เทศน์โปรดคุณเพาพงา วรรธนะกุล ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๘
พระนิพพานกังวานอยู่ในจิต
เมื่อจิตได้สร้างตัวเองจนปรากฏเป็นจิตที่มีคุณค่าขึ้นมาแล้ว ความสำคัญต่างๆ ภายในจิตที่เที่ยวเกาะเที่ยวยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นของมีคุณค่า สิ่งนี้ว่าเป็นของดี ก็ค่อยจางลงไป ตามคุณภาพของจิตที่ค่อยเขยิบตัวขึ้นไปโดยลำดับ หากจิตไม่ได้รับการอบรมด้วยธรรมใดๆ เลย และไม่มีคุณธรรมใดๆ ปรากฏภายในตัวเลย ก็จะต้องคว้าโน้นคว้านี้อยู่ต่อไปเป็นธรรมดา เหมือนคนตกน้ำคว้าหาที่ยึดที่เกาะนั่นเอง ไม่ว่าใครและมีความรู้สูงต่ำเพียงไร หรือเป็นชาติชั้นวรรณะใด เพศใดวัยใดก็ตาม ต้องเป็นในลักษณะเดียวกัน เพราะสิ่งที่พาให้หมุนให้คว้าให้เที่ยวยึดมันอยู่กับใจ สำคัญว่าอันนั้นจะดีอย่างนี้ อันนี้จะดีอย่างนั้น หลอกใจให้หลงไปคว้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน เพราะจิตนั้นไม่มีความเป็นตัวของตัว หาที่ยึดไม่ได้
เมื่อได้รับการอบรมด้วยธรรมพอประมาณที่ควรจะทราบได้ว่า สิ่งใดเป็นสาระ สิ่งใดไม่เป็นสาระ อันใดเป็นสาระมากน้อย อันใดไม่มีสาระเลย การอบรมไปโดยลำดับ จิตก็ย่อมทราบและเลือกเฟ้นเฉพาะสิ่งที่ควรยึดควรเกาะ จิตย่อมสร้างสาระอันสำคัญขึ้นมาภายในตัว และ ย่อมทราบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวไปตามลำดับขั้นภูมิของจิต ซึ่งแต่ก่อนไม่เคยทราบมาเลย ดังนั้นท่านจึงสอนให้อบรมจิต คือชำระสิ่งที่ไม่มีคุณค่า และทำจิตให้อับเฉา ทำจิตให้ขุ่นมัวมั่วสุมอยู่กับอารมณ์สกปรกโสมมออกไป เพื่อจิตจะได้รู้แจ้งเห็นจริงขึ้นโดยลำดับ เมื่อสิ่งที่ไม่มีคุณค่าเหล่านั้นค่อยจางไป เพราะการชำระขัดเกลา
ปราชญ์ทั้งหลายท่านถือจิตเป็นสำคัญมาก ในธรรมก็ประกาศไว้ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ คือเรื่องใจเป็นสำคัญในตัวคนตัวสัตว์ ดังเช่น พระอัสสชิแสดงธรรมแก่พระสารีบุตร เมื่อคราวพระสารีบุตรยังเป็นปริพาชกอยู่ว่า ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุ เมื่อจะดับก็เพราะดับเหตุก่อน ผลก็ดับไปเอง ท่านพูดถึง มหาเหตุ มหาเรื่อง หมายถึงใจดวงนี้ ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดว่องไวอย่างพระสารีบุตร ก็ทราบ มหาเหตุ ได้ทันที จับความจริงได้ในขณะนั้น และได้สำเร็จพระโสดาบัน เพราะจับหลักความจริงแห่งธรรมได้อย่างมั่นใจ หายสงสัยในการที่จะเสาะแสวงหาอะไรต่อไปอีก นอกจากจะเสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญเพื่อธรรมขั้นสูงขึ้นไป และเพื่อหลักอันแน่นหนามั่นคงยิ่งกว่าที่ได้แล้วนี้ขึ้นไปเท่านั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียนถามพระอัสสชิ ว่า ท่านอยู่สำนักใด ใครเป็นครูเป็นอาจารย์ของท่าน? เมื่อได้ทราบแล้วก็ชักชวนบริษัทบริวาร ๒๕๐ คน ไปศึกษาอบรมกับพระพุทธเจ้า นี่คือท่านได้หลักใจอันแน่นอนไว้แล้วในภูมิธรรมเบื้องต้น คือพระโสดาบันเป็นผู้ได้ อจลศรัทธา เชื่อหลักและยึดหลักความจริงได้ไม่สงสัย เป็นอจลศรัทธา คือความเชื่อมั่นไม่หวั่นไหวโยกคลอน เมื่อไปถึงพระพุทธเจ้าและได้รับพระเมตตาสั่งสอนจากพระองค์แล้ว บรรดาบริษัทบริวารที่ไปด้วยกัน ๒๕๐ คนนั้น ต่างก็ได้สำเร็จมรรคผลนิพพานไปด้วยกันทั้งหมด
