ความตายเป็นธรรมดา
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2519 ความยาว 29.07 นาที
สถานที่ : ศาลาโรงครัว วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๑๙

ความตายเป็นธรรมดา

 

            คำว่า “เที่ยง” หรือ “แน่นหนามั่นคง” หรือ “จีรังถาวร” เป็นสิ่งที่โลกต้องการในส่วนที่พึงปรารถนา เช่น ความสุข เป็นต้น แต่สิ่งดังกล่าวจะหาได้ที่ไหน ? เพราะในโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ขัดต่อความต้องการของโลกทั้งนั้น คือ เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไปเสียสิ้น

            มีแต่เรื่อง อนิจฺจํ ความไม่เที่ยงถาวรรอบตัวทั้งภายในและภายนอก ถ้าว่าสุขก็มีทุกข์แทรกเข้ามาเสีย อนตฺตา แทรกเข้ามาเสีย ทุกสิ่งจึงเต็มไปด้วย “ไตรลักษณ์” คือ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งหาสิ่งใดมาทำลายเพื่อความจีรังถาวรไม่ได้ นอกจาก “ธรรมปฏิบัติ” อย่างเดียว ดังปราชญ์ดำเนินมาแล้ว และผ่านพ้นแหล่งอันแสนทุกข์กันดารนี้ไปได้แล้ว

            พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้โดยถูกต้องหาที่คัดค้านไม่ได้เลย ในเรื่องสภาวธรรมเหล่านี้ เพราะเป็นของตายตัว ธรรมก็แสดงความจริงที่มีอยู่อย่างตายตัวนั้น ไม่ต้องหาอะไรมาเพิ่มเติม

            คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ อย่าเข้าใจว่าท่านหาอะไรมาส่งเสริมเพิ่มเติมสิ่งที่มีอยู่แล้วให้มากขึ้นหรือให้ลดน้อยลงไป หรือไม่มีก็หาเรื่องว่ามี อย่างนี้ไม่มี ! ท่านแสดงตามหลักความจริงล้วน ๆ ทั้งนั้นไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด

            จุดของศาสนาอันแท้จริงที่สอนเพื่อดำเนินและหลีกเลี่ยง “ไตรลักษณ์” เหล่านี้ได้พอควร ท่านก็สอนไว้แล้วว่า “สพฺพปาปสฺส อกรณํ” – การไม่ทำชั่วทั้งปวง หนึ่ง “กุสลสฺสูปสมฺปทา” – การยังกุศลหรือความฉลาดในสิ่งที่ชอบธรรมให้ถึงพร้อม หนึ่ง“สจิตฺตปริโยทปนํ” – การทำจิตของตนให้ผ่องใสจนกระทั่งถึงความบริสุทธิ์ หนึ่ง“เอตํ พุทฺธาน สาสนํ” – เหล่านี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

            คือว่านี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์

            ไม่มีองค์ใดแสดงให้แตกต่างจากนี้ไป เพราะความจริงทั้งหลายไม่มีของแตกต่างไม่ว่าจะเป็นสมัยใดก็ตาม มีเรื่องของ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่ประจำโลกมานมนานแม้พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ตรัสรู้ขึ้นมา คือเป็นเวลาระหว่าง “สุญญกัป” ไม่มีคำสั่งสอนแสดงเรื่องความจริงเหล่านี้ก็ตาม ความจริงเหล่านี้เคยมีมาดั้งเดิม มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์โน่นอยู่แล้ว

            สิ่งที่เราต้องการจะหาได้จากที่ไหน โลกอันแสนกว้างก็เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น เมื่อคิดอย่างนี้ก็เหมือนจะหาที่เหยียบย่าง หาที่ปลงจิตปลงใจลงไม่ได้ เพราะหมดสถานที่จะวางใจพึ่งเป็นพึ่งตายได้ แต่สถานที่ว่าปลงจิตปลงใจลงไม่ได้นั้นแล คือสถานที่ที่ปลงจิตปลงใจลงได้ เพราะเป็นหลักธรรมที่พึงปลงลงได้ ด้วยการพิจารณาให้เห็นตามความจริง

