เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๘
มาจากหลักนิสัย
เพื่อนฝูงมาให้หนักใจ พูดก็พูดยากลำบากที่จะพูด แต่หัวใจนี้มันจะแตก อย่างที่มาไม่ดูเวล่ำเวลา(มาลงอุโบสถสาย) เมื่อนิสัยเคยแสดงออกอย่างนี้ อย่างใดๆ ก็จะแสดงอย่างเดียวกันนี้ เพราะออกมาจากหลักนิสัย ทำให้ผู้อื่นหนักใจ เพราะเจ้าของทำตัวให้หนักให้กดถ่วงตัวเอง หนักในตัวเองแล้วกระจายไปหาผู้อื่นมีจำนวนมากน้อยเพียงไรก็ให้หนักไปตามๆ กัน
นี่เราเข็ดนะ เราเคยพูดไม่รู้กี่ครั้งกี่หน เข็ดเรื่องหมู่เรื่องคณะตั้งแต่สมัยเราอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์มั่น หัวอกเราจะแตกจริงๆ นะ ไม่พูดก็ไม่ได้จะทำไง ไม่พูดไม่เตือนก็ไม่ได้ ไม่ดุด่าว่ากล่าวไม่ได้ มันเป็นให้เห็นชัดๆ มันขวางอก ขวางหมู่ขวางเพื่อนขวางหูขวางตาจิตใจทุกอย่างในวัดในวา เราอยู่ที่นั่นตามีอยู่เห็นอยู่ มันกีดมันขวางหมู่เพื่อนก็ต้องได้พูดได้ว่า วันนี้ก็ได้ว่าคนนี้ วันนี้ได้ว่าองค์นั้น อยู่อย่างนั้นเป็นประจำ
แล้วมาเรื่อยพระเณรนะ หลั่งไหลเข้ามาเรื่อย มาก็มาแบบหมาคาบบั้งข้าวหลามนั่นละ ขวางทางมาอย่างนั้น เข้ามาในวัดก็ขวางอยู่ในวัด ไปไหนก็ขวางไปอย่างนั้น นิสัยแบบขวางๆ นี้จะเป็นเครื่องสำรอกปอกกิเลสได้ยังไง มีแต่เรื่องพอกพูนกิเลส เอากิเลสนั้นมากีดมาขวางมาเหยียบมาย่ำทำลายหมู่เพื่อน นอกจากเหยียบย่ำทำลายตัวเองแล้วยังมาเหยียบย่ำทำลายหมู่เพื่อน จะไม่หนักได้ยังไง
กิเลสมันของเบาเมื่อไร มันออกมาในแง่ไหนมีแต่เสี้ยนแต่หนามแต่หอกแต่หลาวทั้งนั้น ยังพอใจยังส่งเสริมมันอยู่เหรอ แล้วครูบาอาจารย์พูดไม่ยอมฟัง แต่จะฟังเอาเรื่องทิฐิมานะอันเป็นเรื่องของกิเลสของตัวเองนั่นแหละ ฟังตรงนั้นปฏิบัติตามนั้น แสดงออกมาตามนั้น แล้วกีดขวางหมู่เพื่อนไปไม่มีสิ้นสุด ไปไหนก็เป็นอย่างนั้น
เวลาประชุมกันลับๆ เงียบๆ กับหมู่กับเพื่อนนี้พูดออกมาอย่างอาจหาญเลยเรา เพราะเห็นด้วยตาตำตาอยู่ตลอด นี่เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์นี้มันซ่อนเล็บนะ เราว่าอย่างนี้แหละเราไม่ได้ลืมคำพูดของเรา และออกจากครูบาอาจารย์ไปแล้วมันมีลวดลายอะไรจะออกเต็มเพลงนั่นแหละ เดี๋ยวนี้มันมาซ่อนเล็บเฉยๆ ถึงจะซ่อนขนาดไหนก็เห็นอยู่เดี๋ยวนี้จะว่ายังไง ออกไปยิ่งจะสนุกแสดงลวดลายนะ แล้วผิดที่ตรงไหน ก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ นี่ก็เหมือนกัน มาหากมีลวดมีลายอยู่ในนั้นละ เจ้าของน่ะโอ่อ่า ว่าเจ้าของดิบของดี มีแต่ขี้เท่านั้นเต็มตัว มันดิบมันดีอะไรเหม็นคลุ้งไปหมด ทับหมู่ทับเพื่อน พาหมู่พาเพื่อนแหลกไปหมด
อย่างหนึ่งเอาเรื่องครูบาอาจารย์ไปเป็นโล่บังหน้า แล้วขู่เข็ญหมู่เพื่อนและทำตัวเป็นเจ้าอำนาจอยู่ในวัดนี้ มันมีนะ เอาครูบาอาจารย์ไปเป็นโล่ เอาคำพูดของครูบาอาจารย์จะจริงหรือไม่จริงเอาไปเป็นโล่บังหน้า สนุกอวดลวดลายอวดความรู้ความฉลาด อวดอำนาจวาสนาของตัวเอง มันมีนะอยู่ในวัดนี้ นี่อันหนึ่งสำคัญมากอันนี้น่ะ นี่ละตัวเสนียดจัญไร ตัวนี้ละตัวแสบๆ นี้ละมีอยู่ในวัดนี่ ใครอยู่ที่ไหนมาก็อยากดิบอยากดี แต่ไม่มองดูเจ้าของตัวเป็นพิษเป็นภัยมันอยู่ที่หัวใจนั่นน่ะไม่ได้อยู่ที่ไหน มองข้ามไปข้ามมา ให้มันจับไสออกไป แสดงความไม่เป็นท่าออกสู่ตลาด แล้วไม่รู้
ใครมาก็ไม่มีเจตนาว่าจะมาทำลายทำร้ายอะไร ตั้งใจมา เจ้าของก็เชื่อเจ้าของว่าเป็นอรรถเป็นธรรมมาเพื่อศึกษาครูบาอาจารย์ แต่อาจารย์ใหญ่ที่เป็นปรมาจารย์ในทางต่ำทรามมันอยู่ในหัวใจนั้น ฝังอยู่นั้น ไม่เคยลดละท้อถอย ไม่เคยห่างไกลจากใจเลย ติดแนบอยู่กับนั้น ฝังจมอยู่ในนั้น เราไม่คิดนี่ตรงนี้ ว่าเราคิดแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม คิดลมๆ แล้งๆ ไปจึงหาหลักหาเกณฑ์หาสติปัญญาไปพิสูจน์กันไม่ได้
สติปัญญาก็มีแต่สติปัญญาที่กิเลสผลิตให้มาๆ นั้น เอามาฆ่าตัวเองและทำลายหมู่เพื่อน สติปัญญาเหล่านี้คือเรื่องสติปัญญาของกิเลสตัววัฏจักรวัฏจิต มันหมุนอยู่ในหัวใจนั้น เรายังโอ่อ่าภาคภูมิใจอยู่เหรอ สติปัญญาของพระพุทธเจ้าให้เกิดขึ้นในใจดูบ้าง ออกมาวัดกันดูซิกับเรื่องเหล่านี้จะต่างกันยังไง ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าศาสดาองค์เอกรึถ้าเหมือนอย่างพวกเราๆ ท่านๆ นี่ ความรู้สติปัญญาของท่านเหมือนพวกเรานี้จะเรียกว่าศาสดาองค์เอกได้ยังไง สอนโลกได้ยังไง สอนทั้งสามโลกนี้ด้วย
ผมถ้าพูดกันแบบโลกๆ ก็เหมือนจะเป็นนิสัยไป พูดกับหมู่เพื่อนไม่ได้เอาความดิบความดีมาพูด เพราะเรื่องมันตำหูตำตาอยู่ตลอด นอกจากไม่พูดเฉย ๆ มองไปแพล็บหนึ่งโดนแล้ว มองแพล็บโดนแล้ว ทั้งที่เราไม่ได้ไปมุ่งที่จะยกโทษยกกรณ์หมู่เพื่อนแม้นิดหนึ่งเม็ดหินเม็ดทรายไม่มี มีแต่ความเมตตาสงสาร แล้วก็โดนอยู่อย่างนั้นจะว่าไง ฉะนั้นถึงวาระที่จะพูดต้องพูดบ้างซิ พูดอย่างที่ว่านี่
