เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑
การประกอบความพากเพียร
คำว่า โลก ย่อมหมายถึงสัตว์ถึงบุคคลเป็นหลักใหญ่ของโลกทั่ว ๆ ไป คำว่า สัตว์ ก็มีทั่วโลกธาตุ ไม่กำหนดกฎเกณฑ์ว่าเป็นสัตว์จำพวกใดชนิดใด แม้แต่นรก สัตว์นรกก็ยังเรียกว่าสัตว์ เพราะยังต้องเป็นผู้ติดผู้ข้อง ยังหลุดพ้นจากความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอันเป็นไปด้วยความทุกข์ความลำบากนี้ไม่ได้ ท่านจึงให้นามว่าสัตว์ สตฺต ก็แปลว่าผู้ยังข้องยังติดอยู่ สิ่งที่ติดที่ข้องนั้นก็ไม่ใช่อะไรนอกเหนือไปจากมหาอำนาจที่ครอบอยู่ภายในจิตใจของสัตว์นั้นแล คือของสัตว์ผู้ที่ติดที่ข้องนั้นแล ไม่ใช่ผู้ใดเป็นผู้ติด ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศวัตถุแร่ธาตุต่างๆ ที่ไม่มีวิญญาณครอบครอง ไม่ได้มีคำว่าติดว่าพ้น เป็นหลักธรรมชาติของตัวเองอยู่เช่นนั้นโดยไม่มีความหมายในตัวเองเลย หรือแม้ใครจะให้ความหมายอย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่เป็นไปตามความหมายของผู้ที่ให้นั้น ย่อมเป็นหลักธรรมชาติของตนอยู่อย่างนั้น โลกจึงหมายถึงสัตว์ถึงบุคคลที่มีใจครองเป็นสำคัญ เป็นหลักใหญ่
ถ้าเราจะพรรณนาถึงเรื่องของโลกของสัตว์ทั่ว ๆ ไปในแดนโลกธาตุนี้แล้ว หาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้เลย เพราะเกินกำลังความสามารถที่จะนับจะอ่านได้ ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ให้นามว่าติดข้อง ๆ อยู่ด้วยกันนี้ ขึ้นชื่อว่าสัตว์ย่อมมีคำว่าติดข้องอยู่เช่นเดียวกันหมด เมื่อเป็นเช่นนั้นทุกข์ที่มีประจำอยู่กับสัตว์ย่อมมีมากน้อยต่างกันเป็นประจำ ที่ว่าไม่มีทุกข์เลยนั้นเป็นไปไม่ได้ ต้องมีทุกข์มากทุกข์น้อยอยู่โดยดี เว้นแต่ท่านผู้ที่สิ้นเชื้อแล้วจึงพ้นจากคำว่าเป็นสัตว์ คือความติดข้องอยู่ในอำนาจของกิเลสที่ว่ามหาอำนาจนี้เสียเท่านั้น ท่านเหล่านี้พ้นไปเท่าไรก็เรียกว่าพ้นทุกข์ไปเท่านั้น
คำว่าโลกนี้มีมานานแสนนาน เราจะนับอ่านว่ามีมาแล้วเท่าไรและจะมีไปอีกเท่าไรนี้ไม่อาจคำนวณได้ เพราะไม่มีคำว่าเงื่อนต้นเงื่อนปลาย จึงเอามาทดสอบหรือทบทวนกันวัดกันไม่ได้ หากว่าไม่ได้ชำระเชื้ออันพาให้หมุนอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจนี้ออกเสียเมื่อไรแล้ว จะต้องเป็นเช่นนี้ตลอดไป ใครจะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม ใครจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัยหรือไม่ก็ตาม ธรรมชาตินี้ต้องเป็นอย่างนี้อยู่โดยหลักธรรมชาติของตนไม่เป็นอย่างอื่น เพราะไม่ใช่วิสัยของธรรมชาตินี้ที่มีอำนาจแทรกสิงและครอบงำอยู่ภายในจิตใจ จะปล่อยให้สัตว์โลกได้รับความสบาย โดยไม่ได้รับความกระทบกระเทือนเลยนั้นเป็นไม่มี ต้องมีอยู่มากน้อยจนได้ ตามกาลตามเวลา ตามวาระที่สิ่งเหล่านี้จะแสดงผลขึ้นมามากน้อย
หากว่าเราจะคำนวณถึงความหลุดพ้นจากธรรมชาตินี้ โดยความรู้สึกสำนึกธรรมดาหรือสามัญสำนึกแล้ว เพียงความต้องการหรือความตะเกียกตะกายของเรา โดยหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ หาเครื่องมือไม่ได้ แต่จะหลุดพ้นไปจากธรรมชาตินี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ เช่นเดียวกับบุคคลที่ต้องการข้ามแม่น้ำมหาสมุทรทะเล ต้องมีเรือมีเครื่องพาให้ข้ามถึงจะข้ามไปได้ ธรรมชาตินี้ก็เหมือนกัน ต้องมีเครื่องข้าม มีเรือคือคุณธรรมภายในจิต เป็นพาหนะเครื่องอาศัยเครื่องเกาะเครื่องยึด
คุณธรรมนี้ไม่มีผู้ใดที่จะสามารถหยิบยื่นให้สัตว์โลกได้ นอกจากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ที่ได้ตรัสรู้ขึ้นมาแล้ว อันเป็นต้นแห่งธรรมเต็มพระทัย แล้วก็ขยายธรรมนี้ออกไป คือออกประกาศศาสนธรรมให้โลกทั้งหลายได้ทราบได้เข้าใจ และประพฤติปฏิบัติตนตามแนวทางที่ท่านแนะนำสั่งสอนหรือโปรดเมตตานั้น อันนี้แลเรียกว่าเราข้ามแม่น้ำมหาสมมุติมหานิยมด้วยเรือคือความดีทั้งหลาย จึงมีทางที่จะข้ามไปได้พ้นไปได้ เช่นเดียวกับบุคคลข้ามมหาสมุทรด้วยเรือเช่นนั้น จะช้าหรือเร็วต้องไปได้ไม่สงสัย
การมาปฏิบัติต่ออรรถธรรมทั้งหลายเวลานี้ ก็เท่ากับเรามาแหวกมาว่ายมหาสมมุติมหานิยมอันเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ฝังอยู่ภายในจิตใจ และมีรสชาติที่แนบสนิท ไม่มีรสชาติใดกลมกล่อมยิ่งกว่ารสชาติของมหาสมมุติมหานิยมที่มีอยู่ภายในจิตใจของสัตว์นี้เลย การที่จะข้ามมหาสมมุติมหานิยม หรือรสชาติแห่งสมมุตินิยมนี้ไปได้ ต้องอาศัยหลักธรรมหรืออาศัยธรรมเครื่องดำเนิน ในเบื้องต้นย่อมต้องมีการต่อสู้กันอย่างหนัก เช่น ความตะเกียกตะกาย ความอดความทน ความฝ่าฝืนความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อถอยอ่อนแอในแง่ต่าง ๆ ซึ่งผลิตขึ้นมาจากกิเลส เข้ามากีดกันหวงห้าม หรือต้านทานเราไม่ให้ก้าวไม่ให้เดินไปได้สะดวกสบาย จึงต้องได้ชำระสะสาง ต้องได้ต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้อยู่ไม่น้อย
หากว่าไม่ได้ชำระสะสาง หรือไม่ได้ต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้บ้างเลย แต่จะเป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมา จะเป็นความสะดวกสบายขึ้นมาโดยลำดับลำดา และหลุดพ้นไปได้อย่างง่ายดายนั้น พระธรรมของพระพุทธเจ้าและความเพียรพยายามของพระพุทธเจ้า ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีทั้งหลายมาก็เป็นโมฆะ พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็เป็นโมฆะ เพราะท่านเหล่านี้มีแต่ความลำบากลำบนทั้งนั้น
ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ความเป็นศาสดาของโลก ทรงตะเกียกตะกายมาเสียมากต่อมาก ไม่มีใครที่จะเกินพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในการตะเกียกตะกายพระองค์เรื่อยมา ตั้งแต่ครั้งปฐมโพธิญาณ คือปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าครั้งแรก นับแต่บัดนั้นก็ก้าวเดินตามเข็มทิศที่ได้ตั้งความปรารถนาเอาไว้ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ต้องอดต้องทน ต้องต่อสู้ต้องตะเกียกตะกายเรื่อยมา เช่นเดียวกับเราเดินทาง ทางราบรื่นก็ต้องไป ทางขรุขระก็ต้องไป ทางยากทางคดทางอ้อมที่ไหนก็ต้องไป ลำบากลำบนแค่ไหนก็ต้องไป เพราะสายทางอยู่ที่นั่นสายทางอื่นไม่มี เพื่อจุดหมายปลายทางก็ต้องไป นี่ก็สายทางที่จะให้ถึงความเป็นศาสดาและความพ้นทุกข์ มีอยู่กับทางดำเนินที่จะทรงตะเกียกตะกายเรื่อยมาทุกภพทุกชาติ จนกระทั่งได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา แต่ละพระองค์ ๆ แห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นความลำบากมากแค่ไหน เรียกว่านับอ่านไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้เราผู้มาประพฤติปฏิบัติ จึงไม่ควรที่จะคิดเอาแต่ผลอย่างเดียวให้ได้ตามความต้องการของตน โดยไม่คำนึงถึงเหตุที่จะบำเพ็ญและตะเกียกตะกายต่อสู้กับสิ่งที่ละเอียดแหลมคม ที่เหนียวแน่นแก่นฉลาดที่สุดคือกิเลสประเภทต่าง ๆ นี้บ้างเลยแล้ว ก็เกินครูเกินพระพุทธเจ้า ถ้ามีแต่ความต้องการเฉย ๆ โดยไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาฝ่าฝืน ทางจะยากลำบากขนาดไหนก็ตามเราต้องก้าวต้องเดินไป อย่างนี้ถึงจะเป็นไปได้
เฉพาะอย่างยิ่งเข้ามาหาตัวเราแต่ละราย ๆ ในปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลประจักษ์ที่จะควรได้รับอยู่เวลานี้ คือเราเองที่พร้อมแล้วในการประพฤติปฏิบัติ เพศก็อำนวย แล้วเราได้ตั้งเข็มทิศทางเดินของเราไว้อย่างไรบ้าง นี่เป็นปัญหาที่เราจะต้องตั้งขึ้นมาถามตัวเอง และก้าวเดินตามเหตุผลที่ว่าถูกต้องเป็นธรรมแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็นความเพียรท่าใดของการแก้กิเลส ถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจ จะยากจะลำบากเพียงไรก็ตาม จะต้องแก้ต้องถอดต้องถอน จะต้องบึกบึนจะต้องอดต้องทน ต้องต่อสู้กันอยู่ตลอดไปไม่มีคำว่าลดละท้อถอย
เวลาพักก็ต้องพัก เช่นเดียวกับการเดินทางหรือเขาเดินทาง แต่พักเพื่อจะก้าวหน้าต่อไป ไม่ใช่พักเพื่อจะนอนจมอยู่ในสถานที่ที่พักนั้น การประกอบความพากเพียรก็เหมือนกัน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าก็จำต้องพัก การพักก็ย่อมมีการหลับการนอนเป็นธรรมดา การขบการฉันนี่เป็นการเพิ่มการเติมกำลังวังชาที่จะก้าวเดินด้วยความพากเพียรต่อไป อันนี้เป็นคู่เคียงกันไปตามโอกาสพอเหมาะสม ไม่ให้เกินเหตุเกินผล เช่น พักก็พักเสียจนจม นอนก็ไม่รู้จักตื่น อันนี้ไม่ใช่พัก ฉันก็ไม่รู้จักอิ่ม ท้องใหญ่โตยิ่งกว่าภูเขา เพราะอำนาจแห่งตัณหาพาให้ท้องใหญ่ท้องโต อย่างนี้ก็ผิดพระประสงค์หรือผิดทางเดินเพื่อความพ้นทุกข์ เพราะฉะนั้นการพักผ่อน ฟังแต่ว่าพักผ่อน พอยังอัตภาพให้เป็นไป มีกำลังวังชาแล้วก็ก้าวเดินด้วยความพากเพียรในอิริยาบถหรือวิธีการต่าง ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่ถอย เวลานอนก็มีหลักมีเกณฑ์อย่างนั้น
ทีนี้เวลาฉันก็เหมือนกัน ไม่ได้ฉันเพื่อความอ้วนท้วนสวยงามดังที่เคยเป็นมาในตัวของเราเองและโลกทั่ว ๆ ไป อันนั้นเป็นเรื่องวิสัยของโลกหากเป็นอย่างนั้นมาดั้งเดิม แต่ผู้ที่จะทรงอรรถทรงธรรมผู้ที่จะถอดถอนกิเลส การขบการฉันการใช้การสอยในสิ่งใด ย่อมมีสติย่อมพินิจพิจารณาในความเหมาะสม ควรหรือไม่ควรมากน้อยประการใดอยู่โดยสม่ำเสมอ จะลดละความพินิจพิจารณารอบตัวอย่างนี้ไม่ได้ แล้วก็ก้าวเดิน
เอ้า เดินจงกรม นั่นก็คือความเพียรในวิธีการของการเดินจงกรม การก้าวเดินนั้นก้าวเดินไปเพื่ออิริยาบถให้สม่ำเสมอ และเป็นวิธีการอันหนึ่งในการประกอบความพากเพียร ที่สำคัญก็คือสติให้แนบให้ติดกันกับความเพียรของตน เราเพียรด้วยเหตุผลกลไกอะไร ให้สติอยู่กับความเพียรในเหตุผลกลไกนั้น ๆ เช่น เรากำหนดพิจารณาอะไร สติต้องแนบสนิทกับสิ่งที่เราพิจารณา เรากำหนดคำบริกรรมก็ให้สติติดแนบอยู่กับคำบริกรรม เราทำความรู้สึกตัวในร่างกายของเรานี้ให้เป็นสัมปชัญญะ ก็ให้มีสติติดกันเป็นแถวเป็นแนวอันเดียวกัน ที่เรียกว่าสัมปชัญญะก็คือสติที่สืบต่อเนื่องกันไม่พลั้งเผลอนั่นเอง
เวลาเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ตามธรรมดาย่อมอยากจะหยุดจะพักจะหลับจะนอน แต่คำว่าความเพียรแล้วต้องเพียร ควรจะต่อสู้ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านี้ประการใดบ้าง เราก็ต้องอดเราก็ต้องทน เช่น เดินจงกรมนาน ๆ อันนี้ก็คือความอดความทนนั่นแล ประการแรกเป็นอย่างนั้น แต่ประการต่อไปที่สติปัญญามีทางก้าวเดินและเป็นตัวของตัวขึ้นมาแล้ว สติปัญญาและความเพียรนั้นย่อมเป็นเครื่องดึงดูดตัวเองไปเอง อิริยาบถทั้งหลายก็ก้าวไปตามนั้น ถึงจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขนาดไหน จิตใจก็ไม่เป็นอารมณ์กับอิริยาบถแห่งการเดินของเรา นี่ก็เรียกว่าความเพียร
เอ้า เดิน ผู้ทำความเพียรด้วยท่าเดินต้องเดิน ถึงจะเหนื่อยจะเมื่อยล้าขนาดไหนก็ให้ทราบว่าเราทำงาน เขาเดินทางเพื่อจุดนั้นจุดนี้ เมื่อยังไม่ถึงจุดหมายปลายทางที่เขาต้องการ เขาต้องฝ่าต้องฝืนต้องอดต้องทนก้าวเดินไปเรื่อย ๆ พักก็เพียงเล็กน้อยแล้วก้าวเดินไปเป็นส่วนมาก คือทำการงานด้วยการก้าวเดิน นี่การประกอบความพากเพียรด้วยวิธีเดินต้องเป็นอย่างนั้น เราอย่าเห็นแก่ว่าพอเหน็ดเหนื่อยบ้างแล้วก็หยุดเสีย ๆ อันนี้มันเป็นเหมือนกับว่าทำเล่นทำเป็นพิธี ทำโดยไม่มีความรู้สึกเห็นโทษในสิ่งที่เป็นโทษมหาโทษต่อหัวใจนี้เลย ผู้ที่เห็นโทษในสิ่งที่เป็นโทษอยู่ในหัวใจนี้ ย่อมจะมีการต่อสู้อยู่ตลอดเวลา การต่อสู้กับความอดความทน กับความพากเพียรพยายามทุกด้านทุกทาง ที่จะให้ก้าวเดินไปด้วยความสะดวก ฝืนทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ต้องเป็นเรื่องที่แนบสนิทติดกันไปเสมอ นี่เรียกว่าเดินจงกรม
