เรื่องของกิเลสตกแต่งไม่มีสิ้นสุด
วันที่ 1 ธันวาคม 2545 เวลา 8:30 น. ความยาว 50.54 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

เรื่องของกิเลสตกแต่งไม่มีสิ้นสุด

 

         สรุปทองคำและดอลลาร์เมื่อวันที่ ๓๐ วานนี้ ทองคำได้ ๙ บาท ๓๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๓๖ ดอลล์ ยังขาดทองคำอยู่อีก ๑๔๔ กิโล ๑๖ บาท ๖๐ สตางค์จะครบจำนวน ๕๐๐ กิโล ทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๔๑๕ กิโล ที่ว่าทางธนาคารชาติจะรวบรวมให้ได้ (๑๐๐ กิโลครับ) เออ ให้ได้ ๑๐๐ กิโล แน่นอนแล้วนะ (ครับ) รวมธนาคารอะไร (ธนาคารพาณิชย์ ๑๒ ธนาคารครับ) เออ ดูว่าอย่างนั้น ได้ทองคำ ๑๐๐ กิโล ยังขาดอยู่เท่าไรที่ว่ากัน (ขาดอยู่ ๔๔ กิโล ครับ) เออ ขาดอยู่ ๔๔ กิโล ที่ว่า ๑๐๐ กิโลนี่แน่นอนแล้วนะ (ครับ) ทราบมาจากไหน (ทางธนาคารชาติแจ้งมาครับ) นี่กัดเข้ามา ๆ ธนาคารต่าง ๆ กัดเข้ามาตั้ง ๑๐๐ กิโล ยังเหลืออยู่ ๔๔ กิโล

เหวไฮ ไกลอยู่นะ เข้าไปลึก ๆ เนื้อที่วัดกว้างตั้งหลายร้อยไร่ อยู่กับตีนเขาเลย บริเวณวัดหลายร้อยไร่ก็เหมาะสมแล้ว มีหมู่บ้านสถานที่ใดก็ต้องมีวัด ให้ความร่มเย็นเป็นสุข ให้ความอบอุ่น วัดเป็นของสำคัญมากทีเดียวสำหรับชาวพุทธเรา อยู่ในป่าในเขาก็ตามถ้ามีวัดแล้วชุ่มเย็น ๆ ไม่มีวัดมีวามีแต่ความเลอะเทอะไปหมดนั่นแหละ โอ๊ย ดูไม่ได้นะ

เมื่อเช้านี้ก็ออกแต่เช้าเลย พอสว่างเป็นวันใหม่ก็ปุ๊บออกเลย ไปดูที่เขากำลังขุดคลองใหม่ คลองเก่ามันคด ๆ งอ ๆ เขาเลยขุดคลองตรงแน่วจากนู้นมา เหมือนที่หน้าวัดแหละ พอขุดแล้วมันก็ตรงแน่ว อันไหนที่มันคดเขาก็ดัดไปเลย ๆ ทางโน้นก็เหมือนกัน เมื่อวานนี้ก็ออกแต่เช้าไปดู เห็นอะไร ๆ กลับมาแล้วก็มาเตือนพวกขุดคลอง เมื่อเช้านี้กลับไปดูอีก ควรจะได้เตือนตรงไหน ๆ อีก ออกไปแต่เช้าเมื่อเช้านี้ ตรงหน้าทางโน้นน่าจะได้ทำสะพานอีกนะ เห็นเขาทำถนนติดมากับกำแพงเรา คลองเราขุดมานี้ก็แน่ใจแล้วว่าจะต้องทำสะพานข้ามไปหาโน้น ถนนก็บ่งบอกมาแล้ว เรายังไม่ได้ถามท่านปัญญา หากเป็นความแน่ใจว่ายังไงต้องเป็นสะพานจนได้ ไปดูมาแล้วคอยแนะนั้นแนะนี้ให้เขาทำตามนั้น ๆ อะไรที่ขัดข้องก็ปรึกษากับท่านปัญญา เพราะส่วนใหญ่เรามอบให้ท่านปัญญาหมดแล้ว เราจะคอยไปดูอะไร ๆ เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับไร่กับนาเขาที่ควรจะดัดแปลงของเราให้เข้ากับนาเขาได้ยังไง เช่นอย่างทางถนนนี้เหมือนกัน อันโน้นก็เหมือนกัน ทางโน้นก็มีทางเข้า ทีนี้ก็เป็นปัญหาอยู่ที่ถนนมาตรงนี้ คงจะทำสะพานที่นี่แห่งหนึ่ง

พอไปเมื่อเช้านี้เราไปเจอเอาอย่างจัง ๆ กุฏิหลังนี้ใครเป็นคนปลูกขึ้นสร้างขึ้น กุฏิหลังหน้าศาลาเรานี้ เราไปเห็นเมื่อเช้านี้กำลังเอากระเบื้องอะไร เข้าใจว่าเป็นกระเบื้องมาจากชั้นเทวดาหรือชั้นพรหมโลกเอามาปูอวดมนุษย์เรา กำลังลงกระเบื้องแผ่นขนาดนี้ ๆ เราเดินไปเห็นเลยเข้าไปดู กำลังปูกระเบื้องนะ คือพื้นที่ที่ลาดซีเมนต์ก็เรียบร้อย ก็นับว่าสูงพอแล้ว มันเลยวงกรรมฐานอยู่แล้ว วงธรรมของผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียว  เท่าที่ทำมาแล้วเราก็อนุโลมแบบหูหนวกตาบอดไป มันก็ค่อยคืบคลานเข้ามา เหยียบเข้ามา ๆ พวกส้วมพวกถาน ค่อยเหยียบเข้ามา ๆ เหยียบธรรมละซี ธรรมเป็นยังไงเขาไม่เห็นนี่ ส้วมถานเขาเคยพอกพูนกันมาแล้วทั่วโลกดินแดน มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร มีแต่ส้วมแต่ถานในสายตาของธรรม ฟังให้ดีวันนี้น่ะ กระเทือนมาแล้วเมื่อเช้านี้ เราตั้งไปดูจริง ๆ  โฮ้ นี่เป็นความคิดความเห็นอย่างนี้ ๆ เอามาเทียบเคียงกับเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นอย่างนั้น ๆ เอามาเทียบ