ยังเหลือแต่พระสารีบุตร และพระโมคคัลลาน์ แต่ปรากฏว่า ๗ วันต่อมา พระโมคคัลลาน์ ได้สำเร็จพระอรหัตผล พระสารีบุตร ๑๕ วัน จึงสำเร็จธรรมขั้นสุดยอด เพราะท่านมีนิสัยชอบใคร่ครวญเหตุผล กว่าจะลงกันได้ จึงนานผิดกับเพื่อนฝูงที่ไปด้วยกันอยู่มาก ท่านอบรมธรรมอยู่ในสำนักของพระศาสดาได้ ๑๕ วัน จึงสำเร็จพระอรหัตผลขึ้นมา ด้วยภูมิจิตภูมิธรรมอันลึกซึ้งกว้างขวางมากรองพระศาสดาลงมา ในบรรดาพระสาวกที่มีปัญญามาก ต่อมาก็ได้รับยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็น อัครสาวกเบื้องขวา และเป็นเอตทัคคะทางภูมิปัญญาเฉลียวฉลาดในบรรดาสาวกทั้งหลาย ทราบว่า ฝนตกตลอด ๗ วัน ๗ คืน ท่านยังสามารถนับได้ทุกเม็ดฝน แม้เช่นนั้นยังถูกตำหนิจากพระพุทธเจ้าว่า อย่าว่าเพียง ๗ วันเลย สารีบุตร แม้ฝนตกอยู่ตลอดกัลป์ เรา ตถาคตก็สามารถนับได้ นี่แลระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสารีบุตร แม้เป็นผู้ฉลาดในวงสาวกด้วยกัน เมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว จึงผิดกันอยู่มากราวฟ้ากับดิน
การบำเพ็ญของท่านภายใน ๑๕ วัน ได้สำเร็จพระอรหัตผล ก็นับว่ารวดเร็วอยู่มาก ทั้งนี้เพราะท่านเคยบุกเบิกมานานในชาติหนหลัง มาชาตินี้ท่านจึงฆ่ากิเลสวัฏวนลงได้ ไม่หมุนไปสู่ภพนั้นกำเนิดนี้อยู่ไม่หยุดราวกับกังหันในเวลาต้องลม นี่เราพูดส่วนผลที่ท่านได้บำเพ็ญมาหลายภพหลายชาติ จนความสามารถพอตัวแล้ว เพียง ๗ วัน ๑๕ วัน ก็สำเร็จ ดูว่าง่ายนิดเดียว ส่วนเหตุที่ท่านดำเนินมาแต่อดีตชาติ ก็เหมือนกับเราๆ ท่านๆ นี้แล ต้องมียากมีง่ายไปตามแขนงของงาน
แต่การแก้กิเลส ซึ่งเปรียบเหมือนการเฉือนหนังเฉือนเนื้อในอวัยวะเราออกจากตัวเรานั้น ย่อมเป็นของทำได้ยาก เพราะระหว่างกิเลสกับเราคือใจ และอวัยวะเคยแนบสนิทติดกับเรา ราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมานานแสนนาน ดังนั้นเมื่อจะเฉือนกิเลส ก็กลัวเราถูกเฉือนเข้าไปด้วย เนื่องจากไม่ทราบว่าอะไรเป็นเรา อะไรเป็นกิเลส เพราะคล้ายคลึงกันมากยากแก่การสังเกตสอดรู้ ถ้าไม่ใช้ความพยายามด้วยสติปัญญาจริงๆ คำว่า กิเลส กับเรานั้น อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน รัก ชัง โกรธ เกลียดด้วยกัน ขี้เกียจ อ่อนแอด้วยกัน ขยันในสิ่งไม่เป็นท่าด้วยกัน ชอบทำความเสียหายแก่ตนเองและคนอื่นอยู่เสมอด้วยกัน ชอบคึกคะนอง ไม่มองดูอายุสังขารของตนด้วยกัน รักสุขเกลียดทุกข์ แต่ชอบทำสิ่งที่จะให้เกิดทุกข์มากกว่าให้เกิดสุขด้วยกัน
เวลาจะทำความดีตามทางของปราชญ์ มักท้อถอยอ่อนแอด้วยกัน มักถือว่าทำยากทำลำบากด้วยกัน มักตำหนิตนว่าบุญน้อยวาสนาอาภัพในเวลาที่จะประกอบทางดีด้วยกัน แม้เวลาจนตรอกหาทางแก้ตัวไม่ได้ เพราะถูกบังคับให้สวดมนต์ภาวนาบ้าง ก็ด้อมๆ มองๆ ดูเวลาว่านาฬิกาได้เท่าใด จะได้ออกจากคุกภาวนาเวลาเท่าใดด้วยกัน พอนั่งไปราว ๕ หรือ ๑๐ นาทีชักกระตุกกระติก อยากลุกจากที่ภาวนา ตามองดูเข็มนาฬิกาด้วยกัน แล้วพาลโกรธให้นาฬิกาว่ามันตายแล้วหรือไง มองดูเข็มไม่เห็นกระดิกเดินบ้างเลย เรานั่งภาวนา คือว่านั่งเกือบชั่วโมงแล้ว มองดูเข็มนาฬิกาไม่เห็นเคลื่อนที่ คว้าลงมาทุบทิ้งเสียไม่ดีหรือด้วยกัน