            พระพุทธเจ้าทรงสำเร็จความมุ่งหวังจากสถานที่นั้น พระสงฆ์สาวกที่เป็นสรณะของพวกเราทั้งหลายก็สำเร็จความมุ่งหวังในจุดนั้น ธรรมที่ได้นำมาประกาศสอนโลกให้สัตว์ทั้งหลายได้ยึดถือตลอดมาก็ออกมาจากจุดนั้น คือใจ ซึ่งห้อมล้อมอยู่ด้วยกอง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นั้นแล

            แม้เป็นที่ยอมรับกันเกี่ยวกับเรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ที่มีอยู่เต็มโลกก็ตาม แต่ก็ไม่มีผู้เฉลียวใจต่อไตรลักษณ์ พอจะนำมาพิจารณาเพื่อถือเอาประโยชน์ได้บ้าง นอกจากตำหนิโดยไม่คิดหาทางออกจากสิ่งเหล่านี้ ด้วยการพิจารณา “ไตรลักษณ์” นี้เป็นทางเดินเพื่อก้าวล่วงไปได้ ดังปราชญ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น

            ด้วยเหตุนี้เราชาวพุทธจึงควรพิจารณา เพื่อแก้ไขส่งเสริมสิ่งที่บกพร่องให้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมขั้นต่าง ๆ ที่จะพึงได้รับจากการพิจารณา อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเป็นสัจธรรมอันประเสริฐ

            การที่เราบำเพ็ญอยู่เวลานี้ และบำเพ็ญเรื่อยมานี้แล คือการดำเนินเพื่อหลบหลีกปลีกภัยทั้งหลายโดยลำดับ จนบรรลุถึง “มหาสมบัติอันพึงหวัง” จากนั้นจะเรียกว่า “นิจฺจํ” เป็นของเที่ยงก็ได้ เพราะไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่มีอะไรเข้ามาทำลายจิตใจให้เดือดร้อนวุ่นวาย จะเรียกว่า “บรมสุข” ก็ไม่ผิด จะเรียกว่า “อตฺตา” ก็ไม่น่าจะผิด เพราะเป็น”ตน” แท้ คือตนในหลักธรรมชาติ ไม่มี “สมมติ” น้อยใหญ่ แม้ปรมาณูเข้ามาเกี่ยวข้องใจ แต่ไม่ได้หมายถึงว่า “อตฺตา” ที่เป็นคู่กับ “อนตฺตา” นั้นเป็นความสมมุติอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นทางดำเนินเพื่อพระนิพพาน

            แนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ เพื่อความแคล้วคลาดปลอดภัยไปโดยลำดับทั้งภายนอกภายใน ไม่มีสิ่งใดจะนอกเหนือไปจากพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้เลย เพราะฉะนั้นศาสนาจึงไม่มีทางล้าสมัย เป็น “มัชฌิมา” อยู่ในท่ามกลางแห่งความประพฤติ เพื่อแก้กิเลสทุกประเภทเสมอไป ไม่มีคำว่า “ล้าสมัย” เป็นธรรมเหมาะสมกับโลกทุกกาลทุกสมัย จึงเรียกว่า “มัชฌิมา” คือถูกต้องดีงาม เหมาะสมกับความประพฤติ

            จะประพฤติตัวให้เป็นเช่นไรในทางที่ดี ด้วยหลักธรรมที่ท่านสอนไว้แล้วนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงามด้วยกันทั้งนั้น   เฉพาะอย่างยิ่งการประพฤติต่อจิตใจ    การอบรมจิตใจยิ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในตัวเรา เวลานี้เรามีความแน่ใจหรือยังว่า เราได้หลักเป็นที่พึงพอใจ หรือเริ่มจะได้หลักเป็นที่พึงพอใจบ้างแล้ว ไม่เดือดร้อนวุ่นวายเมื่อคิดถึงเรื่องอนาคต ?

