ใครจะมาคุ้นกับญาติกับโยมไม่ได้นะ ดูมันขวางตา พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คุ้นเมื่อไร ไม่เห็นไม่ดูเสียเลยนั้นแหละดีอานนท์ ถ้าเหตุจำเป็นที่ต้องเห็นต้องดูมีล่ะพระเจ้าข้า อย่าพูด นั่นฟังซิ ถ้าเหตุจำเป็นที่จะต้องพูดต้องจามีทำยังไง ให้ตั้งสติให้ดี อย่าให้เป็นไปตามอำนาจแห่งตัณหา ฟังซิ ๓ บทนี้หนักขนาดไหน พระพุทธเจ้าสอนพระอานนท์เกี่ยวกับเรื่องมาตุคาม เรื่องของเล่นเมื่อไร เข้าถึงหัวตับโน่น กิเลสอยู่ในหัวตับอยู่ในตับว่าไง อันนี้ละตัวนี้ตัวสำคัญมากทีเดียวเรื่องของกิเลส จะตัวไหนสำคัญมากยิ่งกว่าตัวนี้ ตัวนี้เองทำโลกธาตุให้หวั่นไหว ทำสัตวโลกให้จมก็ตัวนี้เอง ฆ่าตัวนี้ตายแล้วพระอนาคาท่านถึงไม่ต้องมาเกิด จะเกิดอะไรไม่มีอะไรจะมาโลดเต้นเผ่นกระโดดยิ่งกว่ากิเลสประเภทนี้ตัวนี้ พระองค์สั่งแล้ว แหม ซึ้งเอาเหลือเกิน
ใครจึงมาคุ้นไม่ได้นะ เห็นแล้วไล่ออกทันทีเลย เพราะได้พูดกันมาแล้ว สิ่งเหล่านี้หยาบ ๆ ไม่ใช่เป็นของละเอียดที่จะต้องมาสอนกันซ้ำ ๆ ซาก ๆ นี่นะ ถือเป็นหลักปฏิบัติอันสำคัญในทางพระวินัยของพระ
เลยจะเหลวไป ๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนะ ทั้ง ๆ ที่ผมก็นั่งอยู่นี่ดูอยู่นี่ สอนหมู่เพื่อนอยู่นี่ เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตาจะทำไง ครูบาอาจารย์ล่วงไปแต่ละองค์ ๆ เป็นยังไง นี่ผมเคยพูดอยู่แล้วให้ฟังอยู่แล้วเป็นยังไง ตั้งแต่ไม่ล่วง นั่งอยู่นี่ต่อหน้าต่อตายังเห็นอยู่นี่ มันดื้อไหมกิเลส ใครเห็นว่ากิเลสเป็น สุวโจ บอกนอนสอนง่ายทุกสิ่งทุกอย่าง เคยมีที่ไหนคัมภีร์ใด เห็นแต่ตัวที่ดื้อด้านที่สุดก็คือกิเลส เฉพาะอย่างยิ่งตัวราคะตัณหานี่ด้านที่สุดเลย คนก็เป็นเดือน ๙ ได้อย่าว่าแต่หมาเลย ลงมันได้ครอบหัวใจแล้วเป็นยังงั้น มันรู้สูงรู้ต่ำที่ตรงไหน หิริโอตตัปปะมีที่ไหนธรรมชาติอันนี้ ท่านจึงได้เอาอย่างหนัก ถ้าว่าสอนก็สอนอย่างหนัก ดัดกันอย่างหนัก ก็กิเลสตัวนี้เอง
เราจะเห็นได้ชัดในหลักของพระอริยบุคคลขั้นที่ ๓ พระอนาคามี พอสิ้นราคะตัณหานี้แล้วไม่ต้องมาเกิดอีก เกิดอะไร อะไรมาดึงให้เกิด อันนี้เองตัวดึงจะเป็นตัวไหนไป กระเทือนโลกธาตุก็ตัวนี้เอง ในหัวใจนั่นละ ดูหัวใจผู้ปฏิบัติ จะรู้ได้ชัดในหัวใจ ไม่ปฏิบัติไม่รู้ ถ้ารู้แต่ความจำมาเฉย ๆ ท่านก็จำเราก็จำใคร ๆ ก็จำ ก็ได้แต่ความจำไม่ได้ความจริง ปฏิบัติให้มันกระเทือนในหัวใจของกิเลสซึ่งฝังอยู่ในหัวตับเรานี่ซิจะเป็นยังไง จะไม่รู้ได้ยังไง กิเลสอยู่ในนั้น ธรรมก็อยู่ในนั้น สติปัญญาที่จะค้นคว้าฆ่ากิเลสก็อยู่ในนั้น ทำไมจะไม่เจอกันถ้าค้นลงไป
อันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วอะไรจะมาดึงดูดให้ลงมาเกิดอีก ดูก็รู้อยู่ในหัวใจ มันเบาหวิวเหมือนปุยนุ่น ตัวก้อนหินทั้งก้อนหรือภูเขาทั้งลูกซึ่งมีน้ำหนักยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกเสียอีก หนักเท่าโลกธาตุนี่ มันกดถ่วงอยู่ภายในใจ พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปเท่านั้น ดีดผึงเป็นปุยนุ่นหรือสำลีไปเลย นั่นท่านไม่ลงมาเกิดอีก คือปลิวไปข้างหน้าเรื่อยเลย ที่ว่าพระอนาคามีท่านเลื่อนขึ้นไป ๆ จนกระทั่งอกนิฏฐาแล้วนิพพานเลย ก็เหมือนกับปุยนุ่นนั่นเอง ดีดขึ้น ๆ ไม่มีอะไรดึงจมไป
ให้เห็นในภาคปฏิบัติซิผู้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าสอนไว้เล่น ๆ เมื่อไร พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เล่น ๆ เหรอเราจึงจะทำเล่น ๆ ปฏิบัติให้เห็นในหัวใจเจ้าของซิศาสดามีไหมประจำพระพุทธศาสนานี้ ศาสดาไหน สวากขาตธรรมนี้มีเจ้าของไหมให้เห็นอยู่ในหัวใจเราซิ สัจธรรมว่าเป็นเครื่องสำรอกปอกกิเลส เป็นเครื่องสังหารกิเลส หรือเป็นเครื่องกลั่นกรองจิตให้บริสุทธิ์ ให้เห็นอยู่ในหัวใจเราซิ มันบริสุทธิ์ที่หัวใจก็ยอมรับพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง
แต่นี้ไม่มีอะไรที่จะมาเป็นเครื่องพิสูจน์น่ะซี มีแต่กิเลสเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลาวิเศษวิโสอะไร นอกจากมันจะไปค้านธรรม เหยียบธรรมของพระพุทธเจ้า วินัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจะเป็นอะไรไปเรื่องของกิเลส มันเป็นคุณต่อธรรมที่ไหนเมื่อไร นอกจากเป็นข้าศึกต่อกันตลอดมาเท่านั้น ที่ว่าพระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าเป็นอะไรกัน นั่นก็คือระหว่างกิเลสกับธรรมจะเป็นอะไรไป
เราไปไหนแต่ละครั้ง ๆ นี่เราวิตกวิจารณ์กับวงคณะกับวัดกับวามากน้อยเพียงไร เพราะสิ่งที่กล่าวเหล่านี้เองจะเป็นอะไรไป