ขณะนั่งภาวนา พุทโธ ๆ ๆ ก็ได้สองสามคำ ใจถลำไปลงนรกจกเปรตที่ไหนไม่สนใจ มีแต่เพลิดเพลินในมโนภาพ ธรรมารมณ์ต่างๆ ไม่มีขอบเขตด้วยกัน พอหลุดออกจากห้องขัง คือ ที่ภาวนา ออกมาก็ทวงหนี้สินจากธรรมด้วยกันว่า โอ้โฮ เรานั่งภาวนาแทบตาย เหมือนติดคุกติดตะราง เวลาออกมาแล้วไม่เห็นได้เรื่องราวอะไร ใจก็หาความสงบไม่ได้ ทีนี้เข็ดไม่ทำอีกแล้ว เที่ยวสนุกใจดีกว่า เหล่านี้ไม่ทราบว่าเป็นเราหรือเป็นกิเลส? เพราะคละเคล้าเป็นอันเดียวกัน ยากแก่การสังเกตอยู่มาก
ความที่กล่าวมา เป็นเรื่องกิเลสกระซิบใจเรา แต่การถือว่ากิเลสเป็นเรา และสิ่งกล่าวตำหนิความดีคือธรรมมาโดยตลอดเป็นฝ่ายกิเลส แต่คนเราชอบกล่าว ชอบคิดนึกและชอบทำกันอย่างนี้ ทั้งที่เกลียดกิเลส รักธรรมคือความดีงามทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนั้น ตัวกิเลสกับตัวเราจึงกลมกลืนเป็นอันเดียวกันอย่างสนิทติดจม
ด้วยเหตุนี้การแก้ การถอดถอนกิเลส การทำลายกิเลส จึงเป็นเหมือนการทำลายตนด้วยในขณะเดียวกัน ใครๆ จึงไม่อยากแก้อยากทำลายกิเลส กลัวตัวเองจะถูกทำลายให้ฉิบหายล่มจมไปด้วย จึงอยู่ด้วยกันอย่างสนิทใจยิ่งกว่าการจะคิดแก้และถอดถอน ทุกข์ก็ยอมทน คงคิดว่ากิเลสก็ต้องทุกข์ด้วยกับตน ความจริงกิเลสมันไม่ทุกข์ มันไม่ยอมทนทุกข์ มีแต่เราคนเดียวเท่านั้น
ในโลกนี้ไม่ปรากฏว่าใครฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ที่ทรงนำอุบายวิธีมาสั่งสอนโลก ให้รู้จักแยกแยะสิ่งที่ปลอมและสิ่งที่จริงออกจากกัน จนกลายเป็นผู้พ้นภัยไปได้โดยสิ้นเชิง ดังพระสาวกอรหันต์ท่านเป็นตัวอย่างอันเลิศ
แม้เช่นนั้นก็ยังยากสำหรับผู้นำธรรมมาปฏิบัติ ไม่ทราบจะแยกแยะอย่างไรถูกอย่างไรผิด สุดท้ายก็มอบอำนาจให้กิเลสทำการแยกแยะให้เสียเอง มันจึงพอใจกว้านทั้งเรากว้านทั้งกิเลสเข้าเป็นอันเดียวกัน และเป็นตัวประกันความปลอดภัยแก่มัน ไม่ต้องถูกทำลาย เพราะจับเราบังหน้าไว้อย่างมิดชิด สติปัญญาหยั่งเข้าไปไม่ถึงตัวมัน ถึงแต่คำว่า เรา คำว่า ของเรา คำว่า เราไม่มีกำลัง สู้ไม่ไหว ไปเสียสิ้น
อย่างไรก็ตาม กรุณาจับร่องรอยแห่งธรรมที่ท่านแสดงให้ฟังแล้ว นำไปคลี่คลายเชือดเฉือนกิเลสด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร แม้การเชือดเฉือนจะถูกกิเลสบ้างถูกเราบ้าง ก็ยังดีกว่าถูกกิเลสเชือดเฉือนเราถ่ายเดียว ในขั้นเริ่มแรกการเริ่มฝึกหัดทำสมาธิภาวนาในขั้นต้นนั้น ต้องเป็นงานสำคัญและหนักอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นงานไม่เคยทำ และยังไม่รู้จักจิตและอารมณ์ว่าเป็นอย่างไร ทั้งไม่รู้ว่า จิตสงบ จิตรวม เป็นอย่างไร เป็นเพียงได้ยินพระท่านอธิบายให้ฟัง ส่วนความจริงเรายังไม่เคยทำ ยังไม่เคยพบเห็นผลของการทำสมาธิภาวนา
ประการสำคัญ อย่าตีตนให้เจ็บให้ตายก่อนเป็นไข้ เช่น กลัวจะสู้ไม่ไหว ทนไม่ไหว เป็นต้น ต้องสู้จนได้ ทนจนได้ เพื่อความวิเศษในตัวเรา!
