ธรรมไม่คุ้นกับใคร
วันที่ 10 ตุลาคม 2541 เวลา 19:00 น. ความยาว 19.1 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑

ธรรมไม่คุ้นกับใคร

วัดเรามันจะยุ่งใหญ่นะ ปีนี้เป็นปีช่วยชาติเสียด้วย วัดเราเป็นตลาดคนตลอดเวลา ให้ระมัดระวังนะพระเณรคนมามาก ๆ ให้ปฏิบัติตนตามหลักธรรมหลักวินัยอย่างเคร่งครัดนะ สิ่งเหล่านี้ทำให้หลวมตัวได้ง่าย เป็นกระแสของกิเลสทั้งหมด แม้จะอ้างว่าเป็นการเป็นงานก็ตามก็ไม่พ้นที่กิเลสจะเข้ามาตีตลาดอยู่ในทุกกิริยาที่เคลื่อนไหวนะ กิเลสมันแหลมคมมาก กิริยาที่เราทำอยู่เหล่านี้ กิเลสมันมาอยู่ในนั้น ๆ เสร็จ ไม่มีใครรู้

จึงได้วิตกวิจารณ์กับหมู่กับเพื่อน เวลานี้พูดอะไรไม่ได้แล้ว ปล่อยวางไปหมด เห็นโลกสงสารเป็นอย่างนี้ขึ้นมา ไม่เคยมีในเมืองไทยเราก็ได้เห็น นี่ก็เพราะกิเลสนั่นเอง ความสกปรกโสมมเข้าเหยียบย่ำทำลายประเทศชาติบ้านเมือง ด้วยความสกปรกของคนไม่กี่คน ต่อไปก็เลยระบาดสาดกระจายไปหมด จนสกปรกทั้งบ้านทั้งเมือง นี่ก็เพราะกิเลสเข้ามาตีตลาด ตีเมืองไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธให้เสียหายไปหมด

มิหนำซ้ำยังตีเข้าในวัดในวาในพระในเณร ต่างคนต่างทำลายศาสนา เพื่อความล่มจมของตัวเองและส่วนรวมไปโดยลำดับ ทุกแห่งหนไม่ว่าบ้านนอกในเมือง เป็นไปด้วยความสกปรกของกิเลสไปหมดแล้วเวลานี้ ดูแล้วสลดสังเวชจริง ๆ นะ เราเห็นว่าอะไรที่แสดงตัวอยู่เวลานี้ ให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ธรรมท่านไม่พาใครแสดงให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย ทุกข์เพื่อธรรมเป็นไปเพื่อความสุข แต่ทุกข์หรือสุขเพื่อกิเลสนี้เป็นไปเพื่อความทุกข์ล้วน ๆ นี่ละที่ตีตลาดอยู่เวลานี้

โลกไม่เห็นนะ เป็นบ้ากัน ว่าบ้านเมืองเจริญ ๆ มีแต่ฟืนแต่ไฟ กิริยาของกิเลสแสดงตลอดไปหมดทั่วบ้านทั่วเมือง แล้วก่อฟืนก่อไฟเข้ามาเผากัน กิเลสมันสร้างความแนบเนียนขึ้นภายในจิตใจของสัตวโลกอยู่ตลอดเวลา โลกไม่รู้ คือความหวังนี่สำคัญมากนะ ความหวัง ความอยากอยากไม่หยุดไม่ถอย ไม่ว่าคนมีคนจนคนโง่คนฉลาด ความอยากนี้ท่วมท้นภายในหัวใจด้วยกันหมด อันนี้ละสร้างกองทุกข์ให้โลกอยู่เวลานี้ ทีนี้เมื่อความอยากมันดันออกมาความหวังก็ดันออกมา หวังอย่างนั้นหวังอย่างนี้ ผลที่ได้นั้นมีแต่ความผิดหวัง ๆ จากความอยากไม่มีประมาณนี้ ยังอยากเรื่อยนะ จนจะจมลงไปยังหวังอยู่เรื่อย ๆ เห็นไหมกิเลส เห็นโทษของมันได้ง่าย ๆ เหรอ