คือกุฏิหลังนี้เราก็มองเห็นแล้วหลังเดี่ยว ๆ อยู่นั้น เขาทำทุกอย่างเราก็ดู ก็ไม่ขัดอะไรมากนัก ทนเอา ขัดธรรม ธรรมเป็นแบบฉบับที่ราบรื่นดีงามเหนือโลกทั้งปวง คือธรรม อันนี้มันก็ซอกแซกซิกแซ็กไปตามภาษาของมันในวงวัฏจักร ในวงของส้วมของถาน เอาให้มันยันกัน ไม่มีใครพูดในปัจจุบัน มีแต่หลวงตาบัว จะว่าบ้าก็ว่าเถอะ สามแดนโลกธาตุนี้คือถังขยะในสายตาของธรรม คำว่าธรรมของพระพุทธเจ้า องค์ศาสดาที่มาสอนธรรมอยู่เวลานั้น จากนั้นแล้วก็เป็นธรรมล้วน ๆ เป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุ เหนือทุกอย่างในโลกธาตุไม่มีอะไรเสมอเลย เพราะฉะนั้นโลกทั้งหลายที่เป็นเรื่องแห่งวัฏวน จึงเรียกว่าเป็นส้วมเป็นถานโดยไม่สงสัยในสายตาของธรรม

เราออกไปดู ทำอันนั้นบ้าง ทำอันนี้บ้าง เราดูเมื่อไม่ขัดอะไรมากนักก็อนุโลมไป นิ่งๆ เฉย ๆ ไป แต่เมื่อเช้านี้ไปลาดซีเมนต์แล้ว กุฏิหลังนี้พื้นข้างบนก็สูงแล้ว ข้างล่างก็ลาดซีเมนต์แล้ว เราก็นึกว่าเรียบร้อยแล้วเต็มภูมิของส้วมของถานแล้วกุฏิหลังนี้ ฟาดไปนี้มันยังจะประดับส้วมถานเข้าอีกให้เป็นอะไรอีก อันนี้มันยังไม่เหม็นพอ จะเอาให้มันเหม็นกว่านี้ จะว่าอย่างนั้นกระมัง ปูอะไรขึ้นมาอีกแผ่นแค่นี้ ๆ กำลังปู วางสายยาวมา เราก็ไปดู วันนี้ก็จะต่อ ปูพื้นนี่ให้เลื่อมพั่บ ๆ นี่เลื่อมขี้เข้าใจไหม เรื่องส้วมเรื่องถานมันเลื่อมพั่บ ๆ

พอพูดอย่างนี้ก็เข้ากันได้แล้วกับที่พูดว่า ทำไมจึงอัศจรรย์มากนัก เข้าใจไหม นี่ละมันเลื่อมพั่บ ๆ อย่างนี้เข้าใจหรือ ไปดูแล้วเลื่อมพั่บ ๆ ใครมาดูก็จะว่าสวยงามหมดละ กำลังจะทำให้เลื่อมพั่บ ๆ ขึ้น อยู่ใต้ถุนกุฏินั่นละ จิตมันปั๊บเข้าหากันเลย ที่ว่าเลื่อมพั่บ ๆ เลื่อมอย่างนี้ วัฏวนมันเลื่อมพั่บ ๆ สวยงามอย่างนี้ ๆ ใครมาเห็นก็อัศจรรย์ กุฏิหลังนี้สวยงามมาก ๆ เข้าใจเหรอ ธรรมธาตุปุ๊บเข้ามานี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย มีแต่ส้วมแต่ถานไปหมดเลย เทียบกันแล้วเป็นอย่างนั้น

เราไปเห็นแล้วอย่างอนุโลมก็คือว่าบอกให้รื้อออก ถ้าไม่อนุโลม เอาให้เต็มยศก็คือเอาไฟเผาเลยกุฏิหลังนี้ อย่าให้มันเหลือซากอย่างนี้อยู่มันจะเหยียบธรรมพระพุทธเจ้าไม่ให้มีเหลือในโลกเลย ธรรมที่เลิศเลอเหนือโลกธาตุนี้ขนาดไหนทำไมถึงไม่ดู นี่เรียกว่าอนุโลม ให้รื้อออก ที่กำลังเริ่มปูให้รื้อออก ถ้าไม่รื้อออกให้เอาไฟเผาเลยอย่าให้มีเหลือ มันจะทำลายธรรมของพระพุทธเจ้าที่เลิศเลอ ที่โลกทั้งหลายกราบไหว้บูชาอยู่ให้ฉิบหายไปหมด จะไม่มีเหลือ นี่ละเรื่องของกิเลสมันเหยียบย่ำทำลายขึ้นมา เจ้าของไม่รู้นะ เราจะไปตำหนิติเตียนผู้ทำไม่ได้นะ มันหากเป็นอยู่ในหัวใจ มันหากมีเครื่องกล่อมของมันให้เข้าใจว่าอันนั้นสวยอันนี้งามๆ สวยงามของกิเลสคือส้วมคือถาน สวยงามไม่มีสิ้นสุด สวยงามไปเรื่อย ๆ ดูซิตึกรามบ้านช่องกี่ห้องกี่หับประดับประดาตกแต่ง มีแต่ประดับตกแต่งส้วมถานทั้งนั้น ๆ ในสายตาของธรรม เอาท่านทั้งหลายฟังให้ดี

ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหนที่มาสอนโลกอยู่เวลานี้ เวลานี้พวกมูตรพวกคูถกำลังเหยียบย่ำทำลายธรรมให้จมลง ๆ มันจะขึ้นครอง มีแต่ขี้เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสารเวลานี้นะ นี่ละดูเอาซี เราสลดสังเวชนะไปเห็นแล้ว อย่างเมื่อเช้าไปดู ยืนพินิจพิจารณาดู อำนาจของกิเลสกับเรื่องธรรมไม่มีอะไรมาวัดกัน กิเลสมันก็ออกหน้าออกตาไปเรื่อย ๆ ของมัน อันนั้นสวยอันนี้งามไม่สิ้นสุดนะ ความสวยของกิเลสไม่มีสิ้นสุด ประดับประดาตกแต่งเรื่อยไม่มีคำว่าสิ้นสุดเลย เอากระทั่งตายจมไปก็ไม่สิ้นสุด ธรรมปุ๊บเข้ามาเท่านั้นพอหมด เรียบวุธไปหมด เหนือทุกอย่าง นี่ละที่ว่ากองขี้ควายเข้าใจไหม ที่ไปดูเมื่อเช้านี้ เทียบกับธรรมปั๊บอันนี้เป็นกองขี้ควายแล้ว อันนั้นเป็นยังไงดูซิน่ะ มันเหนือกันขนาดไหน เราไปดูพินิจพิจารณา

แล้วก็มักจะทำเวลาเราไม่อยู่ หรือมันค่อยด้านเข้า ๆ อยู่ไม่อยู่ก็ทำเรื่อยไป ส่วนมากเวลาเราไม่อยู่จะซอกแซกทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะเราอยู่เราไม่ส่งเสริมในเรื่องวัตถุการก่อสร้างทุกอย่าง มันเป็นส้วมเป็นถานสำหรับผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์หรือเพื่อธรรมอันเลิศเลอ มันเป็นส้วมเป็นถานทั้งนั้นว่างั้นเลย มันห่างไกลกันขนาดนั้นกับธรรมพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจึงค่อยเตือน ๆ ถ้ามันควรจะหนักก็หนัก อย่างนี้แหละ วันนี้ได้ออกเสียแล้วเรื่องส้วมเรื่องถานเพราะดูมานาน ส้วมถานเจาะจง ที่บอกธรรมดาส้วมถาน ก็บอกธรรมดากว้าง ๆ ไป อันนี้มันเข้าเจาะจงแล้ว ไปประดับประดามูตรคูถให้มันสวยงามขึ้น จะให้มันเหม็นหรืออะไรเขาไม่สนใจแหละ มีแต่ว่าสวยงาม ๆ เรื่อยเลย ไปดูเมื่อเช้านี้ มันดูไม่ได้แล้ว ส่วนมากจะทำเวลาเราไม่อยู่

ชอบซอกแซก เรื่องกิเลสนี่ชอบมากนะ ซอกแซกทำนั้นทำนี้ ที่ไหนหรูหราฟู่ฟ่าไปหมดแหละแถวนั้น ต่อไปเดี๋ยวจะรุกเข้าไปข้างในอีก มันเป็นอย่างนั้นนะมันถอยเมื่อไรกิเลส มักหากคืบหากคลานเข้าไป พอหลวมมือ ๆ สอด พอหลวมแขน ๆ สอด กิเลสไม่ถอยง่าย ๆ นะ ดื้อด้านไม่มีอะไรเกินกิเลส ซึมซาบเข้าไปหมดนะ จึงได้ไปดูเมื่อเช้านี้ ใครที่ไปปูไว้ให้รื้อนะที่กุฏิหลังนั้นน่ะ เป็นใครปลูกกุฏิหลังนั้น ใครเป็นคนปลูกขึ้น โห ประดับประดาตกแต่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ยังไม่สิ้นสุด นี่กำลังปูกระเบื้องอีก จะให้สวยงามยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ ต่อจากนี้ถ้าไม่รื้อแล้วก็ให้เอาไฟเผาให้หมดกุฏิหลังนี้ อย่าให้เหลือซากอยู่เลยนะ มันดูไม่ได้ในสายตาของธรรม มันจะคืบคลานไป มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มวัดเต็มวา ไปที่ไหนหรูหราฟู่ฟ่าด้วยวัตถุอันเป็นมูตรเป็นคูถของกิเลสนั่นแหละ

ธรรมแท้มันไม่ได้เห็น มันไม่สนใจนั่นซี ดันไว้ต้านไว้มันก็ยังไม่รู้ ๆ วันนี้จึงเอาให้หนักเข้าไปอีกแล้ว บอกถ้าไม่รื้อให้เอาไฟเผาเลย อย่าให้มันขวางตานะ โฮ้ มันทุเรศจริง ๆ อำนาจของกิเลส ทั้งโลกมันเป็นอย่างนั้นจะให้ว่ายังไง เราพูดอย่างนี้ก็เหมือนเราเป็นบ้าคนเดียว ฟังซิ บ้าก็บ้าเถอะบ้าอย่างนี้ ว่าอย่างนั้นนะ มันไม่ได้ถอยใครแหละบ้าอย่างนี้ ตกแต่งนั้น ตกแต่งนี้ มีแต่เรื่องตกแต่งส้วมถานนะ ไปอยู่ที่ไหนก็อันนั้นไม่ดีอันนี้ไม่ดี หาลูบหาคลำ หาเกาตั้งแต่ส้วมแต่ถาน หัวใจมันดีดมันดิ้นอยู่เพราะความเดือดร้อน ตัวส้วมตัวถานเข้ามาเหยียบหัวใจ จนกระทั่งดีดดิ้นไม่มีวันมีคืนทุกแห่งทุกหนเต็มไปหมด สัตว์โลกอยู่ที่ไหนไฟคือกิเลสอยู่ที่หัวใจ เผาอยู่ที่นั่น ๆ มันไม่ดูที่ว่านี่นะ