เอาซิคำพูดเหล่านี้เป็นความเสียหายแก่หมู่เพื่อนไหม ที่ผมพูดเหล่านี้เอาไปพิจารณาซิ กับสิ่งที่เป็นอยู่ในหัวใจนั้นกับคำพูดของเราที่พูดออกไปนี้ อันไหนเป็นมงคล อะไรเป็นอัปมงคล เอาไปพิจารณาเทียบเคียงกัน ถ้าอยากจะเห็นเรื่องดีเรื่องชั่ว เห็นตามความสัตย์ความจริงในธรรมพระพุทธเจ้าจริงๆ เอาไปพิสูจน์ซิ คำพูดของครูบาอาจารย์ที่พูดหนักเบามากน้อยอย่าไปถือสำคัญ ให้ถือเหตุถือผลถือหลักถือเกณฑ์มันเป็นความจริงแค่ไหน เอาไปพิสูจน์กับหัวใจเจ้าของ ถ้าอยากจะทราบเหตุผลเรื่องของจิตของกิเลสของธรรม มันอยู่ในจุดเดียวกันนั่นแหละ
อะไรจะละเอียดแหลมคมยิ่งกว่ากิเลส พูดแล้วพูดเล่าอยู่ แต่ก่อนเราก็ไม่เคยพูดคำพูดเหล่านี้ เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เวลาอุตส่าห์พยายามบึกบึนตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า เอามาทดสอบดู ธรรมพระพุทธเจ้าจริงไปหมดเลยจะว่าไง สฺวากฺขาโต ๆ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เจ้าปัญหาใหญ่ก็คือกิเลสนั่นละมันปิดเอาไว้ไม่ให้เห็นไม่ให้รู้ พอสวากขาตธรรมทะลุเข้าไปตรงไหน แทงไปตรงไหน มันจะกระจายออกไปให้เห็นให้รู้เรื่องของมันเรื่อย ๆ เอาจนไม่มีอะไรเหลือภายในใจถึงได้รู้ชัดเห็นชัดเรื่องโลกเรื่องธรรม จะรู้กันที่ใจไม่รู้ที่ไหนแหละ
ตามองเห็นก็เป็นธรรมขึ้นมา หูได้ยินก็เป็นธรรมขึ้นมา อะไรสัมผัสสัมพันธ์เป็นธรรมขึ้นมาหมด เวลาธรรมได้เกิดได้เป็นหรือใจได้เป็นธรรมแล้ว ถ้าใจเป็นกิเลสอะไรก็เป็นกิเลสหมดนั่นแหละ สัมผัสสัมพันธ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือธรรมารมณ์ก็มีแต่การสั่งสมกิเลสทั้งนั้น เวลากิเลสมีอำนาจมันสั่งสมตัวของมันอยู่ภายในจิตใจ มันจะแสดงตั้งแต่เรื่องนี้ ทำงานของมันตลอดเวลา บทเวลาธรรมมีกำลังก็แทนที่กันตรงนั้น ตรงที่กิเลสทำงานนั่นแหละ ธรรมทำงานตรงนั้น ฆ่ากิเลสตรงนั้น ทำลายกิเลสตรงนั้น เอาให้พังลงที่นั่น สว่างกระจ่างแจ้งที่นั้น นั่นละรู้ธรรมรู้ตรงนั้น และรู้กิเลสก็รู้ในขณะเดียวกันตรงนั้นแหละ กิเลสทำลายสัตว์โลกก็ทำลายที่หัวใจนั่นแหละ ใจดวงนั้นแหละ ท่านว่า ธมฺโม ปทีโป จะตรงไหนถ้าไม่ใช่ใจดวงนั้นที่ปราศจากกิเลสแล้วด้วยการชำระ
************
|