เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๗
อาการของกิเลส
ให้รู้หน้าที่ของเจ้าของ เดี๋ยวนี้มันเหลวไหลไปหมดแล้วนะ ดูแล้ว นี่พูดย้ำๆ อยู่ตลอด เป็นยังไงถึงได้พูดย้ำขนาดนี้ มันแปลกหูแปลกตาอย่างไรบ้าง พวกท่านทั้งหลายไม่ได้สนใจบ้างเหรอในหัวใจแต่ละดวงๆ ของตัวเอง นี่สนใจกับท่านทั้งหลายรอบวัดรอบด้านนะ ทั้งตาทั้งหูทั้งอะไร ดูพระเณรจะดูไม่ได้เดี๋ยวนี้น่ะจะว่าไง มองไปทางตากิริยาอาการทุกสิ่งทุกอย่างมันเหมือนบ้านะ ยิ่งเวลาตักน้ำตักท่าอะไรๆ เข้าชุมนุมกันมองดูแล้วเหมือนบ้า พูดออกมาก็มีแต่เรื่องตลกคะนองเหมือนบ้า ยังไม่รู้อยู่เหรอเวลานี้
พวกท่านมาหาบ้ากันเหรอ หรือมาหาธรรม ธรรมไม่ใช่แบบนั้น แบบบ้านะ เสียงลั่นเชียวเวลาเข้าหากัน ไม่ทราบว่าเสียงอะไรต่ออะไร ฟังเสียงไม่มีเสียงอรรถเสียงธรรมเลย มีแต่เสียงความรื่นเริงบันเทิงไปตามกิเลส ไม่ใช่รื่นเริงบันเทิงไปตามธรรม ให้กิเลสลากถูไปตลอดเวลา กิริยาอาการที่แสดงออกเป็นกิริยาอันเดียว อันกิเลสลากไปนั่น
ผมทนอยู่ก็ทนอยู่เพื่อหัวใจหมู่เพื่อน ผมไม่ได้ทนอยู่เพราะความเหลวไหลอย่างนี้นะ ที่ทนอยู่ทุกวันนี้ ธรรมไม่ได้อยู่สถานที่อาการที่แสดงเหล่านี้นะ อันนี้เป็นอาการของกิเลสทั้งนั้น มันดิ้นมันดีดอยู่ตลอดเวลา เลยจะกลายเป็นพระธุรกิจธุรการนักเพลิดนักเพลินโรงระบำรำโป๊ไปหมดแล้วในวัดนี้ ดูพระดูเณรจนดูไม่ได้แล้ว
เข้าใจว่าเก่งว่าดีแล้วเหรอที่มานี่อยู่นี่ ทำไมเป็นอย่างนั้น อาการเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย เดี๋ยวนี้ทางจงกรมก็จะไม่มองเห็นแล้ว มันเพลิดมันเพลินมันดิ้นมันดีด ล้วนแล้วแต่เรื่องอันเดียวเต็มวัดเต็มวา เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่ว่ามาหา อยู่ที่ตรงไหน มองหาดูแล้วไม่เห็น เห็นแต่เรื่องอันเดียว ได้ยินแต่เรื่องอันเดียว กิริยาอาการแสดงออกมีแต่เรื่องอันเดียว นี่เหรอมาสั่งสมธรรม
สั่งสอนก็หมดไส้หมดพุงหมดตับหมดปอด ไม่มีการฝ่าการฝืนกันบ้างเลยทำยังไง แสดงอาการออกทุกอย่างมีแต่เรื่องอันเดียว แสดงลวดลายอยู่ตลอดในกิริยาของพระที่พอมองเห็นได้ ที่ไม่มองเห็นได้อยู่ข้างในเป็นยังไง ตรงที่ไม่มองเห็นได้ไม่ใช่ตรงที่เป็นโรงงานของมันเหรอ แสดงลวดลายออกมา
หลั่งไหลมาเท่าไรดูไม่ได้เลยๆ ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาเรื่อยๆ ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย ไม่ว่าเก่าว่าใหม่แหลกไปตามๆ กันหมดเดี๋ยวนี้ ดูไม่ได้เลย มันจะกลายเป็นโรงงานสั่งสมอันนี้ละนะเดี๋ยวนี้ ไอ้ไม่เป็นท่านี่ เกลื่อนอยู่ในโลกอันนี้มีแต่อะไร ก็มีแต่อันนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ เราจะเสาะแสวงหาธรรมที่ให้แปลกจากสิ่งเหล่านี้ อาการไหนที่เป็นอาการแสวงหาธรรมมองไม่เห็นนี่ เราตาฝ้าตาฟาง เห็นแต่เรื่องอันเดียวนั้นกัดหัวพระอยู่เวลานี้
ฉันจังหันเสร็จแล้วรีบไปทำความพากความเพียร ยังน่าเบาใจเบาตาเบาหู อันนี้เพ่นพ่านๆ มองไปไหนเพ่นพ่านๆ เหมือนตลาด ดูไม่ได้ แล้วยิ่งเข้าไปชุมนุมกันด้วยแล้วยิ่งไปใหญ่เลย เหล้า ๕ ไหก็ยังสู้ไม่ได้ มาอยู่ให้หนักอะไรกันนักหนาอยู่ไม่ได้เรื่องได้ราว เอ๊ ทำไมเป็นยังงั้นจิตของพระผู้มาอบรมศึกษา ทำไมถึงได้บังคับกันไม่อยู่ ได้ดิ้นได้ดีดออกมาให้เห็นอยู่ตลอดเวลา มีแต่อย่างเดียวชนิดเดียวอันเดียวดิ้นดีดอยู่ในกิริยาของพระของเณร ดูไม่ได้
เคยพูดแล้วเป็นยังไงกิเลสมันแหลมคมขนาดไหน พูดแล้วพูดเล่า มันฝังหัวใจมานานเท่าไรถึงไม่ได้เห็นโทษกันเลย ทั้ง ๆ ที่มาเรียนวิชาเห็นโทษกิเลสแล้วทำไมถึงไม่เห็น ถึงได้เพลิดได้เพลินขนาดนั้น อันนี้จ่อสติเข้าไปในจิตมันจะจ่อไม่ได้ละนะเดี๋ยวนี้อกจะแตก ปล่อยให้มันเพลิดมันเพลินเหมือนกับสุนัขบ้า อยู่ได้แต่แบบบ้าถึงอยู่ได้ เป็นยังไงคนบ้าอยู่ คนบ้ากับคนดีอยู่ต่างกันไหม กิริยาของคนบ้ากับคนดีต่างกันไหม กิริยาของคนมีสติประคับประคองตนกับคนปล่อยเลยเหมือนบ้าเป็นยังไง ในหัวใจของแต่ละดวง ๆ ที่ว่ามาปกครองมารักษามาสำรวจตัวเอง มันเป็นยังไงถึงได้เป็นอย่างนั้น
มันจะเป็นบ้ากันทั้งวัดยังไม่รู้อยู่อีกเหรอเวลานี้ จะเหลือแต่ชื่อกรรมฐาน ๆ แล้วละนะ ยิ่งกุดยิ่งด้วนเข้ามา กุดเข้ามาด้วนเข้ามา ทางโลกก็รู้แล้ว เป็นยังไงโลกก็รู้กันอยู่แล้ว แล้วธรรมล่ะ เป็นธรรมชาติที่คงเส้นคงวา หลักธรรมหลักวินัยคงเส้นคงวาที่จะนำมาบังคับบัญชาสิ่งที่หาเขตหาแดนไม่ได้นี้ ทำไมถึงไม่คิดไม่ค้นคว้ากัน ไม่สนใจ ทำไมถึงเป็นแบบเดียวกันหมดกับโลกกับสงสารเขา ต่างกันยังไง หัวโล้นๆ ใครโกนเอาก็ได้ โกนจนถลอกออกหมดหนังเป็นอะไรไปวิเศษอะไร ถ้าหัวใจไม่มีสติปัญญาทางอรรถทางธรรมเข้ารักษาเสียอย่างเดียวเท่านั้น ก็เหลวไปเหมือนฆราวาสเขา เหมือนโลกเขานั่นแหละผิดกันอะไร อย่าไปหวังความวิเศษวิโสจากเพศผ้าเหลืองๆ เท่านี้นะ ในตลาดร้านค้าไม่อด เต็มไปหมด แม้แต่ในตู้นี้ก็มีเต็ม วิเศษไหมในตู้ ถ้าไม่ทำตัวให้วิเศษในหัวใจของผู้มีสติปัญญารักษาตนเท่านั้น
อยู่วันหนึ่งๆ ผมเพียงครองร่างผมอยู่เท่านั้นก็พอแล้ว ยังต้องมาแบกภาระเรื่องกีดเรื่องขวางทั้งหูทั้งตาทั้งจิตทั้งใจตลอดเวลานี้ด้วยแล้ว มันทนได้เหรอมนุษย์เรา ทั้งๆ ที่ว่ามาปฏิบัติมาศึกษาอบรมกัน อยู่ด้วยความเป็นผู้มีความเพียรภายในตัวบ้างสักนิดหนึ่งไม่ได้เหรอ มันเป็นยังไง มองไปเวลาไหนถึงได้เป็นยังงั้น ฟังเวลาไหนถึงเป็นยังงั้น เมื่อเป็นอย่างนี้อยู่แล้วไปที่ไหนๆ จะเอาอะไรไปใช้ มันก็มีแต่อันเดียวที่แสดงลวดลายอยู่ตลอดเวลา บนเวทีคือหัวใจของพระที่ว่ามาศึกษาอบรม มีแต่มูลสดมูลแห้งเต็มไปหมดในหัวใจนั้น
วันหนึ่งๆ อยู่ไปยังงั้นแหละ รู้ตัวแล้วว่าธาตุขันธ์ไม่เอาไหนแล้ว จะให้วิตกวิจารณ์กับเจ้าของนี้ไม่ได้อวดนะ ไม่ได้วิตกอะไรเลย เรื่องธาตุเรื่องขันธ์รู้อยู่ทุกระยะตลอดเวลาอยู่แล้ว หากจะเป็นไปยังไงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ธาตุขันธ์นี้เอามาจากไหนก็รู้ บอกหมู่เพื่อนด้วย ให้รู้อย่างนั้นด้วย ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ จะไปเป็นอะไรยิ่งกว่านั้น ไปแบกไปหามไปยึดไปถือหาประโยชน์อะไร เรียนวิชาต้องเรียนอย่างนั้นซิวิชาธรรม ให้รู้อย่างนั้นซิ พระพุทธเจ้าท่านรู้อย่างนั้น หึงหวงมันอะไร นี่ไม่ได้หวง จะไปเมื่อไรพร้อมเสมอเลย ตามหลักความจริง ไม่ฝืนหลักความจริง ฝืนให้ทุกข์ทำไม ทางเดินมีอยู่ปีนออกไปอะไรข้างนอกทางให้เหยียบขวากเหยียบหนามทิ่มแทง ความจริงมีอยู่นั้นคือทาง เดินตามความจริงนั้น ฝืนความจริงไปไหนถ้าไม่อยากให้กิเลสร้อยหัวใจ
พอฉันเสร็จแล้วเหมือนกับว่างานเต็มหัวใจ งานนักธุรกิจธุรการยุ่งนั่นยุ่งนี่ ทางจงกรมไม่มองเห็นเลยทำไง ที่จะฆ่ากิเลสทำลายกิเลสนั้นไม่มี มีแต่ให้กิเลสทำลายหัวใจพระ จะไม่สลดสังเวชยังไงผู้ดูผู้แลผู้แนะนำสั่งสอนอยู่ ด้วยความเต็มอกเต็มใจเต็มหัวใจ มันจะไม่ขัดกันยังไง ภูเขากี่ลูกได้เคยมาทับหัวใจนี้เมื่อไรยิ่งกว่าผู้ที่ว่ามาเป็นลูกศิษย์ลูกหามาศึกษาอบรมแล้วมาทับหัวใจนี้ อันนี้ซิที่ร้ายแรง มันเข้ากันไม่ได้เลยกับหลักธรรมที่สั่งสอนไว้
การขบการฉันเป็นข้อวัตร เวลาฉันตาเหม่อมองไปไหน ขบเคี้ยวอาหารตาเหม่อมองไปไหน มองลงในบาตร ดูบาตร พิจารณาลงในบาตร มีอะไรอยู่ในนั้น ปฏิสงฺขา หมายความว่าอะไร ที่ท่านว่า ปฏิสงฺขา โยนิโส ปิณฺฑปาตํ ปฏิเสวามิ นั่นเพียงผิวเผินนะ หลักธรรมชาติจริงๆ ที่ออกจากหลักของ ปฏิสงฺขา นี้ลึกซึ้งกว่านั้น พิจารณาลงไปซิปัญญามี ได้อุบายจากการขบการฉัน ได้อุบายจากอาหารที่ผสมกันอยู่นั้นเท่าไรประมาณได้หรือ ประมาณไม่ถูกถ้าลงใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาอยู่ในนั้น ถ้าไม่ใช่ฉันแบบเพลิดแบบเพลินแบบโลกสงสารเขาเท่านั้นเองถึงจะไม่ได้เรื่องอะไร ทั้งฉันทั้งเหม่อทั้งมอง อะไร้พูดไม่ถูก มองไปที่ไหนๆ
