เมื่อวานนี้ทองคำไม่ได้ ดอลลาร์ได้ ๓๒ ดอลล์ ทองคำยังขาดอีก ๑๔๙ กิโล ๓๒ บาท ๕๖ สตางค์ จะครบจำนวน ๕๐๐ กิโล จะมอบวันที่ ๑๐ นะ เวลานี้รวมทองคำที่ได้แล้วทั้งหมด ๕,๔๑๐ กิโล ยังขาด ๕๐๐ อยู่ ๑๔๙ กิโล ๒๓ บาท ๕๖ สตางค์
วันที่ ๓ โรงหลอมเขาจะหามาให้ครบจำนวน ๕๐๐ กิโลในวันที่ ๓ เขาบอกมาอย่างนั้น นี่เขาคงจะรอเอาทองคำจากเรานี้บ้าง ในส่วนของเขาที่มีอยู่บ้างท่า เราได้เมื่อไรก็เข้าโรงหลอมเลย เราไม่ได้ไปที่ตู้นิรภัย แต่ก่อนเอาไปเก็บไว้ที่ตู้นิรภัย มาระยะหลังนี้จวนทองคำจะเข้าคลังหลวง พอได้มาปั๊บเข้าโรงหลอม ๆ ไปเลยเดี๋ยวนี้ ทองคำที่เราได้แล้ว ๕ ตันเป็นของเล็กน้อยเมื่อไร ๕ ตันกว่าแล้ว เพิ่ม ๕๐๐ กิโลเข้าไป ก็ดูเหมือนจะเป็น ๕ ตัน กับ ๕๐๐ กว่ากิโลไปอีก
(เสียงนกยูงร้องขึ้น) โอ๊ย มันไปได้ทุกแห่ง ไอ้ปุ๊กกี้ ไอ้หยอง นกยูงไปได้ทุกแห่ง นกยูงเหมือนกันไปไหนไปได้ทั้งนั้น เฉย ไม่สนใจกับใคร ระยะนี้ฝนหยุดมันเริ่มมาเที่ยวทางนี้ คือมันโล่ง แต่ก่อนฝนตกรู้สึกจะอากาศมืดทึบ ๆ ตามป่าไม้หนาๆ ไม่ค่อยมา เขาอยู่ทางนู้นทางโล่ง ๆ เวลานี้มีตั้ง ๑๓ ตัวแล้วนะนกยูงเรา มาเรื่อย แล้วแพร่พันธุ์ออกมาเรื่อย เราอยู่ในถ้ำเขาร้องอยู่ข้างบน..นกยูง เหมือนไก่บ้านเราขันยาม พอตัวหนึ่งขันไก่เราก็ขันตามทั่วกันหมด นี่นกยูงก็เหมือนกัน พอตัวหนึ่งร้องขึ้น เดี๋ยวตัวนั้นร้อง เดี๋ยวตัวนี้ร้อง แล้วภูเขาลูกนั้นล้อมรอบมีแต่นกยูง เขาร้องเป็นระยะ ๆ ถ้าเป็นไก่ก็เรียกว่าไก่ขันยาม นกยูงก็ขันยามเหมือนกัน
ปกติเราไม่เห็นเขานะ นาน ๆ จะเจอทีหนึ่ง ๆ อยู่ด้วยกันนั่นแหละ ตอนกลางคืนถึงรู้ว่านกยูงมาก มันร้องเสียงลั่นอยู่บนภูเขา แล้วลั่นไปหมด ภูเขาลูกนี้ลูกไหน ๆ มีนกยูงทั้งนั้น เขาจะร้องเป็นระยะ พอได้ยินเสียงทางหนึ่งร้องขึ้นมา ทางหนึ่งก็ขึ้นๆ ทีนี้ขึ้นทั่วไปหมด แล้วหยุดเงียบไป เหมือนไก่ขันยาม เวลาเราไป เช่นตอนเช้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ลงมาจากภูเขา มองเห็นเขาวิ่งตัดหน้า คือเขาตาดี นกยูงนี้ตาดีมากทีเดียว เรายังไม่เคยเห็นว่า เราได้เจอนกยูงเห็นนกยูงก่อนนกยูงเห็นเรา เห็นทีไรเห็นแต่มันวิ่งไปแล้ว เอ้า นกยูง คือมันเห็นเราแล้วมันวิ่งหนี มันไม่บินแหละ เราเคยเจอมัน ไม่เคยเห็นมันบิน เห็นแต่มันวิ่งไปเฉย ๆ วิ่งตัดหน้า
อยู่ในป่า นี่พูดถึงตั้งแต่ก่อนนะ ทุกวันนี้แม้แต่ป่าก็ไม่มี แล้วสัตว์เหล่านี้จะมีมาจากไหน ไม่มีนะ เขาว่าน่ากลัว ๆ แต่ก่อนเป็นสถานที่น่ากลัวจริง ๆ พวกสัตว์ พวกเนื้อ พวกเสือ อยู่ด้วยกัน คือเสืออาศัยกินเนื้อในป่า เสือมีอยู่ทั่วไปเพราะเนื้อมีอยู่ทั่วไป ที่ว่าน่ากลัว น่ากลัวจริง ๆ มันมีจริง ๆ มันไม่ได้เป็นเสือกระดาษอย่างทุกวันนี้ ทุกวันนี้มีแต่รูปเสือกระดาษ เสือตัวจริงไม่มี หมดนะเสือ เราก็พยายามฟังเสียงข่าวคราวเรื่องเสือที่มันมีมากต่อมาก ว่าใครยิงใครฆ่าที่ไหน ๆ ไม่เคยได้ยิน เงียบไปเลยตาม ๆ กันกับพวกฝูงเนื้อทั้งหลายที่เงียบไปเลย หมด