ไม่ใช่เดินเพียงชั่วระยะเวลาชั่วโมงสองชั่วโมงเท่านั้นก็หยุด จะกี่ชั่วโมงก็ตามเพราะเราทำงาน เมื่อจะไปไม่ได้แล้วมันก็รู้เองเราไม่ใช่คนตาย เราเป็นคนเป็น ๆ นี้ทำงานอยู่ด้วยการเดินจงกรมชำระกิเลสนั้น มันนานสักเท่าไรเราอย่าไปถือเอาเรื่องเวล่ำเวลามาเป็นประมาณ เพราะกิเลสมันไม่อยู่กับเวลาแต่อยู่กับหัวใจคนต่างหาก ถ้าไปกำหนดเวล่ำเวลา นั้นแหละกิเลสมันจะหัวเราะผู้บำเพ็ญด้วยวิธีการเช่นนี้ เราต้องอุตส่าห์พยายามต้องอดต้องทน นี่เป็นความเพียรประเภทหนึ่งในอิริยาบถเดิน อิริยาบถนั่งก็เหมือนกัน จะลำบากขนาดไหนพิจารณาให้เห็นเรื่องความทุกข์ในกาลที่ควรจะพิจารณา ให้เห็นสัจธรรมจากการนั่งนานนั่งมาก ทุกข์มากเพราะการนั่งเป็นอย่างไรบ้าง ก็ให้ได้รู้ได้เห็นกัน นี่เรื่องการประกอบความเพียรประกอบอย่างนี้
จะเป็นอิริยาบถใดก็ตาม ความเพียรในท่าใดก็ตาม ต้องเป็นท่าต่อสู้ ต้องเป็นท่าที่เหนียวแน่นมั่นคงอยู่ทุกท่าทุกวิธีการ ไม่ใช่ท่าเหลาะ ๆ แหละ ๆ เหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าไปที่ไหน ทั้ง ๆ ที่ตนก็ไม่รู้เลยว่า ความรู้สึกว่าจะเหาะเหินเดินฟ้าที่ออกจากความเพียรไปนั้น เข้าในหลุมกิเลสให้กิเลสต้มตุ๋นเอาเสียจนเปื่อยโดยไม่รู้สึกตัว นี่แหละพวกเราการประกอบความเพียรมันจึงไม่ถึงไหน ไม่เป็นอะไรขึ้นมาได้ ก็เพราะมีแต่จะออกนอกลู่นอกทางอยู่เช่นนี้เอง
ถ้าตั้งหน้าตั้งตาต่อการประกอบความพากเพียรด้วยท่าต่อสู้ จะเป็นอิริยาบถใดก็ตาม เป็นความเพียรจริง ๆ แล้ว ทำไมกิเลสในหัวใจเรากับหัวใจพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่าน ก็เป็นกิเลสประเภทเดียวกัน ความพากเพียรของเราถ้าเข้าแนบสนิทติดกันกับท่านบ้าง หรือใกล้เคียงกับความเพียรของท่านบ้าง ทำไมกิเลสจะไม่ร้อนตัวล่ะ
นี้มีแต่ทำให้กิเลสหัวเราะด้วยการสักแต่ว่า ถ้าว่าเดินจงกรมก็สักแต่ว่าเดิน นั่งภาวนาก็สักแต่ว่านั่ง จะท่ายืนก็สักแต่ว่ายืน ท่าไหนก็ตามขึ้นชื่อว่าท่าความเพียรมันเป็นท่าเหลวไหลอยู่ในนั้น ๆ อย่างนี้จะให้กิเลสร้อนตัวได้ยังไง นอกจากมันจะหัวเราะเยาะเอาตลอดเวลาเท่านั้น ไอ้เราไม่ได้อะไรก็จะได้แต่คำว่าเดินจงกรม คำว่านั่งสมาธิ คำว่าตัวภาวนาอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นความหมายลม ๆ แล้ง ๆ โดยไม่มีเนื้ออรรถเนื้อธรรมแฝงขึ้นมาภายในจิตใจอันเป็นผลประโยชน์จากความเพียรนั้นบ้างเลย อย่างนี้ใช้ไม่ได้นักปฏิบัติ ขอให้ท่านทั้งหลายได้พินิจพิจารณา
การประกอบความพากเพียรของเราที่ไม่ปรากฏผลเวลานี้ เป็นเพราะเราไม่ได้ขุดให้ถึงน้ำที่ควรจะถึง ตาน้ำมันอยู่ลึกอยู่ตื้นขนาดไหนขุดลงไปเถอะ ยังไงก็ต้องเจอน้ำ น้ำย่อมมีอยู่ในแผ่นดินนี้ นี่มรรคผลนิพพานย่อมมีอยู่ในศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้หนีเป็นอื่นไปไม่ได้ ขอให้ขุดลงไปตรงนี้ อริยสัจเป็นสำคัญมากที่จะแสดงตัวให้เห็นประจักษ์ในธรรมทั้งหลายเป็นขั้น ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น จะหนีจากอริยสัจนี้ไม่ได้เลย อริยสัจคืออะไร ก็ต้องทุกข์บ้างล่ะซีคนเรา ไม่ทนกันได้เหรอ ต้องทนพินิจพิจารณาไม่ใช่ทนอยู่เฉย ๆ ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรก็ให้ตามพิจารณา
สมุทัยได้แก่ความคิดความหลอกลวงเรานั้นแหละเป็นสำคัญ เฉพาะอย่างยิ่งหลอกในเวลาเดินจงกรมนั่งสมาธิ ถ้าเจ็บบ้างปวดบ้างก็กลัวแต่จะล้มจะตายไปเสีย หลบหลีกปลีกตัวออกไปเสียก็ว่าตนพ้นภัย อย่างนี้ชาวบ้านเขาก็ทำกันได้ เดินเหนื่อยเขาก็นั่งพักเสีย ยืนนานมันเหนื่อยเขาก็พักเสีย อยู่ในท่าใดที่เป็นทุกข์เขาก็เปลี่ยนท่านั้นเสีย นี่เขาเปลี่ยนได้ โลกเขาก็เปลี่ยนได้อย่าว่าแต่พระเราเปลี่ยนหาที่หลบภัยอันไม่ใช่เรื่องนั้นเลย คำว่าหลบภัยหลบที่ตรงไหน หากพิจารณาดูภัยให้เห็นชัดเจน ไม่ต้องบอกก็หลบได้เรื่องภัย ดีไม่ดีภัยหลบเราด้วยซ้ำไป
การประพฤติปฏิบัติต้องเอาจริงเอาจัง ขณะนั่งภาวนาทุกข์เกิดขึ้นมา ให้จับจุดที่เด่นกว่าเพื่อนนั้นแหละเป็นสนามรบ เป็นจุดที่พินิจพิจารณา เราอย่ากลัวตาย เราอย่าอยากให้ทุกข์นี้หาย ความอยากให้ทุกข์นี้หายเป็นสมุทัย จะทำให้ทุกข์นี้กำเริบเสิบสานมากขึ้นโดยลำดับแล้วถอยกรูดไปไม่รอด เอ้า ทุกข์จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงไรก็เกิดเถิด เรื่องของทุกข์เป็นเรื่องของทุกข์ ไม่อย่างนั้นท่านไม่เรียกสัจธรรม ถึงเวลาตายจะทุกข์ถึงขั้นตายทำไมเราจะทนได้ สัตว์โลกทุกรายทนทุกข์จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแล้วตายไปด้วยกันทั้งนั้น เหตุใดเวลานี้เราไม่ได้นั่งเพื่อตาย เรานั่งเพื่อหาเหตุหาผลในวงสัจธรรม ให้ได้ความจริงขึ้นมาภายในจิตใจของเรานี้ ทำไมเราจะกลัวตาย
พิจารณาลงไปในจุดที่เป็นทุกข์มาก เอ้า หากมีจุดหนึ่งจนได้ในสกลกายของเราขณะที่เรานั่งมาก เช่น กระดูกหัวเข่าเป็นต้น มันทุกข์ที่ตรงไหน ทุกข์จุดไหน ถือเอาจุดนั้นขึ้นมาพินิจพิจารณา เรื่องทุกข์จะหายหรือไม่หายอย่าไปยุ่ง ขอให้ทราบความจริงของทุกข์นี่ว่าอะไรเป็นทุกข์ กระดูกเป็นทุกข์เหรอ พอว่ากระดูกเป็นทุกข์เหรอ จิตจ่อลงไปที่กระดูกตรงที่ว่าเป็นทุกข์นั้นแล สติจ่อลงไปตรงนั้น ความรู้สึกจ่อลงไปตรงนั้นแล้วดูทุกข์ให้ชัดเจนด้วยสติ แยกจากดูทุกข์แล้วดูกระดูกให้ชัดเจนว่ามันเป็นอันเดียวกันไหม ถ้าหากว่าเป็นอันเดียวกันแล้ว คนตายแล้วกระดูกยังมีอยู่นี้มันเป็นทุกข์ไหม เอาไปเผาไฟหรือขว้างทิ้งที่ไหนมันบ่นว่าเจ็บไหม มันไม่ได้บ่นว่าเจ็บ แล้วทำไมว่ากระดูกเป็นทุกข์ล่ะ นี่แยกกันอย่างนี้ เอ้า ทีนี้จิตเป็นทุกข์ไหม ถ้าว่าจิตเป็นทุกข์ ทุกข์นี้ดับไปแล้วจิตดับไปด้วยไหม นั่นแยกแยะให้เห็นชัดเจน
การแยกแยะไม่ใช่เราจะแยกแยะเพียงครั้งหนึ่งครั้งเดียว หากเป็นตะลุมบอนสับสนวนเวียนกันอยู่นั้นด้วยสติด้วยปัญญา จนกระทั่งรู้แจ้งเห็นชัดในอวัยวะที่สำคัญว่าเป็นทุกข์ เช่น กระดูก เป็นต้น และในจิตที่ไปให้ความสำคัญเขาได้แก่สัญญา สำคัญว่านั้นเป็นทุกข์นี้เป็นทุกข์ ย้อนเข้ามาก็คือเราเป็นทุกข์เพราะความทุกข์มาก แล้วแยกแยะกันอยู่อย่างนี้ ดูให้เห็นชัดเจนไม่ถอย เรื่องสติปัญญามีเท่าไรให้ทุ่มลงไปในจุดนั้น ไม่ต้องการความหายไม่หายของเรื่องทุกข์ แต่ต้องการความจริงที่จะปรากฏขึ้นจากการพิจารณาให้เป็นสัจธรรมประจักษ์ใจของเราเท่านั้น นี่คือการพิจารณาเรื่องทุกข์ นี้แลคือการประกอบความเพียร ถึงวาระที่จะควรทำเช่นนี้ก็ควรจะให้มีนักปฏิบัติเรา
อันนี้นั่งก็นั่งอย่างนั้น ตั้งแต่วันบวชมาก็นั่งแบบที่ว่าเถลไถลนั่นแหละ เดินก็เดินแบบเถลไถล จะทำความเพียรในท่าใดแบบใดก็ตาม มันเป็นเรื่องเถลไถลให้กิเลสลากออกไป ๆ วันหนึ่ง ๆ ทำความเพียรไม่ได้เรื่องได้ราว มันจะได้เรื่องอะไรในเมื่อมีแต่เรื่องของกิเลสลากไปถูไปถลอกปอกเปิกทั้งวันทั้งคืน ธรรมะไม่ปรากฏภายในจิตใจเลย เช่น อดทน สติปัญญาไม่ปรากฏในตัวเองแล้วจะหาธรรมความจริงขึ้นมาจากที่ไหน เมื่อทำความเพียรดังที่เป็นมาอย่างนี้จะไม่เห็นอะไรอยู่เรื่อยมาอย่างนี้ แล้วเรายังจะนอนใจทำอย่างนี้อีกต่อไปเหรอ ทำไมจึงไม่พลิกไม่แพลงหาเหตุหาผลหาต้นหาปลาย คุ้ยเขี่ยขุดค้นหาความจริงจากสิ่งที่ปรากฏอยู่นี้ มีทุกข์เป็นต้นบ้างล่ะ มันเป็นยังไงหัวใจของเรานักปฏิบัติ นี่ซิมันถอยหลัง ๆ ถอยลงไปเรื่อย ๆ ทำความเพียรก็สักแต่ว่า ๆ มันหนักอกจะตายแล้วนะผมผู้เป็นหัวหน้านี้
การอธิบายให้หมู่เพื่อนฟังทั้งหลายนี้ ล้วนแล้วแต่ได้สมบุกสมบัน ได้ผ่านเป็นผ่านตายมาแล้วด้วยตนเองทั้งนั้น ไม่ใช่นำมาพูดอย่างโก้เก๋อย่างโอ้อวดเพื่อนฝูงเฉย ๆ นะ เป็นความจริงทั้งเหตุที่บำเพ็ญมาด้วย ทั้งผลที่ประจักษ์ด้วย เป็นสิ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือความเพียรตะลุมบอนกันดังที่ว่านี้แล แม้กิเลสจะหนาแน่นบนหัวใจก็ตามเถอะ ในขณะนั้นจะเบิกกว้างออกหมด ยังเหลือแต่จิตผู้รู้ ๆ อยู่ด้วยความอัศจรรย์ของตนในขั้นนั้นเท่านั้น แล้วลืมไม่ได้ นี่จึงเรียกว่าขุดค้นหาธรรมให้ถึงความจริงของธรรมขึ้นมา
ทุกข์จะทราบชัดเจนว่าเป็นเพียงความจริงอันหนึ่งเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าได้เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใดเลย นั่นจึงว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ทุกข์เป็นความจริงอันหนึ่งเท่านั้น ไม่มีความหมายในตนเองและไม่ไปให้ความหมายแก่ผู้ใด และไม่ได้มีความรู้สึกตนว่าได้ไปให้ทุกข์แก่ผู้ใด เช่น ให้ทุกข์แก่กระดูก เป็นต้น ด้วยความที่เราสำคัญว่ากระดูกเป็นทุกข์ ทีนี้กระดูกก็แยกลงไปอีกเช่นเดียวกัน มันก็สักแต่ว่ากระดูก มีมาตั้งแต่วันเกิด แม้ทุกข์นี้จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น กระดูกก็มีอยู่แล้ว เวลาทุกข์นี้ดับไปกระดูกก็ไม่เห็นดับไปด้วย กระดูกก็เป็นกระดูกอยู่นั้น อันนี้ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง
เมื่อเราพิจารณาแยกแยะวนไปเวียนมาเพื่อหาความจริงอยู่เช่นนี้ ทำไมมันจะไม่ย้อนเข้าไปหาจิต เพราะจิตแท้ ๆ เป็นผู้พิจารณา สัญญาที่ออกจากจิตแท้ ๆ เป็นผู้ไปหมายไปสำคัญว่านั้นเป็นทุกข์นี้เป็นทุกข์ หมุนกันไปหมุนกันมาเพื่อหาความจริงอยู่นี้ ทำไมจะไม่เห็นทำไมจะไม่เจอ ของจริงมีอยู่ในกายในจิตของเรานี้แท้ ๆ เมื่อมันทราบเสียครั้งหนึ่งเท่านั้นแหละ แล้วปักลงอย่างลึกทีเดียว ไม่มีคำว่าถอนความจริงอันนี้ความอัศจรรย์อันนี้ เมื่อได้เจอแล้วในขณะนี้ แม้วันหลังคราวหลังจะไม่เป็นก็ตาม ความรู้ความเห็นประเภทนี้ วิธีการประเภทนี้ที่เคยดำเนินมานี้แล้ว จะไม่มีวันถอนเลย นั่นจึงว่าเป็นความจริงอีกประเภทหนึ่งไม่ใช่ความจำ เป็นความจริงฝังลึก ถ้าเราจะพูดให้เต็มปากก็คือว่าฝังลงในขั้วหัวใจไม่มีวันถอนเลย
คุ้ยเขี่ยขุดค้นให้มันเห็นเหตุเห็นผลบ้างซิผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ทำไมเดินจงกรมเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ทำความพากเพียรเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวก็อยู่กันไป ๆ ทำไมอยู่ได้ ทำไมไม่มีความวิตกวิจารณ์ตนเองบ้าง ไม่รำพึงตนเองบ้างว่าอยู่อย่างนี้เป็นยังไง มันผิดกับโลกเขาอยู่กันยังไงบ้าง มันมีความหมายอะไร ความเพียรก็เดินจงกรมหย็อก ๆ นั่งสมาธิก็ง่วงเหงาหาวนอน มีแต่เรื่องของกิเลสเข้ากล่อมอยู่ตลอดเวลา หาความหมายหาที่ยึดที่เกาะภายในจิตใจกับธรรมทั้งหลายไม่ได้แล้ว เราอยู่ด้วยเหตุผลกลไกอะไร เรามีหลักมีเกณฑ์อะไรพอที่จะให้เป็นความอบอุ่นภายในจิตใจของเรา ไม่มีว่าอย่างนี้เลย ต้องหาให้มีซิ
ธรรมพระพุทธเจ้ามีอยู่สด ๆ ร้อน ๆ ก็เคยพูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ศาสนธรรมหรืออริยสัจ ๔ ภายในกายในใจของเรานี้แลคือตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน ก็พูดอยู่แล้วตลอดเวลา จะมาโกหกหมู่เพื่อนยังไง ก็เอาความจริงออกมาพูดแท้ ๆ ความเป็นเป็นอย่างนั้นแท้ ๆ เอาความจริงออกมาพูดแล้วทำไมมันจึงไม่เป็นไม่เห็น ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย เดินจงกรมก็เดินมาตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งป่านนี้ นั่งสมาธิภาวนาก็เคยนั่งมา มันก็นั่งแบบนั้นแหละ คือแบบเหลาะ ๆ แหละ ๆ เหลว ๆ ไหล ๆ โลเลโลกเลกดังที่เคยเป็นมา มันจึงได้แต่สิ่งเหล่านี้มาเต็มเนื้อเต็มตัวเต็มใจ อยู่ก็อยู่แบบนี้ นั่งก็นั่งแบบนี้ เป็นอยู่ก็เป็นแบบนี้ เวลาตายไปก็จะตายไปแบบนี้ หามรรคผลนิพพานอันวิเศษวิโสดังพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ด้วยพระเมตตานั้น ไม่ปรากฏภายในจิตใจเลย เพราะถูกกิเลสหลอกหลอนต้มตุ๋น โดยที่เราไม่รู้กลมายาของมันตลอดมาอย่างนี้
เป็นยังไงเพื่อนฝูงที่มาอยู่กับผมนี่ ผมหนักไม่ใช่เล่นนะทุกวันนี้ หนักหลายด้านหลายทางด้วย ผมนี่ทนอยู่กับหมู่กับเพื่อนนี้ยังว่าดีนะ ผมอยากดีดตัวออกไปเมื่อไรผมดีดได้นะ ผมไม่ได้ห่วงอะไรผมพูดจริง ๆ ไม่ได้โอ้ได้อวดไม่ได้คุย เสียดายอะไร โลกธาตุนี้พิจารณามาจนรอบหมดเสียทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว มันมีแต่สิ่งเหล่านี้เต็มแผ่นดิน หรือเต็มโลกเต็มสงสารมาตั้งแต่กัปใดกัลป์ใด ก็รู้อยู่แล้วเห็นอยู่แล้วหลงมันหาอะไร ตื่นมันหาอะไร ห่วงมันหาอะไร หวงมันหาอะไร นอกจากห่วงจิตใจดวงที่มันติดมันพันที่ไม่รู้ไม่เห็น และติดพันอยู่เรื่อย ๆ ด้วยความทุกข์ความทรมานในภพนั้นภพนี้ วันนั้นวันนี้ เดือนนั้นเดือนนี้ ปีนั้นปีนี้ ชาตินั้นชาตินี้ เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ และยังจะเป็นไปอย่างนี้ด้วยความทุกข์ความทรมานหาวันสิ้นสุดยุติไม่ได้