ดูซิโลก โลกไม่มีธรรม โลกไม่สนใจในธรรมเป็นยังไง ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง ไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าเพศใดวัยใด จะมีเกาะมีดอนที่ไหนเวลานี้ถ้าไม่มีธรรมปกครองหัวใจเสียอย่างเดียวเท่านั้น จะเอาความวิเศษวิโสจากกิเลสนี้ เอาลงไปให้มันร้อยเอารัดเอาๆ เท่านั้น ตื่นลมๆ แล้งๆ ไปที่ไหน ความจริงมีอยู่ทำไมไม่จับไม่ยึด ตากิเลสพาให้ดูกับตาที่ธรรมพาให้ดู ตาสติปัญญาของธรรมพาให้ดูต่างกันอยู่มากคนละโลกโน่น กิริยาที่แสดงออกเพราะอำนาจของกิเลส กับกิริยาที่แสดงออกแห่งธรรมเป็นผู้บงการต่างกันคนละโลกโน่น ใกล้กันเมื่อไร คล้ายคลึงกันเมื่อไร ผิดกันขนาดนั้น ท่านจึงว่าโลกกับธรรม อยู่ด้วยกันก็ไม่เหมือนกัน เหมือนผู้หญิงผู้ชายติดกันอยู่ก็ไม่ได้เหมือนกัน นั่งอยู่ด้วยกันนั่นแหละ หญิงก็รู้ชัดๆ ชายก็รู้ชัดๆ นั่นละธรรมกับโลกต่างกันอย่างนั้นแหละ
นับวันเหลวไหลลงไปๆ ทำยังไง นี่วิตกวิจารณ์อยู่ทุกวัน วิตกวิจารณ์กับหมู่เพื่อนมากที่สุดเลย สอนก็สอน วิตกวิจารณ์ก็วิตกวิจารณ์ กิริยาที่แสดงออกให้ทิ่มหูแทงตาก็เห็นอยู่ประจักษ์ๆ อยู่งั้น ทำไมจะไม่อกแตกล่ะ ฉันจังหันเสร็จแล้วเข้าทางจงกรมฟัดกับกิเลสให้เห็นเป็นไรจะได้อนุโมทนา นั่งก็เอาให้เห็นได้อนุโมทนา จะยืนจะเดินกิริยาอาการแสดงออกท่าไหนมีแต่ต่อสู้กับกิเลสอยู่งั้นเรื่อย สติปัญญาตายเพราะการต่อสู้กิเลสให้เห็นซิวะ นี่ยังไม่ลืมนะ กุสลา ธมฺมา ถึงไม่ได้สวดก็ยังไม่ลืม จะสวดให้เดี๋ยวนี้สวด กุสลา ธมฺมา ถ้าตายด้วยการต่อสู้กิเลสจะสวดกุสลาให้เอง สวดคนเดียวก็สวดได้ไม่ได้คุย ก็เรียนมาอยู่ยังไม่ลืมเดี๋ยวนี้ สอนก็สอน กุสลา สอนให้ฉลาดไม่ได้สอนให้โง่นี่นะ มันทำไมจึงมีแต่ อกุสลา ๆ เต็มตัว ขี้เกียจขี้คร้านเต็มตัว ความไม่เอาไหน
จิตจะจ่อเข้าไปภายในไม่ได้ละนะเดี๋ยวนี้ ถูกกิเลสมันเตะเอาทีเดียวพังทลายๆ เป็นยังงั้นละนะเดี๋ยวนี้ อยู่ไปเฉยๆ วันหนึ่งๆ เกิดประโยชน์อะไร นับปีนับเดือนนับมืดนับแจ้ง มันมีมาตั้งกัปตั้งกัลป์แต่เรายังไม่เกิดไม่ใช่หรือสิ่งเหล่านี้ ไปตื่นมันทำไม กิเลสขยี้หัวใจอยู่ทำไมไม่ตื่นบ้าง ไม่เจ็บบ้างเหรอ มืดแจ้งเขามาขยี้หัวใจของใคร กิเลสต่างหากมาขยี้หัวใจของคน ทำไมไม่ตื่นไม่คิดบ้าง ธรรมเป็นเครื่องตื่นที่จะให้รู้เรื่องของกิเลสขยี้หัวใจ ทำไมจึงไม่นำไปพิจารณาพอจะได้เห็นโทษของมัน พอจะได้ตื่นกันบ้างแล้วต่อสู้กันบ้าง
***********
|