เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
ความเกิดคือกองเพลิง
เหลวไหลไปหมดนะ ผมผู้เป็นหัวหน้าไม่ใช่เรื่องเบาๆ นะที่เป็นห่วงหมู่เพื่อน เวลาเข้ามามีกี่รายก็มองเห็นได้ชัดๆ แหละ มันขวางกันอยู่นั้นละ เจตนาไม่เจตนาไม่สำคัญ สำคัญที่ผิดต้องเป็นผิดนั่นน่ะ มันไม่เคยให้อภัยแก่ใครละว่าเจตนาหรือไม่เจตนา ความผิดทั้งหมดเป็นเรื่องดีแล้วเหรอ ไม่ได้ดี
นี่ตั้งแต่ออกพรรษามาแล้วก็ไม่ค่อยได้ประชุม การงานก็มาก สุขภาพก็ไม่ค่อยดี เราพยายามไม่ให้มีงานมีการอะไร มีธุระอะไรจะทำอะไรที่ไหนรีบทำซิ อย่าถือเป็นของสำคัญยิ่งกว่าจิตใจ ทำงานอะไรอยู่ก็ให้มีความเพียรอยู่ในใจคือสติ นี่เคยพูดเสมอย้ำแล้วย้ำเล่า เราไม่เห็นสิ่งใดสำคัญยิ่งกว่าสติกับปัญญา
อย่างเมื่อเช้าวานนี้ท่านนี้เก็บหมัดจากนายโป้นั้น เราก็ไปคิดจนกระเทือนใจเหมือนกัน เก็บหมัดปั๊บโยนทิ้งนี้ปั๊บ เราไม่ได้สำคัญอะไรกับหมัดนะ เราไม่ได้เอาหมัดมาสอน ไม่ได้เอานายโป้มาสอน เราเอาพระมาสอน นี่สำคัญตรงนี้ ถ้าคนใช้สติปัญญาบ้างจะเก็บหมัดทิ้งไปทำไมที่นี้ ทิ้งที่ไหนก็ทิ้งซิ เก็บที่นี่ก็ทิ้งที่นี่ เก็บมาทำไม เท่านี้ละเห็นสติเห็นปัญญาของคน นั่นเราเอาตรงนั้นนะ
ให้ทำอะไรก็ตามเป็นเรื่องของสติของปัญญาทั้งนั้น ที่เราพาทำเหล่านั้น เราไม่ได้ถืออะไรเหล่านั้นเป็นสำคัญยิ่งกว่าพระที่จะฝึกตัวเอง ทำอะไรสติไม่มีปัญญาไม่มีดีแล้วเหรอ นี่ละอ่อนถ้าว่าอ่อนใจ อ่อนตรงนี้อ่อนมาก
ท่านทั้งหลายเข้าใจว่ากิเลสเป็นของเล่นๆ เหรอ เคยพูดมาแล้วกี่ครั้งกี่หน มันเหยียบหัวใจโลกให้จมอยู่ในวัฏฏะทั้งสามนี้ ตรงไหนมีความสุขในวัฏวนทั้งสามนี้ ไม่ได้แบกทุกข์ไปด้วยทุกภพทุกชาติมีเหรอ ขึ้นชื่อว่าภพแล้วก็คือทุกข์นั่นเอง ท่านจึงบอกว่า ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่เกิด นั่นฟังซิ เกิดตรงไหนมีทุกข์ตรงนั้น มีมากมีน้อยตามส่วนของทุกข์ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ภาษิตข้อนี้พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งทีเดียวอยู่ในนั้น ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็เชื่อภาษิตนี้ซิ ภาษิตนี้ลากคนออกจากทุกข์แท้ ๆ ออกจากความเกิดคือความทุกข์แท้ ๆ ความเกิดนั้นแลคือกองเพลิงกองหนึ่งอยู่นั้น ยังไม่ทราบอีกเหรอ
ทำจิตให้พ้นจากความหมุนของกิเลสดูซิจะเป็นยังไง ทำไมถึงว่าพระพุทธเจ้าประเสริฐ นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายว่าพระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เอาอะไรมาสุขอย่างยิ่ง ตั้งแต่ก่อนเคยได้ยินไหม เมื่อกิเลสครอบหัวใจอยู่นั้น พระพุทธเจ้าองค์ใดมากล้าพูดเรื่องกิเลสว่ามีความสุขแข่งธรรมพระพุทธเจ้าเคยมีไหม ฟังซิ เมื่อกิเลสออกหมดจากใจแล้วจึงเป็นความสุขอย่างยิ่ง เอาตรงนั้นซิ จิตที่มีธรรมชาติที่บีบบังคับอยู่จะเอาความสุขมาจากไหน ตั้งแต่คนยังหาอิสระไม่ได้ เมื่อถูกบังคับอยู่แล้วหาอิสระได้ยังไง ความไม่มีอิสระก็คือความทุกข์นั้นเอง ความอิสระกับความพ้นจากความกดขี่บังคับก็คือความสุข
จิตเวลาไหนที่ไม่ถูกบังคับ บังคับกิเลสออกจากจิตเท่านั้นยังถือว่าเป็นทุกข์ เวลาทุกข์เหยียบหัวใจอยู่ทำไมไม่รู้สึกตัวนี้ถูกกล่อมขนาดไหน อันนี้ก็เป็นเครื่องกล่อมของกิเลสอีกประเภทหนึ่ง ถ้าไม่เรียนถึงเพลงมันแล้วไม่รู้มันละเอียดขนาดไหน ได้เรียนได้ฟัดได้เหวี่ยงกันเสียเต็มเหนี่ยวขั้นเป็นขั้นตายนั้นถึงจะรู้
ต้องสติปัญญานี้เป็นสำคัญไม่ใช่อย่างอื่นเข้าต่อสู้ นี่เป็นเรื่องของสติปัญญา สู้เฉยๆ จะได้เรื่องอะไร คนทุกข์จนตายก็สู้จนตายนั่นก็ไม่เห็นได้ประโยชน์อะไร ถ้าไม่ได้สู้ด้วยสติปัญญา ทนต่อทุกข์ทนเฉยๆ ทนอย่างคนเป็นไข้ ทนไม่ทนก็ทุกข์จะทำยังไง หนีไปไหนรอด ไม่มีทางหนีก็ต้องทน ทนจนตายได้ความวิเศษอะไร นั่นเราทนต่อทุกข์เรายังทนได้อย่างนั้น ทนจนตาย ทำไมทนทุกข์ต่อสู้กับกิเลสทำไมทนไม่ได้ ถ้าจะเป็นนักเทียบเคียงหาเหตุหาผลเพื่อเอาตัวรอด ต้องมีทางออกจนได้คนเรา ไม่มีใครฉลาดเกินมนุษย์แหละ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มีใครโง่เกินมนุษย์ เพราะกิเลสครอบหัวอยู่ให้โง่มันถึงโง่
ทำอะไรให้เสร็จให้สรรพ เวลาฉันจังหันเสร็จแล้วรีบจัดรีบทำ ล้างบาตรเช็ดบาตรเข้าถลก มีธุระรีบไป อย่ามาเพ่นๆ พ่านๆ เด้นๆ ด้านๆ อยู่ตามนี้นะ ไม่เห็นความเพียรเป็นสำคัญจะเห็นอะไรเป็นสำคัญในเพศของพระนี้ กิจของพระคืออะไร
สติปัญญาไม่มี สมาธิความสงบแม้นิดหน่อยก็มีไม่ได้ซิ ความกดขี่บังคับจิตที่ดิ้นรนกระวนกระวายไม่ได้ จะอาความสุขมาจากไหนพระเรา นี่เคยทุกอย่างแล้วเรื่องได้รับความบอบช้ำจากกิเลส จึงได้นำมาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง ความบอบช้ำด้วยความเพียรในการต่อสู้กิเลสก็ได้พูดให้ฟังไม่รู้กี่ครั้งกี่หนแล้ว พูดเพื่ออะไร เอามาอวดอะไร วิเศษวิโสอะไรกับการอวด นอกจากความจริงเท่านั้นเป็นของวิเศษ มันจริงยังไงก็ว่าไปตามความจริงนั้น ความจริงนี้โลกต้องการทั้งนั้น นอกจากทำไม่ได้
***********
|