นี่มีความห่วงใยในจิตดวงนี้ต่างหาก กับเพื่อนฝูงที่ได้มาอาศัยอยู่กับผม ผมไม่ได้ห่วงอะไรอื่นนะ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่มันขัดข้องกับธรรม อย่าเอามากีดมาขวางธรรม อย่ามาเหยียบย่ำทำลายหัวอกของผมที่ได้แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนด้วยความเมตตา ผมอกจะแตกแล้วนะ ขอให้หมู่เพื่อนได้เห็นใจ
อันใดที่เป็นภัย ก็รู้แล้วว่ากิเลสเป็นภัยมาตลอดเวลา ทำไมจึงให้มันอาจหาญกล้าหาญเข้ามาตีตลาดในวงพระ เฉพาะพระกรรมฐานของเราด้วย แหม มันพิลึกกึกกือเหลือเกินนะ สลดสังเวชนั่นเอง ถ้าว่ามันพออกแตกมันอกแตกได้จริง ๆ เพราะสอนแทบเป็นแทบตาย ผลปรากฏออกมาเป็นยักษ์เป็นผีนี่เป็นยังไง มันไม่เป็นอรรถเป็นธรรมเลย เจ้าของพิจารณาซิ ผู้เป็นใครเป็นต้องพิจารณา มันเป็นด้วยกันนั่นแหละไม่มากก็น้อย เอ้า พิจารณาซิสิ่งเหล่านี้ ถ้าหากว่าผมเป็นผู้โกหกหาเรื่องใส่หมู่เพื่อน มันเป็นยังไงมันเป็นไหม สิ่งเหล่านี้มันทำดีอะไรให้เรา นอกจากมันกีดมันขวางหัวใจให้ก้าวไม่ออกเดินไม่ได้ อยู่ไหนขวางหมดถ้าลงมันได้ขวางหัวใจนี้แล้ว แสดงอากัปกิริยาอะไรออกไปมันขวางหมด ๆ ขวางทั้งโลกทั้งสงสาร ไม่มีใครขวางก็ขวางตัวเองอยู่อย่างนั้น มันเป็นของดีแล้วเหรอขวางตัวเอง เหยียบย่ำทำลายตัวเองอยู่อย่างนั้น มันน่าจะพิจารณา แล้วจะทำยังไง
การสอนเรื่องความพากความเพียรก็สอนมาอย่างนี้ นี่ละคือความเพียรเพื่อให้เห็นเหตุเห็นผล ต้องพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคมซิผู้ปฏิบัติ มาอยู่ทื่อ ๆ อยู่เฉย ๆ อยู่แบบเซ่อ ๆ ซ่า ๆ มันก็เป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลนั่นแหละ ที่สอนคนให้เซ่อ กล่อมคนให้เซ่อ กล่อมผู้ปฏิบัติให้เซ่อ ๆ ซ่า ๆ ถ้าเป็นธรรมแล้วจะไม่เซ่อ วันนี้ประกอบความเพียรอย่างนี้เป็นอย่างนี้ มันเป็นยังไง นั่นหาเหตุแล้ว พลิกหาอีกพลิกหาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา นั่นจึงเรียกว่าความเพียรเพื่อความเฉลียวฉลาด ดัดสันดานกิเลสเอาให้อยู่ในเงื้อมมือ ต้องเป็นอย่างนั้นผู้ปฏิบัติ
นี่อยู่ยังไงก็อยู่อย่างนั้น วันไหนก็มีแต่มืดกับแจ้ง ๆ เดินจงกรมก็เท้าแปะ ๆ บนแผ่นดินแล้วก็ว่าได้ทำความเพียร หัวใจเป็นยังไง มันเป็นความเพียรให้ไหม หรือถูกกิเลสเอาไปถลุงที่ไหนเขียงไหน จนเป็นลาบเลยลาบไปแล้ว เขี่ยลงในป่าช้าผีดิบไปหมดแล้ว เขี่ยลงถานไปหมดแล้ว เรายังไม่รู้ตัวอยู่เหรอว่าเรากลายเป็นมูตรเป็นคูถไป เพราะกิเลสมันกินมันขี้มันถ่ายไปแล้วนั้นน่ะ ขนาดนั้นเรายังไม่รู้ตัวอยู่เหรอ ผู้ปฏิบัติไม่รู้ใครจะรู้ ผู้ปฏิบัติเท่านั้น ยกให้เลยว่าเท่านั้น จะรู้สิ่งเหล่านี้ตามทางของศาสดาที่ทรงสอนไว้ เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญา เป็นที่เลิศที่สุดในเรื่องความเฉลียวฉลาดแหลมคม กิเลสเหล่านี้มีอำนาจขนาดไหนก็บอกแล้ว มันไม่มีความฉลาดแหลมคมมันจะครอบหัวใจโลกได้เหรอ แล้วทำไมพระพุทธเจ้าจึงโผล่ขึ้นมาได้ เหยียบหัวมันลงไปและประกาศสอนโลกให้รู้ภัยของมัน
พวกเรายังให้มันกล่อมอยู่เหรอว่าเป็นของดิบของดี ความขี้เกียจขี้คร้านความท้อแท้อ่อนแอเหลวไหลนี้เป็นเรื่องอะไร ถ้าไม่ใช่เรื่องของกิเลส มันท้อแท้ก็ท้อแท้อะไร ท้อแท้ที่จะไม่ก้าวเข้าสู่ธรรมนั่นซิ ท้อแท้เหลวไหลให้เป็นไปตามเรื่องของกิเลสทั้งนั้นนี่นะ ไม่ได้เป็นไปตามธรรม เรายังยินดีอยู่เหรอ การประพฤติปฏิบัติเป็นยังไงนี่มันน่าคิดอยู่มากนะ เพราะการอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อนอบรมมานาน มันน่าจะได้เทียบได้เคียงมาแล้วและน่าจะได้นำมาพูด เช่นอย่างพูดอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนก็ไม่เคยพูดแบบนี้ นี่มันอดไม่ได้เพราะมันทบมันทวนพิจารณาจนอกจะแตกแล้วเวลานี้เกี่ยวกับหมู่กับเพื่อน เนื่องจากว่าเราบำเพ็ญมายังไงนี่อันหนึ่ง มันอดที่จะนำมาเทียบเคียงไม่ได้ เพราะเป็นแนวทางที่ถูกต้องดีงามพอหมู่เพื่อนจะนำไปเป็นคติได้แล้ว
ถึงคราวเด็ดควรจะได้เด็ด ถึงคราวจริงควรจะได้จริง ถึงคราวเด็ดขาดก็ให้เด็ดขาด ควรจะให้เป็นอย่างนั้นในการประกอบความเพียรของแต่ละราย ๆ ในบางครั้งบางคราวถ้าไม่หนักแน่นไปตลอดก็ดี แต่เมื่อถึงขั้นที่ควรจะหนักแน่นไปตลอดไม่ต้องบอก ถึงขั้นนั้นแล้วเป็นเองดังที่เคยแสดงให้ฟังแล้ว ขั้นล้มลุกคลุกคลาน ขั้นตะเกียกตะกายต้องตะเกียกตะกายซิ ขั้นเด็ดต้องเด็ด ขั้นทนต้องทนไม่ทนไม่ได้
เราจะอยู่อย่างนี้ ๆ ไปมันก็เป็นอย่างนี้แหละ มีอะไรวิเศษในหัวใจของเรา วันหนึ่งมันคิดเรื่องอะไร เรื่องเหล่านั้นมันเคยคิดมากี่ครั้งกี่หนแล้ว เอาอะไรมาให้เราวิเศษวิโสพอที่จะได้เพลินกับมันจนลืมเนื้อล้มตัว ลืมความพากความเพียร สติไม่มีในหัวใจเลยเป็นยังไง นี่มันจืดจางไหม หัวใจถ้าเป็นไปกับกิเลสมันจืดจางไหม แล้วเราจะเรียกว่ามันกล่อมดีไหมกิเลส พิจารณาซิ มันละเอียดแหลมคมขนาดไหน เราไม่ทันมันเลยไม่รู้ตัวเลยจะว่ายังไง ถูกมันกล่อมอยู่ตลอดเวลายังไม่รู้จะว่าเราฉลาดอยู่เหรอ
เอ้า ปฏิบัติให้ถึงนั่นซิ เมื่อถึงแล้วจะรู้เพลงของกิเลส กิเลสขนาดไหนแบบใดเพลงใด มันจะมีความละเอียดแหลมคม มีความแยบคายของมันอยู่ในนั้น ๆ ทุกแขนงของกิเลสที่แสดงตัวออกมา มันจึงได้ครองโลกครองหัวใจของสัตว์โลก ถ้ามันไม่มีความละเอียดแหลมคม ไม่มีความแยบคายอยู่ในแขนงแห่งการแสดงของมันแล้ว ทำไมโลกจะไม่เห็นโทษของมัน นี่จนกระทั่งถึงไม่เห็นเลยไม่ว่าใครก็ตาม มิหนำซ้ำพระพุทธเจ้ามาประกาศธรรมะกังวานอยู่ เช่นปัจจุบันนี้ก็ได้ ๒,๕๐๐ กว่าปี ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวยังไม่ตื่นเลยจะว่ายังไง
