ครูอาจารย์เป็นสำคัญมากทีเดียว ต้นศาสนาก็พระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน หลักใหญ่สำคัญมากคือหัวหน้าที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ จากนั้นมาก็พระสาวกซึ่งเป็นผู้แม่นยำในการดำเนินและการแนะนำสั่งสอนรองพระพุทธเจ้า อยู่ที่ไหน ๆ ก็มีท่านเหล่านี้ที่เป็นหลักเป็นเกณฑ์ ให้ความแน่นอนและความตายใจแก่บรรดาพระที่เข้าไปศึกษาอบรมด้วย เรียกว่าอุ่นหนาฝาคั่ง คือมีหลักมีเกณฑ์อบอุ่น จะโยกจะคลอนจะแน่นหนามั่นคงขึ้นอยู่กับหัวหน้าเป็นสำคัญมาก อย่างน้อยสมัยปัจจุบันนี้ก็คือพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา พ่อแม่ครูจารย์เสาร์ พอล่วงมาแล้วก็ยังมีครูมีอาจารย์สืบทอดกันมาเรื่อยเป็นหลักเป็นเกณฑ์
มาช่วงนี้ก็รู้สึกว่าเขียมเต็มที เกือบว่าจะไม่มีแล้ว พระเณรประชาชนก็ระเหเร่ร่อน ผู้ที่เคยมีหลักมีเกณฑ์เคยมีความอบอุ่นมาแล้ว ขาดความอบอุ่นทำไมจะไม่วุ่นวายหัวใจ ต้องวุ่น เว้นเสียแต่ว่ามันเป็นหลังหมีดำหมดทั้งตัวก็ไม่รู้บาปรู้บุญไม่เดือดร้อนอะไร ตามภาษาของหลังหมีนั่นแหละ คือมันดำไปหมดทั้งตัว ไม่มีอะไรขาว ๆ พอด่าง ๆ ดาว ๆ บ้าง คนประเภทนั้นไม่นับเข้ามาในบัญชีนี้ ประเภทบาปบุญไม่มี แต่หาบบาปหาบกรรมอยู่ตลอดเวลา
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐ ประเสริฐจริง ๆ ใครไม่เชื่อก็เลวจริง ๆ ใครไม่เชื่อพุทธะแล้วเลวจริง ๆ เพราะพุทธะนี้เลิศจริง ๆ โดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องเสกสรรปั้นยออะไรเลย เลิศด้วยหลักธรรมชาติ
กาลเวลาที่เขาแสวงบุญ เดือน ๑๑ เพ็ญถึงเดือน ๑๒ เพ็ญ คนแสวงความดีเข้าสู่ใจ เพื่อใจได้มีกำลังฟัดเหวี่ยงกับข้าศึกของวัฏวน วัฏจิตนั่นแหละจะวัฏฏะอะไร เพราะจิตเป็นตัวหมุนเวียนอยู่ตลอด เมื่อยังไม่รู้เรื่องของมันมันก็สนุกบีบบังคับหัวใจสัตวโลกให้เป็นไปตามโดยไม่รู้สึกตัว เช่นรัก ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรทำให้รัก ทำให้เกลียดชังอย่างนี้ มีอะไรทำให้เกลียดให้ชังก็ไม่รู้ สุดท้ายก็พอใจทั้งหมด ธรรมชาตินั้นบงการยังไงก็พอใจไปทั้งนั้น ไม่รู้สึกตัวว่าผิดหรือถูกประการใด นี่มันลึกลับ รักก็พอใจ เกลียดโกรธก็พอใจ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมชาตินี้แสดงออกแล้วพอใจทั้งนั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นที่จะเปิดมันออกให้เห็นได้ชัดเจน และทำลายได้เลย