เพราะฉะนั้นการประกอบความพากเพียรอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ทำอยู่เวลานี้มันดูไม่ได้นะ ผมพูดจริง ๆ ผมแบบหูหนวกตาบอดไม่ดูไม่ฟังอะไรถึงอยู่ได้นะ ถ้าอยู่แบบฆ่ากิเลสจริง ๆ นั้นดูไม่ได้ กิริยาท่าทางของหมู่ของเพื่อน หัวใจกับสติไม่ทราบไปไหน ทั้งวันทั้งคืนไม่ได้มองดูใจเลย นี่จุดสำคัญ เหตุเกิดขึ้นก็เพราะขาดสติ เรื่องปัญญาไม่ต้องพูด ถ้าลงสติไม่มีแล้วเอาปัญญามาจากไหน ไม่มีปัญญา สติต้องตั้งเป็นฐานไว้ก่อนแล้วปัญญาจึงมีทางใคร่ครวญ สติกับจิตเครื่องระงับดับภัยทั้งหลายอยู่ที่จิต แต่สติไม่มีในจิตแล้วจะเอาเครื่องระงับดับภัยมาจากไหน นอกจากความเพิ่มฟืนเพิ่มไฟขึ้นภายในจิตใจระบาดสาดกระจายไปหมด มีแต่เรื่องของกิเลส คือความไม่มีสตินี้เป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ ตีตลาดเวลานี้

เห็นไหมศาสนาเวลานี้ ผมฟังแล้วจนสลดสังเวชนะ เรียกว่าจนหน้าชาไปก็ไม่ผิดนะ เขาพูดอยู่ภายนอก ทั่วบ้านทั่วเมืองกระซิบกระซาบทั่วกันหมด เพราะคนผู้ดียังมีอยู่ ทั้งฆราวาสมีอยู่ ทั้งพระยังมีอยู่ พูดตำหนิติเตียนพระสงฆ์ไทยเราเวลานี้ เวลานี้พระไทยเรากำลังตั้งหน้าตั้งตาทำลายศาสนาเป็นอันดับหนึ่ง นี่สำคัญ ฟังให้ดีนะคำนี้ เสียงนี้ไม่ดังนะ แต่มันกระซิบกระซาบอยู่ทุกแห่งทุกหน ออกจากคนดีที่วิตกวิจารณ์กับศาสนา ทั้งพระดี ทั้งประชาชนที่ดี ออกมาแบบเดียวกัน เพราะเห็นความเลวร้ายของศาสนาแบบเดียวกันจากพระจากเณร จากพุทธบริษัททั้งหลาย มันพอ ๆ กัน

เฉพาะอย่างยิ่งพระซึ่งเป็นผู้นำหน้าของศาสนานี้แหละ แต่กลายเป็นผู้นำหน้าในการทำลายเสีย นี่ที่น่าสลดสังเวชมากนะ เวลานี้ไม่มีธรรมไม่มีวินัย ปกครองกันไม่ได้แล้วนะเวลานี้ มันเลอะเทอะขนาดนั้น ตั้งขึ้นมาชั้นใดภูมิใดก็ตั้งขึ้นมาเพื่อโลกเพื่อสงสารเพื่อกิเลส เพื่อหารายได้ เพื่อกินกันทั้งนั้น สุดท้ายพระก็มีเงินดงเงินเดือนไปแล้วนะเดี๋ยวนี้ ธรรมไม่มีในหัวใจ มีแต่กิเลสตีตลาด บวชเข้ามาก็เพื่อตำแหน่งหน้าที่ไปละ ไม่สนใจกับอรรถกับธรรม เห็นไหมกิเลสตีตลาดดูเอาซิ นี่ซิมันน่าสลดสังเวชนะ ไปที่ไหนเขาตำหนิติเตียน เลยกลายเป็นพระเป็นผู้นำหน้าในการทำลายศาสนาเสียเอง

