย่างนี้อีก ก็เป็นเรื่องกองทุกข์ตลอดไป จิตมันเห็นโทษก็ถอยเข้ามา ๆ ความละเอียดของจิตจะละเอียดเข้าไป แยบคายเข้าไป เห็นละเอียดเข้าไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าพระธรรมท่านเตือนการภาวนา เอาละนะ เอาอย่างนั้นเรื่อย ๆ นะถูกต้องแล้ว ๆ
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com |