            นับตั้งแต่ขณะต่อไปนี้จนกระทั่งอวสานแห่งชีวิต และตลอดไปถึงภพหน้า ชาติหน้า เราเป็นที่แน่ใจได้แล้วหรือยัง ?

            พระพุทธเจ้าท่านไม่สอนให้คนโง่และนอนใจ อยู่ไปอย่างไม่คิด นักปฏิบัติธรรมต้องคิดต้องพิจารณาเสมอเรื่องความเป็นมาว่า อายุเราเป็นมาผ่านมาแล้วเท่าไร เมื่อลบแล้วมีอะไรบ้างที่เหลืออยู่ ต่อไปจะหาอะไรมาบวกมาเพิ่มขึ้นในสิ่งที่เราต้องการ หรือจะมีแต่เครื่องหมายลบ(-) ไปเรื่อย ๆ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า “ขาดทุน”!

            เราทุกคนเกิดมาไม่ต้องการ “ความขาดทุน” การค้าขายขาดทุนย่อมไม่ดี โลกไม่ปรารถนากัน อะไร ๆ ก็ตามขึ้นชื่อว่า “ขาดทุน” ขาดแล้วขาดเล่า ขาดไม่หยุดไม่ถอยก็ล่มจมไปได้

            เราถ้าขาดทุนภายในใจ ขาดทุนจากคุณธรรมที่พึงได้พึงถึง มีแต่สิ่งที่ไม่ดีคือกิเลส เหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดมา หาเวลาเอาชนะมันไม่ได้สักที ก็ย่อมล่มจมได้เช่นเดียวกับสมบัติภายนอก เพราะฉะนั้นจึงควรสังเกตสอดรู้เรื่องของตัวตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ด้วยการใคร่ครวญโดยทางสติปัญญา

            เฉพาะอย่างยิ่งจิตตภาวนาเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่จะนำมาทดสอบตนให้เห็นประจักษ์ ไม่มีความรู้ใดที่จะแหลมคมยิ่งกว่าความรู้ที่เกิดขึ้นจากด้านจิตตภาวนา จะสอดแทรกไปหมดบรรดาความจริงที่มีอยู่ทั่วสรรพางค์กายและจิตใจ ตลอดสิ่งเกี่ยวข้องทั่วไป ไม่ว่าดี ชั่ว หยาบ ละเอียด จะนอกเหนือปัญญาไปไม่ได้

            การคิดค้นดูสิ่งที่ไม่เป็นสาระในการนี้ เพื่อให้ยึดเอาสิ่งที่เป็นสาระขึ้นมา จากการค้นคิดพินิจพิจารณานี้เป็นสิ่งที่ทำได้ ดังพระพุทธเจ้าเคยดำเนินมาแล้ว

            การพิจารณา อนิจฺจํ คือความไม่เที่ยง ความแปรสภาพแห่งสังขารร่างกายและสิ่งทั่ว ๆ ไปนั้นแล เป็นอารมณ์ให้จิตมีหลักยึดอันเป็นหลักเกณฑ์ เป็นสาระแก่นสารทางภายใน นักปราชญ์ท่านพิจารณาร่างกายซึ่งเป็นของไม่เที่ยงนี้แล ที่ได้คุณธรรมซึ่งเป็นที่แน่ใจขึ้นมาเป็นพัก ๆ ตอน ๆ จนตลอดทั่วถึง

            หนังสือเราอ่านมาจนติดปากชินใจ อ่านที่ไหนก็เจอแต่เรื่อง อนิจฺจํ เรื่อง ทุกฺขํ เรื่อง อนตฺตา ซึ่งมีอยู่กับตัวเราที่นั่งเฝ้านอนเฝ้ากันอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่สะดุดจิตสะดุดใจอย่างนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา

            พระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ได้สอนอย่างลอย ๆ นี่ ผู้ที่ท่านจดจารึกในคัมภีร์ต่าง ๆ ก็ไม่ได้จารึกแบบลอย ๆ ผู้อ่านอ่านแบบลอย ๆ ไม่ได้คิด ก็เลยกลายเป็นว่า “ศาสนาเป็นของไม่จำเป็น เป็นของลอย ๆ” ไปเสีย เหลือแต่ตำราคือตัวหนังสือในกระดาษ ทั้ง ๆ ที่ตัวเราเป็นคน “ลอย ๆ” เราก็ไม่รู้ ไพล่ไปเห็นศาสนธรรมอันเป็นธรรมประเสริฐเลิศโลกว่าเป็นเรื่อง “ลอยๆ” ไปเสีย ความจริงก็คือตัวเรานั้นแล “ลอยลม” หาหลักยึดไม่ได้ และก็มาเสียตัวเราที่ตรงนี้ ! เพราะมองข้ามตัวและมองข้ามธรรม ซึ่งเป็นสารคุณอันยิ่งใหญ่ไปเสีย

            ฉะนั้นจึงต้องใช้ความพยายามพิจารณาให้ถึงใจ เรื่อง “ทุกฺขํ” ก็ให้ชัดในตัวเราเพราะมีอยู่ในตัวเราทำไมไม่รู้ พระพุทธเจ้าทำไมท่านรู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ และเป็นอะไร อันความทุกข์นั้นนอกจากขันธ์และจิตใจแล้ว ไม่มีอะไรเป็นทุกข์ในโลกนี้ เพราะเราเป็นผู้รับผิดชอบในธาตุในขันธ์นี้ ตั้งแต่วันอุบัติขึ้นมาจนกระทั่งวันอวสานแห่งชีวิต จะต้องรับผิดชอบกันเรื่อยไปเช่นนี้ หนักเบาอย่างไรเราต้องรับภาระทั้งมวลตลอดไป จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางที่พ้นภัย “เรื่อง อนิจฺจํ” มีอะไรแปรบ้าง หรือไม่แปร ดูภายในตัวเรานี้ซิ ดูที่อื่นมันห่างไกลไป จะกลายเป็น “งมปลานอกสุ่ม” งมเอาในสุ่มคือในตัวเราเองนี้แหละ ค้นที่ตรงนี้ มีอะไรแปรบ้างเราเห็นอยู่ทุกระยะ ถ้าใช้ปัญญาพิจารณา

            ท่านว่า “ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ” เราสวดเสียจนชินปากแต่ ใจไม่อยู่กับ “ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ” เผ่นไปไหนก็ไม่รู้ เลยสักแต่ว่าสวด สักแต่ว่ากันไป เป็นทำนองธรรมเนียมกันไป แต่กิเลสที่อยู่บนหัวใจเรามันไม่ได้ “ทำนองธรรมเนียม” มันเป็นกิเลสจริง ๆ มันก่อกวนจริง ๆ ทำความทุกข์ให้เราจริง ๆ ไม่สนใจคิดกัน จะตามทันกิเลสตัววางเพลิง คือความทุกข์ร้อนแก่ตัวเราได้อย่างไร