นี่ละที่ลึกลับที่สุดคืออันนี้เอง บวชเข้ามาบวชมากเต็มบ้านเต็มเมือง บวชเข้ามามีแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำลายศาสนา แนะนำตักเตือนสั่งสอนกันไม่ได้ ดุด่าว่ากล่าวกันไม่ได้ เพราะมีแต่กิเลสเต็มหัวใจทุกคน ๆ ก็มีแต่ฟืนแต่ไฟเผากันไปเรื่อย ๆ พากันจำให้ดีนะ

เวลานี้กำลังกุดด้วนเข้ามา ๆ ศาสนาจะไม่มีเหลือแล้วนะ เหลือแต่พระแต่เณรแต่วัดแต่วา ต่อไปก็เป็นพระเณรร้าง วัดเณรร้าง ไปอย่างนั้น มีแต่วัดร้าง พระเณรร้างในวัดศาสนา คัมภีร์ก็ร้างไปหมด เก็บไว้ในตู้ในหีบ มีแต่กิเลสออกตีตลาดเพ่นพ่าน ๆ เผาบ้านเผาเมืองทั่วดินแดน เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้

พระให้พากันตั้งใจทุกองค์นะ สถานที่นี่เป็นสถานที่ภาวนาล้วน ๆ ไม่ใช่สถานที่เตร็ดเตร่เร่ร่อนคึกคะนองนะ แล้วยิ่งวัดนี้เวลานี้มีประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องมาก มีทางเสียหายต่อพระเณรได้มากขึ้นโดยลำดับ เราวิตกวิจารณ์ตรงนี้ละมาก เพราะเกี่ยวข้องกับประชาชนญาติโยม จะมีเวลาใกล้ชิดติดพันให้เป็นความเสียหายจนได้ อันนี้จุดนี้สำคัญมากทีเดียว ให้พากันระมัดระวัง อย่าคุ้นกับใคร ธรรมไม่คุ้นกับใคร ความคุ้นเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ธรรมไม่เคยคุ้นกับผู้ใด ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ดูหัวใจตัวเองนั่นละ

ข้าศึกเราอย่าเข้าใจว่าอยู่ในโลกดินแดนใด อยู่ที่หัวใจของเราของท่านทุก ๆ คน เพราะกิเลสอยู่ที่นั่น กิเลสนั้นแลตัวสร้างฟืนสร้างไฟให้เผาไหม้หัวใจสัตวโลก เราเป็นนักปฏิบัติควรที่จะทราบเรื่องกิเลสเหล่านี้ได้พอประมาณ และได้เป็นอย่างดีโดยลำดับ จนกระทั่งถึงสังหารมันออกจากหัวใจได้ กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมาทั้งดวง นั่นละท่านว่า โลกวิทู รู้แจ้งโลก แจ้งขึ้นที่ภายในจิตใจ ขณะที่กิเลสหลุดลอยออกไปนั้น เป็นใจดวงใหม่ขึ้นมาทันที

ใจดวงที่เราเคยครองมีแต่กิเลสครอบไว้ ๆ หนาแน่น ๆ ต่อมาได้อาศัยการชำระสะสางเป็นลำดับไป อันนี้ก็ค่อยจางออก ความมืดทั้งหลายที่ครอบอยู่ในหัวใจก็ค่อยจางออก ๆ จิตใจก็มีความสงบเย็นเข้าไป ความสงบเย็นมากเท่าไรก็ส่องแสงสว่างออกมาให้เห็นเป็นลำดับ จากนั้นก็เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวาย ซึ่งเคยเพลินเป็นบ้ากับมันมานั้นเข้าไปโดยลำดับ เห็นว่ามันเป็นโทษ เพราะมีความสงบเป็นเครื่องวัดเครื่องตวงกัน แล้วก็มีความพอใจในการทำให้จิตสงบ เพื่อแก้ความวุ่นวายเหล่านั้นไปโดยลำดับ ๆ นี่แหละเรียกว่าจิตค่อยใสกระจ่างแจ้งขึ้นไป ด้วยสมาธิประเภทหนึ่ง เป็นความสว่างประเภทหนึ่งในขั้นสมาธิ

จากนั้นก็ก้าวขึ้นด้านปัญญา คิดอ่านไตร่ตรองเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เฉพาะอย่างยิ่งอสุภะอสุภัง นี้เป็นเรือนรังของกิเลสที่ตัวรักตัวสงวน ตัวติดตัวพันกันทั้งโลกดินแดน ไม่มีใครผ่านไปได้เลย คือตัวนี้แหละ การพิจารณาร่างกายนี้เป็นเรื่องใหญ่โตมาก ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนพระว่า เกสา โลม นขา ทันตา ตโจ นั้นคือเครื่องมือสังหารวัฏจิตวัฏจักรให้ออกจากจิตใจของเรา ด้วยการพิจารณาร่างกายนี้เป็นฐานสำคัญมากของกิเลส คือราคะตัณหา อยู่ที่ตรงนี้

ความรุนแรงมากที่สุดไม่มีอะไรเกินราคะตัณหา กามกิเลสนี้รุนแรงมาก เวลาพิจารณาร่างกายเข้าไปนี้จะเป็นเครื่องแก้กันไปโดยลำดับ ความสำคัญมั่นหมายลม ๆ แล้ง ๆ นั้นเป็นเรื่องของกิเลสเสกสรรปั้นยอขึ้นมา ว่าเป็นของสวยของงาม ของจีรังถาวร ของสะอาดสะอ้าน ความจริงมีแต่ของสกปรกเต็มเนื้อเต็มตัวของเราของท่านทุกคน กิเลสเสกสรรปั้นยอลม ๆ แล้ง ๆ พวกเรายังหลง เห็นไหมกลของกิเลส เก่งไหม มันปั้นขึ้นมาเฉย ๆ ไม่มีความจริง

ความจริงก็คือกองอสุภะเต็มเนื้อเต็มตัวของเราของท่านทุกคนไม่เว้น ภายนอกก็ยังบอกขี้เหงื่อขี้ไคล มีขี้เต็มตัวอยู่แล้วนี้ แต่กิเลสมันกล่อมไปได้หมดเลย ท่านจึงสอนให้พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เพื่อเปิดดูสิ่งเหล่านี้ให้เห็นตามหลักความเป็นจริงซึ่งไม่ต้องเสกสรร ความเป็นจริงว่าความสกปรกก็สกปรกจริง ๆ หมดทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่ความสกปรก ของเราของท่านด้วยกัน

ถ้าพูดถึงเรื่องสกปรกแล้วหมดตัวเลย ไม่มีข้อยกเว้นในตัวของเรา แต่กิเลสมันก็เสกสรรปั้นยอสวมรอยขึ้นมาว่าเป็นของสวยของงามไปหมด พิจารณาซิโง่ไหมพวกเรา ต้องเอาธรรมอันนี้เข้าไปจับไปทำลาย เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ครอบไปหมดในร่างกายของเรา ถลกหนังออกแล้วดูกันได้เมื่อไรคนเรา ไม่มีคำว่าหญิงว่าชาย ว่าน่ากำหนัดยินดี หายไปหมด นี่ถึงขั้นตโจ

ยิ่งพิจารณาเข้าไปภายในเท่าไร ลึกเข้าไปเท่าไร ยิ่งกระจ่างแจ้งขึ้นด้วยความจริงทั้งหลายที่มีอยู่เต็มเนื้อเต็มตัวของเรานี้ เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหน ธรรมะคือความจริงนี้จะแทรกความจอมปลอม ขับไล่ความจอมปลอมออกไปเรื่อย ๆ ความสวยความงามก็ค่อยหมดฤทธิ์หมดอำนาจเข้าไป ความไม่สวยไม่งามก็มีอำนาจแทนที่เข้าไป เหยียบย่ำเข้าไป จนกระทั่งเห็นชัดเจน เห็นโทษของร่างกายประจักษ์ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นก็ถอนตัวเข้ามา ในขณะที่เราเห็นร่างกายตามลำดับลำดานั้นแล จนกระทั่งเห็นร่างกายทุกสัดทุกส่วน ด้วยความเป็นของปฏิกูลโสโครก หาความสวยงามไม่ได้แล้ว จิตก็จะไปเกาะที่ตรงไหน

มันก็ต้องอยู่กับความจริง ความจริงคือสิ่งเหล่านี้หาความสวยงามไม่ได้ เต็มไปด้วยความสกปรกโสมมด้วยกันทั้งนั้น จิตก็ต้องอยู่กับความเบื่อหน่าย อยู่กับความเห็นโทษของร่างกาย ซึ่งเคยเสกสรรปั้นยอมานานโดยหลักธรรมชาติของกิเลสเป็นผู้พาให้เป็นเอง เมื่อพิจารณาหลายครั้งหลายหนหลายตลบทบทวน จนรู้แจ้งเห็นจริงประจักษ์ อุปาทานไม่ต้องบอก มันถอนตัวเข้ามาทันที

จนกระทั่งถอนได้แล้วเรื่องกามกิเลส กามราคะนี้ก็หมดปัญหาไปในขณะที่พิจารณาร่างกายรอบ และถอนใจออกจากร่างกายได้แล้ว นั่นแหละที่นี่ภาระความกดถ่วง ความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งหลายที่เต็มอยู่ในกามราคะนี้ จะถอนตัวออกไปด้วยกันหมด จิตใจก็ปลงวางลงได้ขั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นขั้นสำคัญมาก ได้แก่กามกิเลสนี้ถอนยากนะ พิจารณายากมาก ในภาคปฏิบัติแล้วสำหรับผมเองไม่มีอะไรเกินยิ่งกว่ากามราคะ อันนี้เป็นตัวรุนแรง เป็นตัวผาดโผนโจนทะยานมาก ต้องใช้ปัญญาแบบผาดโผนโจนทะยาน เหมือนน้ำไหลโจนลงจากภูเขาสนั่นหวั่นไหว สติปัญญาขั้นนี้เป็นเอง

เพราะกิเลสขั้นนี้เป็นขั้นที่รุนแรง เป็นขั้นที่เด็ดขาดมาก สติปัญญาต้องใช้ด้วยความเด็ดขาดผาดโผนโจนทะยานเหมือนกัน เมื่อมันรู้เท่าทันของมันแล้วอันนี้มันปล่อยเอง เมื่อปล่อยแล้วสติปัญญาเครื่องฟัดเครื่องแก้ไขซึ่งกันและกันนั้น ก็จะหมดปัญหาไปตาม ๆ กัน ตาม ๆ กัน จิตใจก็หมดความกดถ่วงเกี่ยวกับเรื่องราคะตัณหา

ราคะตัณหานี้กดถ่วงมากนะ ถ่วงอย่างลึก ๆ เอะอะมันจะยิบแย็บ ๆ ออกมาที่หัวใจนั้นก่อนอื่น ๆ ทั้ง ๆ ที่เราตั้งใจจะฆ่ามันอยู่อย่างเต็มอกเต็มใจ มันยังมาเตะมาถีบมายัน มาเตะลมเตะแล้งฉากหน้าฉากหลังเราผู้พิจารณาจะฆ่ามันอยู่นั้นแล จึงเรียกว่าน่าโมโหไม่ใช่เล่น ๆ เพราะเราไม่ได้ยินดีกับมัน แต่มันก็ยังมาแสดงให้เรายินดี ให้เราติดพันมันจนได้ เพราะฉะนั้นมันจึงโมโหซิ

เมื่อแก้อันนี้ลงได้แล้วก็หมดปัญหา ภาระอันหนักหน่วงถ่วงจิตใจที่สุดคืออันนี้ เบาหวิวเลย หมด เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่กลับมาเกิด เพราะไม่มีสิ่งกดถ่วง ไม่มีสิ่งดึงดูด ใจก็เบาหวิวไปเลย เป็นอัตโนมัติของใจดวงนั้น ที่จะค่อยคืบคลานตัวเอง ชำระตัวเองไปเรื่อย ๆ ถ้ายิ่งมีความพากเพียร มีชีวิตอยู่นี้ก็ยิ่งเร่งรวดเร็วเข้าไปอีก หากว่าสิ้นชีวิตไปเสียทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงที่สุดจุดหมายปลายทาง หลักธรรมชาติของจิตที่เป็นอัตโนมัตินี้ก็จะหมุนตัวไปเอง โดยลำพังตัวเอง แต่ช้า เป็นไปจนถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานโดยไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแล้ว

