เรื่องสิ่งภายนอกอย่ามายุ่งมากนะ เราพยายามระมัดระวังเรื่องสิ่งภายนอกไม่ให้เข้ามาเป็นอันตราย เป็นข้าศึกต่อภายในทางด้านจิตตภาวนา สิ่งภายนอกมันไหลไปได้ง่าย ๆ แต่ภายในนี้มันยาก จึงได้กำชับกำชา เพราะเราไม่ได้เห็นคุณค่าของสิ่งภายนอกยิ่งกว่าทางด้านจิตตภาวนา แม้ศาสนาที่ดำเนินมาก็เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าพระสาวกท่านถือจิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก ในวงศาสนาถืออันนี้เป็นสำคัญ ในตำรับตำราเราก็เห็นนี่
แต่ส่วนมากมีแต่เอากิเลสไปเหยียบย่ำทำลายลบล้างตำรับตำราซึ่งเป็นของจริงเสียมากต่อมากนั้นซิ กิเลสเข้าตรงไหนไม่ได้ฟังเหตุฟังผลนี่ เพราะความอยากทำอยากพูดอยากคิดเป็นเรื่องของกิเลสฝังใจอยู่แล้ว ธรรมหาโอกาสแทรกออกมาไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องได้ใช้การบังคับบัญชากันอย่างหนัก ยิ่งในขั้นเริ่มแรกจิตกิเลสมันผาดโผนมากทีเดียว จึงต้องได้ใช้การฝึกทรมานกันอย่างหนัก ราวกับว่าติดคุกติดตะรางหรือถูกจับมัดเข้าที่ทรมานนั่นเอง ที่ทนไม่ได้ก็เผ่นออกไปเอาคอรองกิเลสให้มันตัดเอาขาดสะบั้นไป ผู้ทนได้ก็ฟื้นตัวกลับมาได้
กิเลสเป็นของเล่นเมื่อไร พูดแล้วพูดเล่าอยู่เสมอ ตัวไหนตัวไม่เป็นภัย ตัวไหนตัวไม่ฉุดลากเราลง กิเลสตัวไหนฉุดลากเราให้ขึ้นมีเหรอ ไม่มี เพราะฉะนั้นการอบรมจิตใจนี้ก็คือการต่อสู้กับกิเลสโดยตรง หนักก็ต้องใช้วิธีฝึกหนัก กิเลสหนักขนาดไหนเราจะไปอ่อนข้อไม่ได้ ต้องหนักมือทีเดียวในการฝึกทรมาน ถึงขนาดเป็นตายก็ต้องฟัดกันลงไปไม่อย่างนั้นไม่ได้ ใครจะเอานิสัยของกิเลสมาใช้กับกิเลสมันก็กลมกลืนเป็นหนึ่งบวกกับหนึ่งเป็นสอง มีกำลังมากสองเท่าขึ้นไปแล้วเกิดประโยชน์อะไร
สถานที่นี่เราตั้งใจฝึกฝนอบรมพระทางด้านจิตตภาวนาโดยตรง สิ่งภายนอกเป็นเครื่องอาศัยเล็ก ๆ น้อย ๆ เราต้องใช้ความระมัดระวังเสมอในเวลาจะทำสิ่งภายนอก ไม่ได้ให้ทำพร่ำเพรื่อแบบหากฎเกณฑ์เหตุผลไม่ได้อย่างนั้น แต่จิตตภาวนานี้ต้องเอาจริงเอาจัง ให้เห็นเหตุเห็นผลแก้กิเลสไปได้ ถ้าเราตั้งใจจะแก้ทำไมแก้ไม่ได้ ทีกิเลสผูกมัดเราทำไมผูกมัดได้ พอจะเอาธรรมมาแก้กิเลส พระพุทธเจ้าสาวกท่านเคยแก้มามากต่อมากแล้วท่านแก้ได้ ทำไมเราจึงกลับมาผูกตัวเองด้วยกิเลสไม่ใช่เอาธรรมมาผูก เอากิเลสมาผูกได้เรื่องอะไร
การประพฤติปฏิบัติสุ่มสี่สุ่มห้าลุ่ม ๆ ดอน ๆ คอยแต่จะให้กิเลสมัดคอเอา ๆ ได้ผลประโยชน์อะไร ตาไม่ดูหนทาง เดินไปไม่ดูหนทาง คิดแต่จุดที่หมายปลายทางที่ตนจะไปอย่างเดียว ไม่ดูขวากดูหนามดูหนทางว่าถูกหรือผิด จะเป็นภัยเป็นอันตรายในระหว่างทางเพราะอันใดบ้าง ก็เพราะความไม่สำรวมความไม่ระมัดระวังตัวเองนั่นแหละ เดินสะดุดบ้าง ปลีกไปในทางที่ผิดบ้าง การดำเนินปฏิปทาก็เหมือนกัน เราเล็งตั้งแต่มรรคผลนิพพาน แต่ไม่ได้เล็งดูข้าศึกที่อยู่ติดก้นตั้งแต่ต้นทางจนกระทั่งถึงที่สุดทาง มีตั้งแต่ขวากแต่หนามคือกิเลสทั้งมวล เราไม่มองดูตรงนี้ ไม่หลบหลีกไม่ระมัดระวังตรงนี้ระวังอะไร
ผู้ปฏิบัติต้องมีความเข้มแข็ง มีจิตใจจดจ่อต่อเนื่องกันโดยลำดับด้วยความตั้งอกตั้งใจ ไม่ใช่จะเอานิสัยของโลกมาใช้ นิสัยของโลกเอาประมาณไม่ได้ เพราะเกิดมากับกิเลสอยู่แล้ว กิเลสเป็นนิสัยฝังใจอยู่แล้ว แสดงมาอะไรก็มีแต่ลวดลายของกิเลสที่จะพาเราให้เสียและล่มจมไป ยิ่งเข้ามาประพฤติปฏิบัติจะเอานิสัยของกิเลสมาใช้นั้นก็ยิ่งมาทำลายตัวเอง หาความสุขความเจริญหรือหาคำว่ามงคลไปไม่ได้ จึงต้องใช้ความระมัดระวัง
การกินการอยู่การหลับการนอนต้องฝึกให้หมด ไม่ฝึกไม่ได้ สิ่งที่เคยทำมาเป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องของความไม่มีขื่อมีแปตามยถากรรม แต่ธรรมไม่ใช่ธรรมยถากรรมซิ ธรรมมีเหตุมีผลมีกฎมีเกณฑ์มีแบบมีฉบับ จึงต้องนำแบบนำแผนกฎเกณฑ์นี้ไปใช้กับกิเลสฝึกฝนทรมานตนเอง ไม่อย่างนั้นจะไปไม่รอดนะ เหลวไหล ๆ ไปเรื่อย ๆ
เราสะดุดใจเรื่อย ๆ หมู่เพื่อนเข้ามามาก ๆ มีแต่เหลวลง ๆ เลวลง ๆ เรื่อย ๆ หาจะทรงตัวจะไม่ได้อยู่แล้ว อย่าว่าแต่ความเจริญขึ้นไปเลย แม้แต่ทรงตัวก็ทรงไม่ได้ ถึงเรียกว่าเหลวลงเลวลง ถ้าทรงตัวได้จะเรียกว่าเหลวลงเลวลงได้ยังไง มันเลวลงนะนี่ ดูแล้วมันสะดุดนี่ เราไม่ได้ชินกับอะไรนะ ดูอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่ชินดูด้วยเหตุด้วยผลทำไมจะไม่รู้เรื่องผิดเรื่องถูกความเคลื่อนไหวของหมู่เพื่อน ทั้งเป็นครูเป็นอาจารย์หมู่เพื่อนด้วย สั่งสอนหมู่เพื่อนด้วยความจงใจจริง ๆ รับไว้เท่าไรก็รับไว้ด้วยอรรถด้วยธรรม สั่งสอนด้วยอรรถด้วยธรรม มีความจดจ่อต่อหมู่ต่อเพื่อนอยู่เสมอ แม้ด้านสุขภาพร่างกายที่เป็นเครื่องมือจะไม่อำนวย แต่จิตใจก็อดคิดไม่ได้ ความเกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อน สัมผัสสัมพันธ์ตรงไหนก็เห็นก็รู้ ผิดถูกทำไมจะไม่รู้
ตั้งหน้าตั้งตาภาวนาดูแต่หัวใจเจ้าของซิ เป็นสำคัญยิ่งกว่านั้นไม่มี มีตั้งแต่จิตนั่นแหละเป็นตัวก่อเหตุมีอะไรที่ไหนไป เราอยากทราบให้เห็นได้ชัด แต่เพียงขั้นสงบเท่านั้นก็ทราบ เวลาสงบจริง ๆ ไม่มีอะไรกวนเลย ก็อะไรจะกวน มีแต่เจ้าของกวนตัวเองเท่านั้น ถ้าเจ้าของไม่กวนตัวเองเสียอย่างเดียวก็สงบไปหมด นั่นจึงเห็นได้ชัดว่า ความคึกความคะนองและความรบกวนตัวเองทำลายตัวเอง ก็คือเรื่องของใจที่มีกิเลสผลักดันออกมา บังคับออกมาให้ทำให้ก่อกวนตัวเองเท่านั้น
เพียงขั้นจิตสงบลงไปเท่านั้นก็เห็นชัดเจนแล้ว มีแต่ความรู้เด่น รู้อยู่เท่านั้น ไม่เสียดายไม่อะไรกับอะไรในขณะนั้น ก็เหมือนกับโลกไม่มี เพียงจิตสงบเท่านั้นก็ทราบได้ชัด เราไม่ต้องพูดถึงเรื่องจิตที่หลุดพ้นไปจากทุกสิ่งทุกอย่างอันขึ้นชื่อว่าสมมุติแม้ภายในจิตใจก็ไม่มีแล้ว จะเอาอะไรมากวนใจ ไม่มีอะไรกวน เรื่องกวนใจก็มีแต่เรื่องกิเลสทั้งมวลนั่นแหละจะอะไรมากวน อย่างอื่นไม่มี ฉะนั้นท่านจึงเห็นว่ากิเลสเป็นข้าศึก ไม่ใช่โลกธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ดินฟ้าอากาศเป็นข้าศึก กิเลสเป็นข้าศึกต่อใจ พากันจำเอาไว้
แก้กิเลสแก้ลงที่ใจ ฆ่ากิเลสฆ่าลงที่ใจ ความอยาก อยากอะไร บังคับความอยากนั้นลงไป เพราะส่วนมากความอยากมีแต่เรื่องของกิเลสทั้งมวลนั่นแหละ ถ้าจิตไม่มีกำลังทางด้านธรรมะแล้วความอยากในธรรมจะมีน้อยมาก จนกว่าว่าจิตได้อบรมขึ้นไป มีธรรมเป็นเครื่องดื่มแล้วจิตมีความเอิบอิ่มไปกับธรรม ถ้าอยากก็อยากแต่เรื่องความพ้นทุกข์ อยากรู้อยากเห็นเป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรมเข้าไป
ถ้าธรรมมีกำลังมากความอยากของธรรมก็ขึ้นแทนที่ ความอยากอันนี้เป็นมรรค ความอยากของกิเลสเป็นเรื่องสมุทัยทั้งมวล ท่านเรียกว่าเป็นตัณหา แต่ความอยากของธรรมที่มีกำลังหรือมีโอกาสที่จะแทรกขึ้นมาภายในจิตและมีกำลังมากขึ้นเท่าไร ความอยากอันนี้ยิ่งเด่น ความอยากทางด้านธรรมะเด่นเท่าไรความเพียรยิ่งเด็ด ยิ่งสืบเนื่องกันเป็นลำดับลำดาไป
เราจะเห็นได้ชัดว่าความอยากทั้งสองอย่างนี้มีความต่างกันอยู่มาก ความอยากของกิเลสมีแต่เรื่องกดถ่วงตัวเองลงไป ถ้าความอยากที่เป็นฝ่ายธรรมหรือความอยากที่เป็นฝ่ายมรรคแล้ว มีแต่พยุงตนขึ้นไปเป็นลำดับ ความอยากรู้อยากเห็นมีมากเท่าไร ความเพียรยิ่งเด็ดยิ่งเดี่ยวยิ่งอาจยิ่งหาญ ไม่รู้จักเป็นจักตาย ไม่เสียดายชีวิต มีแต่อยากให้รู้ให้เห็นอยากให้หลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ต่อเนื่องกันไปโดยลำดับเลย ไม่มีอิริยาบถเว้นเสียแต่หลับเท่านั้น นี่คือความอยากของธรรมที่มีกำลังขึ้นภายในตัวเอง ความอยากของกิเลสลดน้อยลงไปแทบไม่ปรากฏ นี่เราจะเห็นได้ความอยากทั้งสองนี้ต่างกันยังไง
ไม่ใช่เอะอะอะไรอยากขึ้นมาก็จะเป็นตัณหา อยากอะไรขึ้นมาก็จะเป็นตัณหา เหมาว่าเป็นตัณหาเสียหมด บทเวลาความอยากเป็นตัณหาจริง ๆ นั้นทำไมไม่สนใจไม่แก้ ความอยากของด้านธรรมะพอจะทำขึ้นบ้างจะเป็นตัณหาไปเสีย ความอยากเป็นตัณหาจนตาบอดตามืดไม่เห็นคิดไม่เห็นว่า นี่ซีแพ้กิเลสวันยังค่ำถ้าปัญญาสอดแทรกไม่มี อย่าเข้าใจว่ากิเลสจะหลุดลอยออกไปเพราะความอยาก เพราะการเสริมความอยากให้มัน อันเป็นฝ่ายของมันนั้นเลย
แก้อะไรจะแก้ยากยิ่งกว่ากิเลส นี่พูดย้ำแล้วย้ำเล่าอยู่ตลอดจนผู้พูดก็เบื่อจะพูดแล้ว อย่าว่าแต่ผู้ฟังจะเบื่อเลย เพราะพูดนี้พูดออกมาจากความจริง พูดอย่างถึงใจ เคยเห็นเคยรู้มาแล้วถึงพูดสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่มาพูดแบบเดา ๆ เอานี่ เคยต่อสู้กันก็เคยต่อสู้มาแล้ว แทบเป็นแทบตาย ยากหรือไม่ยากก็รู้ในเจ้าของมาหมดทุกอย่างแล้ว แล้วจะเอาเรื่องเหยาะ ๆ แหยะ ๆ มาใช้กับกิเลสได้ยังไง
ค่อยร่อยค่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ นะ ดูแล้วมีแต่ชื่อว่ากรรมฐาน กมฺม แปลว่าอะไร ฐานะแปลว่าอะไร การงานมีแต่โรงงานคนไม่ทำงานได้ประโยชน์อะไร เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มีอยู่เต็มหัวใจแต่เราไม่นำมาใช้เกิดประโยชน์อะไร แล้วเรื่องของทุกข์ของสมุทัยมันทำงานของมันอยู่ตลอดเวลา มรรคไม่มีโอกาสทำงาน นิโรธจะแสดงตัวขึ้นมาได้ยังไง ว่าดับทุกข์ ๆ มันดับอะไร มีแต่ดับธรรมนั่นแหละมากกว่า ถ้าหากว่าเกิดขึ้นบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ดับจนแหลกไปหมดธรรมไม่มีเหลือ ไม่ใช่ดับทุกข์
เอาให้จริงให้จังซิ เคยชินกับอะไรในโลกอันนี้ เคยอยู่เคยจมมานานแสนนานได้ความวิเศษวิโสอะไร มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น อยู่กันด้วยความหวังเฉย ๆ ไม่ได้อยู่ด้วยความสุข เราอยู่ด้วยความหวัง แต่ความทุกข์เหยียบย่ำทำลายหัวใจอยู่ตลอดเวลาทั้งร่างกายด้วย ดูซิดูในเจ้าของก็รู้ วันหนึ่งคืนหนึ่งเป็นยังไงทุกข์ มีแต่ทุกข์อยู่เท่านั้นเด่นภายในร่างกายและจิตใจ สุขเด่นที่ตรงไหน ไม่เห็นอะไรเด่น ถ้าไม่ผลิตธรรมขึ้นมาให้สุขเด่นขึ้นมาทางด้านธรรมะแล้วมันมีตั้งแต่กองทุกข์ ทุกข์มาจากไหนถ้าไม่มาจากกิเลสเป็นผู้ผลิต ดูในตัวเองก็รู้ถ้าดู ทุกข์เกิดขึ้นเพราะอะไร จิตมันดิ้นยิ่งกว่าลิงร้อยตัว มันดิ้นหาเรื่องหาราวหาฟืนหาไฟมาเผาเจ้าของจะไม่ให้ทุกข์ยังไง มันต้องทุกข์ซิ
สติปัญญานิดหนึ่งก็เกิดขึ้นไม่ได้ คอยแต่จะหลุดจะลอยไป ตั้งนิดหนึ่งหลุดลอยไปเสียตั้งวันจะว่าอะไร แล้วจะทันกันได้ยังไง สัจธรรม ๆ ก็มีอยู่ในวงกายนี้บอกชัดเจนอยู่แล้วธรรมก็ดี ความหวังหวังไปที่ไหน หวังลมหวังแล้งที่ไหน ลมแล้งก็มีอยู่แล้ว ดินฟ้าอากาศก็มี ต้นไม้ภูเขาอะไรมีอยู่หมดหวังอะไรกับมัน ในตัวของเรานี้ก็มีอยู่แล้วเรื่องดินน้ำลมไฟอากาศธาตุมีหมด หวังอะไรถ้าไม่หวังธรรม
ถ้าหวังธรรม ก็ธรรมเวลานี้ถูกอะไรปิดบังไว้ ปิดบังอยู่ที่ตรงไหน ก็ไม่พ้นหัวใจอีก มันปิดบังอยู่ที่ใจ ทำลายธรรมอยู่ที่ใจจนแหลกไปหมด มีเท่าไรทุ่มลงมาซีสติสตัง ทำงานการอะไรก็ตามสติให้มีอยู่กับตัว นี่เป็นอย่างน้อย จนเป็นสัมปชัญญะขึ้นมา เมื่อสติต่อเนื่องกันไปแล้วก็เป็นสัมปชัญญะ จากนั้นไปกระจายทางด้านปัญญา พิจารณาซิ ของมีอยู่ทำไมไม่เห็น ตาเราก็มี หูเราก็มีเหมือนครั้งพุทธกาล เหมือนพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ทำไมไม่เกิดประโยชน์ ตาเราหูเรากลายเป็นตาไม้ไผ่ไปเสียหมด เป็นหูกะทอไปหมด หูกระทะไปหมด สติปัญญาก็มีแต่ชื่อไม่กระดิกพลิกแพลงภายในจิตใจให้เป็นสติปัญญาขึ้นมากับตนบ้างเลย ได้ประโยชน์อะไร
ตั้งหน้าทำความเพียรซิ เรื่องอื่น ๆ ไม่สำคัญอะไรนัก อย่าไปยุ่งกับมันมากนะ ฆ่ากิเลสซีอย่าไปเสริมกิเลส เราบวชมาฆ่ากิเลส ท่านว่า โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ ความโกรธไม่ใช่กิเลสเป็นอะไร ฆ่าความโกรธได้แล้วอยู่เป็นสุข เพียงเท่านั้นก็กระเทือนไปหมดแล้ว เสริมกิเลสเป็นสุขไหม มีแต่กองทุกข์ทั้งนั้น
จนจะไม่มีอะไรติดตัวนะนี่ อยู่นานไม่นานก็เป็นแบบเดียวกันฉบับเดียวกัน มีแต่ชื่อกรรมฐาน ๆ ส่วนงานไม่ทำ งานของกรรมฐานจะไม่ทำ เถลไถลไปทำแต่งานของกิเลส มันก็กอบโกยแต่กองทุกข์ขึ้นมาซี