หนาขนาดไหนพวกเรา แล้วกิเลสเก่งขนาดไหน เอามาเทียบกันซิ พิจารณาซิ แล้วยังจะติดไปอีกเป็นไปอีกอย่างนี้ตลอดเวลา ถ้าไม่เอาธรรมเข้าไปตบไปต่อยไปตีไปขุดไปค้นกันแล้ว ยังไงก็จะไม่เห็นโทษของกิเลสแม้นิดหนึ่งภายในหัวใจนี่เลยแหละ ก็จะแบกแต่กิเลสไปอีก ให้มันเหยียบหัวใจไปเกิดในภพนั้นภพนี้ ภพไหนภพไม่ทุกข์มีเหรอ ฟังแต่ว่าเกิด ๆ ชาติปิ ทุกฺขา ว่าไง ท่านบอกไว้ด้วยเหรอว่า ชาติปิ สุขา มีไหม ชราปิ สุขา มีไหม สิ่งใดเป็นยังไงท่านก็บอกตามความจริง ว่าเกิดเป็นทุกข์ ท่านไม่ได้บอกว่าเกิดเป็นสุข เพราะท่านเคยเกิดมาแล้ว ถ้าเป็นสุขท่านก็จะได้บอกว่าเป็นสุขมาแล้วพระพุทธเจ้าน่ะ นี่ก็เห็นภัยมาแล้วในความเกิดทั้งหลายว่าเป็นทุกข์ ๆ จึงได้มาประกาศสอนพวกเรา กังวานมาอยู่กี่ปีกี่เดือนแล้ว
ในแบบในแผนตำรับตำรา มีแต่ความจริงที่ออกจากพระทัยของพระพุทธเจ้ากังวานตลอดเวลาอยู่แล้ว อ่านเข้าไปก็กังวาน ถ้าอ่านด้วยความสนใจ อ่านด้วยความพินิจพิจารณาแล้ว จะกังวานออกมากระเทือนหัวใจเรา ๆ ตลอด ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไรด้วยความสนอกสนใจใคร่อรรถใคร่ธรรมอยู่แล้ว ยังไงก็จะต้องกระเทือนเข้ามาในหัวใจ ๆ ให้ได้เห็นเหตุเห็นผลรู้โทษรู้กรรมของมัน ว่ามันทำกรรมทำเวรกับเราขนาดไหนกิเลส นั่นพิจารณาซิ
ถ้าไม่เอาจริง ๆ จัง ๆ จะไม่เห็นนะ แง่กลอุบายต่าง ๆ ของกิเลสที่มันกล่อม เฉพาะอย่างยิ่งกล่อมหัวใจเราแต่ละดวง ๆ ซึ่งเป็นหัวใจของนักปฏิบัติกรรมฐานที่เขานับถือด้วยนะเวลานี้ เฉพาะอย่างยิ่งสายหลวงปู่มั่นภาคอีสานนี่ แล้วให้กิเลสมันกล่อมให้กิเลสมันถลุงอยู่นี้มันสมเหตุสมผลแล้วเหรอ ถ้าใครก้าวเข้ามามองเห็นด้วยตาแล้ว เห็นแต่กิเลสถลุงพระกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่อย่างนั้น เฉพาะอย่างยิ่งพระวัดป่าบ้านตาด เกลื่อนอยู่เหมือนกับขอนซุงเต็มวัดเต็มวา มีแต่ถูกกิเลสถลุงกลิ้งไปกลิ้งมานี้ใครจะดูได้ไหม คนทั่วประเทศไทยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดป่าบ้านตาดนี้ดูได้ไหม ในเมื่อเห็นแต่พระเณรในวัดเป็นขอนซุงให้กิเลสเตะไปถีบมา ยันไปยันมากลิ้งไปกลิ้งมา ถลุงไปตลอดเวลาอยู่อย่างนี้ ไม่มีเวลาที่จะมองเห็นแย็บหนึ่งว่า นักปฏิบัติกรรมฐานวัดป่าบ้านตาดได้ต่อยกับกิเลสพอให้กิเลสสะดุ้งบ้าง ไม่เห็นมีเลย อย่างนี้เป็นยังไง มันคุ้มค่ากันไหม
เราเอามาคิดบ้างซิสิ่งเหล่านี้ มันเป็นความคิดที่จะเกิดประโยชน์แก่ตน ไม่ต้องคิดเพื่อจะแก้พิษแก้ภัยที่ไม่ให้เขาเห็นความสลดสังเวชอย่างนั้นก็ตามเถอะ มันจะเป็นประโยชน์แก่เรานี้โดยไม่ต้องสงสัยละการคิดอย่างนี้ เมื่อมันเป็นประโยชน์แก่เรา ใครมาเห็นก็รู้ความเป็นมงคลทั้งนั้นแหละ ตามีหูมีรู้กัน ดีชั่วประการใดรู้กัน นี่มันไม่ได้มองเห็นด้วยตาเนื้อเฉย ๆ นะจึงไม่ได้เกิดความสลดสังเวช มาปลงธรรมสังเวชภายในวัดป่าบ้านตาดเรา เรายังจะเพลินอยู่เหรอ ยังจะภูมิใจอยู่เหรอว่าเราเป็นพระกรรมฐาน ไม่ได้คิดบ้างเหรอว่าเราแพ้กิเลสมาวันยังค่ำคืนยังรุ่ง เรื่อยมาตั้งแต่วันบวชจนกระทั่งบัดนี้ ไม่มีการชนะมันมาโดยลำดับ ๆ เลย เป็นยังไงนักปฏิบัติเรา
ถ้าผู้ปฏิบัติจะเป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์แล้วต้องชนะ ชนะเรื่อยมา ๆ เป็นลำดับลำดา ขณะจิตที่แสดงออกมาแต่ละครั้งละคราว จะแสดงในการต่อสู้ แสดงด้วยการหลบหลีกปลีกตัวหรือหลบซ่อน หรือพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมที่ต่อยกับกิเลส นั่นนักปฏิบัติให้มันเห็นอย่างนั้นบ้างซิ
นี่มองไปที่ไหนมองไปเมื่อไรมองดูเมื่อไร มีแต่กิเลสถลุงพระถลุงหัวใจของพระกรรมฐาน มันสลดสังเวชจะตายไปแล้วนี่นะจะว่าไง ได้พากันคิดอย่างไรบ้างหรือไม่ แพ้มันมาเท่าไรแล้ว บวชมากี่พรรษา ตั้งหน้ามาปฏิบัติกี่ปีแล้ว แพ้มันมาเท่าไร ยังไม่รู้สึกตัวว่าแพ้อยู่หรือเวลานี้ หรือเรายังภูมิใจว่าชนะมันอยู่ ชนะลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไหน มันไม่มีอะไรที่จะชนะ นอกจากชนะลม ๆ แล้ง ๆ เฉย ๆ ภูมิใจลม ๆ แล้ง ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย นี่รู้ไหมอันนี้ก็เป็นกลหนึ่งของกิเลสให้เราเตะเงาต่อยเงาไป ตัวกิเลสจริง ๆ ไม่เห็นมัน อยู่ที่ไหนไม่รู้ นี่เรารู้แล้วยัง พิจารณาซิผู้ปฏิบัติ
ทำความพากเพียรไม่มีวรรคไม่มีตอน ไม่มีเผ็ดไม่มีร้อน ไม่มีเข้มข้นตามกาลตามเวลา ตามเหตุการณ์ที่ควรจะเป็นไปได้เลยแล้ว ยังไงก็ตายทิ้งเปล่า ๆ นะ จะไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยถ้าหากไม่ใช้อย่างที่ว่านี่ ก็บอกแล้วกิเลสเป็นยังไง ฉลาดขนาดไหน นี่นำเรื่องของกิเลสที่มันฉลาดมาพูดให้ฟัง นอกจากนั้นก็นำเรื่องความโง่ของเราให้ฟังอีก และนำเรื่องความฉลาดทันกิเลสมาให้ฟังอีก ท่านทั้งหลายจะหาฟังที่ไหนอีก การปฏิบัติก็ปฏิบัติ เวลาโง่ก็โง่ที่สุดก็เคยพูดให้ฟังแล้ว เอาตัวออกยืนยันเลย ใครจะว่าบ้าก็บ้า นี่เพราะความเมตตาสงสารหมู่เพื่อน อยากให้เห็นเหตุเห็นผลเป็นความจริงขึ้นมานั่นเองจึงได้พูดถึงขนาดนี้ เวลาสติปัญญาความเฉลียวฉลาดมันกระดิกตัวขึ้นมา ๆ จนกระทั่งถึงขั้นเกรียงไกรทันกิเลสประเภทต่าง ๆ โดยลำดับลำดา ทันแล้วฆ่าด้วย ๆ ไปโดยลำดับลำดานี้ก็ได้พูดให้ฟัง จนถึงขนาดที่ว่ากิเลสตัวไหนอยากคอขาดให้โผล่ขึ้นมา ถ้าเป็นคอมีคอก็คอขาด ๆ โผล่ขึ้นมา ถึงขนาดนั้น
เมื่อถึงขั้นเกรียงไกรของสติปัญญาที่ทันอุบายของกิเลสมันถึงขนาดนั้น ฟาดให้มันม้วนเสื่อลงไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว อะไรมากีดมาขวาง อะไรมาแสดงกลมายาให้จิตนี้กลิ้งไปกลิ้งมาเหมือนลูกฟุตบอลนั้นมีไหมที่นี่ มันไม่มีก็รู้ว่าไม่มีซี เมื่อเป็นเช่นนั้นมันก็สรุปลงได้ความว่า มีกิเลสเท่านั้นที่มาก่อกวนมายุแหย่มาทำลาย ให้ได้รับความทุกข์ความลำบากอยู่ตลอดมาจนกระทั่งป่านนี้ และยังจะเป็นไปอีกหาที่สิ้นสุดยุติไม่ได้ ไม่มีอะไรนอกจากกิเลสเท่านั้น เมื่อมันหมดจากหัวใจแล้วก็รู้ชัดเจน ทีนี้อุบายของกิเลสมันใช้กลใดอุบายใดแขนงใดที่เคยเป็นความแยบคายมา มันพังไปหมด ๆ ด้วยอำนาจของธรรมที่เหนือกว่า ๆ ไปแล้ว ก็ได้มาพูดให้ฟัง จะให้ทำยังไงอีก