คำว่าโลกจะหมายถึงอะไร โลกกับธรรมนี้ก็หมายถึงคู่ต่อสู้กันดี ๆ เป็นคู่เคียงกันมาแล้วแต่ใครจะหนักไปทางไหน ๆ ถ้าฝ่ายหนึ่งมีมาก เช่น ฝ่ายโลกในหัวใจมีมากก็พัดผันหัวใจ ฝ่ายธรรมมีในหัวใจมากก็พัดผันธรรมชาติอันนั้น ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วจะต้องเป็นคู่แข่ง คู่ต่อสู้กันอยู่ตลอดไป มีมากมีน้อยต้องต่อสู้อยู่ตลอด จนกว่าว่าไม่มีเสียเลย มีอันเดียว เรื่องจะมีอันเดียวนั้นได้ก็คือหมายความว่า ธรรมชาติที่มีอันเดียวนี้เป็นผู้มีกำลังต่อสู้ ฟาดฟันสิ่งเหล่านี้พังทลายลงไปภายในจุดเดียวกัน นั่นละถึงจะมีอันเดียว เอกธรรมเอกจิตอันเดียว ทีนี้ไม่มีอะไรมาเป็นคู่ต่อสู้แล้ว
คิดดูซิท่านว่านิพพาน มีอะไรไปแทรกเกิดในนิพพานที่ว่าปราศจากการเกิดแก่เจ็บตาย ท่านบอกไว้แล้ว มีอะไรไปแทรกเกิดแทรกตายอยู่ในนิพพานมีไหม ก็หมายความว่าไม่มีอะไรเข้าไปแทรกเกิดแทรกตายในจิตดวงนั้น ไม่มีอะไรเป็นธรรมชาติบังคับจิตดวงนั้นให้เที่ยวเกิดแก่เจ็บตายเหมือนแต่ก่อนอีกนั่นเอง เพราะหมด ท่านจึงเรียกว่าบรมสุข ปรมํ ๆ นั่นก็หมายถึงยอดเยี่ยมนั่นเอง คือไม่มีอะไรเสมอแล้ว ไม่เป็นเหมือนโลกทั้งหลายเป็นกัน ไม่สุขเหมือนโลกทั้งหลายสุขกัน โลกจะมีมากขนาดไหนเต็มโลกพูดง่าย ๆ ไม่มีอะไรเหมือน มีอันเดียวเท่านั้น จึงว่า ปรมํ สุขํ ปรมํ สุขํ
นี้ก็เหมือนกัน เป็นสิ่งสุดเอื้อมหมดหวังนะที่พูดไปนี้ มันจะต้องคาดทันทีจิตดวงนี้ มันชำนิชำนาญเรื่องการคาดการฝันด้นเดาไป ด้านนี้ก็มีธรรมชาติอันหนึ่งพาให้เป็น แต่เราก็ไม่รู้อีก ว่าสุดเอื้อมหมดหวัง ว่านาน ยังอีกเท่านั้นเท่านี้ คาดไป
คาดไปโน้น คาดลมคาดแล้งที่ไหน มันมีอยู่ที่ไหนนั่นน่ะ ความจริงก็อยู่กับตัวที่แสดงอยู่นั้น ตัวคาดก็ตัวนี้เอง คาดไปโน้นก็ตัวนี้เอง คาดลมคาดแล้งหลับตาก็ตัวนี้เอง แต่พอย้อนเข้ามาหาจะมีที่ไหน ไปที่ไหนก็ไม่มี มีอยู่จุดเดียวที่แสดงนี้เท่านั้น พอย้อนเข้ามาที่นี่ก็มาทราบกันที่นี่ ทำลายกันที่นี่ หมดแล้ว มันสุดเอื้อมหมดหวังไปที่ไหนอีก มันก็อยู่ที่นี่ แน่ะ
นี่ซิที่ว่ามันละเอียดมากจริง ๆ นะธรรมชาตินี้ มันถึงได้ครองโลก ครองจิตวิญญาณของแต่ละดวง ๆ ได้อย่างไม่มีวิญญาณดวงใดทราบเลยเรื่องของมัน และจำยอมมันตลอดไป จะเป็นเรื่องมากเรื่องน้อยเรื่องอะไรก็ตามมันไม่ให้รู้เรื่องทั้งนั้น จนกว่าสติปัญญาหยั่งลงไป ๆ ทราบกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่เคยเห็นละ สติปัญญาอันนี้ก็ไม่เคยมี สติปัญญาประเภทที่จะฆ่ากิเลสนี่ไม่เคยมี เรียนเท่าไรก็เรียนเถอะ พูดแล้วสาธุ เรียนจบพระไตรปิฎกก็เถอะ ไม่ใช่สติปัญญาที่จะมาฆ่ากิเลส ฟังให้ดีนะ สติปัญญาอันนี้เป็นสติปัญญาของโลกิยปัญญา ไม่ใช่โลกุตรปัญญา จะเอามาฆ่ากิเลสได้ยังไง
บทเวลามันจะเป็นมันก็เป็นของมันเอง พลิกของมันเอง โดยอาศัยโลกิยปัญญา อาศัยปริยัติที่เราศึกษาเล่าเรียนมามากน้อยนั่นแล นั้นละเป็นเงื่อนแต่ไม่ใช่อันนั้น อาศัยอันนั้นมาเป็นปัญญาควรแก่การฆ่ากิเลส ควรแก่การฆ่าธรรมชาติอันนี้ ควรแก่การรู้เห็นธรรมชาติอันนี้ ก็มารู้ตรงนี้ซิ ไม่ใช่ปัญญาธรรมดา ๆ ทั่วไปที่ใช้กันอยู่นี้เต็มโลกเต็มสงสารก็เถอะ ไม่มีปัญญาใดที่จะไปแตะต้องมันได้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาธรรมที่ควรแก่กันเท่านั้น
ปัญญาธรรมก็หมายถึงปัญญาภาคปฏิบัติ หากเป็นขึ้นมาเอง เกิดขึ้นมาเอง อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่าธรรมเกิด ๆ นั่น ธรรมเกิดก็เหมือนกิเลสเกิดนั่นแหละ อยู่ยังไงก็เกิดของมันได้ตลอด ได้ทุกอิริยาบถ ได้ทุกอาการที่เคลื่อนไหว เกิดได้ทั้งนั้นกิเลส พอจิตเคลื่อนไหวปั๊บกิเลสก็เกิดทันที ๆ เพราะมันเคลื่อนไหวด้วยอำนาจของกิเลสไม่ใช่เคลื่อนไหวด้วยอำนาจของธรรม กิเลสจึงเกิดได้ทุกระยะ ทีนี้พอเคลื่อนไหวด้วยอำนาจของธรรมแล้วธรรมเกิดได้ทุกระยะ สติธรรม ปัญญาธรรม จะว่าไง เกิดได้ทุกระยะ ๆ ทีนี้กิเลสมีความรุนแรงขนาดไหนมาดั้งเดิม เอ้า ธรรมก็มีความรุนแรงเช่นเดียวกันนั้น เมื่อเวลามีกำลังแล้วก็รุนแรงเหมือนกัน จนกระทั่งถึงเอากันอยู่ในเงื้อมมือของปัญญาประเภทนี้ นี่ละพระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี ฆ่ากิเลสได้ด้วยปัญญาประเภทที่ว่านี่ เกิดเอง เกิดในจิต นี่เป็นประเภทที่ฆ่ากิเลส
สติก็ไปจากสติที่ล้มลุกคลุกคลานนี้ ต่อไปก็ค่อยตั้งได้ ๆ เรียกสัมปชัญญะ สติที่ตั้งอยู่เรื่อย ๆ เสมอ ๆ ตั้งเรื่อย ระลึกรู้ ๆ พอเชื่อมกันเข้าเป็นความรู้สึกตัว พอเชื่อมกันเข้าสติยืดยาวไปก็เป็นสัมปชัญญะ รู้สึกตัวไปเรื่อย ๆ ถ้าจากความรู้สึกตัวขึ้นไปก็เป็นมหาสติ ปัญญาจากล้มลุกคลุกคลาน คิดนั้นคิดนี้คิดผิดคิดพลาด คิดอะไรต่ออะไรไปเรื่อย ๆ ธรรมดา มีถูกมีผิดมีฝืดมีเคืองในการคิด ตีบตันอั้นตู้ไม่อยากออก กิเลสปิดไว้ไม่ให้ออก ถึงวาระจะออกก็ค่อยออกของมันเรื่อย ๆ จนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญาละที่นี่ อันนี้เป็นคู่ควรอย่างยิ่ง
ถ้าอันนี้ได้เกิดขึ้นแล้วแน่ที่สุดว่า กิเลสนี้นับวัน
เช่นเดียวกับโคหรือสัตว์พาหนะที่เขาเอามาเลี้ยงไว้ เต็มบริเวณที่เขาเลี้ยงสัตว์เพื่อฆ่านั่นแหละ ตัวนี้ตายวันนั้น ตัวนั้นต้องตายวันนั้น ๆ จนไม่มีอะไรเหลือเลย สัตว์บริเวณที่เลี้ยงเต็มไปหมดนี้ก็ไม่มีเหลือ เพราะตายไปวันละเท่าไร ๆ เรื่อย ๆ จนกระทั่งหมด แล้วที่จะเอามาเพิ่มอีกเพราะการเลี้ยงสัตว์ก็มีการมาเพิ่ม เขาซื้อเรื่อยมา เรื่องของกิเลสไม่มีเพิ่ม ถ้าลงสติปัญญาขั้นนี้ได้เกิดแล้วไม่มีเพิ่มเรื่องกิเลส มีแต่ตายไป ๆ เท่านั้นแหละ แล้วจะเอาอะไรมาเหลือ มันชัดเจนขนาดนั้นสติปัญญาประเภทนี้ ไม่เคยรู้ก็ชัดของมันอย่างนี้ เมื่อรู้แล้วก็รู้ ๆ ไปเรื่อย ๆ ชัดเข้าไปเรื่อย ๆ สติปัญญาประเภทห้ำหั่นกับกิเลสอย่างไม่มีท้อถอย มีแต่ความมุ่งมั่นขันแข็งที่จะเอาให้อยู่ในขณะนั้น ๆ เหมือนอย่างนั้นนะ
ที่นี่เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วจะไกลไปไหน ของไม่คว้านี่ ไม่คว้า เอาอยู่กับเหตุกับผลที่แสดงกันอยู่นั้น สู้กันอยู่นั้น เหตุอยู่ที่นั้นก็สู้กันที่เหตุ ผลก็เกิดขึ้นที่นั่น ท่านว่าสติปัญญาอันนี้ละเป็นเครื่องฆ่ากิเลสขาดไป ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีกิเลสใหม่เกิดขึ้นมาได้ มีแต่ที่มีอยู่แต่เก่าค่อยหมดไป ๆ ส่วนสติปัญญาขึ้นไม่ถอย เช่นเดียวกับกิเลสที่เคยเกิดในหัวใจ เคยครอบงำหัวใจนั้นแหละ ทีนี้สติปัญญาเข้ารักษาใจก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงว่าสติปัญญาเป็นเจ้าของ จิตมีอะไรเป็นเจ้าของ สติปัญญาเป็นเจ้าของ แน่ะ ลงสติปัญญาได้เข้าถึงจิตได้สนิทด้วยมหาสติมหาปัญญาแล้ว เอาที่นี่เอาลงไป เกิดเอง ๆ อยู่ไหนเกิด ไม่คาดไม่ฝัน เกิดได้หมด เช่นอย่างขณะเราฉันจังหันอยู่นี้ มันอยู่เมื่อไร มันไม่ได้อยู่กับลิ้นกับปาก ไม่ได้อยู่กับอาหารหวานคาวอะไรเลย มันอยู่กับเหตุกับผลกับการต่อสู้กิเลสอยู่อย่างนั้นตลอด ไม่ได้สนใจกับรสกับชาติอะไร เมื่อถึงขั้นมันหมุนติ้วหมุนอย่างนั้น เหมือนกิเลสหมุนนั่นละ ธรรมะหมุนก็เหมือนกันอย่างนั้น จึงว่าโลกกับธรรมเป็นคู่เคียงกันมาอย่างนั้นจะว่าไง
โลกต้องเป็นโลก ถ้าเราพูดให้เต็มปากกิเลสต้องเป็นกิเลส กิเลสพาให้เกิดโลกเกิดแก่เจ็บตาย ธรรมะให้ดับ ถึงไม่ดับก็สู้กันพอให้ยังอยู่ได้เป็นไปได้ เช่น คนเกิดสถานที่ดีคติที่งาม ไปสวรรค์ ไปพรหมโลก ก็เพราะบุญพาไป บาปไม่ได้พาไป ลงนรกอเวจีได้รับทัณฑกรรมทำโทษต่าง ๆ ทุกข์ทรมานต่าง ๆ ด้วยอำนาจแห่งกรรมชั่ว เป็นเรื่องของกิเลสพาให้เป็นอย่างนั้น เป็นคู่กันมาอย่างนี้ คนเราวันเวลาหนึ่ง ๆ จึงมีความสุขความทุกข์สับปนกันไป ๆอยู่อย่างนั้น
ย่นเข้ามา ๆ ภายในจิต ก็จิตเป็นอย่างนั้นนี่ แน่ะอันหนึ่ง ขณะนี้จิตเป็นอย่างนี้ ขณะนั้นจิตเป็นอย่างนั้น จึงทำให้เกิดความสุขบ้างความทุกข์บ้าง ตามขณะของจิตที่แสดงออกไปในทางที่ถูกและผิด เราดูจากจิตนี้เลย ภพชาติก็เป็นไปจากจิต เกิดในภพนั้นภพนี้เกิดไปจากจิตทั้งนั้น ธรรมชาติอันหนึ่งหมุนจิตพาให้ไป แล้วในขณะเดียวกันธรรมก็หมุนให้พาไปเหมือนกัน ถึงวาระของใครที่ควรจะได้ทีก็เอา พาให้ไปเกิดในสถานที่ดีก็อำนาจของธรรมเอาไป ถ้าเกิดในที่ชั่วอำนาจของกิเลสเอาไป ส่วนเชื้อคืออวิชชานั้นเป็นพื้นไว้แล้ว เชื้อแห่งความเกิด เกิดดีเกิดชั่วเป็นวิบากอันหนึ่งที่เกิดจากการทำดีทำชั่ว มันจึงเป็นจังหวะ ๆ
จนกระทั่งจิตได้ต่อสู้กับสิ่งที่เป็นข้าศึกของตัวเองออกหมดเสียแล้วไม่เป็นขณะ ทีนี้จิตนั่นละในธาตุในขันธ์ ที่ทรงธาตุทรงขันธ์ของจิตอยู่นี้แหละ ไม่มีคำว่าจิตขณะหนึ่งเป็นอย่างนั้น ขณะหนึ่งเป็นอย่างนี้ไม่มี เพราะอะไรจึงไม่มี เพราะไม่มีสิ่งให้มี กิเลสนั่นละพาให้เป็น พาให้คิดไปในแง่ต่าง ๆ ก็มันไม่มีแล้วจะเอาอะไรมาเป็น ก็เหลือตั้งแต่ขันธ์มีแต่ขันธ์ มันก็ดิ้นก็ดีดอยู่ตามประสีประสาของมัน ฟังแต่ว่าขันธ์ ๆ กับจิตเป็นอันเดียวกันเมื่อไร มันเกิดจากจิตแต่ไม่ใช่จิต รู้ชัด ๆ อยู่ในหัวใจ
ไม่มีใครจะรู้นะถ้าไม่ใช่นักปฏิบัติหรือภาคปฏิบัติ จะเอาความสำคัญมั่นหมายไปจับไปรู้ จับไม่ได้รู้ไม่ได้ จนตายก็ตายทิ้งเปล่า ๆ ต้องเอาภาคปฏิบัติเข้าไปจับ ดังพระพุทธเจ้าและสาวกมีแต่ภาคปฏิบัติทั้งนั้นท่านจับ มีแต่ภาคปฏิบัติเท่านั้นพาให้ท่านวิเศษ ปริยัติจำมาแล้วเอาไปปฏิบัติซิ ก็บอกแล้วเป็นพื้น ๆ มาท่านพูดไว้ไม่มีผิดเลย กระเบียดหนึ่งก็ไม่มี
ปริยัติได้แก่การศึกษา เช่น เราไปบวช อุปัชฌาย์มอบปริยัติให้แล้วการศึกษา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ย่อ ๆ เอาเท่านี้ก่อนนะเวลาไม่เพียงพอ ฟังซิ ก็ได้มาแล้วปริยัติ ปฏิบัติก็เอาไปพิจารณาซิ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น นี่เราพูดย่อ ๆ นะเป็นภาคปริยัติ
ภาคปฏิบัติทีนี้จะรู้ไปเป็นลำดับลำดาจากการปฏิบัตินี้แล ความรู้อันนี้เป็นสมบัติของเราแท้ ไม่ได้เหมือนกับความรู้ที่จำมา จำมาเรียนมามากเท่าไรก็ตามเป็นความจำ ความจำนั้นออกมาจากธรรมพระพุทธเจ้า เป็นเพียงความจำ ยืมเอามาเพื่อจะเอาความจริงในใจของตัวเอง จากภาคปฏิบัติของตัวเอง เป็นของตนเองแท้ เพราะฉะนั้นภาคปฏิบัติจึงเป็นภาคที่จะเอาความจริงมาให้เห็นเหตุเห็นผลได้เต็มหัวใจพูดง่าย ๆ เต็มอรรถเต็มธรรมเต็มอยู่ที่นี่ ผู้นี้ละผู้จะรู้
มันจะมืดมาแสนมืดก็ตาม จะเปิดขึ้นที่จิตนั่นแหละไม่เปิดที่ไหน ตัวนั้นละตัวมันหลง เพราะมีธรรมชาติพาให้หลงอยู่นั่น พาให้มืดตื้ออยู่ในหัวใจจะเป็นอะไรไป ดินฟ้าอากาศเขาเป็นของเขา เขาไม่ได้เป็นกิเลส สิ่งทั้งหลายที่นอกไปจากนี้แล้วทั่วดินแดนโลกธาตุ อัดแน่นอยู่ด้วยวัตถุอารมณ์สิ่งต่าง ๆ ทั้งหลายก็ไม่ใช่กิเลส เป็นกิเลสอยู่ที่จิตนี่ เป็นอยู่นี่เท่านั้น จึงแก้กันลงที่นี่ มันไปเกี่ยวข้องสัมผัสสัมพันธ์กับอะไรมันก็เสกสรรปั้นยอกิเลสขึ้นมาภายในใจตัวเอง เห็นสิ่งนั้นได้ยินสิ่งนี้มันก็เสกขึ้นมาที่นี่ เสกว่าอันนี้ดีอันนั้นไม่ดี อันนั้นน่ารักอันนี้น่าชัง อันนั้นน่าเกลียดอันนี้น่าโกรธมันขึ้นในหัวใจนี่ มันมีตั้งแต่เรื่องที่มีอยู่ในใจแสดงตัว สิ่งเหล่านั้นเขาไม่ได้แสดงนะ
เพราะฉะนั้นท่านจึงให้แก้ที่จิต ๆ เลย พอเข้าใจกันแล้วจะมีอะไรที่นี่ โลกว่ามีก็มี ว่าไม่มีก็ไม่มี เมื่ออันนี้ไม่ออกไปสำคัญเสียเท่านั้น สิ่งใดก็มีก็เป็นอยู่อย่างนั้น ตั้งแต่เรายังไม่เกิดโน่นมันก็มีก็เป็นของมัน มีเกิดมีดับของมันไปเรื่อย ๆ ไม่มาเกี่ยวข้องกับเรา เราเป็นผู้ไปให้ความหมายไปหลงเขาต่างหาก เมื่อแก้ผู้นี้ให้รู้ตัวเสียอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งทั้งหลายจะรู้หรือไม่รู้เขาก็เป็นธรรมชาติ เป็นความจริงของเขาอยู่อย่างนั้น ตัวนี้ต่างหากเป็นตัวจองหองพูดง่าย ๆ เมื่อดัดสันดานมันเสีย ให้มันแหลกไปเสียเท่านั้นก็สบาย
ไม่มีว่ากาลนั้นจะหมดเวลา อันนี้จะหมดเวลาเหมือนสิ่งทั้งหลายที่เป็นกันอยู่ในโลกสมมุตินี้ อันนี้มันอยู่ด้วยเวลา เดี๋ยวก็เป็นอย่างนั้นเดี๋ยวก็เป็นอย่างนี้หาความแน่นอนไม่ได้ ท่านจึงเรียกว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จิตที่เป็นธรรมชาติล้วน ๆ ของจิตของธรรมแล้วนั้นไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เอาอะไรไปมี ถ้าเอาสิ่งเหล่านี้ไปจับตรงไหนติดอยู่ในตรงไหนจะหาความแน่นอนไม่ได้ จะต้องพังวันหนึ่งจนได้ แน่นหนามั่นคงขนาดไหนก็ไม่พ้นที่จะพัง เพราะ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อยู่กับสิ่งนั้น แต่ธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วไม่มีอันนี้แล้วจะเอาอะไรมาพัง
ท่านจึงว่านิพพานเที่ยง ๆ จะหมายถึงอะไรถ้าไม่หมายถึงจิตถึงธรรมที่บริสุทธิ์ภายในหัวใจ ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วเท่านั้น ไม่มี หาอะไรก็ไปเถอะ สามแดนโลกธาตุนี้ตายทิ้งเปล่า ๆ ถ้าหาลงตรงนี้จะเจอและหายสงสัยทันทีเลย อ๋อ เป็นอย่างนี้เหรอ ไม่เคยรู้ก็ตาม รู้แล้วไม่สงสัย คำว่า สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าจึงเด็ดขาดที่สุดในหัวใจของผู้ปฏิบัติเป็นตามขั้นตามภูมิโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงวาระสุดท้าย สนฺทิฏฺฐิโก นี้เด็ดขาดมากทีเดียว ไม่ต้องไปถามใครแหละ ตัดสินผึงขึ้นมาที่นั่นแล้วพอ
เอาละที่นี่นะ