ศาสดาของเรา พระสาวกอรหันต์ที่เป็นสรณะของพวกเรา ท่านเป็นนักสู้ไม่ใช่นักถอย เราผู้เป็นลูกศิษย์ท่าน จึงถอยไม่ได้ จะเสียเกียรติเราที่เป็นลูกศิษย์มีครูสอน และเสียเกียรติศาสดาของเรา ชัยชนะมีได้ด้วยการต่อสู้ กู้ชื่อที่เคยแพ้และเสียเปรียบกิเลสมานาน ชาตินี้ขอแก้มือจนมีชัยชนะ เมื่อถูกกิเลสต่อยล้มหมอน หรือนอนอยู่หัวทางจงกรม รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา จงจับอาวุธ คือ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ลุกขึ้นต่อสู้ทันทีไม่มีถอย และต่อสู้ไปเรื่อยๆ ในอิริยาบถทั้งสี่ เพราะกิเลสมันฝังจมอยู่ลึก ถ้าไม่ขุดค้นลงถึงฐานของกิเลสที่ฝังจมอยู่ จะไม่ได้ตัวมันออกมาฆ่าให้สมใจ ที่มันเคยเป็นมหาอำนาจกดขี่บังคับเรามานาน
ชาตินี้เราเป็นชาติมนุษย์ บุรุษหญิงชายเต็มตัว ไม่ต้องกลัวเสียชาติ เพราะการรบฟันหั่นแหลกกับกิเลส ความตายในอำนาจของกิเลสกับความตายเหนืออำนาจกิเลสนั้นต่างกันอยู่มาก เราต้องการรบและตายเหนืออำนาจกิเลส จำต้องทำให้เต็มไม้เต็มมือ อย่าอ่อนข้อรอความตายจากกิเลส ซึ่งเคยมีเคยเป็นมานาน เพราะความกลัวตายเป็นกลมายาของกิเลส ความขี้เกียจอ่อนแอ เป็นความยอมจำนนต่อกิเลส และเป็นทาสของกิเลส ความเป็นทาสของกิเลส เราเคยเป็นกันมานานไม่เข็ดหลาบบ้างหรือ ถ้าเข็ดหลาบก็จำต้องขยันหมั่นเพียร และต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดเป็น ยอดคน คือ ยอดเรา
ในธรรมท่านว่า ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์ร่ำไป นั่นฟังซี! ดีไหม? ความเป็นทุกข์ร่ำไป เพราะความเกิดเป็นต้นเหตุ! ธรมบทหนึ่ง ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด นั่นฟังให้ถึงใจ ซึ่งเป็นตัวรับทุกข์ทั้งมวล เพราะการเกิดๆ ตายๆ ใจผู้รับทุกข์ในการเกิด จะยังอยากเกิดเพื่อรับทุกข์ต่อไปอีกไหม? เพียงหลวงตาบัวโง่ๆ เซ่อๆ ยังชักขยะแขยงในทุกข์ แม้ไม่ขยะแขยงในการเกิดอีก ทีนี้การเกิดอีกกับการต้องรับทุกข์อีกมันแยกกันไม่ออก ถ้าไม่อยากทุกข์อีกก็ต้องกลัวความเกิดอีกจึงจะชอบตามหลักเหตุผล หลวงตาบัวจะหาทางออกแบบไหนวิธีใด นี่มอบให้เป็นการบ้านหลวงตาบัวไปทำ ได้ผลอย่างไรให้มารายงานตัวอย่าชักช้า เวลานี้ กิเลสวัฏวน กับ ธรรมวิวัฏฏะ กำลังรอฟังความรู้ความเห็นของหลวงตาบัวอยู่อย่างกระหาย ว่าจะเอาอย่างไรก็ดี ถ้าหลวงตาบัวไม่ชอบทุกข์แต่ยังชอบการเกิดอีก กิเลสวัฏวน ก็คว้ามือหลวงตาบัวไปเกิดในสถานที่ จัง ๆ คือ จังแบบทุกข์อย่างเข้าสมอง และฝังจมเหมือนฝีกลัดหนอง จะเข็ดหลาบกับโลกเขาไหม? ทำไมชอบนัก! เรื่องเกิดนี่!
