เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๒๖
กิเลสหัวเราะ
มามากเท่าไรยิ่งเหลวไหลๆ ลงเรื่อยๆ มาทำลายกันนะ นี่อดทนเอานะอยู่กับหมู่กับเพื่อน อย่าเข้าใจว่าเป็นอย่างนี้นะแต่ก่อน ครูบาอาจารย์พาดำเนินมาไปคนละโลกนะ ยังว่าเก่งว่ากาจอยู่หรือเดี๋ยวนี้ นี่อกจะแตกแล้ว ไม่ว่าทำการทำงานอะไรมันหากมีความคึกความคะนองอยู่ในกิริยาให้เห็นอยู่ นอกจากไม่พูดเฉยๆ เอานี้หรือมาอวดศาสนาอวดวัด ว่าเคร่งครัดพอแล้วหรือ มันจะเน่าเฟะอยู่แล้วหรือเน่าแล้วก็ไม่รู้
ผู้จะฆ่ากิเลสไม่ใช่ผู้กิริยาประเภทนี้นะ มันจ้ออยู่ภายในตลอด เรื่องสติเป็นพื้นอยู่นั้นก็บอกอยู่เสมอ นี่พูดเล่นเหรอ การนำมาสอนเหล่านี้เป็นการสอนเล่นเหรอ ถอดออกมาจากความจริงมาสอนทุกสิ่งทุกอย่าง ยังไม่ได้ถึงใจบ้างเหรอว่ากิเลสมันฆ่ายากขนาดไหน ฆ่ากิเลสได้แล้วประเสริฐ ใครไม่บอกว่าประเสริฐก็ประเสริฐก็เคยพูดแล้ว บอกทั้งสองเงื่อนสามเงื่อนแล้วจะให้บอกอะไรอีก เลวที่สุดอะไรพาให้เลวถ้าไม่ใช่กิเลส แล้วที่แหลมคมที่สุดไม่มีอะไรเกินกิเลสก็พูดแล้ว
มาใช้กิริยาอย่างนี้ฆ่ากิเลสให้เห็นได้เหรอ กิเลสมันหัวเราะ ถ้ามีฟันก็ฟันหัก..กิเลส มันหัวเราะลมออกมาอย่างรุนแรง มันหัว(เราะ)ด้วยความขบขันกับนักปฏิบัติกรรมฐานเรา จนลมพุ่งออกมากระทบฟัน ฟันหักจนไม่มีอยู่ในปาก เหมือนคนอายุตั้ง ๗๐-๘๐ ไม่มีฟันในปากเลย ถูกกิเลสมันทำลายเอา มันหัวเราะขบขันนักปฏิบัติ ยังไม่ทราบอีกเหรออย่างนี้ นี่ผู้มองดูอยู่จะตายแล้วนะ เพราะกิเลสมันเคยฟาดเอาฟันหักมาเสียกี่ปากแล้วนี่ ปากเจ้าของปากเดียวนี่ แต่ไม่รู้กี่ปากแล้ว ฟันไม่มีเหลืออยู่ในปาก ก่อนที่จะได้นำเรื่องของมันมาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง จนฟันไม่มีเหลืออยู่ในปากแล้ว ยังมาเพลินอยู่เหรอ กิริยาอย่างนี้ไม่ใช่กิริยาฆ่ากิเลสนะ กิริยาอย่างนี้เป็นกิริยาฟันหัก กิริยาฟันไม่มีเหลืออยู่ในปากนะ กิเลสหัวเราะเอาๆ
***********
|