เราไม่เห็นกิจใดการใดที่มีคุณค่ายิ่งกว่างานภาวนา ตามหลักพระพุทธศาสนาอันแท้จริงคือหลักภาวนาที่จะทำให้เกิดผลเกิดประโยชน์ประจักษ์ใจจริง ๆ งานเหล่านั้นก็เทียบเหมือนกับงานของโลกไปเสีย แม้จะเป็นงานของธรรมก็เป็นงานประกอบไปกับหน้าที่และเพศของพระไป เรียกว่าเป็นกิ่งเป็นก้าน แต่งานภาวนานี้เป็นงานสำคัญมาก เป็นรากเป็นฐานจริง ๆ ถ้าว่าเป็นแก่นก็เป็นแก่น เป็นแกนของแกนจริง ๆ นี่หลักของศาสนาแท้อยู่ตรงนี้
การอบรมจิตใจ เพราะเหตุไรจึงต้องอบรม เพราะมีตัวภัยอยู่ภายในนั้น โลกหลงอันนี้ว่าเป็นของดีว่ามีคุณ ความว่ามีคุณนี้คือเรื่องของภัยนั้นเองแสดงขึ้นมาไม่ใช่อะไรแสดง
โลกเวลานี้กำลังป่วนปั่นทั่วดินแดน เทียบกับมรสุมดีเปรสชั่นอะไรเหล่านั้น มันหมุนอยู่ภายในจิตใจ มีกี่ดวงก็หมุนเหมือนกันหมด แล้วจะให้จิตดวงใดพอจะยังความสงบสุขให้เกิดขึ้นแก่กันได้บ้างไม่มี นี่เต็มไปด้วยมรสุมมันพัดมันผันป่วนปั่นภายในจิตใจอยู่ทุกจิตใจ เราเคยเห็นไม่ใช่เหรอมรสุมมันขึ้นทางไหนก่อความพินาศฉิบหายให้ตึกรามบ้านช่องผู้คน ดีไม่ดีฟ้าดินถล่มไปโน่นมรสุมมันขึ้น เขาออกทางหนังสือพิมพ์ไม่ได้บอกว่ามรสุมก่อความดีความชอบผลประโยชน์ให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด นอกจากก่อความเสียหายฉิบหายป่นปี้แก่สถานที่ที่มันแสดงตัวอย่างเต็มที่นั้นเท่านั้น ทีนี้จิตใจและมรสุม คืออารมณ์ที่สุมอยู่ภายในใจ เวลามันระเบิดออกมาก็ทำความป่วนปั่น ทำความทุกข์ความเดือดร้อนให้แก่ผู้นั้น แล้วกระจายออกไปกว้างแคบขนาดไหนก็เป็นทุกข์เดือดร้อนไปถึงนั้น
ใจของเราแต่ละดวง ๆ ก็ดูเอาซิ มันมีแต่มรสุมอยู่ทั้งนั้น ไอ้เราไม่รู้นั่นซิ ลำบากตรงไม่รู้ รู้ก็เห็นแต่ผลมัน เหตุมันไม่คำนึงว่าแสดงออกมาอย่างไร ถึงได้กว้านเอาผลเข้ามาเป็นฟืนเป็นไฟเผาจิตใจเจ้าของ หลับตื่นลืมตามีแต่เรื่องอันเดียวเต็มหัวใจ เราจะหาความสุขความอัศจรรย์มาจากไหน ก็อารมณ์เหล่านี้ไม่ใช่เป็นอารมณ์ให้เกิดความสุขให้เกิดความอัศจรรย์ มีแต่อารมณ์เป็นฟืนเป็นไฟ แสดงออกมาก็เป็นความฉิบหายแก่เจ้าของ
นี่แหละศาสนาเป็นเครื่องดับอันนี้เอง ความเพียรก็คือวิธีการดับ งานการดับอารมณ์มรสุมภายในจิตใจ ถ้าใครยังไม่เห็นมรสุมเหล่านี้ว่าเป็นภัยแล้ว ก็จะต้องยอมรับความทุกข์ความทรมานจิตใจตลอดไป เทียบภายนอกแล้วมรสุมเกิดขึ้นที่ไหนโลกถือว่าเป็นภัยที่นั่น ถ้าแยกเข้ามาทางธรรม มรสุมเกิดขึ้นที่ใดนั้นไม่ทราบว่าเป็นภัยเลย ดีไม่ดีรื่นเริงไปตามมัน เวลาผลมันแสดงขึ้นมาจึงไม่ทราบสาเหตุ มีแต่ความทุกข์ความรุ่มร้อนอยู่ภายในจิตใจนี่ซิ