ถ้าหลวงตาบัวเข้าตามตรอกออกตามประตูละก็ แม้จะยังมีกิเลสเต็มหัวใจ ก็ยังพอมีหวัง ธรรมวิวัฏฏะ เมตตามาเยี่ยมบ้าง ไม่หันหลังให้เสียทีเดียว เอ้า! หลวงตาบัวรีบไปคิดเป็นการบ้าน อย่าชักช้าเนิ่นนานจะเสียการ เสียข้าวสุกผักต้มชาวบ้านที่เขานำมาบำรุงแต่วันเริ่มบวชเกือบ ๕๐ ปีแล้วนี่ ข้าวของชาวบ้านหมดไปเท่าไร ยังมามัวเพลิดเพลินกับความเกิด และความทุกข์ที่เป็นเงาติดตามความเกิดอยู่ได้หรือ แต่นี้ต่อไปต้องเอาจริงเอาจัง อย่าทำเล่นๆ เสียดายข้าวสุกชาวบ้านเขา!
พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ด้วยการกระทำของตัวเอง ตุมฺเหหิ กิจฺจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา ความเพียรเผากิเลสทั้งหลายให้เร่าร้อน เป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายทำเอง พระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่เพียงผู้ชี้บอกแนวทางเท่านั้น นั่น! ฟังซิ จะมานอนใจเพื่อรับดอกเบี้ยรางวัลอยู่เฉยๆ ได้หรือ? พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็ทรงทำเอาเอง พระสาวกของพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทำของท่านเอง เมื่อได้รับอุบายแห่งธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้ว
พระองค์ยื่นแต่เพียงอาวุธให้ต่อสู้ข้าศึกเท่านั้น อาวุธก็หมายถึง ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา นี่เอง เป็นเครื่องมือฆ่ากิเลส เป็นศัสตราวุธเพื่อฆ่ากิเลส
การจะนำธรรมเหล่านี้ไปปฏิบัติต่อกิเลสอย่างไรนั้น เป็นอุบายความแยบคายของสติปัญญา กำลังวังชาความสามารถของแต่ละราย ที่จะเข้าสู่สงครามด้วยความอาจหาญชาญชัย ด้วยความเฉลียวฉลาดมากน้อยเพียงไรเป็นเรื่องของเรา ตลอดถึงความแพ้ความชนะ ถ้าเราด้อยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร กิเลสก็ทับถม เราก็แพ้ ถ้าเรามีความอาจหาญชาญชัย ฉลาดคล่องแคล่วแกล้วกล้าด้วยสติปัญญาแหลมคม ก็สามารถทำลายกองกิเลสอาสวะทั้งหลาย ซึ่งเป็นข้าศึกนั้นให้ราบไปได้ ชัยชนะก็เป็นของเรา เรื่องมีอยู่เท่านี้ แต่ละคน ๆ เป็นเรื่องที่จะช่วยตัวเอง ยิ่งวาระสุดท้ายเราจะหวังพึ่งใครไม่ได้ ต้องพึ่งสติปัญญาของตัวเองโดยเฉพาะ
ญาติมิตรสหาย พ่อแม่ พี่น้อง สามีภรรยา ลูกเต้า หลานเหลน แม้รักสนิทเพียงไรก็สักแต่ทำให้อารมณ์ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ก่อกวนทางเดินของเราให้ขัดข้องยุ่งเหยิงไปเท่านั้น ไม่ใช่จะเป็นเครื่องบุกเบิกเพิกถอนหนทางให้เราได้โดยสุขกายสบายใจที่เรียกว่า สุคโต สิ่งที่จะเป็น สุคโต ต่อเราโดยเฉพาะนั้นก็คือ ความพากเพียรของเรา ที่หวังพึ่งตนด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เพื่อให้ได้คุณงามความดีมาบรรจุไว้ในใจ อย่างอบอุ่นเท่าที่จะพาให้เป็น สุคโต และกำชัยชนะให้หลุดพ้นจากสิ่งกีดขวางได้ ต้องใช้สติปัญญาให้เต็มภูมิ อย่าประมาทธาตุขันธ์ พระพุทธเจ้าทำไมท่านรู้เท่ากัน
คำว่า ธาตุ ของพระพุทธเจ้ากับธาตุของเรา คำว่า ขันธ์ ของพระพุทธเจ้ากับขันธ์ของพวกเรา เป็นธาตุเป็นขันธ์ประเภทเดียวกัน ความโง่ก็โง่ประเภทเดียวกัน ความยึดถือในธาตุในขันธ์ด้วยอำนาจของกิเลสก็เช่นเดียวกัน สติปัญญาที่จะนำมาใช้เพื่อแยกแยะธาตุขันธ์เหล่านี้ ซึ่งเป็นความผูกพันกับจิตใจ หรือใจไปผูกพันกับสิ่งนั้นแล้วเอาความร้อนมาสู่ตนเอง ก็เหมือนกันกับในครั้งพุทธกาล เราจะแก้ด้วยวิธีใด?