            การแก้กิเลส การแก้ความไม่ดีภายในตัวภายในใจ จึงต้องทำด้วยความจดจ่อ ทำด้วยความอุตส่าห์พยายาม ทำด้วยความปักจิตปักใจจงใจจริงๆ ทำด้วยความพากเพียรจริง ๆ หนักก็สู้เบาก็สู้ เช่นเดียวกับเราตกน้ำ แล้วพยายามแหวกว่ายขึ้นบนบก กำลังมีเท่าไรต้องทุ่มเทกันลงไป จนกระทั่งชีวิตหาไม่แล้วจึงจะยอมจมน้ำตาย หากมีกำลังพอตะเกียกตะกายอยู่แล้วจะไม่ยอมจมน้ำตาย อันนี้ก็เช่นเดียวกัน ให้สมกับที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทแก่สัตว์โลกด้วยพระเมตตาอย่างเต็มพระทัย จะเข้ากันได้กับหลักพระเมตตา ที่ทรงสั่งสอนโลกด้วยอรรถด้วยธรรมทุกส่วน เราสนองพระเมตตาท่านด้วยการประพฤติปฏิบัติเพื่อความสุขความเจริญแก่ตัว ทำไมจะทำไม่ได้ ควรสนองพระเมตตาท่านด้วยการปฏิบัติธรรม ก็ทำเพื่อเราอย่างเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้มาแบ่งสันปันส่วนอะไรจากพวกเราเลย !

            วันหนึ่งคืนหนึ่งผ่านไป ผ่านไปอยู่เรื่อย ๆ ถ้าจะสะดุดใจเราก็ควรจะสะดุด ผ่านไปเท่าไรก็หมดไปเท่านั้น ไม่มีการย้อนกลับมาอีกในความผ่านไปแห่งร่างกายเราทุกส่วน วัน คืน ปี เดือน มีมืดกับแจ้ง จะผ่านไปหรือผ่านมา ก็มีแต่ “มืด กับ แจ้ง”เท่านั้น ตื่น “มืด” ตื่น “แจ้ง” หาประโยชน์อะไรกัน ?

            สังขารร่างกายนับวันเวลา “ผ่านไป ๆ” โดยลำดับ ไม่มีการย้อนกลับสำหรับร่างกายอันนี้ จะต้องผ่านไปถึงที่สุดจุดหมายปลายทางของเขาในวันหนึ่ง! ที่ว่า“ปลายทาง” นั้นก็คือที่สุดแห่งชีวิตนั้นแล ไม่ใช่ปลายทางที่เราต้องการ ความตายไม่มีใครต้องการ! ต้องกลัวด้วยกันทุกคน เพราะความเกิดกับความตายเป็นของคู่กันอยู่แล้ว เมื่อเกิดแล้วต้องตาย แต่สัตว์โลกกลัวกันแต่ความตาย ส่วนความเกิดไม่กลัว จึงโดนความตายอันเป็นผลของความเกิดอยู่ไม่หยุด

            เรียนตรงนี้ให้เห็นชัดเจนจะได้หายสงสัย เรียนอะไรก็ไม่หายสงสัยถ้าไม่เรียนตัวเอง เพราะตัวเองเป็นผู้หลง ตัวเองเป็นผู้ยึด ตัวเองเป็นผู้รับผลแห่งความยึดถือของตน หรือเรียกว่า “ตัวเองเป็นผู้รับผลแห่งความทุกข์ของตัว ต้องเรียนที่ตรงนี้ ปฏิบัติให้เข้าใจที่ตรงนี้ จะได้หายสงสัย

            “ชาติปิ ทุกฺขา” เรียนให้ถึงใจ ขณะที่เริ่มเกิดนั้นมันเป็นทุกข์แสนสาหัส แต่        เราจำไม่ได้ รอดตายมาแล้วถึงมาเป็นมนุษย์! ท่านบอกว่า “ชาติปิ ทุกฺขา” ท่านพูดด้วยความจริง แต่เราจับไม่ได้เสีย จึงเหมือนไม่ใช่ของจริง “ชราปิ ทุกฺขา” ความงก ๆ งัน ๆ สี่ขาห้าขา สี่เท้าห้าเท้า ไม้ยันนู้นยันนี้ดีที่ไหน ? เป็นสุขที่ไหน ? มันกองทุกข์ทั้งมวล ! “มรณมฺปิ ทุกฺขํ” ก่อนที่จะตายก็เป็นทุกข์กระวนกระวายแสนสาหัส ทั้งผู้มีชีวิตทั้งผู้ที่จะผ่านไป ต่างคนต่างมีความทุกข์เดือดร้อนด้วยกัน ไม่มีกองทุกข์อันใดที่จะมากยิ่งกว่ากองทุกข์ในเวลานั้น