นี่ได้พูดให้หมู่เพื่อนฟังหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็ยังไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลยทำไง มันไม่มีเคล็ดมีลับไม่มีทุ่มมีโมงบ้างเลยถึงไม่ได้เรื่อง ทางที่ควรจะเด็ดไม่เด็ด ควรจะใช้สติปัญญาให้มากไม่ใช้ ความจะใช้ความอดความทนให้มากไม่ใช้ทำยังไง มีแต่ให้กิเลสมันเด็ดเอา ๆ ดัดเอาเด็ดเอาตลอดเวลา ความเด็ดมีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น ธรรมไม่ได้เด็ดมันเลยนี่ทำยังไง เราไม่อายเราบ้างเหรอ กิเลสอยู่ในหัวใจเราเราไม่อายหัวใจเราบ้างเหรอ มีแต่แพ้ตลอดเวลา เรายังภูมิใจกับความแพ้ของเราอยู่เหรอ แล้วเราจะเป็นไปด้วยความแพ้ ภูมิใจไปด้วยความแพ้นี้เหรอ ในระยะต่อไปในขณะต่อไปนี้ แล้ววันพรุ่งนี้วันมะรืนจนกระทั่งวันเราตาย เราจะหวังความภูมิใจในการแพ้กิเลสโดยไม่รู้สึกตัวอยู่อย่างนี้เหรอ เอามาคิดบ้างซิสติปัญญามี
กิเลสนี้มันเหยียบเรามาสักเท่าไรแล้ว มันไม่เคยให้คุณแก่ผู้ใด พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สอนว่ากิเลสเป็นภัยทั้งนั้น ทำไมเราจึงให้มันกล่อมอยู่ตลอดเวลาไม่รู้สึกตัวเลย เป็นยังไงลูกศิษย์ตถาคตน่ะ มันไม่เกินไปแล้วเหรอ พิจารณาซิ นี่อกจะแตกแล้วนะ ถึงขั้นที่ควรจะเด็ดบ้างไม่มีเลยการประกอบความพากเพียร ให้มันมีซี เหมือนการเดินทาง ทางที่ราบรื่นก็มี ขรุขระก็มี เป็นหลุมเป็นบ่อเป็นเหวเป็นอะไรมี ๆ มีไปโดยลำดับลำดา ก็ก้าวไปเดินไปตามนั้นจนกระทั่งผ่านพ้นไปได้
นี่ก็เหมือนกันวิธีการต่อสู้กิเลส ไปทางไหนมันมีแต่ดงหนาป่าทึบของกิเลสทั้งนั้น ตรงนี้ช่องนี้พอที่จะไปได้คือช่องแห่งความเพียร ช่องแห่งสติช่องแห่งปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้นี้ มีเป็นช่องทั้งนั้นนี่ ไปได้ตรงนี้ทำไมไม่ยอมไป ตายอยู่สองฟากทางให้มันถลุงอยู่นั้นเป็นยังไงกรรมฐานเรา นี่ความเพียรต้องอย่างนั้นซิ ไม่อย่างนั้นจะตายทิ้งเปล่า ๆ นะ ผมไม่อยากพูดอย่างอื่นมันไม่ถึงใจ ถ้าว่าตายทิ้งเปล่า ๆ แล้วเหมาะกับความเพียรของเรา กับสติปัญญาของเราที่เป็นอยู่อย่างนี้ อันไม่มีแย็บหนึ่งว่าจะทันกิเลสเลย ก็ต้องพูดอย่างนั้นมันเหมาะกัน
เอาไปคิดซิ นี่ละท่านเรียกว่าความเพียรดังที่กล่าวมานี้ ถึงเวลาเด็ดต้องเด็ด นี้อะไรก็เรื่อย ๆ เฉื่อย ๆ ไปอย่างนั้น เดินก็สักแต่ว่า นั่งก็สักแต่ว่า ไม่ได้เรื่องอะไร กลอุบายอะไรที่ได้จากการเดินการนั่งที่ว่าความเพียร ๆ มีอะไรบ้างก็ไม่ปรากฏ มีแต่สิ่งที่มันหนาแน่นอยู่นั้นไม่ได้บกพร่องแม้แต่นิดหนึ่งเลย ๆ เรายังภูมิใจไปได้นี่จะว่าไง นี่ซิที่มันน่าทุเรศ
ถ้าหากไม่ทำอย่างนี้ไม่ได้นะความเพียร มันต้องมีบทมีบาทที่จะทุ่มกันเป็นระยะ ๆ อย่างนั้นผู้ประกอบความเพียร เป็นยังไงก็เอา ทุกข์ขนาดไหนจะเอาทุกข์นี่เป็นหินลับปัญญา นั่น เอาให้มันเห็นชัด ๆ มันเห็นจริง ๆ นี่นา ไม่เห็นเอามาคุยได้ยังไง ที่มาเทศน์ให้หมู่เพื่อนนี้ผมพูดจริง ๆ ว่าเห็นแล้วถึงมาพูดนี่นะจะว่าไง ใครจะว่าผมบ้าผมก็ยอมรับ ยอมรับโดยที่ว่าบ้าแบบนี้นะ ก็มันเป็นแล้วนี่ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของจริง ปฏิบัติตามนั้นทำไมไม่จริง พระพุทธเจ้าสอนให้รู้แท้ ๆ รู้แล้วทำไมพูดไม่ได้วะ ตั้งแต่ไม่รู้ก็ยังบอกไม่รู้ โง่ก็บอกว่าโง่ เวลามันฉลาดจะไม่ให้พูดได้บ้างเหรอมันเป็นยังไง หรือให้กิเลสมาปิดปากเหรอ พูดไม่ได้เหรอ
เอาให้มันเห็นประจักษ์ในใจของตนซิ มันเปิดเผยออกหมดแล้วเป็นยังไงโลกธาตุอันนี้ เป็นยังไงเรื่องของกิเลส นั่นเอาอย่างนั้นซิ ฟาดมันจนกระทั่งได้ กุสลา ธมฺมา กิเลสเอาให้แหลกหมด อยู่ไหนสบายทั้งนั้น จิตวิญญาณในโลกนี้มีเท่าไรที่ถูกกิเลสบีบบังคับอยู่ตลอดเวลา แต่จิตของเราดีดผึงออกแล้วเอากิเลสมาเป็นอาหารว่างด้วยซ้ำไปนั้นน่ะเป็นยังไง ให้มันเห็นซิ พระพุทธเจ้านี้มีแต่องค์ที่เอากิเลสมาเป็นอาหารว่างทั้งนั้น แต่ก่อนมันเป็นภัย เวลาเอามันได้แล้วก็ประกาศ เหมือนกับว่าประจานให้โลกได้รู้ได้เห็น เอ้า รีบมา ๆ นะ ตถาคตได้เป็นมาแล้วเรื่องเหล่านี้ไม่สงสัย ๆ ตถาคตได้ดำเนินมาอย่างนี้ ให้ดำเนินตามตถาคตที่สอนอยู่นะ นี้คือทางแคล้วคลาดปลอดภัย คือทางที่จะพ้นทุกข์ในไม่ช้านี้
เป็นอย่างนั้นละที่ว่าสวากขาตธรรม ๆ ตรัสไว้ชอบแล้วดีแล้ว ตรัสไว้อย่างนั้นไม่ผิด เอ้า ๆ เอาให้ดีนะ ๆ อย่าไปทางอื่นนะ ทุกข์ยากลำบากขนาดไหน เอ้า ๆ ก้าวตามตถาคต ตถาคตเคยลำบากมาแล้วถึงขั้นสลบ ตถาคตยังไม่ถอย เอาจนกระทั่งได้ตรัสรู้ นี้อย่าถอยนะ ความหมายเหมือนอย่างนั้น ที่ท่านสอนสด ๆ ร้อน ๆ นี่นะ พิจารณาซิผู้ปฏิบัติ
ธรรมพระพุทธเจ้าท้าทายกิเลสอยู่ตลอดเวลา ให้นำมาใช้เถอะ ยังไงกิเลสต้องพังไม่สงสัย อย่าให้ความเพียรพังก็แล้วกัน มันเคยได้เห็นเคยได้ยินมาพอแล้วทั้งท่านทั้งเราทั้งใครต่อใครก็ตาม ไอ้เรื่องกิเลสเอาความเพียรพัง มันด้วยกันทั้งนั้นแหละ เราเอาความเพียรพังกิเลสไม่ค่อยมีหรือไม่มีนี่ซิสำคัญ เอาให้เห็นในหัวใจของเราซิ ความเพียรพังกิเลสพังยังไง ให้เห็นซิคำว่ากิเลสแหลมคมมันแหลมคมยังไงให้รู้ ปัญญาของเราแหลมคมกว่ากิเลสมันก็รู้เรื่องกิเลสแหลมคมได้เท่านั้น ถ้าปัญญายังไม่เหนือกิเลสแล้วรู้ไม่ได้นะ ว่ากิเลสแหลมคมขนาดไหน มีอำนาจมากขนาดไหน อ้อยอิ่งขนาดไหน ไม่รู้
เมื่อถึงขั้นที่ควรจะรู้แล้วปิดไม่อยู่ จนกระทั่งถึงกิเลสหงายหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ จะเอาอะไรมาแสดงลวดลายที่นี่ เมื่อธรรมเหนือกว่าทุกอย่าง ๆ แล้ว เอ้า กิเลสตัวไหนเก่งออกมา นั่นถึงขั้นท้าทายกันมันถึงขนาดนั้นนะ ออกมาพอแย็บเท่านั้นก็พุ่งเลย สติปัญญาที่เกรียงไกรที่ทันสมัย ที่จะหักวัฏจักรวัฏจิตให้ม้วนเสื่อ ต้องเป็นสติปัญญาขนาดนั้น หากเป็นเอง ถ้าเราจะมาตั้งท่าตั้งทางไม่ทัน นี่ละถึงขั้นที่เป็นเอง ท่านถึงเรียกว่าภาวนามยปัญญา เป็นอย่างนั้น ให้เป็นในหัวใจเราบ้างซิ
พระพุทธเจ้าท่านสอนท่านเป็นมาแล้วท่านถึงมาสอน ท่านไม่ได้เป็นท่านจะเอาอะไรมาสอน มันมีวิธีการที่จะอธิบายอะไรได้ล่ะลงภาวนามยปัญญาแล้ว ต้องเป็นผู้ปฏิบัติรู้ขึ้นมาเท่านั้นถึงจะรู้เอง ไม่อธิบายก็รู้ เมื่อมันเป็นขึ้นมาแล้ว อ๋อ ๆ ทันทีเลย กิเลสพังไปด้วยเหตุนี้เอง อ๋อ ๆ แม้กิเลสยังไม่พังก็ตามยังไงก็มั่นใจ มั่นใจไปโดยลำดับลำดา แล้วพังไปเรื่อย ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ เอ้า เชื้อไหนก็เชื้อเถอะ ถ้าลงไฟแล้วเผาได้หมดทั้งนั้น ที่นั่นยังไม่ไหม้ ยังไม่ไหม้ก็ไม่ต้องบอก มันจะไปเดี๋ยวนี้ กำลังลุกลามไปเดี๋ยวนี้ นั่น เชื้อมันอยู่ที่ไหนไฟจะลุกลามไปถึงหมด ๆ ไหม้เป็นเถ้าเป็นถ่านไปหมด นี่ก็เหมือนกันกิเลสฟาดให้มันเป็นเถ้าเป็นถ่านไปหมด ด้วยอำนาจของมหาสติมหาปัญญาที่มาจากภาวนามยปัญญานี้จะเป็นที่ไหนไป
