|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
น้ำตาร่วงจากธรรมอัศจรรย์ |
|
วันที่ 2 พฤษภาคม 2545 เวลา 7:45 น. ความยาว 42.29 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | |
ค้นหา :
น้ำตาร่วงจากธรรมอัศจรรย์
(หลวงตาเจ้าขา เมตตาสอนการพิจารณาให้ถึงฐานความตายด้วยเจ้าค่ะ) ฐานความตายก็อยู่ในนั้น ดูเอาตรงนั้นซิ ตายกับเกิดอยู่ในจิตดวงนั้น ตัวจิตไม่เกิดไม่ตาย สิ่งแทรกพาให้เกิดให้ตาย เข้าใจหรือเปล่า ดูตัวจิตไม่เห็นพิษของจิตจะไม่เห็นพิษของสิ่งเหล่านี้ จิตเป็นภัยเวลานี้ เข้าใจหรือเปล่า อย่าว่าจิตเป็นคุณอย่างเดียวนะ ภัยอยู่กับจิตนั่น ฟาดตัวจิตเป็นตัวภัยแล้ว ตัวนั้นอยู่ด้วยกันมันก็พังลงไป เข้าใจหรือเปล่าล่ะ ถ้ายังมายอจิตอยู่เมื่อไรจมนะอย่าว่าไม่บอก เท่านั้นแหละ ถึงกาลเวลาแล้วปัดหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ สงวนอะไรไว้นั้นละคือกองมหาพิษมหาภัย
เราพูดอย่างนี้แล้วมันก็กระเทือนถึงที่ว่าหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ตอนเช้าก่อนจังหันอย่างนี้ จิตมันอัศจรรย์อย่างว่านั่นแหละ อัศจรรย์บ้าอะไรก็ไม่รู้ เจ้าของอัศจรรย์เจ้าของน่ะซี โอ้โห ทำไมจิตของเราถึงได้สว่างไสวอัศจรรย์เอาขนาดนี้เชียวนา รำพึง เดินจงกรมยืนอยู่ มันจ้าไปหมดเลย ทำไมถึงได้อัศจรรย์ขนาดนี้จิตดวงนี้ ๆ นั่นละตัวมหาภัย คือตัวที่ว่าอัศจรรย์นั่น เห็นไหมล่ะ นั่นละธรรมท่านกลัวไปหลงน่ะซี ก็เราติดอยู่แล้วหลงอยู่แล้วว่าไง ไม่มีอะไร ๆ ก็มาเอาจุดสุดท้าย นั่นละวัฏจักร เรียกว่าอวิชชาตรงนั้นเอง นั่นละยอดอวิชชา ยอดวัฏจักรวัฏจิต คืออวิชชา มันไม่มีอะไรแล้วก็ไปชมเชยตรงนั้น สักเดี๋ยวขึ้นละซี ธรรมท่านเตือนขึ้นมา เพราะว่าที่ว่าสว่างไสวมันมีจุดของมันอยู่นั้น เหมือนตะเกียงเจ้าพายุ ไส้ตะเกียงเจ้าพายุมันจ้าอยู่นั้น ออกไปข้างนอกมันก็ออกจากไส้ตะเกียงที่สว่างจ้า นั่นละตัวสำคัญ
เราก็อัศจรรย์ตัวนั้นเอง ขึ้นอุทานในใจเทียวนะ โอ้โห จิตของเราทำไมถึงสว่างไสวอัศจรรย์เอาเสีย เหมือนหนึ่งว่าเหนือโลกเหนือสงสาร นั่นเห็นไหมอวิชชาแผลงฤทธิ์เวลาสุดท้ายเห็นไหม เรารู้มันเมื่อไร ไม่รู้จะไปหลงอัศจรรย์มันหาอะไร สักเดี๋ยวธรรมะท่านกลัวหลง ท่านก็ผุดขึ้นมาเป็นคำ ๆ เราลืมเมื่อไร ถ้ามีจุด จุดไส้ตะเกียงนั่นเองสว่าง นี่จุดกับต่อมเป็นไวพจน์ของกันและกัน ใช้แทนกันได้ ถ้ามีจุดหรือต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นั่นเห็นไหมบอกตรงนี้ ตัวนี้ตัวภพ ถึงขนาดนั้นยังจับไม่ได้นะ งงไปเลย มีจุดมีต่อม คือตัวนี้เอง ถึงได้คิดถึงพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านมรณภาพจากไปแล้วนั้น เราไปติดปัญหานี้อยู่บนหลังเขาวัดดอยธรรมเจดีย์ ถ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ พอกราบเรียนอย่างนี้เท่านั้น ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ ก็จุดนั้นเอง ท่านก็ใส่เปรี้ยงเข้าไปนั้นมันก็พังทันที พอรู้ปั๊บเห็นโทษของมัน คอยจะไปอยู่แล้วนี่นะ แต่เราประคองมันไว้นั่นซี