            ผู้เป็นญาติเป็นมิตร ผู้เกี่ยวข้อง ลูกเต้าหลานเหลน สามีภรรยา ต้องเดือดร้อนเต็มหัวใจ ในขณะนั้นผู้ที่จะผ่านไปก็เดือดร้อนเต็มตัว กลัวจะตายเพราะไม่อยากตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นจะไม่เรียกว่า “ทุกข์” อย่างไรเล่า

            ถ้าเรียนให้เห็นตามความจริงแล้ว ทำไมจะไม่ได้สติปัญญาจากการพิจารณานี้ สิ่งทั้งปวงทำไมจึงเป็น “ไตรลักษณ์” เล่า ก็เพราะเป็น “กฎธรรมชาติ” มาดั้งเดิม ใคร ๆ บังคับไม่ได้ทั้งนั้นมันถึงเป็นไปเช่นนั้น หากเป็นสิ่งที่บังคับได้โลกนี้ไม่มีป่าช้า เพราะสัตว์หรือบุคคลบังคับมันได้ด้วยกันว่าไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย

            แต่นี่เป็นสิ่งที่สุดวิสัย ทั่วโลกดินแดนจึงต้องยอมรับกัน ทั้งที่ขัดใจฝืนใจ นี่คือเรื่องของ ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ

            สิ่งเหล่านี้อยู่ที่ไหนที่อธิบายอยู่เวลานี้ ก็อยู่กับเราทุกคนไม่บกพร่อง จำต้องเจอด้วยกัน แม้ผู้เทศน์ก็พ้นไปไม่ได้เพราะเป็นความจริงเสมอกัน ท่านจึงเรียกว่า “สัจธรรม” พวกเราจงเรียน “สัจธรรม” ให้เข้าใจสัจธรรม และพยายามตักตวงสติปัญญาความฉลาดแหลมคมให้พอในขณะที่สิ่งเหล่านี้ยังไม่สลายตัว ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นเครื่องมือทำงานอยู่ด้วยดี ให้ได้รับผลประโยชน์ตามกำลัง ไม่เสียเวลาไปเปล่า

            การภาวนานั่นแหละทำให้เราทราบเรื่องเหล่านี้ได้ดี พระพุทธเจ้าก็ภาวนาจึงทรงทราบเรื่องเหล่านี้ และนำธรรมเหล่านี้มาสอนสัตว์โลก เราก็ดำเนินตามท่าน ให้ทราบเรื่องธรรมเหล่านี้ประจักษ์ใจ และพ้นทุกข์ไปอย่างหายห่วง ในปัจจุบันชาติได้เป็นดีที่สุด สมภูมิผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ไม่ต้องมาเกิดและตายอีกต่อไป

            เราเคยไปเมืองนอกเมืองนา ทวีปไหนเราก็เคยไป ไปดูโลกนั้นโลกนี้ ดูโลกไหนก็ไม่หายสงสัย ดูโลกไหนก็แบกกองทุกข์ ไม่มีอะไรบกพร่อง มี “ทุกข์” ติดตามไปทุกแห่งทุกหน ตัวเราไปที่ไหนเป็นทุกข์ในที่นั่น ถ้าเป็นสุขรื่นเริงบ้างก็เป็นความสำคัญของตนต่างหาก แต่พอได้เห็นทุกข์ภายในนี้ เพราะการดูโลกภายในตัวนี้ ด้วยการปฏิบัติภาวนา ก็จะปรากฏเป็น “โลกวิทู” ผู้รู้แจ้งโลกขึ้นมา หายสงสัยเรื่องโลก โลกนอกโลกใน โลกใกล้หรือไกลก็ตาม เมื่อได้พิจารณารู้เห็นเบญจขันธ์นี้ตลอดทั่วถึงแล้ว จะมีความสุขขึ้นมาในจุดนี้ จนถึงขั้นสุดท้ายอันสมบูรณ์อย่างไม่มีปัญหา