ทางเข้าทางออกมันก็เข้าที่จิตออกที่จิต เกิดที่จิต ดับที่จิต เป็นอยู่ที่จิต แต่เราไม่มีทางทราบได้ ทั้ง ๆ ที่มีหลักวิชาอันถูกต้องแม่นยำไว้ประจำแล้วในวงศาสนานี้ เฉพาะอย่างยิ่งพุทธศาสนา เป็นหลักวิชาที่เยี่ยมในการปราบปรามมรสุมภายในจิตใจ เรายังนำมาใช้ไม่ถูก พิจารณาดูซิ ถ้าใช้ถูกก็ควรจะได้รับผลประจักษ์ภายในจิตใจมากน้อยไม่สงสัย
การฝึกหัดภาวนานี้ล้วนแล้วตั้งแต่งานที่ทำที่คิดที่เต็มไปด้วยมรสุมให้สงบตัวลงไป แต่ในขณะภาวนาก็กลายเป็นเรื่องก่อมรสุมเสียอีก แน่ะ กลับตรงกันข้าม ๆ ไปเสีย จิตสงบบ้างจะพอเห็นอารมณ์แสดงออกของเจ้าของ ถ้าจิตไม่มีความสงบเลยไม่ทราบอารมณ์แสดงออก มีแต่หลงเพลินไปตาม คล้อยไปตาม ถ้าสงบบ้างมันปรุงขึ้นมาผิดปกติก็รู้ ทีนี้ก็จะไปตำหนิที่ไหนไม่ตำหนิที่ไหน ก็เห็นอารมณ์มันเกิดขึ้นจากใจอยู่โดยแท้นี่ มันก็ต้องกำหนดระงับกันลงที่นั่น ถ้าจิตไม่สงบเลยก็จะไปเห็นแต่เงาอยู่ข้างนอกที่แสดงออกไปจากตัวเป็นเรื่องราวต่าง ๆ เรื่องราวที่เศร้าโศกเสียใจ เรื่องราวที่ทำให้เกิดความเพลิดความเพลิน ตะเกียกตะกายไปตามอารมณ์นั้น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องราวออกไปจากใจนี้แล้วแต่ตัวเองไม่รู้ อันนี้สำคัญมาก มันเป็นเรื่องเป็นราวอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน มันออกจากใจนี้แท้ ๆ
เหมือนกับเขาฉายภาพยนตร์ มันก็ออกจากแผ่นฟิล์มเล็ก ๆ ไปแสดงอยู่บนจอโน่น เรื่องต่าง ๆ ก็คือตัวนี้เป็นตัวเรื่องอยู่แล้ว เป็นแบบฉบับที่จะให้ภาพต่าง ๆ แสดงอย่างนั้น มันออกไปจากฟิล์มนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นรูปเป็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นเสียง ออกไปจากนี้ทั้งนั้น เห็นไหมโลกก็ยังตื่นกันอยู่กับฟิล์มนั้น เห็นอยู่แล้ว ไปแสดงบ้าเจ้าของอะไรอีก ไปตื่นเงาอะไรอีก ก็คนนั่นเองทำขึ้นมาภาพยนตร์ หนัง ฟิล์มก็เห็นอยู่แล้ว ฉายออกไปจากนั้นก็ไปเห็นอยู่โน้นไปตื่นหาอะไรกันพิจารณาซิ ก็เงามันละนั่น เงานั้นเป็นเงาที่ ๒ เงาฟิล์มเป็นเงาที่ ๑ ที่ฉายออกมาเป็นตัวจริง ที่แสดงออกมาทีแรกให้ติดฟิล์มนั้นเป็นตัวจริง ๆ ก็ยังตื่นไปโดยลำดับลำดา รากฐานของตัวจริงก็คือจิต กิริยาที่แสดงขึ้นมานั้นมากน้อยก็ติดฟิล์ม แล้วเราก็หลงไปตามเรื่องราวไปอีกเป็นที่ ๓ มีอะไร
อยู่วันหนึ่งคืนหนึ่งมีแต่ความเพลิดความเพลิน ความโศกความเศร้าเสียอกเสียใจกับเรื่องของเจ้าของ ที่แสดงออกไปให้ตื่นเงานั้นเสีย ไม่มีอะไร ถ้าจิตสงบแล้วรู้ ถ้าจิตไม่สงบไม่รู้ ตายก็ตายทิ้งเปล่า ๆ การที่จะให้สงบก็ต้องหาอุบายวิธีทำให้สงบ สงบด้วยบทสมถะไม่ได้ คือบริกรรมคำใดคำหนึ่งไม่ได้ ก็ต้องเอาให้สงบด้วยปัญญา หาอุบายวิธีสกัดลัดกั้นอารมณ์ของตัวเองที่คิด คิดไปในแง่ใดเอาสิ่งเหล่านั้นแง่นั้นมาพิจารณาให้เป็นการเป็นงานจริง ๆ โดยทางปัญญา จิตเมื่อรู้แจ้งเห็นจริงในแง่นั้น ๆ แล้วจะทะเยอทะยาน จะวิ่งเต้นเผ่นกระโดดไปไหน ก็ต้องย้อนเข้ามาสู่ความปกติของตนเท่านั้นเอง
ถ้ามรสุมภายในใจไม่สงบตัวลงแล้วหาความสุขไม่ได้นะ เราอย่าไปคาดสถานที่กว้างแคบของโลกสงสารนี้ มีมาดั้งเดิมแต่เรายังไม่เกิด มันจะเอาความสุขอะไรมาให้เรา เพราะมันไม่ใช่เป็นผู้หาความทุกข์มาให้เรานี่ ผู้หาความทุกข์แท้คือตัวมรสุมที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ มีอยู่ที่นี่ ไม่มีอยู่ที่ดินฟ้าอากาศ โลกสงสารกว้างแคบไม่สำคัญ สำคัญที่มันก่อตัวขึ้นมานี่ซิ ก่อขึ้นมาจากที่ไหนมรสุมนี่ คืออารมณ์นั่นก่อขึ้นมาที่ใจ เพราะเครื่องหนุนมีอยู่ที่ใจเป็นพื้น ศัพท์ทางพุทธศาสนาท่านว่ากิเลส ๆ ตัวมืดดำ พูดว่าก้อนก็เป็นก้อนแห่งความมืดดำ ก้อนแห่งความหลง ฉายออกมาทีไรก็เป็นความมืดดำทำให้หลงไปหมด มันอยู่ที่ใจ ฉะนั้นจึงแสดงขึ้นที่ใจ แล้ววาดเอาสิ่งต่าง ๆ ทั่วโลกดินแดนนั้นเข้ามาเป็นเรื่องเป็นราว ไปวาดเอาในสิ่งนั้น ๆ ที่มีตามธรรมชาติของเขา ผู้นี้ไปวาดภาพเอา เรื่องราวผ่านไปแล้วกี่ปีกี่เดือน ก็ไปวาดภาพออกมามาฉายสด ๆ ร้อน ๆ หลอกกันอยู่อย่างนั้น ตื่นเงากันเป็นบ้ากันอยู่นั้นฉลาดที่ไหนมนุษย์เรา
ถ้าเทียบตามหลักความจริงว่ามนุษย์ฉลาดแล้ว ก็มนุษย์นี้ละโง่ที่สุด สัตว์อื่น ๆ เขาไม่มีเครื่องหลอกเหล่านั้น แต่มนุษย์หามาหลอกตัวเองเป็นความฉลาดอะไร ว่าโลกเจริญ ๆ เจริญอะไร ก็ถูกที่ว่าโลกเจริญ เพราะธรรมไม่ได้เจริญ โลกเจริญก็ทำความรุ่มร้อนให้แก่สัตวโลกนั่นเอง แต่โลกฟุบลงแฟบลงเพราะโลกอันนี้มันเจริญ ถ้าธรรมเจริญแล้วโลกเหล่านี้ก็สงบภายในใจ ธรรมหาวันเกิดไม่ได้โลกอันนี้ก็สนุกแสดงตัว สนุกแผลงฤทธิ์ต่าง ๆ เต็มไปหมด
ดูที่ใจนั่นซิ ศาสนาสอนลงที่ใจ เพราะใจเป็นต้นเหตุ ใจเป็นตัวประธานแห่งการก่อเหตุ อยู่ที่นั่น อย่าไปสำคัญมั่นหมายในความกว้างแคบ กาลเวล่ำเวลาว่าจะเอาความสุขความดีอะไรมาให้ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้เอาความทุกข์ความเดือดร้อนมาให้เรา ใจต่างหากเป็นผู้เสาะแสวงหาความทุกข์ความเดือดร้อน ความเดือดร้อนจึงเกิดขึ้นที่ใจ ใจจึงเป็นผู้รับความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งหลาย มีเท่านี้ ดูลงที่นี่ ขุดค้นลงที่นี่ซิ มันติดมันพันอะไร
สรุปความลงแล้วก็ไม่หนีจากรากฐานของมันคือขันธ์ ๕ นี่ละรากฐานแห่งความยึดถือเป็นเบอร์หนึ่ง ก็คือยึดตรงนี้ก่อนถึงจะไปยึดภายนอก ธาตุขันธ์คือรูปขันธ์ ได้แก่ร่างกายของเจ้าของ เหมาเอาว่าเป็นตนเป็นตัวเป็นเราเป็นของเราไปทั้งหมด ภายในรูปกายอันนี้ไม่ได้ว่าอันใดเป็นของสกปรกอันใดเป็นของสะอาด แต่หลักความจริงแล้วก็สกปรกด้วยกัน โลกหากสมมุตินิยมว่านั้นสะอาดนี้สกปรก นั้นสูงนี้ต่ำ นั้นข้างหน้านี้ข้างหลัง มันข้างที่ไหน มีแต่กองอสุภะอสุภังเป็นข้างหน้าข้างหลังที่ไหน กองอาจมมีข้างหน้าข้างหลังที่ไหน มองไปทางไหนก็สกปรกน่าขยะแขยงด้วยกันหมดนั่นแหละ ขึ้นชื่อว่ากองคูถแล้วเป็นอย่างนั้น เรียกว่ากองขันธ์ กองคูถอันเดียวกัน มองไปทางไหนไม่มีสูงมีต่ำ ไม่มีคำว่าข้างหน้าข้างหลัง ก็คือกองรูป กองมูตร กองคูถ กองขันธ์นี่เอง
พิจารณาลงไปที่นี่ซิ มันยึดที่นี่ คลี่คลายออกไปให้มันดู มันจะหาญยึดอะไรนักหนาไอ้กิเลสตัวจอมปลอมนี่ ที่มันหาญยึดก็เพราะว่าหลักวิชาของเราไม่ทันมันมันถึงยึด มันไปเที่ยวปักปันเอาหมดทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างกายอันนี้ว่าเป็นเราเป็นของเรา หึงหวงทุกแง่ทุกมุมทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอันใดที่มันสลัดปัดทิ้งว่าไอ้นี่เราไม่เอา มันไม่ว่า มันเอาทั้งนั้น นั่นละขึ้นชื่อว่ากิเลสตัณหามันไม่มีเมืองพอ มันเหมาเอาหมดเลย นี่ละตัวจอมปลอม
รูปขันธ์เป็นที่หนึ่งที่เห็นได้ชัด ๆ กองแห่งความยึดถือของจิต จากนั้นก็ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่มันยึดตรงนี้ คลี่คลายตรงนี้ซิ แล้วรูปอื่นก็เหมือนกันนี้ จะไปวิจิตรพิสดารมาจากไหน ก็เป็นสภาพเดียวกันเหมือนกัน ถ้าว่าอสุภะก็เท่าตัวของมัน เต็มตัวเช่นเดียวกัน ว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็เต็มตัวใครตัวเราเท่ากัน ไปหลงกันที่ไหน ถ้าจะหาความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ความจริงก็เต็มส่วนอยู่แล้วในธาตุในขันธ์ทุกรูปทุกนามทั้งภายในภายนอก สงสัยกันที่ตรงไหน ถ้าไม่ดื้อด้านสังหารธรรมที่ควรจะเกิดภายในตนเองให้เกิดขึ้นไม่ได้ ที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้ฉิบหายวายปวงไป เพราะสิ่งจอมปลอมนี้เข้าทำลาย ก็มีเท่านั้น
เราพิจารณาให้ถึงซิ ให้มันท้าทายอยู่อะไรนักหนา เราเป็นนักต่อสู้มันแล้วเวลานี้ ทำไมจึงต้องให้กิเลสประเภทเหล่านี้มาท้าทายอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน แล้วหาความสุขความแปลกประหลาดอัศจรรย์จากมันได้ที่ไหนบ้าง พอที่จะยึดจะถือมันเป็นศาสดาต่อไป ตัวมาร ๆ จะอะไรเป็นมาร ความรู้ความเห็นที่ขัดแย้งต่อธรรม เป็นเครื่องสังหารศาสนธรรม เครื่องสังหารตนเองนั้นแลเป็นตัวข้าศึกเป็นตัวมารแท้ เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดมาจากไหน
ผลิตขึ้นมาซิสติปัญญามี ที่จะทำลายสิ่งจอมปลอมทั้งหลายเหล่านี้ได้มีสติปัญญาในหลักธรรมเท่านั้น สติปัญญาอย่างอื่นเอามาใช้ใช้ไม่ได้ เพราะเหล่านั้นเป็นเครื่องมือของกิเลสทั้งนั้น สติปัญญาเหล่านั้น ท่านจึงไม่เรียกคนที่รู้ตามแผนของกิเลสนั้นว่าเป็นคนฉลาด คนที่รู้ตามแผนของธรรมของหลักวิชาธรรมเท่านั้นจะเรียกเป็นปราชญ์ได้ พระพุทธเจ้าเรียกเป็นปราชญ์ได้
เพราะฉะนั้นคำว่าพาล ๆ ดังที่กล่าวไว้ใน อเสวนา จ พาลานํ อย่าคบคนพาล คำว่าคนพาลก็คือประเภทที่สังหารธรรมสังหารตนนั่นเอง ความรู้ชั้นนั้นจะฉลาดขนาดไหน เช่นอย่างความเฉลียวฉลาดเขาผลิตเครื่องสังหารทำลายโลกสงสารนี้ได้วิจิตรพิสดารมากเพียงใด นั้นละคือตัวโง่มากที่สุดของปัญญาอันเป็นแผนของกิเลส แผนของกิเลสนั้นเป็นแผนทำลายไม่ใช่แผนส่งเสริม ท่านจึงไม่เรียกบุคคลประเภทนั้นเป็นคนฉลาด ท่านจึงว่าพาลชน ผู้ฉลาดเปลื้องตนออกจากความทุกข์ความทรมาน และฉลาดให้ความสุขแก่ผู้อื่นได้เท่านั้นเรียกว่าปราชญ์ ปราชญ์ทางพุทธศาสนากับปราชญ์ทางโลกนั้นผิดกันอยู่มากนะ ตรงกันข้าม เดินสวนทางกัน