ธรรมะนี้สด ๆ ร้อน ๆ กังวานอยู่ในหัวใจเราไม่กังวานอยู่ที่ไหน สำคัญที่ศาสตราอาวุธ แม้จะมีกองเท่าภูเขาก็ตาม ถ้าไม่เอามาใช้ก็เป็นศาสตราวุธอยู่นั้น เราต้องจมอยู่ในข้าศึกนั่นเองหาที่โผล่ขึ้นมาไม่ได้ ดีไม่ดีตายอยู่ในท่ามกลางข้าศึก เพราะไม่มีอาวุธที่จะสู้ เราไม่นำเอามาใช้นี่ มีเท่าไรก็ไม่นำมาใช้จะเกิดประโยชน์อะไร นี่ก็เหมือนกัน สติปัญญาพระพุทธเจ้าสอนไว้เพื่อให้เอามาหุงต้มแกงกินเหรอ ท่านสอนว่ายังไง มันควรจะเอามาประพฤติปฏิบัติให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยซิ ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่ด้วย ว่า อกาลิโก ๆ ขอให้นำมาปฏิบัติเถอะ จะได้เห็นกิเลสพังลงจากใจให้เห็นประจักษ์ในวันใดวันหนึ่งแน่นอนไม่สงสัย
ไอ้เรื่องผู้ที่ไม่เคยปฏิบัติอย่าเอามาสนใจคิดมากนัก ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสกล่อมแล้วเร็วนะ สมัยนี้หมดแล้วมรรคผลนิพพานไม่มีแล้ว จะปฏิบัติเท่าไรก็ปฏิบัติไปเถอะ ตัวผู้พูดมันไม่ได้ปฏิบัตินี่จะเอามรรคผลนิพพานมาจากไหน ผู้ปฏิบัติต่างหากเป็นผู้ที่จะรู้จะเห็นมรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ผู้ไม่ปฏิบัติแล้วมาให้คะแนนใครต่อใคร ทั้งที่เจ้าของไม่มีอะไร ความรู้โง่ยิ่งกว่าหมาตายจะเอาอะไรมาสอนคนอื่นให้เขาได้เป็นคติ อย่าไปเชื่อซิคนประเภทนั้น
ศาสดาองค์เอกเป็นผู้ที่ควรเชื่อได้มาตั้งแต่วันตรัสรู้แล้ว ทำไมจึงไม่ยอมเชื่อ จะไปยอมเชื่อพวกบ้า ๆ หลับหูหลับตาพูดอยู่นั้นเหรอ ไม่เคยภาวนานั้นเหรอ เชื่อคนประเภทนั้นเหรอ ว่ามรรคผลนิพพานไม่มีแล้ว ๆ ก็ตัวมันเองไม่มีมรรคผลนิพพาน มันจะเอามรรคผลนิพพานอะไรมาอวดล่ะ ผู้มีมีอยู่ ผู้ปฏิบัติมีอยู่ ต้องเห็นอยู่รู้อยู่ สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้วนี่ว่าไง พระพุทธเจ้ารู้จากธรรมเหล่านี้ พระสาวกทั้งหลายรู้จากธรรมเหล่านี้ เห็นจากธรรมเหล่านี้ พ้นทุกข์จากธรรมเหล่านี้ ฆ่ากิเลสให้ม้วนเสื่อไปด้วยธรรมเหล่านี้ ไม่ได้ฆ่ากิเลสไปด้วยว่ามรรคผลนิพพานไม่มี ฟังซิ พวกนี้มันตายกี่กัปกี่กัลป์แล้วก็เรื่องของเขา ไปยุ่งกับเขาทำไม เราผู้ที่จะสลัดตัดความทุกข์ เหมือนกับไฟติดตัวไหม้ตัวของเรา เราปัดไฟออกจากตัวของเรานี้เป็นเรื่องของเราแท้ ๆ นี่ ไปยุ่งอะไรกับไฟเขา จะไหม้หมดทั้งตัวก็เป็นเรื่องของเขา ในเมื่อเขาไม่อยากปัดออกก็ช่างเขาซิ เราปัดของเราออกซี
กิเลสมันเหมือนฟืนเหมือนไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ไฟ ๓ กองเท่านี้ก็พอแล้วที่ไหม้อยู่ในหัวใจเวลานี้ โลกทุกข์ทุกวันนี้เพราะอะไร ก็เพราะไฟอันนี้เองมันเอา เรายังไม่เห็นโทษของมันอยู่เหรอ ยังจะมาภูมิใจเจ้าของอยู่เหรอ วันไหนก็ว่าสบาย ๆ มันสบายแต่เรื่องธาตุเรื่องเนื้อเรื่องหนังที่จะพังเมื่อหมดลมหายใจเท่านั้น ยังจะมาถือว่าสิ่งเหล่านี้วิเศษอยู่เหรอ ธรรมอันวิเศษที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายประกาศกระเทือนโลกธาตุมานี้ นานแสนนานมากต่อมากแล้ว ทำไมไม่เห็นกระเทือนหัวใจเราบ้าง เอามาพิจารณาซิ ตั้งปัญหาถามเจ้าของซิ คนอื่นถามไม่ดี
ครูบาอาจารย์ว่าให้ก็เหมือนกับดุด่าว่ากล่าว บางทีเกิดหงุดหงิดอะไร ๆ ในใจ แทนที่จะเป็นธรรมมันกลายเป็นกิเลสขึ้นมาเสีย ให้เจ้าของฟัดเจ้าของเอง เอาหนาวันนี้ ว่างั้นเลย ถ้าลงเป็นยังงี้แล้วไม่เป็นไร เอา หนาวันนี้หนา ปักกันลงไป หัวขาดขาดหนาวันนี้ ต้องยังงั้นซิ อย่างนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย ให้คนอื่นมาบังคับซิบังคับอย่างนั้น เป็นไปได้นะหัวใจเรา มันจะเป็นธรรมได้ยังไง นอกจากเป็นอีกแบบหนึ่งขึ้นมา คือแบบเทวทัตนั่นเอง นั่นเราพิจารณาซิ เพราะฉะนั้นจึงว่าใคร ๆ ก็ตาม ต้องเตือนเจ้าของ สอนเจ้าของ เด็ดเจ้าของ นี้เป็นที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด เมื่อได้อุบายจากครูบาอาจารย์ หรือจากธรรมท่านมาแล้วเอามาฟาดลงไปซิ กิเลสม้วนเสื่อด้วยเหตุนี้เอง มันไม่ได้เป็นไปด้วยดังที่เราเป็นมานั้นนะ ให้จำเอาไว้ว่า วิธีการที่เราทำมาแล้วนี้เป็นยังไง ได้ผลมากน้อยเพียงไร เอามาทดสอบกันซิ แล้วเราก็จะมีทางก้าวเดิน
เอาละ พอแล้ว
พูดท้ายเทศน์
ดูซินี่มันมีอะไรอยู่ในสัตว์ตัวหนึ่ง ๆ นี่ละเรียนธรรมะให้เรียนอย่างนี้ ให้มันเห็นให้มันทะลุไปหมด จะค้านพระพุทธเจ้าได้ยังไง ถ้าลงได้รู้ตามธรรมพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้วค้านไม่ได้ นอกจากกราบอย่างราบเท่านั้นเอง เพราะเทศน์ของจริงแท้ ๆ ไม่ได้เอาของปลอมมาหลอกเลย ไม่เหมือนกิเลสที่หลอกอยู่ตลอดเวลา ทุกขณะทุกแขนงหลอกทั้งนั้น แต่ธรรมแล้วจริงทั้งนั้น ตั้งแต่ส่วนหยาบไปถึงส่วนละเอียด ละเอียดสุด มีแต่ความจริงทั้งนั้น เพราะสอนด้วยความรู้แล้วเห็นแล้ว
จิตดวงนี้สำคัญนะ กิเลสภายในจิตใจนี้มันเอาเนื้อเอาหนังเอากระดูกมาเป็นตัวของตัวเสียจนหมด เราก็ยังไม่รู้ มันกว้านเอาหมดในตัวของเรานี้ว่าเป็นเราเป็นของเราไปเสียหมด มันไม่รู้ เมื่อเวลาธรรมเบิกเข้าไป ๆ คัดเข้าไปเลือกเข้าไป แยกเข้าไป ๆ เห็นไปโดยลำดับลำดา เวิกออกหมดพังออกหมด แม้แต่อยู่ในร่างนั้นก็ตาม มันก็รู้นี้คือเนื้อคือหนังคือดินคือน้ำคือลมคือไฟ นี้คือจิต นั่น มันก็รู้เองจะว่าไง ไม่มีใครบอก ถ้าลองได้พิจารณาตามพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เช่น อริยสัจหรือสติปัฏฐาน ๔ นี่แยกธาตุ วิชาแยกธาตุละนี่ พิจารณาซิ แยกความจริงแยกธาตุแยกขันธ์ รู้แล้วให้หลงก็ไม่หลงจะว่าไง เวลามันยังไม่รู้ทำยังไงให้รู้ก็ไม่รู้ เมื่อไม่ถึงขั้นจะรู้ตามหลักธรรมชาติตามหลักของจริง ไม่รู้ อยากรู้เท่าไรก็ไม่รู้ในเมื่อยังไม่ถึงขั้นจะรู้ |