            พิจารณาอย่างไร การพิจารณาขันธ์ ? เริ่มต้นก็พิจารณารูปกายอย่างที่ว่านี้แหละ ดูความแปรปรวน ซึ่งเราก็ทราบอยู่ชัดๆ ความทุกข์ก็เกิดขึ้นในขันธ์อันนี้ พิจารณาให้เห็น

            ใจนั้นตามหลักธรรมชาติแล้วไม่ใช่เป็นผู้สุข ไม่ใช่เป็นผู้ทุกข์ เป็นผู้รู้เฉยๆ ถ้าพิจารณาให้เข้าถึงความจริงจริงๆ แล้วต้องเป็นอย่างนั้น

            ทุกข์เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เพราะมันเป็นไตรลักษณ์ สุขก็เป็นไตรลักษณ์ ที่อยู่ใน “วงสมมุติ” และเป็นไตรลักษณ์ด้วยกันทั้งนั้น ปัญญาพิจารณาให้ชัดเจน โดยอาศัยธาตุขันธ์เป็น “หินลับปัญญา” ให้คมกล้าขึ้นโดยลำดับ เพราะแยกส่วนแบ่งส่วนแห่งร่างกายให้เห็นตั้งแต่ยังไม่ตาย เริ่มดูป่าช้าภายในนี้แหละก่อนตาย ดูตั้งแต่ขณะยังเป็น ๆ นี้แหละ อย่าด่วนให้เขานำไปสู่ป่าช้าไปสู่เมรุ เราดูป่าช้าของเราก่อน ดูตั้งแต่ข้างนอกข้างใน ดูเข้าไปโดยละเอียดทั่วถึง

            จิตจะมีความเพลิดเพลินใน “ธรรมวิจารณ์” เมื่อเห็นของจริงของสกลกายนี้มากน้อย แทนที่จะมีความอิดหนาระอาใจ มีความท้อถอยอ่อนแอ เศร้าหมองภายในจิตใจ หรืออับเฉาเศร้าใจเหมือนโลกที่สัมผัสและเป็นกัน แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งเป็นความรื่นเริงบันเทิงไปตามกระแสแห่งการพิจารณา เพราะเป็นสายที่จะนำใจออกจากทุกข์โดยลำดับ เนื่องจากใจถูกกดถ่วงจากอุปาทานเครื่องจองจำของกิเลสมานาน พอมีทางออกได้จึงกระหายว่ายแหวกเพื่อพ้นไป

            ขณะพิจารณาร่างกาย จิตใจสงบเบาโดยลำดับ เพราะการพิจารณาก็ดี การรู้เห็นก็ดี เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายคลายความกำหนัดยินดี และปล่อยวางภาระหนักคือ “ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา” “พร้อม” อุปาทานในจิต ที่เคยคิดว่าเป็นเราเป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่กองทุกข์เต็มอยู่กับความยึดความถือนั้น

            เมื่อได้หยั่งทราบด้วยปัญญาแล้ว ความยึดความถือจะทนอยู่ไม่ได้ ย่อมถอยและสลัดตัวออกตามกำลังสติปัญญา จนสลัดออกได้โดยสิ้นเชิง

            การพิจารณา “ขันธ์ห้า” มีรูปเป็นต้น อันได้แก่ร่างกาย และเวทนา คือความสุข ความทุกข์ และเฉย ๆ ไม่สุขไม่ทุกข์ โดยยึดเอาทุกข์ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาพิจารณา ให้เห็นทั้งทางที่อาศัยกายเกิดขึ้น ระหว่างกายกับทุกขเวทนากระทบกันหรือรบกัน ที่พูดว่า “รบกัน”


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก