เทศน์อบรมพระก่อนปาฏิโมกข์ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๖
กิเลสเพ่นพ่าน
ประชาชนก็แสวงบุญ คนก็กำลังตื่นเนื้อตื่นตัวขึ้นบ้าง พร้อมๆ กันกับข้าศึกล้อมหน้าล้อมหลัง ข้าศึกกิเลสนั่นแหละ เรื่องพิสดารของกิเลสแสดงขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่องพิสดารของธรรมที่จะให้ตามกิเลสไม่ค่อยมี กิเลสพิสดารขึ้นเรื่อยๆ ไม่ดูก็รู้ ดูก็รู้ เดินไปไหนหลับตาอยู่ปิดไม่ให้รู้ไม่ได้ มันรู้อยู่นั้น ในวัดก็เห็นอยู่นั้นรู้อยู่นั้น ออกนอกวัดไปก็รู้ก็เห็นอยู่นั้น ก็กิเลสมันเต็มหัวใจของคน แสดงออกมาจากหัวใจคนทำไมจะไม่รู้ ใครไปดูมัน ถ้าไม่ดูมีร้อยตาพันตาก็ไม่เห็น ถ้าดูหลับตาอยู่ก็เห็นก็รู้ ก็ใจไม่ได้หลับนี่ ใจหลับเมื่อไร ความรู้อันนั้นไม่ได้หลับ สิ่งที่หลับก็คือกิเลสปิดไว้เท่านั้นเอง มันไม่เห็นเห็น มีร้อยตาพันตาแสนตาก็ไม่เห็นถ้าไม่ใช่ตาปัญญา ตาสติตาปัญญาอยู่เฉย ๆ ก็เห็น เพราะสิ่งเหล่านี้สัมผัสสัมพันธ์กับความรู้อยู่ตลอดเวลา ถ้ามีสติดูก็รู้
พระเณรเรานี่เหลวไหลเข้ามากแล้วนะ เพียงผมไม่ค่อยสะดวกสบาย แค่นี้ผมก็รู้แล้ว มันเพ่นพ่านมากทีเดียวกิเลสของพระเณรเรานี่ เราอย่าเข้าใจอย่ามาภูมิใจว่าวัดนี้ปฏิบัติเคร่งครัดดี มันไม่เป็นท่าอะไรนะเดี๋ยวนี้ ยิ่งเลวลงๆ เราก็ไม่ค่อยสบายเท่าไร ดูแลไม่ค่อยสะดวกเหมือนแต่ก่อน กิเลสอยู่บนหัวใจของพระก็ยิ่งสะดวก สะดวกทุกอย่างที่แสดงออกมา เจ้าตัวนั้นไม่รู้ยังเพลินใจไปเรื่อย ๆ กิเลสมันแสดงอาการเพลินอยู่ที่กิริยาของพระแต่พระไม่รู้ จะทำยังไง สอนให้รู้ทุกวันมันก็ไม่รู้ มองพับมันขวางทันที ขวางตาทันที ดูไปที่ไหนดูไม่ได้นะเดี๋ยวนี้ นับวันเหลวไหลลง ๆ เอ๊ะ ยังไงกันอย่างนี้
อดคิดย้อนหลังไปถึงสมัยพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นไม่ได้ดังที่เคยพูดเสมอ เราอกจะแตก พ่อแม่ครูอาจารย์สุขภาพลดลง ๆ ยิ่งป่วยด้วยแล้ว เราผู้คอยดูแลความสงบของวัด เพียงความสงบของวัดเท่านั้นเราก็อกจะแตก อย่าไปว่าความสงบของหัวใจพระเณรเลย จนถึงได้พูดว่านี่มันกำลังซ่อนเล็บนะ ถึงซ่อนมันก็พ้นออกมา มันอดพ้นออกมาไม่ได้เล็บนั่นน่ะ พอพ่อแม่ครูอาจารย์ล่วงลับไปนี้มันจะแสดงเต็มเพลงของมันละนะ ใครมียังไง ๆ มันจะแสดงลวดลายให้เต็มที่ละนะ มันก็เป็นจริง ๆ
นี่ก็เพียงแค่นี้ เราไม่ค่อยสะดวกสบาย ปีนี้สุขภาพลดลงมากกว่าทุกปี แล้วดูพระเณรจนจะดูไม่ได้นะนี่ มันอะไรก็ไม่รู้ เจ้าของยังเพลินยังภูมิใจเจ้าของอยู่ มันไม่ทันปฏิบัติอย่างนี้น่ะ ไม่ทันกับกิเลสนั่นละ มันเหยียบย่ำอยู่ตลอดเวลา เราอยากพูดอย่างนี้ จะขึ้นเวทีแล้วถึงจะได้ต่อยกันอะไร มันต่อยเราอยู่ตลอดเวลา ขึ้นเวทีไม่ขึ้นเวทีมันเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลา จะเอาอะไรไปต่อสู้ พอจะมีกำลังไปขึ้นเวทีต่อสู้ ก็มันแหลกอยู่ตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นเวทีอยู่แล้วเป็นประจำ
พูดเสมอว่าไม่มีอะไรแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสนะในสามแดนโลกธาตุนี้ มันถึงได้อยู่บนหัวใจของสัตว์ กลืนสัตว์ พาเกิดแก่เจ็บตาย พาดีใจเสียใจ พาให้โลภให้โกรธให้หลง พาให้แสดงราคะตัณหา อยู่ตลอดเวลาบนหัวใจ มันไม่แหลมคมขนาดนั้นใครก็ควรจะรู้เรื่องของมัน และควรจะมีการคัดค้านต้านทานหรือต่อสู้กันบ้าง แต่นี้ไม่รู้จะต่อสู้อะไร ไม่รู้เลย ล้มไปก็ล้มไปทั้งสลบ ตื่นขึ้นมาก็งัวเงีย มันก็ต่อยเอา ๆ เลยไม่ทราบว่าจะเอาท่าไหนสู้มัน ไม่ใช่ท่าที่ปิดป้อง ไม่ใช่ท่าตบต่อย มีแต่ท่าหงายท้องๆ แล้วเอาท่าไหน ท่าเหล่านี้ไม่ใช่ท่าชนะ เป็นท่าถูกน็อกๆ ทั้งนั้นอย่าว่าท่าแพ้ธรรมดาเลย นี่ซิเราถึงได้อ่อนใจกับหมู่กับเพื่อน
ยิ่งพิจารณาถึงปฏิปทาที่เจ้าของดำเนินมาด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อิดหนาระอาใจต่อการดำเนินของหมู่ของเพื่อน ตั้งท่าอยู่ขนาดไหนมันยังต่อยเสีย ทั้งๆ ที่ตั้งท่า ทั้งๆ ที่ลืมตาอยู่นั้น มันใส่เอาลูกตานั่นเลย ลืมตาดูมันแต่ยังไม่เห็นมัน มันต่อยเอาลูกตาแตกไปแล้ว กิเลสแหลมขนาดนั้นละ ถ้าอยากจะทราบ เอ้า ตั้งสติให้ดี ปัญญาให้ดี ฟิตกันเข้าๆ ก็จะเห็นลวดลายของมันไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ ในเบื้องต้น ต่อไปมันแย็บที่ไหนมันทันทันทีๆ
สติปัญญาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เป็นธรรมอันเกรียงไกรมากสำหรับการปราบกิเลส ถ้าไม่ใช่สติปัญญาแล้วไม่ทัน เพียรก็ไม่ทราบเพียรแบบไหน อุตส่าห์อุตส่าห์แบบไหนก็ไม่รู้ สติปัญญาไม่มีเอาอะไรมาเป็นความอุตส่าห์ เอาอะไรมาเป็นความเพียร
นี่เคยพอแล้วไม่ใช่คุยนะ ถึงได้นำมาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง สอนก็สอนทุกแง่ทุกมุม การเทศนาว่าการหมู่เพื่อนไม่ว่าจะแสดงออกในแง่ใด พูดทีเล่นทีจริงก็มีความหมายอยู่ในนั้นๆ ให้ได้พิจารณา ถ้าสติปัญญาไม่มีเอาอะไรมาพิจารณา ดีไม่ดีก็ฟังเพลินไปเฉยๆ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็นข้อคิด
************
|