นั่นละมหาภัยแท้ ตรงนั้นทีเดียว จุดที่รวมแห่งมหาภัยอยู่จุดที่สว่างกระจ่างแจ้งอัศจรรย์เต็มที่ของวัฏจักรของแดนสมมุติ อยู่จุดนั้นหมด เราไม่ลืม ตอนเดือนกุมภาฯ เผาศพพ่อแม่ครูจารย์มั่นเสร็จแล้วก็ขึ้นบนเขา ติดปัญหาอันนี้ งงไปเลยนะ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยธรรมที่ท่านเตือนขึ้นมา แทนที่จะให้เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลในเวลานั้น กลับเป็นความหลงมหาศาลเหมือนกัน เอ๊ จุดต่อมที่ไหนนา ๆ ก็จุดนั้นน่ะ นั่นละเดือนกุมภา เดือน ๓ เผาศพท่านเสร็จแล้วขึ้นบนเขา ไปติดปัญหาอันนี้ ไม่คิดไม่คาดว่าอันนี้เป็นตัวมหาภัย ยังว่าเป็นมหาคุณอยู่ เห็นไหมกิเลสหลอก ขนาดว่าตัวมหาภัยมันเสกว่าเป็นมหาคุณ เห็นไหม ก็แบกปัญหานี้ไปลืมเมื่อไร ลงจากวัดดอยธรรมเจดีย์ปั๊บขึ้นไปทางอำเภอบ้านผือ ศรีเชียงใหม่
แต่ก่อนศรีเชียงใหม่ยังไม่มีอำเภอ มีแต่อำเภอท่าบ่อ อ.บ้านผือ เข้าไปอยู่โน้นลึก ๆ เขาเรียกถ้ำผาดัก จนกระทั่งย้อนกลับมาถึงเวลานี้เข้าอีกก็เป็น ๓ เดือนพอดี นี่ที่ติดปัญหาตั้งแต่ขณะนั้นเดือน ๓ เดือน ๖ กลับมา เป็นเวลา ๓ เดือน กลับมาก็ขึ้นที่เก่าอีก แบกปัญหานี้ไป ๓ เดือนกลับลงมา หลังเขานั่นแหละ แต่ที่ติดปัญหาอยู่ทางจงกรมข้างกันนั้นกับด้านตะวันตก ปัญหานี้จบลงก็อยู่บนหลังเขาในภูเขาลูกเดียวกัน วัดดอยธรรมเจดีย์ บทเวลามันจะม้วนเสื่อกันนั้น มันไม่มีละเรื่องกาลสถานที่เวล่ำเวลา จะมายุ่งไม่ได้นะ มีเฉพาะธรรมชาตินี้ เวลามันจะประมวลลงมา คือมันไม่มีที่พิจารณาแล้ว อะไรมันก็หมดทุกอย่าง ปล่อยหมดแล้ว ยังเหลืออยู่อันเดียวนี้เท่านั้น โลกธาตุนี้ว่างไปหมดปล่อยไปหมดวางไปหมดเลย ยังเหลืออันจุดอันต่อมนี้ เห็นไหมล่ะ จึงเรียกว่ามหาภัยอยู่จุดนี้
ทีนี้มันก็ประมวลมาซิที่นี่ อะไร ๆ มันก็ไม่มีแล้วจิตใจ ก็มาพิจารณาอยู่จุดนี้ ลงถึงที่ว่า จิตดวงเดียวนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักน้า แผ่ทั่วโลกธาตุก็จิตดวงนี้ คือมันถอนเข้ามาหมดแล้วมาอยู่จุดเดียวนี้ มันก็พูดได้สนิทล่ะซี อะไร ๆ มันก็รู้ไปหมด ๆ แล้วรู้ไปตรงไหนเปลี่ยนแปลงไปตรงนั้น เดี๋ยวว่าอันนั้นดีอันนี้ชั่ว มันพรรณนามา ม้วนเข้ามา ๆ จิตดวงเดียวนี้ทำไมจึงเป็นได้หลายอย่างนักหนาน้า ไม่อยู่เป็นสุข มันจับจุดได้นะ มันหากรู้พลิกอย่างนั้นพลิกอย่างนี้ตามความละเอียดของมัน จับจนได้ ๆ ถึงขั้นมันละเอียดพอ ๆ กัน ขั้นนั้นก็คือมหาสติมหาปัญญานั่นเองจะเป็นอะไรไป มันก็ประมวลเข้ามา ๆ จับจุดของจิต กำลังเอาจิตนี้เป็นผู้ต้องหาที่นี่นะ
จิตดวงนี้ทำไมเป็นได้หลายอย่างนักน้า เดี๋ยวว่าดี แล้วเดี๋ยวว่าชั่ว พลิกออกจากนี้ละ แน่ะมันจับนะที่นี่นะ เดี๋ยวว่าสุข เดี๋ยวว่าทุกข์ คือธรรมดาสมมุติถ้ามีอยู่มากน้อย จะมีสิ่งเหล่านี้ประกอบอยู่กับจิตเป็นประจำ ทีนี้มันไม่มีที่พิจารณามันก็เข้ามาตรงนี้ละซี เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง คือคำว่าสุขว่าทุกข์ว่าผ่องใสเศร้าหมอง มันเป็นพอจับได้เท่านั้นนะไม่ได้มาก พอรู้สึกจับได้ เพราะสติก็เป็นมหาสตินี่ มันก็ทันกันตลอดเวลา มันทำไมถึงเป็นได้หลายอย่างนักจิตนี้ ทีนี้เข้ามาหาผู้ต้องละที่นี่ ปล่อยหมดแล้วเข้ามาหาผู้ต้องหา มาวินิจฉัย คือมันวินิจฉัยจริง ๆ ว่าอะไรมันถึงกัน ๆ เพราะมหาสติมหาปัญญาอย่างละเอียดซึมซาบทีเดียว มหาสติมหาปัญญาขั้นสุดยอดกลายเป็นซึมซาบไปเลย ซ่านไปหมดเลย ไม่เป็นวรรคเป็นตอนเหมือนเรายำลาบเหมือนสติปัญญาอัตโนมัตินะ สติปัญญาอัตโนมัติมันเป็นวรรคเป็นตอน มันหมุนของมันไปเอง อันนี้ก็หมุนไปเอง แต่พอถึงขั้นซึมซาบ ๆ ไปเอง
มันก็มาจับจุดนี้ มาวินิจฉัยตัวจิตนี้ มันหมดที่พิจารณาแล้ว อะไรก็ปล่อยหมดแล้วเหลือแต่อันนี้นิดเดียวที่ปรากฏอยู่กับความรู้นั้น มันก็มาวินิจฉัยเหล่านี้ เดี๋ยวว่าสุข แล้วเดี๋ยวว่าทุกข์ ออกจากอันนี้ เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง มันก็ออกจากนี้ ทำไมมันเป็นหลายอย่างนักจิตดวงนี้น่ะ สักเดี๋ยวธรรมท่านก็ผุดขึ้นมา แน่ะอย่างนั้นนะ นี่เรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดเป็นเครื่องผูกมัด ธรรมเกิดเปิดออก นั่นเรียกว่าธรรมเกิด กิเลสเกิดมันแทรกอยู่ด้วยกัน สักเดี๋ยวขึ้นมาเป็นคำ ๆ เหมือนเราพูด ขึ้นมาเป็นคำ ๆ คำว่าเศร้าหมองก็ดี นั่นเวลาจะขึ้นนะ คำว่าผ่องใสก็ดี คำว่าสุขก็ดี คำว่าทุกข์ก็ดี ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ นั่นเวลาตัดกันจริง ๆ ลงในขั้นอนัตตา ในไตรลักษณ์นี้จะเป็นอะไรขึ้นได้ทั้งนั้น ขึ้นบทสุดท้ายขึ้นได้ไตรลักษณ์นี่ แต่นี้สำหรับนิสัยเราขึ้นบทอนัตตา ปล่อยให้หมด ความหมายว่างั้น
ธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตานะ คือความเศร้าหมองก็ดี ความผ่องใสก็ดี ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี รวมลงมาแล้วเรียกว่าธรรมเหล่านี้เป็นอนัตตา พอว่าเป็นอนัตตาจิตมันก็ตั้งจ่อนิ่งเลย เพราะมันลงในอนัตตาแล้วไม่มีที่ไปแล้ว อันนี้เปิดให้หมดหัวอกเลยวันนี้นะ พอเท่านั้นแหละ จิตจะว่าทำงานอะไรอยู่ก็ไม่ใช่ เป็นวางเฉยในธรรมขั้นนี้ ไม่ทำการทำงานอะไรเลย จะไปสนใจกับว่าอัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี หรือสนใจว่าสุขว่าทุกข์ เศร้าหมอง ผ่องใส ก็ดี ไม่ไป อยู่จุดศูนย์กลางเฉย เฉยด้วยมหาสติมหาปัญญานะ ไม่ได้เฉย ๆ แบบเซ่อ ๆ ทั้งอ้าปากอย่างพวกเรานะ
นั่นละถ้าเราจะพูดเป็นแบบโลกก็เรียกว่า ปล่อยบทเผลอ แต่นี้มันไม่ได้เผลอ เป็นแต่เพียงวางเฉย ๆ ไว้ มันไม่เผลอไม่ทำอะไร มันก็ผางขึ้นมาเลย อันนี้ก็ว่า อัตตาก็ดี อนัตตาก็ดี เรียกว่ามันพรึบคว่ำลงไปเลย ปัดอันนี้ทั้งหมดที่ว่าจุดว่าต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ นี่คือตัวนี้ก็มารวมกันแล้ว เศร้าหมองผ่องใสอะไร ลงในอนัตตาอันเดียวผางนี้ขาดสะบั้นไปหมดเลย นี่เวลามันลบนะ มันลบหมดเลย ผางขึ้นมานี้เหมือนฟ้าดินถล่มนู่นน่ะ ฟังซิน่ะ กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ อวิชชาตัวเดียวนี่คว่ำลงจากจิตกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุ เพราะอวิชชาตัวนี้พาเที่ยวแดนโลกธาตุเข้าใจไหม พอคว่ำอันนี้ลงแล้วก็เหมือนกับว่าแดนโลกธาตุนี้คว่ำลงพร้อมกันหมด ประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มเลยนะ
ทีนี้พอมันพรึบทีเดียวเท่านั้น อันนี้ไม่ได้มีอันใดที่จะเข้าไปตัดสิน หลักธรรมชาติตัดสินเองเป็นเองขึ้นมา ฟ้าดินถล่มก็เป็นเองทั้งนั้นเลย ไม่ได้มีอะไรตั้งสติสตังตอบรับกันเลย เป็นลักษณะกลาง ๆ ขึ้นมาผางทีเดียวนี้ เหมือนกันกับว่าโลกธาตุนี้คว่ำหมดเลย พรึบทีเดียวหมดเลย ทีนี้จ้าเลยที่นี่ อู๋ย อัศจรรย์จริง ๆ นี่เห็นไหมขันธ์ทำงานพี่น้องทั้งหลายดูเอา ความอัศจรรย์ที่มาสอนโลกเวลานี้พิลึกพิลั่น แหมดูซิน้ำตานี่พังเลย เดี๋ยวนี้ก็ยังพังเห็นไหม นี่ละขันธ์ทำงาน ธรรมชาตินั้นไม่มีเข้าใจไหม นี่ละผางเท่านี้ โถ อัศจรรย์จริง ๆ ให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบว่า ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นยังไง อยากถามผู้มันนอนตายอยู่นี้ว่างั้นนะ โอ๊ย อัศจรรย์จริง ๆ แหม น้ำตานี้พังพราก ๆ ๆ โถ ๆ ขึ้นมาเลยเทียวนะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละหรือ ๆ ๆ ย้ำอยู่นั่นน่ะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละหรือ ๆ ไม่เคยคาดเคยคิดนะมันผางขึ้นมา อู๊ย อัศจรรย์พูดไม่ถูก คิดดูซิเดี๋ยวนี้ยังเป็น มันสด ๆ ร้อน ๆ ทำไมเป็นไม่ได้วะ
จากนั้นแล้วมีตั้งแต่ความอัศจรรย์ เรียกว่ากายนี้ไหวเลยเทียวนะ มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แหละ เป็นพร้อมกันหมดเลยเวลานั้น ฟ้าดินถล่ม แดนโลกธาตุดับพรึบลงหมดเลย จากนั้นก็ย้ำทีเดียวว่า เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ถามท่านหาอะไร มันเจออยู่นั้นแล้วจะว่าไง พระธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ รวมเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว เรียกว่าธรรมอัศจรรย์เลิศเลอ หรือว่าธรรมธาตุแล้วเท่านั้น เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง แต่ก่อนเราเคยคิดเมื่อไรว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จะมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันน่ะ
พุทโธก็พุทโธ ธัมโมก็ธัมโม สังโฆก็สังโฆ ติดหัวใจมาตั้งแต่รู้เดียงสา แล้วมาจ้าขึ้นเวลานั้นแล้ว ธรรมชาติอันนี้มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง เป็นอันเดียวกันแล้วนะนั่น โอ้โห เป็นอย่างนี้เหรอธรรมอัศจรรย์ นั่น ทีนี้เวลามันจ้าหมดแล้วสิ่งไม่เคยรู้มันรู้ไปหมดนี่ทำไงล่ะ นี่เหรอเอามาสอนโลกหลอกโลกน่ะ หลอกอย่างนี้เหรอ โห เราพูดเราอัศจรรย์ พิลึกพิลั่นจริง ๆ ธรรมอันนี้น่ะ ทีนี้ดูธรรมชาตินี้แล้วมันครอบโลกธาตุหมดแล้วนี่นะ มันจ้าไปหมดเลย ไม่ได้มีอะไรปิดบังลี้ลับ บาปบุญนรกสวรรค์มันตีหน้าผากอยู่นี่ มีหรือไม่มีอยากว่าอย่างนั้นนะ มันอยากฟาดหน้าผากนั่นน่ะ ให้กิเลสมันหลอกมาเท่าไรว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี มันจ้าครอบอยู่หมดตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใด มันไม่เห็นเฉย ๆ เข้าใจไหมล่ะ มันมีอยู่กี่กัปกี่กัลป์สิ่งเหล่านี้ที่เผาสัตว์ทั้งหลายด้วยความงมงาย ด้วยความมืดความบอดที่กิเลสหลอกไม่ให้เห็นไม่ให้รู้
อะไรจะร้อนยิ่งกว่าไฟนรก ในแดนสมมุตินี้ไฟนรกที่ประเภทกรรม ๕ อย่าง คืออนันตริยกรรม ๕ ฆ่าบิดาหนึ่ง ฆ่ามารดาหนึ่ง ฆ่าพระอรหันต์หนึ่ง ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายหนึ่ง แล้วก็สังฆเภท ยุยงให้สงฆ์แตกจากกันหนึ่ง กรรมทั้งห้าประการลงในนี้หมดเข้าใจไหม มันจ้าอยู่ด้วยกันนี่จะว่าไง แล้วไปถามหาที่ไหนนรกสวรรค์น่ะ พระพุทธเจ้าองค์ไหนมาโกหกไม่มี จ้าอย่างเดียวกันนี้ บอกอย่างเดียวกันนี้หมด
พวกเรามันโง่ชะมัดนี่นะ โอ๋ย.มันพิลึกพิลั่นนะ ไม่ว่าอะไรมันครอบอยู่ในหัวใจนี้หมด มันจ้าไปหมดแล้วจะไปถามหาที่ไหนอีกล่ะ ก็มันพร้อมอยู่บนหัวใจนี้หมด มันจ้าไปหมดแล้วนี่ จะไปถามหาอะไรก็มันจ้าอยู่นี้แล้ว ทีนี้เวลาขนาดนั้นแล้วก็พิจารณาซิที่นี่ พอหลังจากนั้นมาพิจารณาดูโลก โถ.โลกนี้ทำไมเราสยดสยองความเป็นมาของเรา ความเกิดความตายความตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมลงนรกนี้ เหมือนไปขึ้นบันไดนะ แต่ละดวง ๆ จิตดวงนี้มันไม่ตาย เข้าใจไหม จิตดวงนี้มันไม่ตาย กรรมฝังอยู่ในมันนั้นน่ะ กรรมดีก็พาขึ้น พอหมดกรรมดี อ้าว กรรมชั่วมันก็มีมันก็ดึงลง ขึ้นสวรรค์พรหมโลก ลงแดนนรกนี้ เหมือนขึ้นบันไดลงบันไดเข้าใจไหม นี่ละขนาดนั้น ให้พากันตื่นเสีย ถ้าจะตื่นนะ
วันนี้เปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟังเต็มที่ จนกระทั่งน้ำตาร่วงให้เห็นต่อหน้าต่อตา บ้าหรือดีดูเอานะ ฟังเสียวันนี้ ขนาดนั้นนะ ธรรมมาสอนโลก เพราะฉะนั้นจึงตัดคอขาดไว้เลยว่าอะไรไม่มี คำว่ากล้าว่ากลัวจะมีอะไร ก็มันเหนือทุกอย่างแล้วนี่ ทีนี้ก็พออย่างนั้นมันดูโลก มาดูตัวเองกำหนดพิจารณาภพชาตินี้ แหม ศพของเราคนเดียวทิ้งประเทศไทยนี้ไม่มีที่วาง คนเดียวนี้นะ นานหรือไม่นาน มันเกิดตายอยู่นี้ เวลามันจับตรงนี้ได้แล้ว มันกระจายออกไปหมด โอ๊ย.ถ้าจะนับนับไม่ได้ อย่าไปนับ เท่านั้นแหละ มันเลยเถิด นี่ละศพแต่ละศพคนแต่ละคน จิตแต่ละดวง ของบุคคลแต่ละคน ของสัตว์แต่ละตัวเป็นแบบเดียวกันหมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่าใคร ความหนาแน่นความมากมายนี้เหมือนกันหมดเลย แล้วดูโลกมันดูไม่ได้ที่นี่ ดูภพชาติเจ้าของที่เคยเป็นมานี้ขยะแขยงย้อนละที่นี่นะ
โอ้โห.มันเกิดมาขนาดนี้มันก็ยังบึกบึนเกิดมาได้ ถ้าไม่มีอันนี้ตัดสินมันจะไปอีกอย่างเดียวกันนี้ มันพิจารณา ออกจากนี้แยกดูโลกละซิ ดูโลกยิ่งดูไม่ได้อีกละ มันก็แบบเดียวกันหมด ทั่วแดนโลกธาตุเป็นแบบเดียวกับเรานี้หมด ไม่มีใครยิ่งหย่อนกว่ากัน อู๊ย.จะสอนไปยังไงสอนโลก อ่อนใจนะ มันเป็นเองของมัน สอนไปหาอะไร ธรรมประเภทนี้ใครจะรู้ได้เห็นได้ สอนไปให้เสียเวล่ำเวลาไปทำไม อยู่ไปกินไปพอถึงวันตายแล้วก็ไปเสียเท่านั้น นั่น เห็นไหมลงแล้วนะ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ท้อพระทัย เราก็ท้อใจ มีความขวนขวายน้อยแล้ว เหมือนว่าตัดช่องแล้วไปแต่ผู้เดียว อยู่ทำไมสอนทำไมไม่เกิดประโยชน์อะไรไปแล้วนะ เราเอาเรื่องนี้มาเทียบ โถ ๆ แต่มันไม่แล้วนะ อันนี้มันไม่แล้วมันว่าของมันเป็นพัก ๆ ของมัน
เวลาดูโลกดูด้วยความอ่อนใจ ผู้ที่มืดนี้ก็เรียกว่าหมดคุณค่าเอาเลย มนุษย์ทั้งคนนี้ละ อยู่ด้วยกันอย่างนี้ ผู้มันมืดขนาดหมดคุณค่าเลย นั่นท่านเรียกว่า ปทปรมะ เข้าใจไหม แย็บขึ้นมาก็มีลักษณะอะไร ๆ แย็บขึ้นมาสูงขึ้น ๆ แย็บขึ้นมาถึงพวกปทปรมะ แล้วก็พวกเนยยะ พวกวิปจิตัญญู พวกเนยยะ ดูขึ้นเป็นขั้น ๆ ไปถึงขั้นพวกเนยยะนี้ พอลากพอเข็นไปได้ ทั้งจะขึ้นทั้งจะลง เนยยะคือพอแนะนำสั่งสอนไปได้ถ้าเผลอก็ลงได้ ถ้าเจ้าของเอาจริงเอาจัง ดีดได้ ๆ อันนี้ทั้งขึ้นทั้งลงได้ด้วยกันหมด เนยยะ อันที่สามนี้มีแต่จะขึ้น ๆ ถ่ายเดียวคำว่าลงไม่มี มีแต่จะขึ้น แต่ช้ากว่าอุคฆฏิตัญญู อุคฆฏิตัญญูนี้พร้อมแล้วที่จะผางออก ถ้าเป็นวัวก็รออยู่ปากคอก คอยแต่จะเปิดประตูคอกนี้พุ่งเลย นี่ประเภทอุคฆฏิตัญญู ผู้ที่จะรู้เร็วผ่านได้เร็ว มีเป็นขั้น ๆ มาอย่างนั้น เรามาก็พิจารณา
แล้วที่กล่าวเหล่านี้มีในสัตว์โลกนี้ทั้งนั้น นั่นมันแยกนะ ประเภทเยี่ยมมี ในกองที่ว่าอิดหนาระอาใจนี่แหละ มันมีอยู่ในนั้น มันแยกของมันเองนะ อุคฆฏิตัญญู ประเภทที่รอที่จะข้ามผึง ๆ มี แล้ววิปจิตัญญู ลดกันกว่านั้นก็มี จะขึ้นจะออก ๆ เนยยะนี่กำลังแย่งตำแหน่งกันระหว่าง เสื่อกับหมอนกับทางจงกรม เข้าใจไหม นี่กำลังแย่งกันไป แย่งกันมา พวกปทปรมะนั้น เป็นร่างมนุษย์เฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรติดตัวเลย นี่แหละพวกที่ตายแล้วก็ไม่มีความหมายอะไร ลงผึงเลย ลงไปอีกตามเดิม ไม่มีทางขึ้น ไม่มีประโยชน์ติดตัวเลยแม้นิดหนึ่ง ลงถ่ายเดียว จำให้ดีคำนี้น่ะ ถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย โกหกเหรอ
นี่แหละท่านว่า ประเภทถังขยะ คำว่าถังขยะนั้นมี ๔ ประเภท อยู่ในถังขยะอันเดียวกันเข้าใจไหม ประเภทที่เยี่ยม คือ อุคฆฏิตัญญู นี่ในถังขยะอันนี้แหละ ประเภทวิปจิตัญญู ลดกันลงมาก็อยู่ในถังขยะอันนี้ ประเภทเนยยะ ก็มีอยู่ในถังขยะอันนี้ ประเภทปทปรมะก็มีเต็มอยู่ในถังขยะนี้ โลกอันนี้เป็นโลกสมมุติเป็นโลกถังขยะ เจือปนไปด้วยสิ่งดีสิ่งชั่ว สับสนปนเปกันอยู่ในกองถังขยะนี้ เข้าใจไหมล่ะ แยกออกเป็นสี่ประเภทในถังขยะนี้ ทีนี้มันก็แยกแยะ ๆ พิจารณา แล้วทีนี้ก็ขึ้นมาอีกอันหนึ่งนะ ตอนที่เหมือนว่าทอดอาลัยตายอยากกับโลกที่จะไม่สั่งสอนใคร เรียกว่าทำความขวนขวายน้อย
สักเดี๋ยวก็ผุดขึ้นมาอีกนะ นี่แหละที่จะให้มีแก่ใจ ผุดขึ้นมาอีก ถ้าว่าธรรมเป็นของวิเศษเลิศเลอไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหน เอาตรงนี้นะขึ้นตรงนี้ขึ้นในจิต เราเป็นเทวดามาจากไหน ทำไมจึงรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด นี่คำว่าเพราะเหตุใด มันก็จับสายทางนั่นซี เรารู้ได้เพราะอะไร มันก็มีสายทางมา ตามทางที่พระพุทธเจ้าสอนว่า การให้ทานรักษาศีลภาวนา นี้คือทางเดินเข้ามา เข้าใจไหมล่ะ เข้ามาจุดนี้ ทางอื่นไม่มี นี่รู้ได้เพราะเหตุใดมันก็วิ่งย้อนหลังมา เป็นทางที่เราเดินมาแล้วทั้งนั้น ๆ มาถึงจุดนี้ อ๋อ ขึ้นยอมรับที่นี่ อ๋อได้ ถึงไม่มากก็ได้ นั่น มีแล้วนะที่นี่ ปฏิเสธไม่ได้เลย บอกว่าได้ไม่มากก็ได้ ถึงไม่มากก็ได้อยู่ มีแก่ใจเริ่มที่จะแนะนำสั่งสอนผู้ที่สมควรจะสอน อยู่ในป่าในเขาพระเณรก็รุม ๆ อยู่นั้นแหละ
จากนั้นก็ค่อยแย็บออกมาสอนออกมา ๆ กว้างออกมา จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ดูเอาซิ ทั่วแดนโลกธาตุ ประเทศไทยเมืองนอกอะไร ได้ฟังธรรมจากหลวงตาบัวทั้งนั้นใช่ไหมล่ะ หนึ่งออกทางปากสด ๆ ร้อน ๆ เทศน์สอนพระ พูดธรรมะขั้นเด็ด จากนั้นก็ออกจากเทป จากเทปก็เขาออกทางวิทยุ ออกทางอินเตอร์เน็ต เวลานี้กระจายทั่วประเทศไทย ธรรมะที่หลวงตาแสดงนี้รับรองร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ ไม่มีเคลื่อนคลาดจากหลักความจริงที่รู้ที่เห็นมาเลย เข้าใจไหม พระพุทธเจ้าสอนโลกก็สอนแบบเดียวนี้ จึงพูดแล้วสาธุ ตัวเท่าหนูก็ตาม เครื่องยืนยันมีอยู่ในหัวใจ รู้สิ่งใดค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้ เห็นสิ่งใดค้านพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยอมรับหมด เมื่อยอมรับหมดแล้วก็เต็มหัวใจ ที่จะนำออกแสดงตามหลักความจริงที่ยอมรับเรียบร้อยแล้ว เข้าใจไหมล่ะ นี่แหละมันถึงผาง ๆ สอนโลก จากนั้นก็กระจายออกมา เดี๋ยวนี้ก็ทั่วประเทศไทยแล้วเราสอน
เราจึงกล้าหาญชาญชัย ถ้าพูดแบบโลกสงสาร แต่หลักธรรมแล้วไม่มีคำว่ากล้าก็ไม่มี กลัวไม่มี คำว่าได้ว่าเสียไม่มี คำว่าแพ้ว่าชนะไม่มีในธรรม สอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ เช่นกรณีที่หมากัดกันอย่างนี้ ไปจับหมาแยกออกจากกันอย่างนี้ เราไม่มีส่วนแพ้ส่วนชนะใช่ไหม หมาต่างหากมี นั่น ผู้เจ็บปวดก็คือหมาต่างหากเจ็บ มันกัดกัน เราไปจับแยกหมาออกจากกันไม่ให้มันกัดกัน นั่นเป็นเรื่องของธรรม แยกคนที่เห็นผิดเห็นถูกต่อสู้กันอยู่ พวกทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ นั้นละ
อย่างที่เราพูดในประเทศไทยของเราเวลานี้ มันก็ไม่พ้นที่จะย้อนจากนี้แหละ นี่เอาธรรมออกมายันนะ เรายุ่งกับโลกอยู่เวลานี้ไม่มีใครยุ่งเกินหลวงตาบัวไป คือจับหมามันแยกออก หมามันกำลังกัดกันเวลานี้ ทั้งหมาพระหมาโยม หมาฆราวาส หมาพระมันกำลังกัดกัน มันแย่งดีชิงดีชิงเด่นกัน กำลังกัดกันอึกทึก เราก็นำธรรมมาสอน นี่เรียกว่าจับหมาแยกไม่ให้กัดกัน ให้สงบระงับ ธรรมมีอยู่ให้อยู่กับความจริง อันใดถูกต้องให้จับอันนั้น ปล่อยวางอันที่ผิดไปเสียให้หมด บ้านเมืองและศาสนาเราก็จะสงบร่มเย็น พระเณรประชาชนทั่วแดนไทยก็จะสงบร่มเย็น เวลานี้ที่ไม่สงบร่มเย็นก็คือหมามันกัดกัน ทั้งหมาดีหมาชั่วมันกัดกันต่อสู้กันอยู่เวลานี้ เวทีของพุทธศาสนาโดยถือหัวใจประชาชนเป็นสนามใหญ่ เป็นเวทีอันใหญ่กำลังแตกกระจัดกระจายกันเวลานี้ เพราะหมามันกัดกันอยู่บนเวทีคือพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหัวใจของชาติชาวไทยชาวพุทธเรา
เราจึงขอบิณฑบาต ขอให้แตกให้แยกกันออกไป การกัดกันไม่เป็นประโยชน์ทั้งผู้แพ้ผู้ชนะมันเจ็บช้ำไปด้วยกันนั่นแหละ ไม่มีตัวไหนดี ให้แยกจากกันเสีย ยอมรับเหตุรับผลดีชั่วแล้วมาประคองตัว ชาติศาสนาของเมืองไทยของเราก็จะขึ้นเป็นความสงบร่มเย็นแก่ชาติไทยของเรา จะไม่มีอะไรเสื่อมเสียและฉิบหายไป ดังที่อวดเก่งกันว่ากัดกันเพื่อความชนะ ๆ มันล้วนแล้วแต่พวกแพ้อย่างหลุดลุ่ยด้วยกันนั่นละ ไม่มีใครดี การกัดกัน การรบกันไม่ดี มันเจ็บทั้งผู้แพ้ผู้ชนะ เหมือนนักมวยเขาต่อยกัน ใครจะอวดดีอวดเด่นไปไหน ไม่ใช่ของดี การกัดกันเป็นเรื่องเจ็บปวดแสบร้อนทั้งสองฝ่าย นี่การรบรากัน ด้วยความรู้ความเห็นความอยากเด่นอยากดัง ความถูลู่ถูกังไม่ยอมฟังเสียเหตุเสียงผลเลย นี้คือหมากัดกันจะเอาให้พินาศจริงๆ โดยถือเมืองไทยของเราทั้งประเทศนี่แหละเป็นสนามหมากัดกัน
ให้พี่น้องทั้งหลายทุก ๆ ฝ่ายพินิจพิจารณา เรานำธรรมที่ออกมาจากน้ำตาร่วงในเวลาสด ๆ ร้อน ๆ นี้มาพูดให้พี่น้องชาวไทยเราฟัง ด้วยความจริงใจ ถ้าแยกอย่างนี้แล้วจะไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ผู้แพ้ก็แพ้เพื่อดี ผู้ชนะถ้าพูดแบบโลกว่าชนะ ผู้ชนะก็ชนะเพื่อดี ผู้แพ้ก็แพ้เพื่อดี เข้ากันได้สนิท ไอ้แบบที่กัดกันไม่ถอยไม่มีใครแพ้ใครชนะ แต่เลือดสาดทั้งสองฝ่ายนี้ดูได้ไหม พิจารณาซิ เราไม่อยากเห็น เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ระหว่างพุทธบริษัทประชาชนพระเณรเต็มวัดเต็มวา มากัดกันเหมือนหมาเลือดสาดเต็มประเทศไทย เราไม่อยากได้ยิน ขอให้พากันเลิกล้มกันไป ใครผิดใครถูกนรกอเวจีนั้นรับรองด้วยกัน สวรรค์พรหมโลกนิพพานรับรองคนชั่วคนดีได้ด้วยกัน เราอย่าพูดให้เหนือนรกอเวจีด้วยความผิดของเรา แล้วอย่าพูดให้นอกเหนือความดิบความดีที่นอกเหนือไปจากธรรมพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นแดนสวรรค์นิพพานที่จะบรรจุคนดีไว้ ให้พินาศฉิบหายลงมาสู่เวทีหมากัดกัน มีแต่เลือดสาดอย่างเดียว เข้าใจเหรอ พากันจำเอานะ
วันเทศน์อย่างสุดขีดสุดแดน เราปฏิบัติมา ๕๓ ปี นี้มาแสดงให้ท่านทั้งหลายได้เห็นวันนี้เข้าใจไหม นี่ละธรรมไม่อัดไม่อั้นไม่ตีบไม่ตันไม่ผลักไม่ดัน เหตุการณ์อะไรที่ควรจะออกหนักเบามากน้อยออกเต็มเหนี่ยว ๆ อย่างวันนี้ออกเต็มเหนี่ยวเลย ถึงขนาดน้ำตาหลวงตาบัวร่วงให้พี่น้องทั้งหลายเห็น จากความอัศจรรย์ของธรรมเป็นอย่างนั้นละ นี้ละธรรมที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้เอาธรรมเล่น ๆ มาสอนนะ สอนจริง ๆ เราปฏิบัติเอาตายเข้าว่าเลย ดังที่เคยกล่าวให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ความเพียรของเราไม่มีใครเชื่อได้นะ ความเพียรของเราเพื่อธรรมอันเลิศเลอ ไม่มีใครเชื่อได้เพราะเขาไม่ทำเหมือนเรา
เราทำอย่างว่านั่นละ เวลาได้ก็ได้อย่างนี้ละ นี่ละอำนาจแห่งความอุตส่าห์พยายามบึกบึน เพื่ออรรถเพื่อธรรมเพื่อความดี เด็ดเท่าไรยิ่งดี ตายก็ตายดี เป็นอย่างนั้นนะ ไม่ได้ตายเลวนะ จำให้ดีนะ เอาละวันนี้เหนื่อยพอ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|