เสือตามธรรมดานี้เขาฆ่าที่ไหน ข่าวมันจะกระพือมานะ มันจะมาถึงกันรวดเร็ว เช่นอย่างวัดธรรมลี ผาแดงนี่ เขายิงเสือ ฆ่าเสือทางโน้นได้ยินข่าวถึงนี้ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนการคมนาคมไม่สะดวก แต่มันก็ส่งข่าวมาหากันจนได้ เขาฆ่าเสือทีเดียวดังไปหมดเลย เดี๋ยวนี้เงียบเลย ไม่ทราบมันตายไปทางไหน ไม่เห็น ไม่ได้ยินเลย มันก็หมดนั่นแหละ แต่ไม่ได้ยินข่าวเหมือนแต่ก่อน
พระกรรมฐานสมัยพ่อแม่ครูจารย์นี้สมบุกสมบันมากที่สุด ในสมัยปัจจุบันไม่มีใครเกินหลวงปู่มั่นเรานะ อันนี้พิลึกจริง ๆ ท่านไม่ค่อยออกมาตามหมู่บ้านนอก ๆ อย่างนี้ ถ้าว่าหมู่บ้านก็อาศัยหมู่บ้านในป่าในเขา แห่งละสามหลังคาเรือน สี่หลังคาเรือน ท่านไปอยู่กับเขาอย่างนั้น นั่นละป่าเสือป่าเนื้อเต็มไปหมดเลย แต่ท่านก็พูดธรรมดาเฉยๆ ไม่มีลักษณะอาการน่ากลัวให้เห็นเลย ท่านเล่าเรื่องเสือเรื่องอะไรนี้ เล่าธรรมดา สมกับว่าท่านอยู่กับพวกนี้ ว่างั้นเถอะน่ะ ไม่มีใครเกินหลวงปู่มั่น ปฏิปทาเรายกนิ้วให้เลยในปัจจุบัน เทียบกับตำรับตำราในครั้งพุทธกาลท่านแสดงไว้ ท่านเปรี๊ยะเลยเทียวนะ ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีคลาดเคลื่อนเลย แหม เราก็ยังไม่เคยเห็นที่ไหน
ท่านเอาป่าเอาเขาที่สงบงบเงียบ เป็นที่อยู่ที่อาศัยที่หลับที่นอนเป็นประจำเลย ไม่ออกมา เช่น บ้านใหญ่ ๆ อย่างนี้ บ้านสี่สิบห้าสิบหลังคาเรือน ท่านไม่เคยอยู่ ท่านไปอยู่กับพวกในป่าในเขา คนป่าคนเขา อย่างงั้นนะ ท่านอาศัยเขาอยู่เพื่อความสะดวกระหว่างธรรมกับจิตท่าน ได้บำเพ็ญสะดวกสบาย นั่นท่านเอาจุดนั้นนะ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอาศัยเท่านั้น จะไปเอาดิบเอาดีกับเขาไม่ได้ อย่างนี้ สร้างขึ้นกี่ชั้นก็สร้างขึ้นเถอะ ไม่เห็นอะไรมาให้ความสุขแก่คน
แต่ถ้าธรรมแล้วมีมากมีน้อยจะติดแนบอยู่กับจิต ไม่ได้วิตกวิจารณ์ ไม่มีฉากหน้าฉากหลัง กิเลสมี พอมีความรื่นเริงว่า เราได้นั้นมาได้นี้มา สมใจครู่หนึ่ง รื่นเริงสักครู่หนึ่ง เดี๋ยวฉากหลังมาแล้ว ความเดือดร้อนวุ่นวาย ความระแคะระคายสงสัยมันมาด้วยกันแล้ว นี่เรื่องกิเลสฉากหลังต้องแทรกมา ๆ ถ้าธรรมไม่มี ไปอยู่ที่ไหนสบายหมด ท่านเพียงอาศัยเท่านั้น ท่านไม่ได้เอาเป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ เหมือนจิตกับธรรมอยู่ด้วยกัน ท่านอยู่อย่างงั้นท่านอยู่ด้วยธรรมทั้งนั้น ท่านไม่ได้อยู่กับอะไร นี่แหละท่านผู้ทรงมรรคทรงผล ท่านทำอย่างนั้น
ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ตำรับตำรามีมาโดยลำดับ มากางดูแล้วดำเนินตามนั้น อย่างหลวงปู่มั่น โอ๋ย ไม่มีใครคลาดเคลื่อนเลย พูดถึงเรื่องความมักน้อยไม่มีใครเกิน ไม่เอาอะไรทั้งนั้น ใครถวายมาอะไร เอาออกหมดเลยไม่มีเหลือแหละ ถ้าพูดภาษาโลกเรียกว่า ท่านอยู่แบบอดอยากขาดเขินตลอดเวลาในปัจจัยทั้งหลาย ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นมีมา ท่านไม่สนใจ เพราะอันนี้ภาคภูมิอยู่แล้วในใจท่าน นี่ละมีธรรมมันต่างกันอย่างนี้นะ
มีธรรมสมบัติภายในกับสมบัติภายนอก คือมีเงินมีทองข้าวของก็อาศัย เพราะฉะนั้นจึงว่าให้ทราบนะ สมบัติภายนอกเป็นภายนอกที่เราจะต้องอาศัยเป็นกาลเป็นเวลาเมื่อชีวิตลมหายใจยังมีอยู่ พอชีวิตหาไม่แล้วอันนั้นก็พังไปเหมือนกันกับร่างกายเรา แต่จิตกับธรรมนี้ไม่ได้พัง อยู่ที่ไหนท่านถึงอบอุ่น สบาย ๆ นี่แหละธรรมครองใจผิดกันกับกิเลสบีบบี้ เราไม่อยากพูดนะว่ากิเลสครองใจ กิเลสบีบบี้ ธรรมครองใจประคับประคองจริง อยู่ที่ไหนสะดวกสบายหมด ยิ่งกลางคืนดึก ๆ นี่โถ มีแต่ธรรมสง่าอยู่ภายในใจ
ฟังให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย นี่ธรรมมีหรือไม่มี ศาสนามีหรือไม่มี ธรรมมีหรือไม่มี บาปบุญมีหรือไม่มี กิเลสกับธรรมมีหรือไม่มี ฟังให้ดี กิเลสก็อยู่ที่ใจ เกิดที่ใจ กิเลสกวนหัวใจ กวนอยู่อย่างนี้ กวนตลอดเวลา บีบบี้สีไฟ ลากดึงไป อยากให้คิดทางนั้น อยากให้คิดทางนี้ อยากรู้อยากเห็น อยากทุกอย่างอยู่ในกิเลสหมด ไม่มีคำว่าอิ่มพอคือกิเลส มหาเศรษฐีนั่นละเป็นมหาความอยาก เป็นอยู่ในจิตนะ เราจะตำหนิใครไม่ได้ มันเป็นอยู่ในจิต เอาความจริงออกมาพูดกัน ว่าเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้นทั้งนั้น จะเอาอะไรให้พอไม่มี เหมือนไฟรอเชื้อ ไสเชื้อเข้าไปปั๊บแสดงเปลวขึ้นมาแล้ว ไสเชื้อมากน้อยเท่าไรให้ไฟดับด้วยเชื้อไม่มีทาง ไสเชื้อเข้า เรียกว่าเสริมไฟ ๆ ตลอด
สิ่งที่ปรนปรือหรือหามาเพื่อกิเลสนี้ จึงเป็นเหมือนเรามาเสริมไฟ ๆ คนจึงหาความสุขไม่ได้ ถ้าลงกิเลสมันได้พองตัวแล้ว เอามาเพิ่มมันเท่าไรยิ่งมีความทุกข์มากๆ แต่กิเลสมันกลบไว้ ๆ ว่าเขามีความสุขความเจริญ นั่นเห็นไหม กิเลสมันปิดเอาไว้ ธรรมส่องเข้าไปเห็นหมด เชื้อสำคัญ ๆ มันอยู่ภายใน มันแสดงออกมาเป็นเปลวข้างนอก อยู่ข้างใน พอเอาเชื้อไสเข้าไปปั๊บ เชื้อไฟคือฟืน น้ำมัน สาดเข้าไปดูซิน่ะ อยู่ในเตามันก็ฮือขึ้นเลย นี่แหละกิเลสเป็นอย่างนั้น แต่ธรรมนี้เป็นน้ำดับไฟ อยู่ที่ไหนสบาย ๆ
พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ตั้งแต่ท่านออกปฏิบัติมีแต่อย่างนั้นทั้งนั้นตลอด หากว่ามีความจำเป็นที่จะไปประสานเรื่องโลกเรื่องสงสารขึ้น กิเลสนั้นแหละทำให้แตกให้ร้าว อะไร ๆ ท่านเข้าไปประสาน เอาธรรมเข้าไปเป็นน้ำดับไฟ ประสาน เช่นไปจำพรรษาที่นั่นบ้าง ที่นี่บ้าง ในจุดรวมก็มีบ้างนะ แต่ไปด้วยการอาราธนานิมนต์ เขาไปร้องทุกข์ให้ท่านทราบ เรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านอุตส่าห์ไป ถ้าท่านไปแล้วเย็นหมด แน่ะ อย่างนั้นนะ พอได้โอกาสท่านก็ไปเสีย แต่อย่างมาวัดโนนนิเวศน์ นี่เป็นเรื่องของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อุปัชฌาย์ของเรา ท่านเป็นลูกศิษย์เดิมของท่านนิมนต์ท่านมา อันนี้ท่านไม่ได้มาระงับเหตุการณ์อะไรแหละ ท่านตั้งใจมาด้วยลูกศิษย์ คือเจ้าคุณธรรมฯ นิมนต์ท่านมา ไปตามท่านในเขานู่นนะ
ท่านอยู่ที่เชียงใหม่ เขียนจดหมายไปนิมนต์ท่าน ท่านก็เฉยเสีย ไม่สนใจ จนกระทั่งท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปหาท่านเลยเทียว เข้าไปหาท่านในเขา เวลาท่านจะได้มาอยู่อุดรนะ เข้าไปถึงองค์ท่านเลย ไปก็ไปนิมนต์เลยทีเดียว นิมนต์ท่านให้ไปโปรดเมตตาทางจังหวัดอุดร ท่านเล่าให้ฟังขบขันดีนะ เอ้อ แต่ก่อนเห็นแต่จดหมายน้อยมา จดหมายน้อยคือกระดาษส่งมาหาท่าน มาอ่านแล้วก็ทิ้งเสีย พูดต่อหน้าท่านเจ้าคุณ ท่านเล่าให้ฟัง พออ่านแล้วก็ทิ้งเสียๆ ก็ท่านพูดกับลูกศิษย์ท่าน ทีนี้ จดหมายใหญ่มานี้ มันจะได้คิดละนะ ท่านว่า จดหมายใหญ่คือท่านเจ้าคุณมาเอง จากนั้นแล้วก็เลยรับปากท่านว่าจะมาจำพรรษาให้ นั่นเรื่องราว ท่านถึงได้มา
มาอยู่นี่ก็มาอยู่เฉพาะพรรษา พอออกพรรษาแล้ว นู่น ไปอยู่บ้านหมากหญ้าในป่านะ และหนองน้ำเค็ม นี่ก็เป็นสำนักป่า ท่านไปหาหลีก ท่านมาสงเคราะห์ชั่วระยะ เป็นน้ำดับไฟ โลกทั้งหลายก็ได้ชุ่มเย็น ท่านมาที่นั่น ใคร ๆ ก็ทราบว่า ท่านอาจารย์มั่นมาๆ จิตใจก็ค่อยโผล่ขึ้นมาหาอรรถหาธรรม เรื่องทำความสงัดตามอัธยาศัย ท่านจะไม่ออกมาเลย จะมาเวลาจำเป็นเท่านั้น นี่แหละผู้วิเศษ เป็นอย่างนั้น ควรเป็นคติตัวอย่าง เราไม่ได้หมายถึงว่าจะให้ได้ของท่านเป็นแบบเป็นฉบับจริง ได้แบบลูกศิษย์มีครู ขอให้ระลึกถึงครูเสมอจะทำอะไร อย่าทำแบบเอากิเลสลากไปถ่ายเดียว จะจมไปตลอด
ถ้าระลึกถึงครูถึงอาจารย์ อะไรที่จะเป็นความชั่วช้าลามกมันจะอ่อนลงๆ ท่านถึงให้ระลึกถึงความตาย คนเราไม่ระลึกถึงความตายก็เพราะว่า ความเพลินมันเกินตัว ทีนี้เมื่อระลึกถึงความตายเท่านั้น ปั๊บนี่ ความเพลินทั้งหลายก็สงบตัวเข้ามา นี่เรียกว่าน้ำดับไฟ มรณัสสติ ความระลึกถึงความตาย เป็นน้ำดับไฟ ไฟความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา มันลุกลามตลอดเวลา ต้องอาศัยน้ำคือธรรมดับเป็นระยะ ๆ ไป เรายังลืมต้นไม้ต้นเดียวที่ท่านได้บรรลุธรรมอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ คือเราเพลินเสียจนเกินตัว เลยลืมต้นไม้นั้นว่าชื่อต้นอะไร
ท่านเล่าให้ฟัง โอ๊ย อัศจรรย์น้ำตาร่วงเลยนะ เวลาท่านเล่าถึงแดนพ้นทุกข์ ขณะที่ท่านพ้นทุกข์อยู่ร่มไม้ต้นนั้น ท่านว่าอย่างงั้นนะ กลางวันก็ไปภาวนาเพราะเป็นต้นไม้ใหญ่ ใบหนา ร่มเย็นดี ท่านไปทั้งกลางคืนกลางวัน ท่านภาวนาอยู่นั้นเสมอ ในคืนวันนั้นท่านอยู่ที่นั่น ท่านบรรลุธรรม เห็นไหมล่ะ เวลาท่านพูด นี่ละฟังซิเวลาท่านพูดเฉพาะ แต่เวลาออกท่ามกลาง จะไม่ได้ยินเลยเรื่องเทวบุตรเทวดา ไม่พูด ท่านรู้ควรหรือไม่ควรใครจะเกินจอมปราชญ์วะ ในที่ชุมนุมพระสงฆ์ท่านไม่เคยพูดนะเรื่องเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม เข้ามาเกี่ยวข้องกับท่านมากน้อย ท่านไม่คุยเลย เหมือนไม่มีนะ
แต่เวลาโดยเฉพาะมีลูกศิษย์ลูกหาที่ท่านไว้ใจ สององค์บ้าง สามองค์ หรือองค์หนึ่ง สององค์ ส่วนมากจะอยู่ในย่านนี้ แล้วก็ซอกแซกซิถ้าอยากทราบ กราบเรียนถามด้วยอุบายต่าง ๆ อย่าไปพรวดพราดหลับตาชนต้นเสานะ เดี๋ยวหัวแตก ท่านใส่เปรี้ยงเดียวหลงทิศไปเลย ท่านพูดถึงวันท่านบรรลุธรรมถึงแดนพ้นทุกข์ แหม เทวบุตรเทวดา มีหรือไม่มีฟังซิ มาอนุโมทนาสาธุการลั่นโลกธาตุ เห็นไหมท่านอาจารย์มั่นพูด ดูซิท่านอาจารย์มั่นเป็นพระที่โกหกคนไหม สาธุการเสียงลั่นโลกธาตุ
พวกเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม มาเยี่ยมท่าน มาเคารพนับถือท่าน ธรรมแดนอัศจรรย์ แล้วก็มาพูดรำพึงรำพัน นี่ละเทวบุตรเทวดา อินทร์ พรหม มาพูดรำพึงรำพัน โถ ธรรมประเภทนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่าย ๆ นะ ทำไมพระคุณเจ้าถึงเป็นเจ้ามหาสมบัติครองธรรมอันเลิศเลอ ซึ่งมีเฉพาะพระพุทธเจ้าและสาวก ก็ขาดกาลขาดสมัยมานาน แล้วก็มาปรากฏขึ้นในพระคุณเจ้า นั่นเห็นไหมล่ะ อนุโมทนาสาธุการลั่นโลกไปหมด นี่ท่านพูดฟังซิ เป็นยังไงตาใจ ท่านอนุโมทนา ส่วนพวกเทวบุตรเทวดาธรรมดานี้มีอยู่ตลอดปี เช่นอย่างเชียงใหม่นี้รู้สึกจะไม่เว้นแต่ละคืน ต้องเทศน์สอนเทวดา บางทีมามาก ๆ เสียด้วย เทวดาตั้งแต่ชั้นสวรรค์ท้าวมหาพรหมลงมา ฟังซิน่ะ ท่านแสดงให้ฟัง
แทบไม่เว้นแต่ละคืน ไม่เกี่ยวกับประชาชน แต่เกี่ยวกับพวกเทวบุตรเทวดา ทำประโยชน์เกี่ยวกับเทวดามาก ท่านว่า ต้องมีเวลาเฉพาะนะ ธรรมดาเราไม่เคยได้ยินท่านพูด เหมือนไม่มีเลยนะ เงียบอยู่อย่างนั้น เวลาเข้าไปสอดเรื่องนั้นเรื่องนี้ หาอุบายซอกแซกซิกแซ็กถามละเอียดลออ จะรู้ไปหมดเลย ท่านอธิบายให้ฟัง เป็นกันเองเงียบ ๆ นี่ละนักปราชญ์ท่านเป็นอย่างงั้น พูดออกไปเป็นประโยชน์อะไรไม่เป็นประโยชน์อะไรท่านก็รู้ ในสมัยปัจจุบันที่ร่ำลือที่สุด เกี่ยวกับเรื่องพวกเทพ พวกเปรตพวกผี คือหลวงปู่มั่น เลิศทีเดียวสมัยปัจจุบัน รองลงมาลูกศิษย์ลูกหาก็มี แต่ไม่เด่นเหมือนท่าน ไม่กว้างขวางลึกซึ้งเหมือนท่าน ท่านนี่ลึกซึ้งมากกว้างขวางมากในสมัยปัจจุบัน
นี่พูดถึงเรื่องความสงัดวิเวกนะ เพราะฉะนั้นพระกรรมฐานท่านจึงชอบอยู่ในป่าในเขา ผู้ที่มีอรรถมีธรรมท่านก็รู้ของท่านเอง ผู้ยังไม่มีอรรถมีธรรมได้ยินจากครูจากอาจารย์ก็ต้องเสาะแสวงตามท่าน ท่านที่อยู่ในป่าในเขาก็เพราะอย่างนั้นเอง ท่านทรงสมบัติเงียบ ๆ ไว้ ธรรมไม่กระโตกกระตากนะ ทรงสมบัติไว้เงียบ ๆ มหาสมบัติภายในใจ ท่านอยู่ที่ไหนเหมือนผ้าขี้ริ้ว แต่เป็นผ้าขี้ริ้วห่อทอง ทุกสิ่งทุกอย่างท่านไม่มีคำว่าหรูหราฟู่ฟ่า มีบริขารจำเพาะองค์ ๆ ไปไหนไปเลย ไม่ได้ยุ่งกับอะไร
ธรรมครองใจ พอทุกอย่าง ไม่ได้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ไม่ดีดไม่ดิ้น ไม่เหมือนกิเลสครองใจ กิเลสบีบหัวใจ ดีดดิ้นกันตลอด ธรรมครองหัวใจนี้มีแต่ความสงบเย็น เวลามาเล่าธรรมะสู่กันฟังนี้ โหย เพลิน กี่ชั่วโมง นั่นเห็นไหมล่ะ คือต่างคนต่างรู้ต่างเห็นจากการปฏิบัติ เหมือนเราเสาะแสวงหางานการอะไร เราไปทำงานอะไร ๆ เราได้ผลของงานมาจากที่นั่น ๆ ก็เล่าสู่กันฟัง คนนี้ไปทำงานนั้นมีผลของงานมาอย่างนี้มาเล่าสู่กันฟัง เขาก็เพลินตามงานของโลกเขาใช่ไหมล่ะ
ทีนี้งานของธรรม ท่านที่ไปบำเพ็ญยิ่งละเอียดลออ ยิ่งเพลินไปเลย ไปอยู่ที่นั่น ปฏิบัติอย่างงั้น ได้รู้ได้เห็นจิตเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ วิถีของจิต ได้รู้ตามสายของธรรม จิตกับธรรมเป็นคู่เคียงกัน จะสัมผัสสัมพันธ์รับรู้ธรรมซึ่งเป็นนามธรรม ไม่มองเห็นเป็นตนเป็นตัวเหมือนวัตถุนี้นะ ต่างคนต่างรู้ ต่างคนต่างเห็น นี่ละวิถีจิตที่เดินตามสายธรรม เหมือนอย่างตาของเรา ความจำเป็นของตานี้ กิจประจำก็คือต้องเห็นนั้นเห็นนี้ นี่เป็นกิจประจำ หูได้ยินหมดเสียงอะไร ๆ ต่ออะไร เป็นวิสัยของหู วิสัยของตาก็มองไปเห็น วิสัยของใจรวมมาหมดเลย ตา หู จมูก ลิ้น กายเข้ามาสู่ใจ เป็นจักษุทิพย์ หูทิพย์ขึ้นมาแล้วในนั้น นั่นละท่านไม่ใช่อายตนะภายนอก แต่ท่านใช้อายตนะภายใน คือจิตนี่ พิจารณาไปที่ไหน ฟังอะไร ๆได้ยิน เรียกว่าหูทิพย์
ก็ฟังอย่างพวกที่เขาว่า เสือเย็น เขาประกาศกันอยู่ในบ้าน ท่านยังมาบอกลูกศิษย์ของท่าน คืออาจารย์มหาทองสุก ตื่นเช้ามา ท่านมหา เวลานี้เขาว่าเราเป็นเสือเย็นนะ เขาประกาศอยู่เมื่อคืน นั่งฟังอยู่ นั่นเห็นไหม นั่งฟัง เขาประกาศว่าเราเป็นเสือเย็น มาจะเป็นภัยต่อเขา เขาประกาศ คำว่าเสือเย็น หมายถึง อันตราย หมายถึงภัยอย่างลึกลับนั่นแหละ เขาประกาศกัน ตุ๊เจ้าสององค์มานี้เป็นเสือเย็น ใครจะไปไว้ใจอะไร ๆ ไม่ได้นะ หัวหน้าเขาประกาศ ท่านก็ยังบอกอาจารย์มหาทองสุก แทนที่จะไปถือโทษถือความเขา ท่านไม่ถือนะ
เขาว่าเราเป็นเสือเย็น นี่มันจำเป็นแล้วนะ ท่านมหา เราจะไปไหนไม่ได้ ถ้าเราหนีไปทั้ง ๆ ที่เขาตำหนิ ตายไปแล้วพวกนี้จะไปเป็นสัตว์เป็นเสือกันไปหมด ตกนรก เราต้องอนุเคราะห์เขา ทุกข์ยากลำบากทนเอานะ ทนเอาเสียก่อน เพื่อหัวใจของพวกนี้กำลังเป็นไฟต่อพวกเขา เราก็มาบำเพ็ญอรรถธรรม ไม่ได้คิดให้เป็นอย่างนี้ แต่เขาก็คิดขึ้นมาแล้วจะทำยังไง เมื่อเป็นอย่างงั้นเราก็ต้องทนเอา แก้ เรื่องเหล่านี้บกบางเราจะไปไหนค่อยไปกัน นั่นละเรื่องราวจึงค่อยกระจายไปเรื่อย ถึงขนาดที่ว่าพุทโธหาย ไปถึงขั้นพุทโธหายเขาก็รู้
จากนั้นมาแล้วก็กระจ่างในหัวหน้าเขา เขาเรียกภูเจ้ายี่ หัวหน้า เราก็ไม่ลืม เห็นหมด เห็นไหมล่ะ ตาทิพย์มี ก็มาเห็นใจท่านน่ะซี แต่เขาก็ดีนะ เขายกกันทั้งบ้าน บ้านเขาไม่ได้ใหญ่โตอะไร สาม สี่ ห้าหลังคาเรือน เขามาหมด ลูกเล็กเด็กแดงมาหมด มาขอขมาตุ๊เจ้าหลวง เราว่าตุ๊เจ้าหลวงเป็นเสือเย็น โอ๊ย กรรมหนักกรรมหนา เวลาเราภาวนาเป็น ตุ๊เจ้าหลวงเป็นเสือเย็นได้ยังไง ความสว่างครอบโลกธาตุ เราว่าเป็นเสือเย็นนี่ร้ายแรงมากโทษ ต้องไปขอขมาท่าน นี่หัวหน้าเขามาขอขมาท่าน นั่นเห็นไหมเขารู้เอง โทษก็เป็นของเขาเอง แล้วเขาก็แก้โทษของเขาเอง นี่ท่านเล่าให้ฟัง น่าฟังมาก
ว่าเสือเย็นอะไร เวลาจิตของเขาสงบ บอกว่าพุทโธหายเสียก่อนนั่นแหละ เขาไปหาพุทโธ พอเจอพุทโธแล้วเขาก็มาเห็นพุทโธของหลวงปู่มั่นละซิ โอ๋ย พุทโธหลวงปู่มั่นนี่สว่างไสวครอบโลก ครอบไปหมดเลย จึงมาขอขมาท่าน นั่นละธรรม ท่านก็อนุเคราะห์เขา ท่านไม่ได้คิดว่า เขาตำหนิติเตียนแล้วไม่พออกพอใจแล้วหนีไปเสีย แทนที่จะเป็นอย่างนั้นท่านไม่ได้เป็น โหย ไม่ได้ ถ้าไม่แก้พวกนี้ ตายไปแล้วจะเป็นสัตว์เป็นเสือ แล้วตกนรกไม่สงสัย ท่านว่า เวลานี้ไม่ได้พวกนี้ตายแล้วเป็นอย่างนั้นหนา ต้องพยายามแก้เขา เมื่อเรื่องราวเบาบางไปแล้วเราจะไปที่ไหนค่อยไป มันก็เบาบางจริง ๆ
นี่แหละธรรมมีหรือไม่มี ท่านทั้งหลายพิจารณาซิ ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศก้องอยู่ตลอดมา เราก็เคยพูดให้ฟังแล้ว เหมือนแร่ธาตุต่าง ๆ ที่เราเหยียบย่ำไปมา แร่ธาตุชนิดต่างๆ มีคุณค่าต่างกัน แต่คนโง่แล้วไปที่ไหนมันเหยียบแหลกไปหมด ไม่ได้เห็นคุณค่าอะไรของแร่ธาตุต่าง ๆ จนกว่าผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดไปค้นแร่เอามา ธาตุต่าง ๆ ขุดค้นขึ้นมาได้มาทำประโยชน์ให้โลกได้เห็นทั่วหน้ากัน มันก็อยู่ในใต้ดินนั่นแหละ นี่ธรรมพระพุทธเจ้าก็เหยียบย่ำไปมา ให้กิเลสพาเหยียบย่ำ ครั้นเวลารู้อรรถรู้ธรรมบ้างก็รู้เนื้อรู้ตัว นั่นแหละนำธรรมออกมาใช้ประโยชน์แก่ตนและโลกสงสารให้สงบเย็นไปตาม ๆ กัน เป็นอย่างนั้นนะ
ธรรมกับโลกมีอยู่ไม่บกพร่อง เสมอกันหมด คือธรรมกับกิเลสมีอยู่ไม่บกพร่อง เสมอกัน เป็นแต่เพียงว่าฝ่ายกิเลสมีอำนาจมากกว่า มันปิดบังธรรมไว้เสีย ธรรมก็มีอยู่อย่างงั้นแหละ แต่ถูกปิดบังไว้เท่านั้น ไม่ได้สูญหายไปไหน เวลาเราเปิดกิเลสออก คือสร้างคุณงามความดี บำเพ็ญศีล ภาวนาเข้าไป ก็เท่ากับค่อยเปิดสิ่งปกคลุม เหมือนเปิดจอกเปิดแหนออกจากสระน้ำนั่นแหละ จอกแหนค่อยจางไปก็ค่อยมองเห็นน้ำๆ เปิดออกก็เห็นน้ำชัด มันมีอยู่แล้วน้ำ จอกแหนมันก็มี มันปกคลุมไว้ กิเลสมันก็มีอยู่แล้วในใจของเรา แล้วธรรมก็มีอยู่แล้วใต้กิเลส กิเลสบีบบังคับเอาไว้ เพราะฉะนั้นจึงชำระสะสางกิเลสตัวเป็นภัย ซึ่งมันแสดงตัวอย่างออกหน้าออกตาทั่วโลกสงสาร จนกระทั่งไม่มียางอายเลย มันก็ค่อยจางลงไป เมื่อถูกเปิดขึ้นมา ถอดถอนขึ้นมา แก้ไขขึ้นมา ชะล้างขึ้นมามันก็ค่อยแสดงตัวออกมา ๆ จากนั้นก็ค่อยขึ้น ๆ ก็จ้าเลย มีอยู่ด้วยกัน
อย่าไปตื่นเรื่องกิเลส คนตาบอดมาหลอก เราก็บอดแล้ว ชนต้นไม้ชนภูเขาไปเลย ใช้ไม่ได้นะ ให้มือลูบ ๆ คลำ ๆ เสียก่อน จะไปไหนมาไหนให้ระมัดระวัง คนตาบอดจะไปเดินพรวดพราดไม่ได้ เดี๋ยวหัวแตก ต้องเดินไปแบบลูบ ๆ คลำ จับนั้นจับนี้ไปเรื่อย ให้รู้ว่าตัวเป็นคนตาบอด อย่าพรวดพราดอวดดี ถ้าอวดดีหัวแตก อันนี้ฟังเสียงอรรถเสียงธรรมพระพุทธเจ้าท่านสอนยังไง ก็ค่อยลูบค่อยคลำไปตามท่าน แล้วจะค่อยเปิดออก ๆ สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้ว แล้วสิ่งใดเป็นภัยจะเห็นชัด เป็นคุณก็เห็นชัดที่ใจ แล้วก็เปิดออกได้
เรื่องธรรมนี่ ผู้ที่จะเปิดธรรมออกมาได้ก็คือ นี่เราพูดส่วนใหญ่นะ หลักเกณฑ์ส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้นักภาวนา เช่น พระกรรมฐานที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมจริง ๆ ท่านอยู่ในป่าในเขา นี่แหละท่านผู้เปิดอรรถเปิดธรรมออกมา อย่างเงียบ ๆ อยู่อย่างนั้น นี่ละธรรมจะปรากฏขึ้นมาจากท่านเหล่านี้ อย่างสมัยปัจจุบันนี้ก็ปรากฏออกมาจากไหน ไม่ปรากฏออกมาจากพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นจะมาจากไหน อย่างหลวงตาบัวเอามาพูดว้อ ๆ นี้ก็เอามาจากพ่อแม่ครูจารย์มั่น หลวงตาบัวมันวิเศษวิโสอะไร ก็ไปได้อรรถได้ธรรมออกมาจากท่าน ท่านเป็นผู้บุกเบิกไว้แต่ต้นแล้ว ทีนี้เมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว เรื่องของท่านก็ค่อยถูกรื้อฟื้นขึ้นมา ให้โลกทั้งหลายได้รู้จักกับหลวงปู่มั่น กราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้ คือหลวงปู่มั่นเป็นอันดับหนึ่ง เป็นอย่างนั้นนะ ท่านเสาะแสวงหาธรรม ท่านก็รู้ธรรมเห็นธรรม
ธรรมมีอยู่ในหัวใจทุกคน เราอย่าเข้าใจว่าธรรมก็ดี กิเลสก็ดีจะอยู่บนฟ้าอากาศ ต้นไม้ ภูเขา สถานที่ต่าง ๆ ซึ่งนอกไปจากใจนี้เลย ไม่มี มีแต่ใจอย่างเดียว กิเลสก็เกิดอยู่ที่ใจ ฝังอยู่ที่ใจ ธรรมก็เกิดอยู่ที่ใจ อยู่ที่ใจอันเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าฝ่ายไหนมีอำนาจมาก ฝ่ายนั้นก็ทำงาน เช่นอย่างกิเลสมีอำนาจมาก มันก็ฉุดลากจิตใจสัตว์ไปถลุงเสียหมด ถ้าธรรมะได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาก็ค่อยรั้งตัวได้ ๆ แล้วเปิดตัวขึ้นมาก็กลายเป็นธรรมครองใจไปได้ อยู่ที่นี่นะ เราอย่าเข้าใจว่าธรรมก็ดี มรรคผลนิพพานก็ดี บาปบุญอะไรก็ดีจะไปอยู่ในสถานที่นั่นสถานที่นี่ กาลนั้นเวลานี้ สมัยนั้นสมัยนี้ ไม่มี มีอยู่ที่หัวของสัตว์เท่านั้น นอกนั้นไม่มีที่รับรองกิเลสกับธรรมได้เลย มีใจเท่านั้นเป็นผู้รับรอง และเครื่องกำจัดกิเลสก็คือธรรม
ไม่ใช่ทำเอาง่าย ๆ นะ ทำอะไร ๆ ก็ดีให้พิจารณา อย่างที่เทศน์เมื่อวานนี้ เรายังสะดุดใจอยู่ไม่หยุดนะ เทศน์อย่างพระเปรตมาจากไหนเราก็ไม่รู้ละนะ โอ๋ย.ง่ายเหลือเกินนะ ง่ายมากทีเดียว บำเพ็ญอะไรง่ายมาก ก็มันไม่ได้บำเพ็ญมันมาโม้เฉย ๆ โม้แบบหลับตาชนฝาให้เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาละซิ มันจะไม่อดคิดได้ยังไง อะไรง่ายนิดเดียว ไม่มีอะไรยากเลย ก็มันไม่ได้ทำ มันโม้เฉย ๆ โม้แล้วก็หลับตาโม้ชนต้นเสาให้คนตาดีเขาเห็นด้วยนะ มันน่าทุเรศไหม ฟังซิ เวลานี้กำลังโม้ไปทุกแห่งทุกหน เรานี้กลัวมันจะไม่มีโลกอยู่นั่นแหละ ก็มันมีแต่เรื่องเป็นมหาภัยต่อธรรมทั้งนั้น แสดงมาอะไรมีแต่มหาภัยของธรรม ๆ ผู้เสาะแสงหาธรรมจะทนอยู่ได้ยังไง ทนฟังได้ยังไง นี่ละตรงที่ว่ามันจะไม่มีโลกอยู่ ไม่มีใครยอมรับละซิ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้ พอหลังจากนี้วันนี้จะได้ไปร้อยเอ็ดเสียก่อน ไปค้างที่วัดท่านศรี จากนั้นวันพรุ่งนี้ก็ย้อนมาที่ มหาสารคาม เทศน์มหาสารคามแล้วก็กลับวันพรุ่งนี้ มาเทศน์ตอนบ่าย จากนั้นแล้วก็กลับมาวัด แต่วันนี้จะไปค้างที่ร้อยเอ็ด วัดป่ากุงเสียก่อน วัดท่านศรี
อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com