ถ้าไปอยู่ก็ตกแต่งตรงนั้น ตกแต่งตรงนี้ ในครัวนี้ก็เหมือนกันเราก็ดู แต่ไม่ทราบว่าเราดูนะเพราะเราไปเราก็ไปตามประสีประสาเซ่อ ๆ ซ่า ๆ ไป ส่วนมากจะดูตั้งแต่กระจ้อนกระแต ไม่ค่อยสนใจกับอะไรแหละ คือเห็นกระแตนี่รักเมตตาเป็นพิเศษอยู่นะ ไอ้พวกที่ไปปลูกไปสร้างอะไรแล้วตกแต่ง มันทำกระต๊อบก็ตกแต่งกระต๊อบ มีเสื่อหมอนมันก็ตกแต่งเสื่อหมอน มีอะไร ๆ ตกแต่งหมด ไปดูเอาซิ  เรื่องของกิเลสมันมีของมันอย่างนั้นตลอด แล้วจะตำหนิใคร เจ้าของไม่รู้นี่ว่าไง มีแต่ตกแต่งเรื่อย ๆ สมมุติว่าหมอนขาด มันนอนไม่หยุดไม่ถอยจนหมอนแตกหมอนขาด ตกแต่งใหม่คือเย็บหมอนใหม่ เข้าใจไหม มันตกแต่งอยู่นั้น โหย มันน่าทุเรศนะ

ธรรมนี่เวลามันขึ้นมาแล้ว เหล่านี้จะเห็นเป็นฟืนเป็นไฟไปหมดนะ อำนาจของธรรมได้ขึ้นมาแล้ว เหล่านี้เป็นฟืนเป็นไฟเป็นส้วมเป็นถาน เริ่มเป็นลำดับ ๆ ไป ธรรมะสามารถเท่าไร มีความละเอียดแหลมคมเท่าไรยิ่งเห็นโทษของมันหนักเข้า ๆ นี่ละผู้ที่ท่านเดินทางด้านปัญญาอัตโนมัติแล้วเป็นอย่างนั้น คือเห็นชัดเจนเข้า ๆ  เรื่องส้วมเรื่องถาน เรื่องฟืนเรื่องไฟเรื่องมหาภัยของวัฏจักร มันจะเปิดจ้าขึ้นมาด้วยสายตาของสติปัญญาอัตโนมัติ หรือมหาสติมหาปัญญามันจะจ้าไปหมด ๆ เห็นไปหมด ๆ ทีนี้ปัดออก ๆ ก็ถีบขึ้นเรื่อย ๆ นั่นละที่ท่านผู้ทำความเพียรถึงขนาดที่แสดงไว้ว่าฝ่าเท้าแตก คือไม่มีวันถอยเลย จะบืนออกจากฟืนจากไฟนั้น เป็นอย่างนั้น

ให้ฟังเสีย คำนี้ใครพูดที่ไหนในประเทศไทยเรานี้ หลวงตาบัวไม่ได้คุยนะ หลวงตาบัวเอาธรรมออกมาพูด ดูแล้วจึงค่อยพูดไม่ได้มาอุตรินี่นะ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ดังที่เคยพูดให้ฟัง เวลาไปเดินชมเชยสรรเสริญเจ้าของ เยินยอเจ้าของอยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้า เราไม่ได้ลืม ไปเดินจงกรมอยู่ตั้งแต่ยังไม่สว่างทางด้านตะวันตก วัดดอยธรรมเจดีย์ นั้นเป็นเดือน ๓ ทีนี้จิตมันสง่างามมันสว่างไสว จิตนี่มันว่างไปหมดเลย แม้ที่สุดมองดูต้นไม้ภูเขา ภูเขาทั้งลูกนั้นมันก็เพียงเป็นราง ๆ เท่านั้น จิตมันทะลุไปหมด ๆ มองดูเจ้าของมันก็ทะลุไปแบบเดียวกัน มีแต่ความสว่างจ้าอยู่งั้นตลอด ทีนี้มันก็อดไม่ได้ซิ โอ้โห จิตเรานี้ทำไมถึงได้สว่างไสวเอานักหนา อัศจรรย์เอานักหนานา ยืนรำพึงนะ

คือมองไปไหนมันจ้าไปหมดเลย นี่ละส้วมถานของอวิชชา เอาฟังให้ดี นี่ละส้วมถาน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อวิชชาเป็นกษัตริย์วัฏจักร นี้ส้วมถานของอวิชชาตัวสุดท้าย มันหลอกได้ขนาดมหาสติมหาปัญญาหลงมันนะ จิตลงขั้นมหาสติมหาปัญญาเผลอที่ไหนเมื่อไร แต่อันนั้นมันยังละเอียดเข้าไปอีก ยังเหนือสติปัญญาอันนี้อีกอยู่ ยังไม่รู้นะ ยืนชมเชยเจ้าของอยู่นั้นเสียจน ทีนี้พระธรรม นั่นเห็นไหม พระธรรมท่านเหนือกว่าธรรมชาติที่เราอัศจรรย์เยินยอสรรเสริญมันอยู่นั้น พระธรรมท่านก็เตือนออกมา กลัวหลง ขึ้นมาในใจนี่ ยืนรำพึง ออกมาเป็นคำพูดเป็นคำ ๆ ออกมา จะว่าเป็นเสียงก็ไม่ใช่นะ เป็นเสียงเป็นคำอยู่ในหัวใจนั่นแหละ พูดง่าย ๆ ออกมาว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นละท่านเตือนแล้วนะ

จุดก็คือจุดอันสว่างไสวอยู่ในหัวอกเรานี้แหละ เราไม่รู้ว่ามันเป็นจุดละซี ท่านเตือนเข้ามาตรงนี้ ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ตัวนี้แหละตัวภพ เราก็ยังงงไปอีก ดูซิน่ะ เก่งไหมอวิชชา นี่ละมันหลอกวาระสุดท้าย ถึงขนาดอัศจรรย์อวิชชาที่สว่างไสวนี้ สว่างไสวของอวิชชา คือกษัตริย์วัฏจักร ได้แก่อวิชชา นี้เป็นสุดท้ายของอวิชชาที่หลอก สว่างขนาดนั้น เห็นไหมรู้ตัวเมื่อไร พระธรรมท่านมาเตือนบอกว่า ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ก็คือจุดของดวงสว่างนี่แหละ มันก็ไม่รู้ เอ๋ มันจุดยังไง ต่อมยังไงน้า หลงไปอีก นี่เดือน ๓ อยู่วัดดอยธรรมเจดีย์ แบกความสงสัยสนเท่ห์นี้ไปอีกเข้าภูเขา ไปอำเภอบ้านผือ ศรีเชียงใหม่

แต่ก่อนไม่มีอำเภอศรีเชียงใหม่ มีแต่อำเภอบ้านผือ อำเภอท่าบ่อ เข้าไปลึก ๆ โน่นไปอยู่ในภูเขา เขาเรียกถ้ำผาดักหรืออะไร จนกระทั่งเริ่มเดือน ๖ ถึงกลับมาจากโน้นอีก กลับมาก็ขึ้นภูเขาลูกนี้อีกแหละ วัดดอยธรรมเจดีย์ คราวนี้เป็นเดือน ๖ แบกความสงสัยจุดต่อมอันนี้ไปโน้นแล้วกลับมาอีก มาคราวนี้จึงได้มาเข้าใจ พูดให้มันเต็มยศที่ว่า การที่เราหลงมันแล้วกลับมาม้วนเสื่อมัน มาล้างแค้นมัน ว่างั้นก็ได้ กลับมาเดือน ๖ คราวนี้กลับมาล้างแค้นกัน แต่ไม่มีเจตนานะ พูดให้มันถึงใจว่างั้นเถอะน่ะ เราหลงก็หลงเสียจนขนาดนี้ จนธรรมท่านเตือนขึ้นมามันยังไม่ยอมรับ แบกไปถึงอำเภอบ้านผือ ท่าบ่อ เลยเข้าไปถ้ำผาดัก อยู่คนเดียวทั้งนั้นนะเหล่านี้ ประมาณเริ่มเดือน ๖ ละมังจึงกลับมาจากนู้น

มาคราวนี้ขึ้นภูเขาวัดดอยธรรมเจดีย์อีก นี่ละคราวที่ไปแก้แค้นกัน มันแก้แค้นสำเร็จในคืนแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ตื่นเช้าขึ้นมาก็เป็น ๑๕ ค่ำ เป็นวันอุโบสถ ลงอุโบสถแล้วเราก็ออกจากวัดดอยธรรมเจดีย์มาวัดสุทธาวาส เราไม่ลืมนะ แรม ๑๔ ค่ำ ถึงได้มาแก้แค้นกันตรงนั้น นั่นเห็นไหมล่ะ นี่ละกองขี้ควาย ทีแรกเราว่าอัศจรรย์ ๆ  บทเวลาธรรมอันนี้ได้ขึ้นผึงนี้ สิ่งที่ว่าอัศจรรย์กลายเป็นกองขี้ควายไปหมดเลย เห็นไหม เป็นอย่างนั้นละ เหนือกันขนาดไหน จึงมาตำหนิสิ่งที่เรายกยอสรรเสริญสุดหัวใจว่าเป็นกองขี้ควาย ธรรมนั้นสูงขนาดไหนฟังซิน่ะ นี่ละมันได้รู้กันอย่างนี้ มาเห็นนี้มันจึงสะดุดใจกึ๊กเลย นี่เขาก็ตกแต่งให้สวยให้งาม กิเลสมันต้องการสวยงาม มันตกแต่งนี้แล้วยังจะตกแต่งอีกนะนั่น ถ้าสมมุติว่าไม่มีใครเตือนยังจะตกแต่งอีก เรื่อย ๆ ตกแต่งขี้กองนั้นแหละ ให้มันสวยงามของมันนั่นแหละไปเรื่อย ๆ

พอดีเราไปเห็นเสีย วันนี้ไปเห็นแล้ว นี่ละเป็นยังไง พูดให้เต็มยันตามหลักธรรมชาติแห่งความจริงจึงเรียกว่าภาษาธรรม ไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามอะไร พูดตามหลักความจริง ธรรมกับวัฏจักร ธรรมธาตุกับวัฏจักรนี้ เทียบกันแล้ววัฏจักรนี้เท่ากับมูตรกับคูถ กองส้วมกองถานเต็มไปหมด วัฏจักรเป็นอย่างนั้น ธรรมธาตุนั้นเหนือแล้วถึงได้มาตำหนิอันนี้ว่าเป็นกองมูตรกองคูถ เวลามันอยู่ด้วยกันมันก็ไม่เห็น พ้นออกไปแล้วมันก็เห็น

การตกแต่งนี้กิเลสไม่มีพอนะ ใครไปอยู่ที่ไหนก็ตามเถอะ จะตกแต่งอะไรให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่มีความสิ้นสุดว่าแค่ไหนมันดีมันพอ ไม่มี มีแต่ให้ดีเรื่อย ตกแต่งเรื่อยอยู่งั้น เรื่องกิเลสหาความพอไม่มี มีแต่ดูดแต่ดื่มไปเรื่อย ๆ ถ้าธรรมพอเป็นระยะ ๆ พอถึงขั้นพอตัวเต็มที่แล้วพอ นี่ละพากันจำเอาบ้าง หลวงตาตายแล้วไม่มีใครมาพูดอย่างนี้นะ จะไม่มี เวลานี้ก็มีแต่หลวงตาองค์เดียวพูดนี้แสลงหูส้วมหูถานเต็มโลกเต็มสงสาร ไม่อยากบอกว่ามันแสลงหูผู้หูคน เราอยากจะว่าแสลงหูส้วมหูถาน ให้มันถึงใจกับธรรมอันนี้ ที่กำลังรื้อขึ้นไปหาธรรมอันนั้น พูดอย่างนี้เป็นการดูถูกหรือ กำลังลากขึ้นไปนู้น ยังจะว่าดูถูกอยู่เหรอ นี่ละเป็นอย่างนั้น

ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหน เวลานี้ตีบตันเข้าไป กิเลสมันพอกมันพูน ใครอยู่ที่ไหนมีแต่ส่งเสริมกองมูตรกองคูถ ให้สดสวยงดงามยิ่งขึ้น ๆ เหยียบธรรมลงไป ๆ ด้วยความหาประมาณไม่ได้ในการส่งเสริม กิเลสชอบส่งเสริม ชอบยกยอ ยกยอเท่าไรหาความสิ้นสุดแห่งความยกยอไม่มี คือเรื่องของกิเลส ไม่มีอะไรพอ ถ้าลงกิเลสได้สวมเข้าไปเป็นเจ้าของแล้วไม่พอทั้งนั้น นี่เราพูดให้ฟังชัด ๆ ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหน ปฏิบัติให้มันรู้ซิ

คิดดูซิอย่างที่ว่าอัศจรรย์ตัวเองถึงขนาดนั้น มันไม่น่าอัศจรรย์ น่าชมเชยจะชมเชยหรือคนเรา ใช่ไหม มันก็น่าชมเชยเต็มหัวใจ มันต้องชมเชย ขึ้นอุทานเสียด้วยนะ โอ้โห ๆ จิตดวงนี้ทำไมถึงสว่างไสวขนาดนี้เชียวนา  มองไปที่ไหนมันทะลุไปหมดเลย ว่าง ยังต้องเอาประจักษ์ต่อหน้าอีก เอาหินก้อนใหญ่ ๆ นี้ มองไปนี้ทะลุผึงเลย หินก็เป็นเหมือนเงา ๆ จิตมันทะลุ มองลงแผ่นดินทะลุ แล้วแผ่นดินเลยกลายเป็นเงา ๆ ไป มันของเล่นเมื่อไรจิตดวงนี้ ดวงที่ว่าเป็นส้วมเป็นถาน

ทีนี้บทเวลาธรรมธาตุผางขึ้นมาเท่านั้น พรึบหมดเลย อันนี้เลยกลายเป็นกองขี้วัวขี้ควายไปหมด ความรู้ความเห็น ความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ในวงของ อวิชฺชาปจฺจยา เป็นกองมูตรกองคูถไปหมด เป็นกองขี้ควายไปหมด อันนั้นเป็นยังไง ฟังซิ มันเหนือกันขนาดไหน ไม่ควรตำหนิ ๆ ได้ยังไง แต่ก่อนยอมันเสียจน ไม่รู้ตัวเลย ทีนี้บทเวลาได้เห็นธรรมชาติที่มันเทียบกันแล้วมันดูไม่ได้ว่างั้นเถอะน่ะ บอกได้ว่ากองส้วมกองถานเท่านั้น พอดูได้ฟังได้ กองทุกข์เต็มตัว ๆ กองส้วมกองถานนี้กองทุกข์เต็มตัว ธรรมชาตินั้นไม่มีทุกข์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ไม่มีทุกข์ หมดโดยประการทั้งปวงไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย ตั้งแต่ขณะที่กิเลสซึ่งเป็นตัวสาเหตุสร้างทุกข์ขึ้นมาพังลงไปจากหัวใจเท่านั้น พระอรหันต์ท่านจึงไม่มีความทุกข์

คำว่าบรมสุขนั้นก็สุขเหนือโลกไปเสีย เราตั้งว่าบรมสุขคือสุขอย่างยิ่ง นี้ก็เป็นการคาด อันนั้นเหนืออีกนะ ฟังซิ เหนือขนาดไหน ธรรมพระพุทธเจ้าเลิศขนาดไหน ให้มันเห็นประจักษ์ตาของเราจะไปหาพยานมาจากไหน สามแดนโลกธาตุนี้มันก็ไม่เคยหวั่นกับอะไร ก็เหมือนกับคนตาดีเพียงคนเดียว ดูคนตาบอดเต็มศาลา เขาจะมาโจมตีคนตาดีว่าอะไรก็ตาม แต่เขามันคนตาบอดทั้งนั้น เราจะไปถือสีถือสาเอามาเป็นพยานได้ยังไง ก็คนตาบอด เราเห็นไม้ต้นนี้เสาต้นนี้ เราคนเดียวเห็น เขาปฏิเสธกันหมด ใต้ถุนศาลานี่ไม่เห็น มีแต่หลวงตาผีบ้าองค์เดียวนี้เห็นต้นเสา พวกเราไม่เห็น พวกเรานะ พวกตาบอดเขาจับมือกันโจมตีเรา ทั้ง ๆ ที่เขาตาบอดกันทั้งหมด นั่นละพระพุทธเจ้าตรัสรู้เพียงองค์เดียวเท่านั้น ขนาดไหนก็เหมือนกัน ไม่มีความหมาย พระอรหันต์ตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมา สิ่งทั้งหลายไม่มีความหมาย อันนี้ผึงเดียวไม่ต้องหาใครมาเป็นพยาน อันเดียวพอแล้วๆ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ให้พากันตั้งหน้าตั้งตา

สติปัญญาตกแต่งให้ดีนะ สิ่งที่จะตกแต่งพระพุทธเจ้าก็สอนหมด ตกแต่งความพากความเพียร ให้ขยันหมั่นเพียรอุตส่าห์พยายาม ใช้ความพินิจพิจารา เรียกว่าตกแต่ง สติตั้งให้ดี นี่เป็นสิ่งที่จะตกแต่งให้พ้นจากธรรมชาตินี้ เข้าใจเหรอ เราเสริมขึ้น ๆ อะไรก็ตามเมื่อเสริมแล้วมีกำลังขึ้นด้วยกัน ทางชั่วก็มีกำลัง ทางดีก็มีกำลัง นี่เราเสริมในทางที่ดีมีกำลังเรื่อย ๆ ให้ส่งเสริมในอรรถในธรรม อย่าไปหาส่งเสริมแต่เสื่อแต่หมอน พูดไปไหนมันก็ไม่พ้นเสื่อพ้นหมอน คือมันติดคออยู่กับทุกคน นั่งอยู่นี่ว่าไม่มีเสื่อมีหมอนเหรอ มันเป็นอย่างนั้นนะ พิลึกพิลั่นจริง ๆ น่าท้อใจจริงๆ อย่างพระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย ไม่ท้อยังไง หัวใจดวงเดียวกันเห็นมันก็รู้เหมือนกัน เป็นแบบเดียวกัน

ก็ฟังซิ อย่างที่เราก็เคยพูด เราก็ตัวเท่าหนู ทำไมพูดออกมาได้ ก็หัวใจมันเต็มดวงเหมือนกันที่มันรู้ พระพุทธเจ้าเป็นราชสีห์ก็เต็มภูมิราชสีห์ หนูก็เต็มภูมิหนู ทำไมจะยันออกมาไม่ได้ เป็นสักขีพยานซึ่งกันและกันไม่ได้ เวลาเต็มขึ้นมาในหัวใจเห็นหมด ตาช้างตาใหญ่ ๆ มันก็เห็นเต็มตัวของมัน ตาหนูตัวเล็ก ๆ มันก็เห็นเต็มตัวหนู หนูจะไปยืมตาช้างมาใช้ไม่ได้นะ ช้างจะไปยืมตาหนูมาใช้ก็ไม่ได้ ต่างตัวต่างเต็มภูมิด้วยกัน นี่ละหัวใจกับธรรมเต็มภูมิด้วยกันแล้วพระพุทธเจ้ากับสาวกก็เต็มตัวด้วยกัน ตามภูมิของตน ๆ นี่มันก็เป็นอย่างนั้น

ทีนี้ก็ย้อนเข้ามาหาจุดที่มันเป็นที่ว่า ฟ้าดินถล่ม นี่มันเคยเป็นเมื่อไร เอาจนน้ำตาพังไม่รู้ตัวเลย พราก ๆ เหมือนฟ้าดินถล่ม มันเป็นอยู่ในจิต ส่วนฟ้าดินเขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้นแหละ แต่เวลานี้มันกระเทือน มันอยู่ที่นี่เหมือนฟ้าดินถล่มเลย นี่ละอวิชชาตัวมหาภัยที่บีบบี้สีไฟให้ความทุกข์ทรมานต่อสัตว์ทั้งหลายพาให้ตกนรกหมกไหม้ ตายกองกันอยู่นี้มาตั้งกัปตั้งกัลป์คือตัวนี้กดอยู่ที่จิต พอตัวนี้พังทลายลงไปเท่านั้น จิตดีดผึง นั่นแหละฟ้าดินถล่มตรงนี้ พอเวลามันไปเต็มที่แล้ว เอา นี่สรุปความมา แล้วมองดูโลกนี้เราเคยเกิดเคยตายมาสักเท่าไรมันสงสัยที่ไหน แต่ก่อนมันไม่เห็น ทีนี้มันเห็นจะว่าไง โลกนี้เคยตายกองกันมาสักเท่าไรๆ แต่ก่อนมันไม่เห็น ปิดรอยตัวเองมา ทางนี้ปิดรอย ๆ ไม่เห็นๆ สุดท้ายก็ว่าตายแล้วสูญ

ตายกองกันมาสักกี่กัปกี่กัลป์ มันยังลบได้ว่าตายแล้วสูญเพราะมันไม่เห็นร่องรอยที่มา ทีนี้เวลามันจ้าขึ้นมามันเห็นหมด แล้วจะไปลบร่องรอยเจ้าของได้ยังไง เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วท้อใจ โถ โลกเป็นอย่างนี้เหรอ เป็นฟืนเป็นไฟมากี่กัปกี่กัลป์ เป็นฟืนเป็นไฟเพราะอำนาจแห่งกรรมชั่ว กรรมดีพอชโลมพอพยุงกันไปๆ แก้กันไปเหมือนโรคกับยากับหมอ คอยแก้กันไป ถ้าโรคแบบไอ.ซี.ยู ไม่สนใจกับอะไร นี่พวกปทปรมะ ไม่เชื่อบุญเชื่อบาป แล้วพวกนี้คือพวกนั้นเอง ไม่มีวันมีคืนที่จะหลุดพ้นไปได้ พวกเชื่อบุญเชื่อบาปทำคุณงามความดี เอ้าทุกข์ เวลาทุกข์ ๆ ความดีมีอยู่จะต้านทานกัน บรรเทากันมีอยู่ เวลามีมากขึ้น ๆ ก็ปัดทุกข์ออก ๆ ผึงได้เลย ด้วยอำนาจแห่งความดี

ทีนี้ก็พูดย้อนเข้ามาหาที่ว่านี้อีก ไม่ต้องไปหาดูอย่างงั้น มันจ้าอยู่นี่ มันเห็นไปหมดเลย ทีนี้เวลามันเป็นเต็มที่แล้ว โอ้โฮ ธรรมะลงขนาดนี้แล้วจะไปสอนใครได้ นั่นฟังซิ มันเป็นอยู่ในนี้ ลงธรรมขนาดนี้แล้วจะไปสอนใครได้ สอนใครเขาจะหาว่าบ้ากันทั้งโลกเลย เราอยู่ไปกินไป พอถึงวันก็ไปเสียเท่านั้น คือถึงวันตายแล้วก็ไปเสียเท่านั้น ไปสอนให้ลำบากลำบนทำไม ว่างั้นเลย ไม่มีใครยอมรับลงถึงขนาดนั้นนะ ทีแรกบอกว่า ไม่มีใครยอมรับ แล้วสอนก็ไม่มีใครยอมรับ แล้วสอนไปทำไม มันเป็นในจิต รำพึงอยู่ในจิต สักเดี๋ยวก็มีแง่รับกันนะ กำลังจะทอดธุระ สอนโลกสอนไปยังไงๆ ลงขนาดนี้แล้วจะสอนได้ยังไง แล้วใครจะไปรู้ได้เห็นได้ ธรรมชาตินี้มันเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แล้วใครจะไปรู้ได้เห็นได้ สอนใครเขาก็จะว่าบ้า โอ๊ย อยู่ไปกินไปพอถึงวันเท่านั้นก็เอาแหละ ถึงวันตาย สอนไปทำไมให้ลำบาก

สักเดี๋ยวธรรมขึ้นมาอย่างที่ว่า เหมือนมีจุดมีต่อมนั่นแหละ ทีนี้ก็ผุดขึ้นมาปึ๋งเลย ถ้าว่าธรรมประเภทนี้สุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้ ไม่มีใครรู้ได้เห็นได้แล้ว ตัวเราเอง หมายถึงว่าเราเอง เป็นเทวบุตรเทวดามาจากไหนทำไมถึงรู้ได้เห็นได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นี่เข้าจุดนี้ ขึ้นมาทักกันเลย คือทีแรกว่าจะทอดธุระ จะไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร อยู่ไปกินไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นพอ แล้วพระธรรมเตือนขึ้นมา ถ้าว่าธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่สุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้แล้ว เราเป็นเทวดามาจากไหนทำไมถึงรู้ได้ เห็นไหมล่ะ เรารู้ได้เพราะเหตุใด คำว่า เหตุใดคือสายทางมา เข้าใจไหม เช่นอย่างมาวัดป่าบ้านตาด มาเพราะเหตุไร มาเพราะสายทาง ทางมานี้ก็มาตามทาง นี่สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว พอว่าอย่างนี้ยอมรับทันทีเลยทั้ง ๆ ที่จะปล่อยไปหมดจะไม่เล่นกับอะไรแล้ว

ทำไมถึงรู้ได้เห็นได้ เราเป็นเทวดามาจากไหน แล้วรู้ได้เพราะเหตุใด มันก็เป็นสายทาง คือทางดำเนินของเรามาโดยลำดับ ตามสวากขาตธรรมมาถึงที่นี่ รู้ได้ อ๋อ มาตามสายทาง อ๋อ รับทันทีเลย รู้ได้เพราะเหตุใด สายทางจากการปฏิบัติของเรา เราดำเนินมาถึงขั้นนี้ก็มาตามสายทางพระพุทธเจ้าที่สอนไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อพระธรรมทักขึ้นมาว่า ถ้าว่าสุดวิสัยของโลกที่จะรู้ได้เห็นได้ เราเป็นเทวดามาจากไหน เราถึงรู้ได้เห็นได้ สำคัญที่ว่า รู้ได้เพราะเหตุใด ก็คือสายทาง เพราะเหตุไร อ๋อ เพราะเหตุนี้คือธรรม สอนมาดำเนินมา ทีนี้รับเลยนะ ทั้ง ๆ ที่เกือบจะเข้าขั้นเต็มที่ จะปล่อยแล้ว จะไม่เอาอะไรแล้ว พอว่า รู้ได้เห็นได้เพราะอะไร มันก็วิ่งถึงสายทาง ยอมรับ เอาละรู้ได้ นั่นยอมรับ ถึงไม่มากก็ได้ ไม่มีนะปฏิเสธ ก็เราเป็นเครื่องยันอยู่แล้ว เรามาตามสายทาง เรารู้ได้ ผู้ดำเนินมาตามนี้เขาต้องรู้ได้เหมือนกันนั่นซิ ความหมายว่างั้น จึงว่าอ๋อได้ ไม่มากก็ได้ นั่นยอมรับ นี่ละที่ว่าอัศจรรย์ก็อัศจรรย์อย่างนั้น แต่ไม่พ้นวิสัยของมนุษย์เราไปได้ เอาละพอ

 

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก