เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๕
เชื่อกิเลสก็เชื่อมานานแล้ว
เดี๋ยวนี้หดเข้ามา ๆ นะกระแสจิตไม่เหมือนแต่ก่อน มันคงขี้เกียจ เหมือนคนเฒ่าคนแก่จะลุกจะเดินจะเหินไปไหนลำบาก คงเป็นอย่างนั้นแหละ อาการของจิตก็อยู่ในสมมุตินี่ มีลักษณะอย่างนั้น บางทีเดินไปนี้มันถึงน่ากลัวตกอะไรๆ หรือพลาดอะไรๆ ไปอย่างไม่สงสัยเหมือนกันนะ มันบอกอยู่ชัดๆ เช่นเดินไปนี้เป็นพักหนึ่ง จิตไม่ออกไปแย็บรู้ไปหมายว่านี่พักหนึ่งนั้นพักหนึ่ง รู้อยู่เฉยๆ เดินก้าวไปก็ตกตูมเลย
บางทีออกมาจากกุฏิ พอออกมานี้มันไม่คิดนี่ รู้อยู่เฉยๆ ต้องได้กำหนดเสียก่อนไม่งั้นเดินตกพักนั้นได้ เป็นแล้วเดี๋ยวนี้รู้ได้ชัดๆ แต่ก่อนไม่เป็นเดี๋ยวนี้เป็นแล้ว เดินไปไหนบางทีต้องได้หยุดเสียก่อน หยุดคิดถ้ามันยังไม่คิด มันยังไม่แย็บออกยังไม่ไป เดี๋ยวนี้มันเป็นแล้ว รู้อยู่เฉยๆ ไม่แย็บโน้นแย็บนี้ มันก็ไม่รู้ว่านั้นเป็นนั้นนี้เป็นนี้ รู้อยู่เฉยๆ
สำคัญที่น่ากลัวตกพักนั้นพักนี้ น่ากลัวตกเวลาไปไหนมาไหน ระยะช่วงสั้นๆ นี่แหละ ไปนั้นมานี้ ถ้าเดินไปเสียจริงๆ ก็ไม่เป็นไร ช่วงสั้นๆ เดินนั้นเดินนี้อย่างในกุฏิเป็นต้น พอออกมาแล้วจะเดินลงไปนี้ ต้องได้ยืนกำหนดเสียก่อน เป็นที่แน่ใจแล้ว แย็บออกไปรับแล้ว แน่ใจแล้วถึงได้ก้าวไป ถ้ารู้อยู่เฉยๆ นี้ขืนก้าวไปก็ตกจริงๆ เป็นนะเดี๋ยวนี้ มันคงขี้เกียจ ขี้เกียจแล้วเดี๋ยวนี้ ขันธ์ใช้มานานแล้วก็ชำรุดของมัน มันขี้เกียจคิดขี้เกียจปรุงขี้เกียจหมายอะไร ๆ
แต่ก่อนใครจะรวดเร็วยิ่งกว่ามัน คิดออกเรื่องนอกนี่จนรั้งไว้ไม่อยู่ เดี๋ยวนี้ไม่เป็นอย่างนั้น มันขี้เกียจเสียแล้ว อะไรๆ มันขี้เกียจ คิดเรื่องโลกเรื่องสงสารเหล่านี้มันขี้เกียจ เหมือนกับยกภาระหนักๆ อย่างนั้น ให้อยู่ตามสภาพของตัวเองนั้นเป็นปกติ สะดวก ให้คิดอ่านไตร่ตรองเรื่องนั้นเรื่องนี้มันหนัก
แต่ตรงกันข้ามถ้าเกี่ยวกับเรื่องอรรถเรื่องธรรมแล้วไม่เป็นอย่างนั้นนะ หากว่าเราพูดให้ตรงตามความจริงนั้นก็มันเป็นอันนั้นอยู่แล้วว่างั้นเลย คิดเรื่องนั้นมันก็ไปของมันปั๊บ แต่ก่อนมันเป็นเรื่องโลกอยู่แล้ว แม้แต่ไม่คิดมันก็จะคิดนี่ บังคับไว้มันก็จะคิด ต้องเอากันหนัก บังคับกันอย่างหนัก เอาธรรมมาบังคับ เอาสติเอาปัญญามาหักมาห้ามอย่างหนัก มันถึงอยู่มันถึงหยุด
แต่เดี๋ยวนี้ตรงกันข้าม คิดไปเรื่องนอกๆ นี้มันไม่คิดละ ไม่อยากคิด ถ้าคิดเรื่องอรรถเรื่องธรรมมันไปของมันธรรมดาเลย คล่องตัวไป ยิ่งสัมผัสอะไรเรื่องอรรถเรื่องธรรมนี้ มันสัมผัสอะไรนี้มันตามทันทีปั๊บๆ ไปเลย เร็ว เหมือนกระดาษซึมเหมือนน้ำซึม จนกระทั่งรู้เรื่องรู้ราวนั้นเสร็จแล้วมันก็หยุดของมันเอง พอเข้าใจแล้วปล่อยปั๊บเลย
นี่ก็มาจากที่ต่างๆ เข้าเรื่อยออกเรื่อยพระ มาตั้งใจปฏิบัตินะ มากีดมาขวางตัวเอง กีดขวางหมู่เพื่อน กีดขวางศาสนา กีดขวางเพศของตัวเอง ออกจากนั้นก็กีดขวางไปทั่วโลกทั่วสงสารอยู่อย่างนั้นไม่ได้นะ
ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรประเสริฐเลิศยิ่งกว่าธรรม อำนาจของกิเลสจะเห็นว่ามันเด่นขนาดไหนฤทธิ์ของมัน จนกระทั่งมันไม่ยอมให้จิตออกสัมผัสสัมพันธ์กับธรรม รสของธรรม ตามีมันก็ให้ดูแต่เรื่องของโลก หูมีมันก็ให้ฟังแต่เรื่องของโลก จมูก ลิ้น กาย ใจ มีอยู่เต็มตัว มันก็ให้รับรู้รับทราบ บังคับให้รู้ให้เห็นให้ได้ยินได้ฟังได้คิดได้อ่านตั้งแต่เรื่องโลกเรื่องสงสาร ที่จะเป็นฟืนเป็นไฟมาเผาตัวเองทั้งนั้น มันไม่เปิดช่องให้ได้เห็นได้ยินได้ฟังได้คิดได้อ่านได้ไตร่ตรองในอรรถในธรรมเลย เวลามันมีอำนาจเป็นอย่างนั้น
เพราะอวัยวะทุกส่วนนับตั้งแต่จิตออกมานี้มันครอบไว้หมด เวลามันมาครอบเราแล้วเรากลายเป็นตัวมืดดำไปหมด ตัวมันมันไม่ได้มืดดำซิ มันฉลาดของมัน ทุกส่วนในอวัยวะของเรานี้จึงอยู่ใต้อำนาจของมัน ถูกปิดถูกครอบงำไว้ตลอดเวลาทั้งหลับทั้งตื่น คิดแล้วคิดเล่าคิดไปคิดมา เห็นแล้วเห็นเล่า สัมผัสสัมพันธ์กันไปมาทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ มันให้มีความเบื่อและอิ่มพอเมื่อไรสักทีลองคิดดูซิ
จึงเรียกว่ากิเลสตัณหาไม่เคยมีความอิ่มพอ คิดสักเท่าไรของเก่าของใหม่สับสนปนเปไปเท่าไร มันก็ไม่แย็บไม่เปิดทางให้รู้เลยว่า นี้เคยคิดแล้ว เคยเห็นแล้ว เคยรู้แล้ว เคยสัมผัสสัมพันธ์มาแล้ว ทั้งสุขทั้งทุกข์เกี่ยวกับเรื่องกิเลสตัณหาผลิตขึ้นนี้ ควรจะปล่อยวางกันแล้ว ควรจะอิ่มพอ ควรจะชินชากันไปแล้ว ไม่มีทางให้ชินชาได้เลย แย็บหนึ่งมันก็ไม่เปิดถ้าไม่ตั้งใจบุกเบิกมันจริงๆ
จึงต้องอาศัยความพยายามตามหลักธรรม เชื่อกิเลสก็เชื่อมานานแล้ว นี่ตั้งหน้าตั้งตาเข้ามาเชื่ออรรถเชื่อธรรม จึงต้องฝืนตามอรรถตามธรรม ทุกข์ก็ยอมทุกข์ ฝืนก็ยอมฝืน เชื่อธรรมแล้วจะมีทางพอรู้พอเห็นยิบๆ แย็บๆ ทางด้านจิตใจ หูตาที่เป็นเครื่องใช้ของกิเลสมานานก็เริ่มจะเป็นเครื่องใช้ของอรรถของธรรมขึ้นไป ตามองเห็นก็คิดเป็นธรรม หูได้ยินก็คิดเป็นธรรม จมูก ลิ้น กาย สัมผัสสัมพันธ์เรื่องอะไร ตลอดถึงจิตคิดขึ้นมาในแง่ต่างๆ ก็เป็นอรรถเป็นธรรมไป ถ้าธรรมได้เข้าแทรกกิเลสบ้าง เมื่อคิดเป็นอรรถเป็นธรรมไปก็เท่ากับเริ่มปลดเปลื้องสิ่งต่างๆ สิ่งจองจำทั้งหลายออกจากตัวนั่นเอง ถ้าเปิดช่องไม่ได้เลย ยอมจำนนต่อมันอยู่ตลอดเวลาแล้วไม่มีทางนะ
ผ้าเหลืองก็เป็นเพศประกาศตัวเองให้ทราบ การบวชก็คือการประกาศตัวเองให้ทราบ เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างภายในร่างกายและจิตใจของตัวไปตามเพศที่ประกาศให้ตัวและคนอื่นรู้อยู่แล้วนั้น นี่เรื่องเพศเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ละไม่ถอนไม่ทำหน้าที่ เพศก็เป็นเพศ เหลืองก็เป็นเหลือง ว่าพระก็ว่าแต่ชื่อใครว่าก็ได้จะเป็นไรไป แต่ฆราวาสเขายังมีขั้นพระขั้นพระยา ชื่อตั้งเท่าไรก็ได้ ถ้าไม่ทำหน้าที่ให้สำเร็จประโยชน์ จึงต้องตั้งหน้าตั้งตาพินิจพิจารณา
ธรรมเสื่อมสูญไปจากโลก โลกคือใคร ท่านว่าธรรมเสื่อมๆ อันนี้มีธรรมอะไรบ้างพอที่จะให้เสื่อม หรือมีแต่ชื่อ เราต้องคิดซิปัญญามี ถ้ามีบ้างก็พอเสื่อม พอรู้ว่าธรรมเสื่อม ดังที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ธรรมเสื่อมไปจากโลกนี้ นี่ก็หมายถึงมีผู้นับถือ มีผู้ทำให้เจริญ ได้รับผลประโยชน์ไปโดยลำดับลำดาแล้ว ลำดับต่อมาความรู้ความเห็นของคนที่เกี่ยวกับอรรถกับธรรมนั้นเบาลงๆ ความเบาลงสืบเนื่องมาเป็นลำดับลำดาจากความไม่สนใจในธรรม ท่านจึงเรียกว่าธรรมเสื่อมลง ธรรมเสื่อมจากโลก เมื่อความรู้สึกในธรรมไม่มีในใจแล้วก็เรียกธรรมสิ้นจากโลก โลกสิ้นจากธรรม
อย่างศาสนาเสื่อมก็หมายถึงตัวบุคคลผู้ประพฤติปฏิบัติสนใจในศาสนาเสื่อมนั่นเอง เสื่อมในอรรถในธรรมแล้วก็ไปเจริญทางโลก คำว่าเจริญทางโลกก็คือความไปส่งเสริมความพอใจในทางโลก เอาฟืนเอาไฟมาเผาตัว ให้พากันพิจารณาให้ดีที่พูดเหล่านี้
อำนาจของกิเลสมันหนามันแน่นมันมืดมิดปิดตาอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่เปิดไม่แหวกไม่ถากไม่ถางมันออก มันจะมืดอยู่อย่างนั้นตลอดไป กลางคืนก็ยังเปลี่ยนสภาพเป็นกลางวัน มืดทางโลกยังเปลี่ยนแปลงออกไปเป็นสว่างได้ แต่มืดภายในจิตใจและมืดออกมาทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นทางกายนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง มีแต่มืดแปดทิศแปดด้าน ถ้าไม่แก้ไขเปลี่ยนแปลงตัวเองด้วยความถูกต้องตามหลักธรรมจะไม่มีวันสว่าง ให้ถือเอาตรงนี้ไว้ ยึดไว้เป็นหลักใจ
อย่าคอยวันคอยคืนคอยปีคอยเดือน นั่นเป็นเพียงกาลสถานที่สมมุติอยู่นอกๆ โน้น ไม่ใช่ตัวสำคัญที่มาบีบบังคับจิตใจของเราให้มืดดำกำตาอยู่เหมือนกิเลส อันนี้บีบอยู่ตลอดเวลา จึงควรตะเกียกตะกายกันอยู่ตลอดไป สมกับผู้ว่าบวชด้วยความเห็นภัย อะไรเป็นภัยถ้าไม่ใช่สิ่งที่บีบบังคับหัวใจอยู่นี้เป็นภัย ไม่มีอะไรเป็นภัยในโลกนี้
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ใครอยู่ที่ไหนอย่าเผลอสติ ตั้งให้ดี สู้อยู่เสมอ ความมีสติคือความต่อสู้ คือผู้มีความเพียร ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองอย่านิ่งนอนใจ อย่าไปเชื่อใครยิ่งกว่าเชื่ออรรถเชื่อธรรม เชื่อพุทธ ธรรม สงฆ์ สรุปเข้ามาแล้วอย่าเชื่อตัวเองโดยปราศจากเหตุผลอรรถธรรมเข้าเกี่ยวข้อง เพราะความคิดความปรุงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องหลอกเรื่องหลอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา ไม่มีความคิดปรุงใดที่จะเป็นอรรถเป็นธรรมขึ้นมาล้วนๆ โดยไม่ได้ใช้เจตนาเข้าพินิจพิจารณาเลย นี่ตามปกติของสามัญชนเราเป็นอย่างนี้ นอกจากจิตของท่านผู้มีอรรถมีธรรมภายในจิตใจ และผู้บำเพ็ญธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอ และผู้มีธรรมสมบูรณ์ภายในใจแล้วเท่านั้น จิตจึงจะเป็นธรรมไปโดยลำดับลำดา และเป็นธรรมล้วน ๆ อยู่ตลอดเวลา
ใครจะได้จะเสียอะไรจะเสื่อมที่ไหนก็ตามเถอะ อย่าให้หนีจากตัวเอง ให้รู้ความได้ความเสียความเสื่อมความเจริญของตัว เพราะเราเองเป็นผู้รับผิดชอบเรา ให้สนใจอยู่ตรงนี้ชื่อว่าผู้มีความเพียร อย่าคุ้นอย่าสนิทซึ่งกันและกันอันเป็นแบบโลกๆ ให้คุ้นโดยธรรมสนิทโดยธรรมจะไม่ประมาท
ธรรมเป็นสิ่งที่ฟื้นฟูขึ้นยาก โลกนี่ไม่ต้องถามมันฟื้นฟูอยู่ด้วยกันทุกคนทุกราย แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มีอยู่แล้ว อธรรมเจริญขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้กิเลสเสื่อมมีที่ไหนนอกจากผู้ปฏิบัติธรรม เราคนหนึ่งเป็นผู้ปฏิบัติธรรม เชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า นำเข้าไปกำจัด
โลกอันนี้มีป่าช้าอยู่ประจำทุกตัวสัตว์ตัวบุคคล ทุกข์หรือไม่ทุกข์ก็ตายด้วยกัน ไม่ทุกข์ไม่ตาย เราประกอบความเพียรจะไปกลัวทุกข์กลัวลำบาก ก็ไม่พ้นถูกกล่อมของกิเลสจนได้นั่นแหละ ทำอะไรให้มีแบบมีฉบับอย่าสักแต่ว่าทำ ให้คำนึงถึงแบบฉบับ ถึงหลักธรรมหลักวินัย ถึงครูถึงอาจารย์ผู้ที่ควรเชื่อถือได้ นำเข้ามาเป็นหลักใจเสมอ อย่าทำสุ่มสี่สุ่มห้าจะกลายเป็นโกโรโกโสไปดังที่เห็นอยู่นั้นใครปฏิเสธได้เมื่อไร หูตามีใจมีต้องรู้ต้องเห็นต้องทราบด้วยกันนั่นแหละ พยายามทำเราอย่าให้เป็นอย่างนั้น ทำเราให้มีแบบมีฉบับมีหลักมีเกณฑ์ ชื่อว่าเป็นผู้รักษาตัวอยู่เสมอ
เอาให้ได้มรรคผลนิพพานขึ้นมาอวดโลกบ้างซี อวดโลกในขันธ์เรานี่ อวดโลกในจิตเรานี่ จิตแต่ก่อนหาบแต่มูตรแต่คูถจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นมันหนัก ให้ธรรมได้ขึ้นมาครองใจแล้วเอาอวดมันลองดูซีจะเป็นยังไง เมื่อธรรมได้เข้าสู่ใจไปโดยลำดับลำดาแล้ว จนกระทั่งถึงใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วจะเสียดายอะไร สิ่งที่เคยเสียดาย สิ่งที่เคยรักเคยชอบเคยพัวพันหวงแหนมาแต่ก่อน กับธรรมที่ครองใจขึ้นมาแทนที่ของสิ่งนั้นจะเสียดายสิ่งใดบ้าง
เอาให้เห็นซิ ไม่อย่างนั้นจะว่า รสแห่งธรรมชำนะซึ่งรสทั้งปวงได้อย่างไร คำนี้เป็นคำถูกต้องตายตัวมาแต่กาลไหนๆ ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใดประทานโอวาท หรือรู้เห็นมาแล้วจึงมาประทาน ก็ทรงรู้เห็นแบบเดียวกัน ประทานแบบเดียวกัน เพราะธรรมเป็นของประเสริฐมาดั้งเดิมอยู่แล้วอย่างนั้น สิ่งที่เป็นข้าศึกต่อธรรมก็คือมารของธรรม มารของเรา มารของหัวใจสัตว์โลก เมื่อปราบมารเหล่านี้ให้ราบไปจากใจแล้ว ใจก็เป็นสมบัติอันล้ำค่าขึ้นมา หายห่วง
ผมก็ยิ่งลำบากลงไปทุกวันๆ การอบรมสั่งสอนจะให้เป็นเหมือนแต่ก่อนนั้นเป็นไปไม่ได้ คอยสังเกตแต่ธาตุแต่ขันธ์เจ้าของ วันหนึ่งๆ ไม่อยากเกี่ยวข้องกับอะไรนะตามปกติ อยู่โดยลำพังคนเดียวเท่านั้นพยายามพยุงธาตุขันธ์ มันก็มีแต่คอยจะลงๆ สัมผัสสัมพันธ์อะไรเล็กน้อยก็คอยแต่จะยุบจะยอบลงไป คอยแต่จะล้มละลาย นี่ละเมื่อถึงวัยมันเป็นมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ก่อนเราไม่เคยมาคิดกังวลถึงเรื่องความสุขความทุกข์ในเรื่องร่างกาย เดี๋ยวนี้มีแต่เป็นภาระ นอกนั้นก็ไม่เห็นเป็นภาระอะไรมากนักยิ่งกว่าภาระอันนี้ที่ติดแนบอยู่กับตัว
เพราะฉะนั้นการให้โอวาทสั่งสอนหมู่เพื่อน ที่จะให้เป็นไปตามเวล่ำเวลาที่ต้องการเหมือนแต่ก่อนนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จงพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เทปก็มีอยู่แล้วไปเปิดฟัง เทปนั้นไม่ใช่เทปของใคร เทปก็คือเทปแห่งธรรมนั่นแล ผมเองผู้เทศน์ผมก็ฟังอย่างเพลินใจเหมือนกัน
ผมไม่ถือว่าเทศน์นี้เป็นเทศน์ของผม ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นสมบัติกลาง เป็นเครื่องรื่นเริงได้ตลอดวัยนั่นแหละ ตลอดภูมิของจิตไม่เลือก ฟังพินิจพิจารณา อย่าฟังสักแต่ว่าฟัง ให้ได้อุบายด้วย ได้ความสงบเย็นใจด้วยในขณะที่ฟัง เพราะการฟังนี้เป็นภาคปฏิบัติอันดับหนึ่งแห่งการปฏิบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา แต่การฟังธรรมจากครูอาจารย์ที่ให้อุบายแนะนำสั่งสอนโดยถูกต้องนี้ เป็นภาคปฏิบัติอันดับหนึ่ง
***********
|