มันเพ่น ๆ พ่าน ๆ เด้น ๆ ด้าน ๆ เรามันหนักนะ ที่เข้ามามาก ๆ แล้วก็ไม่ทราบว่ามายังไงต่อยังไง มาแล้วก็ยังงั้นแหละ ให้หนัก หนักเราเป็นอันดับหนึ่ง และหนักในวงคณะเดียวกันอีก นั่นก็ยิ่งกว้างยิ่งใหญ่อีกแหละ ใคร ๆ ก็เหมือนกัน ที่พูดไม่ได้พูดเจาะจงพระองค์ใดองค์หนึ่ง ส่วนมากเป็นอย่างนั้น เจตนาไม่เจตนาก็ตาม ขวางต้องเป็นขวาง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจตนาโดยถ่ายเดียว สำคัญขึ้นอยู่กับความไม่ได้สนใจความไม่เอาไหนนั่นอันหนึ่ง ปล่อยเรื่อยมาตามนิสัยอย่างนั้นแล้วก็ขวาง ขวางตัวเองยังไม่รู้ขวางคนอื่นจะไปรู้ได้ยังไง ขวางตัวเองไม่รู้เพราะไม่มีเครื่องรับรู้ ใจมีอยู่ไม่นำมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์ สติมีอยู่ปัญญามีอยู่ไม่นำมาใช้ ไม่หยิบยกขึ้นมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เช่นเดียวกับเครื่องมือหรือสมบัติต่าง ๆ มีอยู่ในโลกนี้ คนไม่นำมาใช้ประโยชน์ สิ่งเหล่านั้นจะเกิดประโยชน์ได้ยังไง นอกจากดินฟ้าอากาศที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมัน มันออกประสับประสานกับร่างกายส่วนต่าง ๆ ของมันไปเองเป็นอย่างหนึ่ง เช่นไปอยู่ที่นั่นอากาศดีอากาศไม่ดี เราไม่ตั้งหน้าตั้งตาจะไปเกี่ยวข้องกับมันก็ตาม มันก็ประสับประสานกันได้กับร่างกายส่วนต่าง ๆ ของเรา เช่นว่าเราผิดกับอากาศ ความประสับประสานของดินฟ้าอากาศเกี่ยวกับร่างกายของเรา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เป็นอย่างนั้น เราไม่หยิบยกขึ้นมาก็ไม่ขึ้น สติไม่หยิบยกขึ้นมาคิดก็ไม่มี ปัญญาไม่หยิบยกขึ้นมาใช้ก็ไม่มี ไม่เกิดประโยชน์อะไร
แล้ววันหนึ่ง ๆ ก็ผ่านไป ๆ เหมือนมืดกับแจ้งดังที่เป็นมาแล้ว มืดกับแจ้งในวันหน้ากับวันนี้ต่างกันยังไงกับวันที่ผ่านมาแล้ว มันก็อันเดียวกันอันเก่านั่นแหละ ฝ่ามือหลังมือพลิกไปพลิกมาอยู่อย่างนั้นธรรมดา ๆ มืออันเก่านั่นแหละ ฝ่ามือก็ฝ่ามืออันเก่าหลังมืออันเก่า พลิกไปพลิกมาให้เห็นอยู่นั้น แล้วได้ของแปลกมาจากไหนมืดกับแจ้งนั้น ถ้าไม่ทำให้มันแปลกในจิตใจของตัวเราเอง
เรามาฝึกนี่ไม่ได้มานอนอยู่เฉย ๆ เราไม่ฝึกก็ไม่ทราบว่าจะให้กิเลสมันหลุดมันลอยไปไหน พระพุทธเจ้าท่านฝึกท่านอบรม ท่านถากท่านถางท่านสับท่านฟัน กิเลสถึงหลุดลอยไป สาวกก็เหมือนกัน โอวาททั้งหมดเป็นเครื่องมือทางฝ่ายเหตุ แต่เราไม่หยิบยกขึ้นมาใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร
เทศน์ให้หมู่เพื่อนฟังก็หมดพุงนะผมก็ดี จนกระทั่งทุกวันนี้จะไม่มีอะไรเทศน์แล้ว กำลังวังชาก็ยิ่งลดลงไป ๆ มีแต่ใจมีแต่ความรู้เฉย ๆ เกิดประโยชน์อะไร ทำประโยชน์ให้แก่ใครก็ไม่ได้เมื่อเครื่องมือไม่ดีแล้ว แต่ก่อนได้ระวังเมื่อไรการเทศน์ ทุกวันนี้จะเทศน์แต่ละครั้งละคราวพูดแต่ละประโยคต้องได้ตั้งท่าตั้งทาง เพราะเครื่องใช้ไม่อำนวย แล้วหมู่เพื่อนก็ยังจะมานอนใจอยู่เหรอ
มันกุดมันด้วนเข้ามา กุดด้วนเข้ามา ๆ มีแต่วัตถุอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องของโลกล้วน ๆ เข้ามาทับถมโจมตีอยู่ในหัวใจตลอดเวลา เรายังภูมิใจกับสิ่งเหล่านี้อยู่เหรอ เมื่อภูมิใจกับสิ่งเหล่านี้อยู่ก็ไม่ผิดอะไรกับโลกเขา หัวใจอันเดียวกันนั้น อารมณ์อันเดียวกันเหล่านั้นแหละ ก็เป็นอารมณ์อันเก่า มันก็ไม่ได้ตื่นกัน มาภูมิใจกับของเก่าเห็นว่าเป็นของใหม่อยู่เรื่อย พอจะประกอบความพากเพียรก็ว่าเป็นของลำบากลำบน เป็นสิ่งที่ทำให้เข็ดให้หลาบไปอย่างนั้น บทเวลาเสี้ยนหนามคือกิเลส เกิดจากอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ภายในจิตของตัวออกแสดง ยังไม่เห็นเบื่อเห็นหน่าย ไม่เห็นเข็ดเห็นหลาบ แล้วจะหาทางพ้นทุกข์ได้ยังไง สติปัญญาไม่คิดไม่ค้นไม่พินิจพิจารณาให้ทันกันกับกิเลส ไม่ทันนะ อย่าเข้าใจว่ากิเลสจะหลุดไปเฉย ๆ นะ สติปัญญาเท่านั้นเป็นสำคัญในการแก้ไขถอดถอนกิเลส ฟังซิว่าสติปัญญา เกิดมายังไง มีมายังไง ท่านไม่ได้บอกว่าเกิดเฉย ๆ นี่ เกิดด้วยการขวนขวายต่างหาก
นี่เวลามาก ๆ มันหากอึกทึกกันอยู่ในนั้น เป็นลักษณะมั่ว ๆ สุม ๆ อยู่ในนั้น มันมีมากเพ่นพ่าน ๆ ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย แล้วงานภายนอกอย่าให้ยุ่งมากไม่ได้นะ ผมไม่ได้เห็นสำคัญอะไรกับงานเหล่านี้ ทำก็ทำเป็นเครื่องประกอบไป นี่เป็นกังวลกับหมู่เพื่อนเกี่ยวกับเรื่องงาน ๆ นี้ มันจะไปหาเกาในที่ไม่คันกันละนะ คนหนึ่งมีงานนั้น คนหนึ่งมีงานนี้ วันหนึ่ง ๆ มีงานนั้นแล้วมีงานนี้ ซึ่งไม่ใช่เป็นของจำเป็นอะไรนักก็ทำให้จำเป็นขึ้นมา และงานที่จำเป็นคือกิเลสกับจิตที่อยู่ด้วยกัน จะถอดถอนมันออกมาไร้เสี้ยนหนามที่มันทิ่มแทงเรา เหมือนกับเห็นเป็นความรำคาญไปทำไง การจมกับมันถือว่าเป็นของดีก็นับว่าหมดทางแล้ว
สติฟังซิ ปัญญา เหล่านี้เราก็ไม่ได้พูดให้หมู่เพื่อนฟัง สติก็ดีปัญญาก็ดีเป็นอะไรถึงได้บังคับจิตใจได้ ใจเป็นของมีอยู่ดั้งเดิมบังคับตัวเองไม่ได้ ฟังให้ดีนะ ทำไมจึงต้องให้สติปัญญาซึ่งเกิดขึ้นทีหลัง ๆ และเกิดขึ้นดับไป ๆ นั้นบังคับจิตได้ ชำระจิตได้ บังคับกิเลสได้ ฟันกิเลสให้ขาดลงไปได้ แน่ะฟังซิ สติปัญญาคืออะไร
ที่ท่านว่าสติปัญญา ๆ หลักธรรมชาติของสติปัญญาจริง ๆ เป็นยังไง ออกมาจากไหน นี่ละคือกระแสของจิต ความรู้ของจิตที่ออกไป ถ้าออกไปเป็นฝ่ายกิเลสมันก็ส่งเด้น ๆ ด้าน ๆ ไป นี่เป็นฝ่ายกิเลส ดังที่เป็นอยู่ในหัวใจเรานี่ คิดไปรู้ไปนั้นรู้ไปนี้ ไปที่กิเลสมันผลักดันให้ออกไป ความรู้อันนี้ถ้าเป็นฝ่ายธรรมแยกเป็นฝ่ายดี ความรู้อันนี้เป็นสติ กระแสของจิตที่ออกไปนี้กลับเป็นสติส่องเข้ามาหาตัวเอง กลับเป็นปัญญาเข้ามารักษาตัวเอง ทำลายสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง นี่คือสติปัญญา อาการของจิตนี้ออก
ความรู้จิตนี้ถ้าพูดอย่างไฟฉาย นี่ออกไปนี่ โน่นนั่นออก ทีนี้ย้อนเข้ามานี้ เอาแสงสว่างย้อนเข้ามานี้ กิริยาที่ส่งออกไปย้อนเข้ามานั้นเป็นสมมุติ ออกไปจากจิตเป็นอาการ อันนี้จึงมีเกิดได้ดับได้ ด้วยเหตุนี้สติปัญญาจึงเป็นสมมุติเกิดได้ดับได้ แต่เวลาฉายเข้ามาหาตัวเองแล้วก็เป็นสติ มารู้ตัวเอง ถ้ากระแสนี้ไม่ย้อนเข้ามาก็ไม่รู้ตัวเองรักษาตัวเองก็ไม่ได้ ปัญญาใช้ไปทางนอกก็เป็นเรื่องของกิเลสนำไปใช้เสียไม่ใช่เรื่องของธรรม
คนเรารู้สึกตัว เพราะกระแสจิตเหล่านั้นย้อนกลับเข้ามาดูตัวเอง และชำระแก้ไขสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็คือกระแสของจิตย้อนเข้ามาชะล้างตัวเอง ท่านเรียกว่าสติ ท่านเรียกว่าปัญญา ในหลักธรรมชาติของการปฏิบัติรู้ขึ้นมาอย่างนั้น เป็นขึ้นมาอย่างนั้น โดยหลักธรรมชาติของสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราก็ให้ชื่อว่าสติให้ชื่อว่าปัญญา การที่ส่งออกไปและกลับเข้ามานี้เป็นอาการออกมาจากจิตนั่นเอง สิ่งเหล่านี้ดับไปความรู้นั้นไม่ดับ แต่รักษาตัวเองไม่ได้เมื่อยังไม่บริสุทธิ์ บริสุทธิ์แล้วไม่จำเป็นต้องรักษา นั่นเลยขั้นสมมุติไปแล้ว
จิตที่เป็นจิตธรรมดาของเรา ๆ ท่าน ๆ นี้มีสมมุติอันหนึ่งแทรกอยู่ในนั้น ได้แก่กิเลส เพราะฉะนั้นจึงรักษาตัวไม่ได้ ต้องอาศัยสมมุติอันนี้ กระแสของจิตนี่ย้อนเข้ามา ๆ นี่ละท่านว่าสติ ๆ คือหมายถึงว่าพยายามให้ความรู้อันนี้อยู่กับตัว อย่าส่งไปนอกโน้น ก็เป็นสติขึ้นมา แล้วเวลาเอากระแสของจิตที่ย้อนเข้ามานี้วกเวียนไปมา นั่นเรียกว่าปัญญา คือวกเวียนอยู่กับจิตนั่น ตรวจตรานาทีจิตเป็นยังไง อะไรเกิดขึ้น ในเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นดีหรือชั่วประการใด นี่เรียกว่าวกเวียนคือใคร่ครวญ กระแสของจิตอันนี้แหละมาวกเวียนตัวเอง ท่านเรียกว่าปัญญา ละเอียดเข้าไป ๆ ช่ำชองเข้าไปชำนาญเข้าไป คล่องแคล่วว่องไวเข้าไปเรื่อย ๆ จนสามารถชำระสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจหมดไปแล้ว อันนี้ก็หมดภาระพูดง่าย ๆ ถึงจะนำออกมาใช้ก็เป็นกาลเป็นเวลาเท่านั้นเพราะเป็นสมมุติ
จึงว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นสมมุติ เป็นอาการ มรรคหมายถึงอะไร ถ้าไม่ได้หมายถึงสติปัญญานี้ด้วยจะหมายถึงอะไร ลองไปถามดูซิว่าสติปัญญาคืออะไร เกิดมายังไง มันก็พูดสุ่มเดาไป เพราะไม่รู้ฐานที่เกิดของสติปัญญา นี่ละฐานที่เกิดของสติปัญญาเกิดอย่างที่ว่านี้ เป็นในหลักธรรมชาติจะรู้ชัด ๆ เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติถึงจะรู้ได้ชัด สติ ความระลึกได้ ปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร กองสังขารอะไร กองสังขารนอก กองสังขารใน มันรู้ไปหมดเลย ความรู้อันนี้นำไปใช้เป็นอย่างนั้นละ ใช้อย่างหนึ่งเรียกอย่างหนึ่ง ใช้ให้รู้ตัวเองก็คือสติ อยู่กับตัวคืออยู่กับผู้รู้นั้น รู้นี้อย่าส่งไป ให้รู้อยู่กับนี้ คืออย่าเอากระแสนี้ออกไป ไม่ให้ปล่อยกระแสนี้ออกไป เพราะกระแสนี้ถูกผลักดันออกตลอด แต่เป็นเรื่องของกิเลส ไม่ให้ออก ให้อยู่ที่ตรงนี้กระแสแห่งความรู้นี้ ส่วนความรู้นั้นมีอยู่แล้วดั้งเดิม กระแสที่ส่งไปตามเรื่องของโลกนั้นอย่าให้ออก ให้รู้ตัวเอง
สติเมื่อรู้ติดต่อกันไปนาน ๆ ท่านก็ว่าสัมปชัญญะเสีย แน่ะ เอ้า ให้มันวกเวียนรอบตัวรอบสิ่งต่าง ๆ ที่มาเกี่ยวข้องกับตัว นั่นท่านเรียกว่าปัญญา ฝึกทั้งสองอย่างนี้ ฝึกทั้งการให้รู้อยู่กับตัว ฝึกทั้งการให้รอบตัว เรียกว่าฝึกทั้งสติ ฝึกทั้งปัญญา ให้คล่องแคล่วเกรียงไกร สิ่งนี้จึงมีปรากฏทั้งออกทั้งเข้าและทั้งเกิดทั้งดับ นี่สติปัญญามีมาอย่างนี้เอง ต้องภาคปฏิบัติ
อะไรจะละเอียดยิ่งกว่าจิตกับกิเลสในสามแดนโลกธาตุนี้ นี่ไม่มองเห็นอะไรว่าละเอียด ไม่มองเห็นอะไรว่าเป็นข้าศึกต่อกันยิ่งกว่ากิเลสเป็นข้าศึกต่อใจ อุบายของธรรมทางฝ่ายดีที่จะให้เกิดขึ้นภายในจิต เพื่อรักษาตัวเอง แก้ไขถอดถอนตัวเอง ก็ยาก เพราะกิเลสมันแทรกเสียทุกแห่งทุกหนไม่มีช่องว่างเลย นั่นซีมันถึงไม่ทัน ทำอะไรก็เป็นเรื่องของกิเลสไปเสียเจ้าของก็ไม่รู้ เพราะสติปัญญาไม่ทัน ความรู้แบบที่ว่านี่ไม่ทัน ให้มันเอาไปใช้เสียหมด
ความรู้มีมากมีน้อยอะไรมีแต่มันใช้อยู่ทั้งวันทั้งคืน มันเป็นเจ้าของทั้งวันทั้งคืน แม้แต่เดินจงกรมก็เหมือนกัน เข้าไปเป็นเจ้าของอยู่ได้ ไม่ต้องพูดถึงว่ามันฝังจมอยู่นั้นมันเป็นเจ้าของนะ อาการของมันที่แสดงออกจากความฝังจมคืออวิชชานั้น มันก็เป็นเจ้าของอยู่นั้น มันครอบอยู่หมด เดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา เราไม่รู้เราไม่ทันมัน
เพราะฉะนั้นความพากเพียรต่างคนก็ว่าทำอยู่ ๆ แต่ผลทำไมไม่ปรากฏ จะปรากฏอะไร ความเพียรมันเป็นเรื่องความเพียรของกิเลสแทรก ๆ ที่แทรกของกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่ความเพียรของธรรมตามเจตนาของเราที่คิดเอาไว้ แล้วก็ล้มไปแล้ว พอคิดขึ้นว่าทำความเพียร คิดขึ้นในขณะนั้นก็ล้มไปแล้ว แล้วกิเลสก็ทำหน้าที่เสีย เราก็เข้าใจว่าเราทำหน้าที่ เราทำความเพียรเท่านั้นชั่วโมงเท่านี้ชั่วโมง มันได้เรื่องอะไร นั่นซิแหลมไหมกิเลสละเอียดไหม
ถ้าอยากเข้าใจคำนี้แล้วจำคำนี้ไว้ให้ดี และให้ดำเนินตัวเองไป คำนี้จะโผล่ขึ้นในหัวใจของผู้ปฏิบัติทั้งหลายโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อถึงขั้นจะโผล่แล้วต้องโผล่ให้รู้ให้เห็น
แล้วทีนี้ถึงขั้นกิเลสเรียบราบไปแล้ว อะไรเข้ามาเป็นเจ้าของ อะไรเข้ามาแทรกมีไหม เอาอะไรมาแทรกเมื่อมันไม่มีแล้ว มันก็ยิ่งรู้ได้ชัดละซิ ก็มีแต่เรื่องจิตที่บริสุทธิ์ล้วน ๆ ครอบโลกธาตุ ถ้าพูดถึงว่าโลกธาตุ กิเลสแม้ตัวเดียวก็เข้ามาแทรกไม่ได้ มันตายไปหมดแล้วทำไมจะไม่รู้เรื่องของมัน
นี่จะเอามันมาดูมันมันได้เรื่องอะไร จะเอากิเลสดูกิเลส ความเพียรก็เป็นกิเลสเสียแล้วจะไปดูกิเลสได้ยังไง เพราะเมื่อความเพียรก็เป็นกิเลสอยู่แล้ว จะไปดูกิเลสเห็นกิเลสแก้กิเลสได้ยังไง กิเลสแก้กิเลสมีเหรอ ไม่เคยมี เราจะเอาความฉลาดด้วยความโง่เง่าเต่าตุ่นอันนี้มีเหรอ จะเอาความฉลาดก็ต้องเอาด้วยความฉลาดซิ เอาความเพียรด้วยความเพียร เอาอรรถเอาธรรมด้วยการประกอบความเพียรโดยความเป็นธรรม อย่าให้กิเลสเข้ามาเป็นเจ้าของในขณะที่ประกอบความเพียรนั่นซิ มันถึงจะรู้เรื่องกัน
ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ พ่อของเราก็มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์นี้เท่านั้น พ่อที่จะฉุดลากเราให้ถึงแดนแห่งความพ้นทุกข์ มีเท่านั้น ขอให้ฝังใจให้ลึกกับพระพุทธเจ้า ฝังให้แน่นกับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ นอกนั้นมีแต่ข้าศึกทั้งมวลรอบด้าน มีเกาะนี่เท่านั้น รวมแล้วเป็นอันเดียว พุทธ ธรรม สงฆ์ นี้ แยกออกไปโน้นก็เพื่อตามสมมุติอันหนึ่ง เป็นหลักใจตั้งอยู่โน้น พระพุทธเจ้าท่านทรงทำอย่างนั้น ๆ นี่ก็เป็นคติ พระสงฆ์สาวกแต่ละองค์ ๆ ท่านทำอย่างนั้น ๆ นี่ก็เป็นคติด้วย เป็นเครื่องยึดตามหลักการนั้นด้วย
เพราะจิตนี้ยังรวมตัวไม่ได้ เป็นอันเดียวไม่ได้ พึ่งตัวเองยังไม่ได้ มันเป็นอาการหมดทั้งตัวของมัน เพราะฉะนั้นจึงต้องอาศัยอันนี้เข้าเป็นเครื่องต้านทานกัน หรือเป็นเกาะเป็นดอนเพื่อยึด เมื่อจิตเป็นตัวของตัวเต็มที่แล้ว คำว่าพุทธ ธรรม สงฆ์ ก็รวมอยู่ในอันนั้นหมดแล้วก็หมดปัญหาไป จะว่าพึ่งตัวเองได้แล้วก็ถูก จะว่าพึ่งอะไรไม่พึ่งอะไรก็ไม่สงสัย จะพูดไปคิดไปให้เสียเวลาทำไม เมื่อถึงขั้นไม่พูดไม่คิดแล้วไม่พูดไม่คิดให้เสียเวลา แต่ถึงขั้นที่ควรจะคิดจะพูดจะทำให้เต็มที่แล้วเอาให้เต็มที่ ยึดพระพุทธเจ้ายึดให้ลึกฝังให้ลึก อย่างน้อยเป็นคู่กับชีวิต มากกว่านั้นอันนั้นเป็นหลักใหญ่ ชีวิตไม่มีความหมาย ให้เดินตามพุทธ ธรรม สงฆ์ นั้น นั่นละจะมีทางห่างเหินจากมารที่พัวพันอยู่ตลอดเวลา จะได้จางไป ๆ