เมื่อถึงขั้นอนาคา ตั้งแต่ระดับต้นถ้าสอบก็เรียกว่าได้ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ ขึ้นไปแล้วก็ ๖๐ เปอร์เซ็นต์ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ จะซักฟอกตัวเองไปโดยลำดับ ฝึกซ้อมตัวเองไปโดยลำดับ จนกระทั่งเข้าขั้นละเอียด รู้เองในหัวใจไม่ต้องไปถามผู้ใดแหละ เพราะธรรมของจริงมีอยู่กับทุกคน จะไปถามหาใครที่ไหน สว่างกระจ่างแจ้งไปโดยลำดับ

กิเลสตัวนี้ละเป็นตัวที่ทำความทุกข์ความเดือดร้อนให้เรามากที่สุด ในวงความเพียรของเราต้องรบกับตัวนี้ให้หนัก ไม่รบกับตัวนี้ไม่ได้ ตัวนี้กดถ่วงมากที่สุดเลย เวลาพิจารณารอบมันหมดแล้วมันก็ไม่มีอะไร คือตัวสัญญาอารมณ์ที่ออกไปจากกิเลสผลักดันออกไปให้ไปหมายมั่นปั้นมือกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ว่ารูปนั้นสวย รูปนี้งาม เสียงนั้นเพราะ กลิ่นนั้นหอม มันว่าของมันไปหมดนั่นแหละ เห็นไหมมันดันออกไป ๆ มีแต่กิเลสตัวนี้แหละผลักดันออกไป เสกสรรปั้นยอของปลอมทั้งหลายเหล่านั้นให้เป็นของจริงตามกิเลสไปหมดเลย เราก็เลยปลอมไปตามมัน ๆ

พอพิจารณาอันนี้ชัดเจนแล้วก็ไม่มีอะไร มารู้ตัวเหตุตัวการสำคัญของมันที่ไปวาดภาพหลอกเรานั้นภายในจิตใจแล้ว มันก็ถอนตัวเข้ามาทันที ปล่อยไปหมดเลยไม่มีอะไรเหลือ จิตใจก็สว่างจ้า ในขั้นนี้ก็สว่างแล้ว จากนั้นก็เริ่มจะเป็นอัตโนมัติแล้ว สติปัญญาหมุนตัวไปเอง ความเพียรไม่ต้องบอก เรียกได้แต่ว่าความเพียรกล้าเท่านั้น ที่จะให้ถูไถกันไปเหมือนอย่างแต่ก่อน ทั้งลากทั้งถูไปแต่ก่อน ไม่มี

ขั้นกามกิเลสเป็นขั้นสำคัญมาก เมื่อขั้นกามกิเลสนี้มันฟัดมันเหวี่ยงไปเต็มที่แล้ว มันก็หมุนไปจากนี้แหละ เริ่มต้นของสติปัญญาอัตโนมัติ จะหมุนไปจากกามราคะ จากนั้นก็ละเอียดเข้าไป ๆ จนเป็นธรรมจักรภายในหัวใจ หมุนไปโดยลำพังตัวเอง ไม่ต้องมีอะไรมาบีบมาบังคับให้เป็นความพากความเพียรอย่างนั้นอย่างนี้ไม่มี นอกจากว่าความเพียรก็ว่าความเพียรกล้า ความเพียรเพื่อพ้นจากทุกข์นี้กล้าว่างั้นถูกต้อง เป็นอัตโนมัติ ธรรมเมื่อถึงขั้นเป็นอัตโนมัติของตัวของตัวแล้ว ก็เหมือนกับกิเลสผันหัวใจสัตว์โดยอัตโนมัติของมันนั้นแล มีหยาบผันหยาบ มีกลางผันกลาง มีละเอียดผันละเอียด มันผันอยู่ในหัวใจของเราเป็นวัฏจักรวัฏจิตโดยอัตโนมัติของตน

เพราะฉะนั้นใจไม่มีชราคร่ำคร่า กิเลสจึงไม่มีชราคร่ำคร่าเหมือนกัน เพราะติดอยู่กับใจ เมื่อชำระกันออก ๆ ไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นชัดเข้าไปโดยลำดับ แจ้งที่ภายในจิตใจของเรา เมื่อร่างกายหมดความหมายก็รู้เอง ทั้งที่พิจารณากันหมุนติ้ว ๆ เหมือนฟ้าดินถล่ม การพิจารณาราคะตัณหาด้วยการพิจารณารูปทั้งหลายภายในกายของเรา อาการทั้งหลายนี่ เมื่อพอตัวของมันแล้วเรื่องการพิจารณาร่างกายก็หมดปัญหาเพราะอิ่มพอ ถอนได้แล้ว มันก็หมุนเข้าสู่นามธรรมเป็นหลักธรรมชาติของตน

นี่ละธรรมเมื่อได้เข้าถึงขั้นอัตโนมัติแล้ว ก็เหมือนกันกับกิเลสเป็นอัตโนมัติ หมุนหัวใจของสัตว์ให้เป็นวัฏจักรตลอดไปนั้นแล ธรรมก็เป็นอย่างนั้น เมื่อถึงขั้นเป็นอัตโนมัติ เป็นธรรมจักรแล้วเป็นไปเอง กิเลสหมุนตัวเพื่อวัฏจักรโดยอัตโนมัติฉันใด ธรรมก็หมุนตัวเพื่อวิวัฏจักรฉันนั้นเหมือนกัน ไม่มีผิดแปลกแตกต่างกันแม้นิดหนึ่ง เรียกว่าเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อถึงขั้นจะหมุนกลับแล้ว อยู่ยังไงก็หมุนกลับ เป็นธรรมจักรตลอดเวลา นี่ท่านเรียกว่าสติปัญญาอัตโนมัติ

จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา หากไปด้วยกันนั่นแหละ เริ่มไปตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติ จิตจะไม่ค่อยมีเผลอแหละเมื่อถึงขั้นนี้แล้ว จะหมุนตัวไปเอง ๆ อยู่ที่ไหนเป็นอย่างนั้น ไม่มีคำว่าจะพากจะเพียร มีแต่รั้งเอาไว้ ๆ นี่ถึงขั้นเห็นโทษกิเลสเห็นขนาดนั้น แล้วทีนี้คุณค่าแห่งความหลุดพ้นจากกิเลสก็เห็นอย่างเดียวกัน เมื่อทั้งสองอย่างนี้หมุนเข้าสู่หัวใจ ทั้งความเห็นโทษและความเห็นคุณในใจดวงเดียวกันแล้วมันดีดเอง อยู่ไม่ได้ ต้องเอาให้หลุดให้พ้นอย่างเดียว ตายก็ตาย

ไม่มีเสียดายอะไรแล้วในโลกนี้ ขอความหลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น หมุนตัวไปเอง นี่เรียกว่าธรรมจักร เป็นอัตโนมัติของตัวเอง ถึงคราวที่มีกำลังกล้าแล้วแก้กิเลสโดยลำพังตนเอง เหมือนกันกับกิเลสมันผูกมัดเราด้วยลำพังตนเอง เป็นอัตโนมัติของมันเหมือนกัน เพราะฉะนั้นขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลส เอาจริงเอาจัง อย่ามาเหลาะ ๆ แหละ ๆ

สถานที่นี่เป็นสถานที่อบรมภาวนามาประจำ เพราะเคยปฏิบัติมาอย่างนั้น กับครูบาอาจารย์ท่านก็เคยพาดำเนินมาอย่างนั้นอยู่แล้ว ไม่มีงานอื่นใด งานเหล่านั้นเป็นงานสั่งสมกิเลส สั่งสมอารมณ์เข้าสู่ใจ อันเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ งานนั้นงานนี้ยุ่งไปหมด คือดูหัวใจไม่ได้ ถ้าดูเข้าไปหัวใจนั้นถูกกิเลสมันตีเอาหงายออกมา ๆ จึงไม่กล้าจะมองดูใจของตัวเอง แล้วก็ไปลูบคลำนั้นพอแก้รำคาญไปเสีย ทำนั้นทำนี้ สร้างนั้นสร้างนี้ ยุ่งกับสิ่งนั้นยุ่งกับสิ่งนี้ ให้กิเลสจูงไปอย่างนั้น ถ้ามองเข้าไปข้างในมองเข้าไปไม่ได้ กิเลสตีเอาหงายออกมา ๆ นี่ละผู้ภาวนาทั้งหลายไม่ค่อยสนใจกับด้านจิตตภาวนา แต่ไปสนใจกับการก่อการสร้างยุ่งเหยิงวุ่นวาย ก็เพราะเหตุนี้เองไม่ใช่อะไร

ถ้าจิตได้หมุนเข้าสู่ทางด้านภาวนาแล้ว อะไรมันก็ไม่ถอย เรื่องการงานอะไรภายนอกมายุ่งไม่ได้ มีแต่กิเลสกับธรรมฟัดกันเท่านั้น แก้ได้แก้กิเลสแก้ได้ไม่สงสัย อริยสัจอริยธรรมเหล่านี้เป็นธรรมแก้กิเลสทั้งนั้น เอาให้มุดมอดไปได้ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ สาวกทุก ๆ องค์ผุดขึ้นจากตรงนี้ จากท่ามกลางอริยสัจคือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้ทั้งนั้น ไม่มีเว้นแต่พระองค์เดียว ผุดขึ้นที่นี่

อริยสัจเวลานี้มีอยู่กับเรา แต่ฝ่ายไหนมากฝ่ายไหนน้อย ต่างกันเพียงเท่านั้น เช่นเวลานี้สติปัญญาของเรายังอ่อน ทุกข์ สมุทัย ก็มีอำนาจมาก เมื่อมรรคของเรามีกำลังกล้าขึ้นไปเท่าไร ความดับทุกข์ก็ดับลงไปโดยลำดับ ๆ ทุกข์ สมุทัยก็มีน้อยลง ๆ ดับไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางแล้ว ผ่านขึ้นไปในท่ามกลางแห่งอริยสัจทั้งสี่นี้ เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นที่ตรงนี้ เป็นพระอรหัตอรหันต์ขึ้นที่ตรงนี้ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าขึ้นที่ตรงนี้ ไม่มีพระพุทธเจ้าและสาวกองค์ใด ตลอดพระปัจเจกพุทธเจ้า จะแหวกแนวจากอริยสัจนี้ไปตรัสรู้ขึ้นโดยลำพังตนเองอย่างนี้ไม่มี แม้รายเดียวก็ไม่มี

เพราะฉะนั้นอริยสัจจึงเป็นสัจธรรมอย่างเอก เป็นแก่นของศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ตรัสรู้ขึ้นจากอริยสัจนี้ทั้งนั้น จึงเป็นศาสนาคู่โลกคู่สงสารคู่บ้านคู่เมือง ให้พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

อยู่ด้วยกันอย่านำทิฐิมานะ แข่งดิบแข่งดี อันเป็นเรื่องของกิเลสมาตีตลาด มากระทบกระเทือนซึ่งกันและกัน นี้หยาบโลนที่สุดนะพระปฏิบัติเรา ให้ดูตัวเอง ความเคลื่อนไหวของจิตออกไปในแง่ใด คิดเพ่งโทษเพ่งกรรมผู้ใด นั้นแหละคือตัวกิเลสออกแล้วจากหัวใจของเรา และเผาใจเราแล้วจึงไปเผาคนอื่น ให้รับความกระทบกระเทือนเดือดร้อนไปตาม ให้ดูจุดนี้อย่าไปดูที่ไหน ดูกิเลสดูที่ความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากใจนี่ มันจะคิดเรื่องนั้นปรุงเรื่องนี้ ให้ดูจุดนี้ ฆ่ากิเลสก็ฆ่าจุดนี้ กิเลสอยู่ที่จุดนี้จุดเดียว มรรคผลนิพพานอยู่ที่จุดนี้ ฆ่ากิเลสได้แล้วไม่ต้องถามหามรรคผลนิพพาน เป็นขึ้นมาเอง

วันนี้พูดเพียงเท่านี้แหละ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก