เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕
โทษของกิเลส
อย่าเพ่น ๆ พ่าน ๆ เด้น ๆ ด้าน ๆ ให้ขวางตานะ ผมเคยพูดเสมอผมไม่เห็นอะไรสำคัญยิ่งกว่าการภาวนานะ แม้แต่มีการงานอะไรก็ต้องได้มีกำหนดกฎเกณฑ์ไว้ หากมีขึ้นมาก็ให้มีชั่วระยะกาลที่จำเป็น เห็นว่าจำเป็นในกิจนั้นโดยเฉพาะเท่านั้น เราไม่เห็นเป็นความจำเป็นตลอดไปเหมือนภาวนา การภาวนาคือการแก้การดับฟืนดับไฟภายในหัวใจ การขาดจากภาวนานี้ ขาดจากนี้มันก็ไปติดต่อกัน สั่งสมทางไม่ดี สั่งสมฟืนไฟขึ้นมาเผาเจ้าของ หันหน้าเข้าทางภาวนาก็เหมือนกับดับฟืนดับไฟ
ใครจะไปเห็นโทษของกิเลส นอกจากพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านเท่านั้น นอกนั้นไม่รู้โทษของมัน มันละเอียดขนาดไหน ฟังให้ดีนะ รักก็พอใจ นั่นความกล่อมของมัน ความรักก็คือการกล่อมของมัน การกล่อมของกิเลสให้ติดใจ ชัง เกลียด โกรธ ก็เป็นเพลงกล่อมของมันให้ติดใจทั้งนั้น ไม่งั้นคนเราพอใจร้องห่มร้องไห้ได้ยังไง ร้องไห้จนตาดำตาแดงน้ำตาจนจะไม่มีเหลือในร่างก็ยังพอใจร้องไห้ มันละเอียดไหมคิดดูซิ
เพราะไม่มีอะไรเป็นคู่แข่งมันนี่ มีแต่มันออกหน้าออกตา อะไรจะแสดงขึ้นมาจึงติดหมดหลงหมดไม่รู้ตัวเลย จมมิดไปเลย จะได้สะดุดใจคิดนี่มันควรแล้วเหรอ การโกรธมันควรแล้วเหรอ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ไม่ได้คำนึง ทุกข์ก็ยอมแบกด้วยความติดของมันความเชื่อของมัน เชื่อกิเลสที่พาให้ทุกข์ มันละเอียดไหม
ทั้งรัก เกลียด โกรธอะไรเหล่านี้มีแต่เรื่องของมัน ขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอท้อแท้เหลวไหล มีแต่เรื่องของกิเลส เพลงของกิเลสกล่อมทั้งนั้น หลับไปทั้งนั้น ไม่มีจะสะดุดใจอะไรเลยว่าเป็นโทษว่าผิด โน่น หยิบธรรมขึ้นมาแทรกกันโน่นซิ ถ้าธรรมเข้ามาแทรกมากน้อยเริ่มเห็นคุณค่า เช่นอย่างเห็นคุณค่าของความสงบเย็นใจ นี่คือความสุขเกิดขึ้นจากความสงบเย็นใจ มันก็เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่าน แน่ะ เป็นคู่แข่งกันอย่างนั้น
เพียงความสงบปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวเท่านั้น ยังเห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวายของจิต แล้วรสของธรรมแทรกขึ้นมา เพลงของธรรมแทรกขึ้นมา เพลงของกิเลสเริ่มเห็นโทษเป็นลำดับลำดาๆ ไป ไม่อย่างนั้นท่านจะเห็นภัยในวัฏฏะเหรอ นี่ก็เป็นเพราะกำลังของธรรมมีมากขึ้นเท่าไรก็เห็นคุณค่าขึ้นมาก ก็เห็นโทษของกิเลสมากเท่าเทียมกันๆ จนถึงขนาดที่ว่าไม่มีอะไรจะยอมให้กิเลสตัวใดค้างบนหัวใจได้เลย เพราะเป็นฟืนเป็นไฟด้วยกันทั้งนั้น นอกจากเอาให้มันบรรลัยไปเสียหมดไม่มีเหลือเลยอย่างถ่ายเดียวเท่านั้นจึงจะอยู่ได้ ถ้าชีวิตยังมีอยู่แล้วยังไงก็ไม่ถอย เอาให้ตายด้วยกันเลย นั่นละที่ว่าความเพียรท่านแก่กล้า
อย่างพระโสณะท่านประกอบความเพียร เดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตก ไม่ใช่เป็นการกดขี่บังคับให้เดินนะ เป็นเพราะความเพลินของจิตในขั้นที่เพลินในความเพียร ลืมเวล่ำเวลาลืมเจ็บลืมปวดลืมแสบลืมร้อนไปหมดในอวัยวะส่วนร่างกายนี้ เพราะจิตหมุนอยู่กับธรรม ต่อสู้กับกิเลสที่เป็นตัวภัยมหาภัย เพราะอำนาจของธรรมเหนือกว่าแล้วก็ฟัดกันๆ ลืมเวล่ำเวลาเลย มันมีคู่แข่งกันแล้วนี่ เมื่อมีธรรมขึ้นก็เป็นคู่แข่งของกิเลส รสของธรรมเหนือกิเลส แต่ก่อนไม่เห็นโทษของกิเลส เมื่อคุณค่าของธรรมได้ปรากฏขึ้นในใจของตน เห็นคุณค่านี้แล้วก็เห็นโทษของมันเรื่อยๆ ไป เป็นตายก็ไม่มีคำว่าถอย ยอมตายไปด้วยกันเลย คำว่าแพ้นี้มีไม่ได้ๆ ถ่ายเดียวเท่านั้น เมื่อถึงขั้นมันเป็นมันเป็นอย่างนั้น
แต่ขั้นมันกล่อมมันกล่อมจริงๆ ไม่รู้เลย พากันจำไว้นะ ปฏิบัติไป ผมตายไปแล้วคำนี้ยังจะกังวานอยู่ในหัวใจท่านทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปตามที่สอนนี้จะไม่เป็นอย่างอื่น คำพูดคำนี้จะกังวานอยู่ในหัวใจท่านทั้งหลายเมื่อปฏิบัติเจอเข้าไปๆ ไม่ได้พูดมาแบบด้นๆ เดาๆ นะ ทุกข์เคยเจอมาเสียพอ แทบเป็นแทบตายแทบเอาชีวิตไม่รอด ทุกข์เพราะกิเลสตัณหา เวลาต่อสู้กันต่อสู้เสียพอเหมือนกัน ถึงขนาดที่ว่า เอ้า ตายก็ตาย ไม่ตายให้ชนะถ่ายเดียวเท่านั้น คำว่าแพ้นี้มีไม่ได้ในชีวิตนี้ นู่น ถึงอย่างนั้นมันก็ได้เป็น แต่จะรู้หรือไม่รู้ผลของมันเป็นยังไงๆ นั้น ก็ได้เทศน์ให้ฟังจนหมดพุงแล้วทุกวันนี้ ไม่จำเป็นจะต้องบรรยายของเหล่านี้
***********
|