พระพุทธเจ้าท่านแก้ได้ด้วยพระสติปัญญา เราจะเอาอะไรมาแก้ ทำไมพระพุทธเจ้าทรงรู้ได้เห็นได้ แล้วถอดถอนพระองค์ออกมาจากสิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นภาระอันหนักหน่วงนั้นได้ ขันธ์ของเราหนักมากยิ่งกว่าขันธ์ของพระพุทธเจ้าอย่างไรบ้าง มันก็เท่ากัน ทำไมเราจะสลัดตัดทิ้งสิ่งเหล่านี้ด้วยสติปัญญาของเราไม่ได้ เราเป็นศิษย์ ตถาคตผู้ทรงสั่งสอนความเฉลียวฉลาดแหลมคมให้แล้วทุกแง่ทุกมุม เพื่อนำมากำจัดสิ่งที่เป็นข้าศึก ดังที่พระองค์ได้เคยทรงกำจัดมาแล้ว ทำไมเราจะกำจัดไม่ได้
คำว่า พุทธบริษัท จะหมายถึงใคร ถ้าไม่หมายถึงเราที่เป็นชาวพุทธ และปฏิบัติตามพระองค์อยู่เวลานี้ ซึ่งเป็นผู้กำลังก้าวเข้าสู่สงครามแห่งกองทุกข์ทั้งหลาย ทั้งกองทุกข์ในธาตุขันธ์ ทั้งกองทุกข์ในจิต ที่เกิดจากกิเลสอันมีอยู่กับเรา ใครจะเป็นผู้รบ ใครจะเป็นผู้รุก ใครจะเป็นฝ่ายแพ้ฝ่ายชนะ ถ้าไม่ใช่เราคนเดียวนี้ไม่มีใครเป็น
ความแพ้เป็นของดีเมื่อไร เพียงเขาเล่นกีฬากันแพ้ เขายังเสียใจและเสียหน้าเสียตาอับอายขายหน้า เราแพ้กิเลสแพ้มาตั้งกัปตั้งกัลป์ พอรู้จักเดียงสาภาวะตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วมารบกับกิเลส ยังจะแพ้กิเลสเสียอีกก็ขายหน้าเรา และขายหน้าครูเท่านั้นเอง
พระตถาคตคือผู้แกล้วกล้าสามารถ ผู้อาจหาญ ผู้ชนะในสงครามอันใหญ่หลวง ได้แก่ สงครามแห่งวัฏจักร ทรงสลัดปัดทิ้ง ทำลายกงจักรแห่ง วัฏจักร จนฉิบหายวายปวงไม่มีอะไรเหลือ เหลือแต่ธรรมชาติที่บริสุทธิ์ล้วนๆ นี่คือ ตถาคต ซึ่งเป็นแม่ทัพของพวกเรา เราซึ่งเป็นทหารเอกแห่งศาสดาผู้ทรงนามว่า ศาสดาเอก เราจะดำเนินอย่างไร จึงจะได้ชื่อว่าดำเนินตามร่องรอยแห่งครูเพื่อชัยชนะ ถ้าไม่ดำเนินไปด้วยความขยัน ไม่ดำเนินด้วยสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร จะเอาอะไร? เพื่อชัยชนะ! มีสติปัญญานี่เท่านั้น ที่จะสามารถอาจเอื้อมนำชัยชนะมาสู่เราได้ ส่วนความโง่เขลาเบาปัญญามีมากเท่าใด ก็เป็นกลุ่มของกิเลส ที่จะมารุมจิตใจเราให้เกิดความเดือดร้อนอยู่ตลอดไปและหาทางออกไม่ได้ แพ้ไปตลอดสาย ความแพ้เป็นสิ่งที่น่าอับอาย ไม่ว่าแพ้อะไร! ทีนี้เราแพ้กิเลส เราจะมีหน้ามีตามีชื่อมีเสียงมาจากไหน กิเลสเป็นสิ่งที่มีหน้ามีตาดีแล้วหรือ จึงต้องการเป็นบริษัทบริวารของมัน
ธรรม คือความดีเลิศที่มีอยู่ภายในจิตเราดวงนี้ ฉายแสงออกมาไม่ได้เพราะถูกกิเลสปกคลุมจนมืดมิดปิดทวาร นับแต่กิเลสปกครองเรามาเป็นความสุขความเจริญมากน้อยเพียงใด ผลที่ปรากฏเพราะกิเลสปกครองใจนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ที่แสดงให้เห็นอยู่อย่างชัดๆ ก็มีแต่เรื่องของความโลภ ความโกรธ ความหลง ความรุ่มร้อนภายในใจเท่านั้น ที่เป็นผลแห่งความปกครองของกิเลส
ส่วนธรรมแม้มีมากน้อยที่คุ้มครองจิตใจเรา มีแต่ความสงบเย็นใจไปโดยลำดับๆ เราพอจะเห็นได้ชัดว่า คุณธรรมหรือคุณค่าแห่งธรรมกับกิเลสผิดกันมากน้อยเพียงใด เป็นกาลเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว ที่เราจะใคร่ครวญเลือกเฟ้น สิ่งใดที่เห็นว่าเป็นภัยจงพิจารณาให้เห็นว่าเป็นภัยอย่างถึงใจ สิ่งที่เป็นคุณก็ให้ถึงใจด้วยความเห็นคุณ แล้วพยายามบำเพ็ญ พยายามต่อสู้ด้วยสติปัญญาอย่างถึงใจเช่นเดียวกัน เมื่อต่างอันต่างถึงใจกิเลสที่อยู่ในใจจะทนอยู่ไม่ได้ สติปัญญาก็ถึงใจ ความเพียรก็ถึงใจ เมื่อถึงใจย่อมถึงกิเลส ต้นทางที่จะให้ได้ชัยชนะมีอย่างนี้
พระพุทธเจ้าและสาวกก็เหมือนกัน ท่านอยู่ในสกุลใดก็ตาม ตามประวัติ คำว่า สกุล สักแต่ว่าเท่านั้น พอก้าวเข้ามาสู่ความเป็น ศิษย์ตถาคต แล้ว มีแต่ตั้งหน้าสู้โดยถ่ายเดียว เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ไม่หมายป่าช้า ล้มลงที่ไหนเป็นป่าช้าที่นั่น ก่อนที่จะล้มเป็นป่าช้า ก็ขอให้ได้ชัยชนะในสงครามระหว่างกิเลสกับธรรมเสียก่อน ท่านจึงครองมหาสมบัติภายในใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงหวังอย่างยิ่งของพระสาวก ฉะนั้นท่านจึงได้เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ด้วยการต่อสู้เพื่อชัยชนะอย่างไม่หมายป่าช้า นี่คือทางเดินเพื่อชัยชนะของผู้จะไม่มาก่อภพก่อชาติ ก่อความทุกข์ความทรมานให้แก่ตัวต่อไปอีกตลอดกาล
ต้องเป็นผู้เห็นภัย ต้องเป็นผู้มีสติสตังระมัดระวังรักษาจิตใจของตนเสมอ อย่าให้สิ่งมัวหมองเข้ามาเกี่ยวข้องพัวพัน เพราะเป็นของไม่ดีมาแต่ไหนแต่ไร เราก็พอทราบแล้วอย่างประจักษ์ใจ
การแก้จิตใจให้หลุดพ้นไปโดยลำดับนั้น คือการสร้างคุณสมบัติของใจขึ้นให้เด่นภายในใจตนเอง กระทั่งเด่นขึ้นอย่างเต็มที่ สิ่งใดที่เป็นสมมุติที่เคยซึมซาบอยู่ภายในใจก็หมดไป เหลือแต่ความบริสุทธิ์ล้วนๆ นี้แลคือชัยชนะอย่างเต็มที่ในศาสนา ตถาคตของเราก็เป็นผู้ได้ชัยชนะมาแล้ว สาวกอรหัตอรหันต์ทั้งหลายได้ชัยชนะมาแล้วด้วยวิธีการอันใด ก็ได้นำวิธีการอันนั้นมาสอนพวกเรา ให้ได้อ่านได้ยินได้ฟัง ได้ปฏิบัติตามอยู่ขณะนี้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องตามหลักศาสดาและสาวกท่านดำเนินอยู่แล้ว ทำไมจะแก้กิเลสไม่ได้!
มีอยู่อย่างหนึ่ง คือให้หนุนกำลังเข้าไปเรื่อยๆ ส่วนที่แก้ได้แล้วเราทราบชัดๆ ที่ยังไม่ได้ก็จะต้องได้ด้วยวิธีการที่เราเคยแก้มานี้ ไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะแก้กิเลสได้ นอกจากวิธีการที่เคยดำเนินมานี้ ซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกต้องแล้วเท่านั้น จะแก้กิเลสได้ตั้งแต่ต้นจนอวสาน ไม่มีกิเลสเหลืออยู่ภายในใจเลย
แดนนิพพานนั้นกังวานอยู่ในความรู้ของเราทุกรูปทุกนาม แทรกซ้อนอยู่กับกิเลสนั่นเอง ไม่อยู่ที่ไหน เป็นแต่เพียงว่ากิเลสนั้นออกหน้า ต่อไปกิเลสก็ล้าหลังถ้าสติปัญญาทัน ล้าหลังแล้วก็สลายฉิบหายวายปวงไปหมด
ป่าช้าของกิเลส คือที่ไหน ที่เผาศพกิเลส คืออะไร เครื่องเผาศพของกิเลส คืออะไร ก็คือ สติปัญญา ศรัทธา ความเพียร ป่าช้าของกิเลสอยู่ที่ไหน กิเลสมันเกิดอยู่ที่ไหนป่าช้าของมันก็อยู่ที่นั่น คืออยู่ที่ใจ เผากันที่ใจนั่นแหละ ฉิบหายไปที่ใจ ฉิบหายไปด้วยปัญญา ตปธรรม นี่แหละคือไฟเผากิเลส ตป คือ ความรุ่มร้อน รุ่มร้อนกิเลส เผากิเลสรุ่มร้อนจนตายไป นี่แหละที่ว่า พระนิพพานกังวานอยู่ในจิตใจของเราทุกคน เป็นแต่เรายังไม่ได้เปิดความกังวานนั้นออกจากสิ่งที่ปกปิดอย่างเต็มที่เต็มฐาน ความกังวานจึงแสดงตัวออกมาไม่ได้เต็มที่เต็มฐาน
ความกังวานของจิตที่บริสุทธิ์ แห่ง สอุปาทิเสสนิพพาน นี้ กังวานทั่วแดนโลกธาตุ หาที่กำหนดกฎเกณฑ์ หาขอบเขตบริเวณมิได้ เพราะไม่มีสมมุติอันใดที่จะมากีดกั้นธรรมชาตินี้ ท่านจึงว่า ธรรมเหนือโลก เหนือขอบเหนือเขตของสมมุติใดๆ ทั้งสิ้น คือใจที่บริสุทธิ์นี้แล
จากนั้นก็กลายเป็น ธรรมที่บริสุทธิ์ ขึ้นมา จะพูดว่า ธรรมที่บริสุทธิ์ ก็ได้ ใจที่บริสุทธิ์ ก็ได้ไม่มีอะไรแย้งกัน สิ่งที่มาแย้งกันก็ได้แก่สมมุติ ได้แก่กิเลสเท่านั้นที่มาแย้ง มากลบมาลบหรือมาเป็นข้าศึกกัน เมื่อข้าศึกหมดแล้วก็ไม่มีอะไรแย้ง จะว่าอะไรก็ว่าได้ ไม่ว่าก็ไม่เป็นปัญหา อยู่อย่างอิสระอย่างสบาย ไม่มีเรื่องมีราว นี่แหละท่านเรียกว่า มหาสมบัติ
นิพพานสมบัติกับมหาสมบัติก็อันเดียวกัน จงพยายามขุดค้นขึ้นมาให้ได้ มีอยู่กับธรรมชาติที่รู้ๆ ด้วยกันทุกคน สิ่งที่ปกปิดกำบังนี้เป็นสิ่งที่แก้ไขได้ ด้วยความพากเพียรตามหลักธรรมที่ท่านสอนไว้ จงนำไปพินิจพิจารณาแล้วฟิตตัวเข้าโดยลำดับ สิ่งที่เรามุ่งหวังมาเป็นเวลานาน จะปรากฏขึ้นในจุดแห่งความรู้นี้แห่งเดียวเท่านั้น ไม่มีที่อื่นใดเป็นที่แสดงออกแห่งความบริสุทธิ์หรือธรรมบริสุทธิ์
จึงขอยุติการแสดงเพียงเท่านี้ |