|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
พิจารณาใจตนใคร่ดีหรือชั่ว |
|
วันที่ 3 มีนาคม 2545 ความยาว 75.1 นาที
สถานที่ : ณ โรงเรียนอนุบาลจุฑาภรณ์ กรุงเทพฯ |
|
ค้นหา :
พิจารณาใจตนใคร่ดีหรือชั่ว
ได้รับนิมนต์มาในงานมหากุศลของพี่น้องทั้งหลาย มีคุณจุฑาภรณ์ ภูตะยานนท์ ผู้จัดการครูใหญ่ โรงเรียนอนุบาลจุฑาภรณ์ และมีพณฯ วราเทพ วรากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังมาเป็นประธานและเป็นเจ้าภาพในงานมหากุศลครั้งนี้ เพราะชาติไทยของเราเวลานี้กำลังเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากพี่น้องชาวไทยทั่วหน้ากันตลอดมา เฉพาะอย่างยิ่งเป็นเวลา ๔ ปีนี้แล้วที่หลวงตาได้อุตส่าห์พยายามแบกร่างที่ชำรุดทรุดโทรมมามากตะเกียกตะกายเทศนาว่าการสอนพี่น้องทั้งหลายทั้งทางด้านวัตถุและด้านนามธรรม คือจิตใจกับธรรมล้วน ๆ ผสมกันไป วันนี้ก็เป็นวันมหามงคลของพี่น้องทั้งหลายที่จะได้นำสมบัติเงินทองทั้งหลายที่ออกมาจากความรักชาติ ความเสียสละ ความพร้อมเพรียงสามัคคีเข้าสู่คลังหลวงอันเป็นจุดหายใจส่วนใหญ่ของพี่น้องชาวไทยเรา
คลังหลวง คือเป็นที่รวมของสมบัติทุกประเภทที่พี่น้องชาวไทยเราได้อาศัยตลอดมา วันนี้พี่น้องทั้งหลายมีท่านผู้จัดการและท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานในการบริจาค และหลังจากนี้ก็จะได้ฟังอรรถฟังธรรมจากการแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายฟังทั่วหน้ากัน เพราะการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมนี้มีเวลาน้อยมากสำหรับเราทั้งหลายแม้จะเป็นชาวพุทธก็ตาม แต่ทางโลกทางสงสารกิจการบ้านเรือนที่อยู่อาศัยปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นเครื่องหมุนเวียนกันกับเรื่องธาตุขันธ์ให้ถือเป็นความจำเป็นขึ้นมา มีประจำตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับ ไม่ค่อยมีเวล่ำเวลาจะหมุนจิตใจไปสู่อรรถสู่ธรรม เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนจิตให้สะดวกสบายว่างงานบ้าง วันนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลายจะได้สงบ กายก็ไม่แสดงอาการอะไรที่เป็นความลำบากรำคาญกระทบกระเทือนตัวเองให้ขาดการได้ยินได้ฟัง และเสียงอรรถเสียงธรรมที่จะได้ยิน นำธรรมเข้าสู่ใจด้วยความตั้งอกตั้งใจ
วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ใจจะได้พักผ่อนกับอรรถกับธรรม ตามธรรมดาจะไม่มีเวลาพัก วุ่นวายอยู่ภายในจิตคิดงานนั้นงานนี้ ทั้งกว้างทั้งแคบทั้งใกล้ทั้งไกล สามารถหรือไม่สามารถ จิตมีความสามารถคิดตลอดเวลาโดยไม่คำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียแห่งความคิดของตนเลยนี้มีจำนวนมาก แต่วันนี้เป็นวันที่เหมาะสมอย่างยิ่งที่พี่น้องทั้งหลายจะได้ระงับทางตาซึ่งเคยใช้มานานในทางโลกทางสงสาร หูเคยฟังมานาน จิตใจเคยคิดเคยอ่านเรื่องโลกเรื่องสงสารมานานแล้วประมวลความคิดความปรุงความรู้ความเห็นเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรมเพื่อฟังเสียงกระแสแห่งธรรม ท่านแสดงไปอย่างไรเราจะได้นำอรรถธรรมซึ่งเป็นธรรมชาติตายตัวและตายใจได้สำหรับผู้เชื่อธรรมปฏิบัติต่อธรรม จะได้ส่งเสริมจิตใจของเราให้ถูกต้องดีงามในการเคลื่อนไหวไปมา การประพฤติเนื้อประพฤติตัวของเราออกจากธรรมที่ได้ยินได้ฟังนี้แล้วจะไม่ค่อยผิดพลาด จะนำความสงบเย็นใจมาให้เราทั้งหลาย
เพราะฉะนั้น คำว่า ศาสนาจึงจำเป็นอย่างมากสำหรับชาวพุทธเรา ชาวพุทธของเรานี้ได้ศาสนาที่เลิศเลอมาครองหัวใจ ได้ระลึกถึงท่านพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ระลึกถึงศีลถึงทานการภาวนาซึ่งเป็นเครื่องบำรุงจิตใจให้มีความสงบเย็นใจและสง่างามภายในตัวของเราด้วยอรรถด้วยธรรม วันนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องทั้งหลายจะได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมแล้วนำไปประพฤติปฏิบัติ วันนี้ก็มาสอนพี่น้องทั้งหลายที่โรงเรียนซึ่งเป็นที่ชุมนุมของเด็กเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ก็มาจากผู้ใหญ่ คือมีพ่อมีแม่เป็นเจ้าของ เป็นผู้รับรองเด็กทั้งหลายเหล่านี้ว่าเป็นบุตรของตนแล้วฝากเข้ามาศึกษาเล่าเรียนเพื่อหาความรู้ความฉลาดที่เหมาะสมอย่างยิ่งก็คือ ให้เจือปนกับอรรถกับธรรมไปด้วยกัน ถ้ามีตั้งแต่ความรู้ทางโลกล้วน ๆ แล้วใครก็เสียได้ด้วยกัน ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ เพราะความรู้นี้เป็นความรู้ที่กิเลสมันผลิตขึ้นมาให้เรานำมาใช้แล้วก็ไม่พ้นที่กิเลสจะตามควบคุมให้เป็นไปตามแถวแนวของมัน แถวแนวของมันมักจะทำคนให้เสื่อมเสีย โดยไม่คำนึงศักดิ์ศรีดีงามฐานะยากจนอะไรเลย ความรู้นี้จะเป็นความรู้ที่คล่องตัวที่กิเลสนำไปใช้
เพราะฉะนั้น เด็กที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียนในสถานที่นี่ ที่ออกจากพ่อจากแม่มาฝากฝังไว้ให้ศึกษาเล่าเรียนที่นี่ เรียกว่าอนุบาล คือตามรักษาเด็กตัวเล็ก ๆ เรียกว่าอนุบาล คือความคุ้มครองรักษาเด็ก วิชาความรู้ต่าง ๆ ที่พอเหมาะพอสมกับเด็กขนาดไหนวัยใด ผู้ปกครองนำมาฝากแล้ว ครูอาจารย์ก็คอยแนะนำตักเตือนสั่งสอน ถ้ายังเล็กอยู่ก็ต้องสอนวิชากินวิชาหลับวิชานอน โตขึ้นไปสอนวิชาแขนงต่าง ๆ ให้เป็นลำดับลำดา และสอนศีลธรรมให้ในวัยอันควรได้รับศีลธรรม การไหว้พระสวดมนต์ให้พาเด็กสวดเสมอ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ คำเดียวเท่านี้กระเทือนทั่วแดนโลกธาตุสำหรับชาวพุทธเราเป็นมหามงคลอย่างยิ่งทีเดียวต่อความระลึกคิดขึ้นมาเป็นคำว่า อิติปิโสฯ สฺวากฺขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ หรือ พุทโธ ธัมโม สังโฆ นี้คือธรรมอันเลิศเลอ
เราควรจะได้แนะนำเด็กพาเด็กสวดมนต์ไหว้พระ อรหํ สฺวากฺขาโต สุปฏิปันโน เป็นประจำวันนี้เป็นความเหมาะสมกับเราซึ่งเป็นครูเป็นอาจารย์และเคยอบรมตนมาพอสมควรแล้วที่จะมาอบรมสั่งสอนเด็กให้ดำเนินตามทางแห่งศาสนา เพราะฉะนั้น ศาสนาจึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง เวลานี้เมืองไทยเมืองพุทธเรารู้สึกจะห่างเหินศาสนามากทีเดียว หลวงตาพูดว่าห่างศาสนาธรรมดาไม่อยากพูดนะ ถ้าว่าห่วงศาสนามากนี้จะพอเหมาะพอดีกับความเป็นไปแห่งชาวพุทธเราซึ่งเหินห่างจากศาสนาเอามากทีเดียว ด้วยเหตุนี้ จึงได้แนะนำสั่งสอนให้พี่น้องทั้งหลายทราบเรื่องภายนอกเรื่องภายใน เรื่องภายนอกได้แก่ความเป็นอยู่ความวิ่งเต้นขวนขวาย หาวิชาความรู้มาประกอบหน้าที่การงานสำหรับการครองชีพของตนไปด้วยความสะดวกราบรื่นด้วยความรู้วิชาที่ศึกษามาด้วยดีแล้ว
นี่คนมีวิชาการทำมาหาเลี้ยงชีพสะดวกสบายกว่าคนไม่เรียนรู้ กว่าคนโง่เป็น ไหน ๆ เพราะฉะนั้น โลกจึงต้องมีการศึกษาเล่าเรียนกันเพื่อเป็นแนวทางเดินแห่งการเคลื่อนไหวไปมาการทำมาหาเลี้ยงชีพสะดวกสบายผิดกับคนที่ไม่เรียนอยู่มาก นี่เป็นด้านของโลกของสงสาร นี่เป็นประเภทหนึ่ง ที่เราจะต้องศึกษาเล่าเรียน นี่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ซึ่งเกี่ยวเนื่องกับธาตุกับขันธ์ซึ่งมีความบกพร่องต้องการความเยียวยาอยู่เสมอ ไม่ได้กินอยู่ไม่ได้ อาหารจะกินต้องได้มีวิชาความรู้เสาะแสวงหามา อยู่เฉย ๆ จะให้อาหารการบริโภคมาตกใส่ท้องนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ต้องเสาะแสวงหามา การเสาะแสวงหามาก็ต้องมีความรู้วิชา หาเงินหาทองมาจับจ่ายซื้อนั้นซื้อนี้เพื่อปากเพื่อท้อง นี่ก็ล้วนแล้วแต่เป็นวิชาแต่ละแขนง ๆ ที่เราจะเสาะแสวงหาสิ่งทั้งหลายมาเยียวยาธาตุขันธ์ด้วยหลักความรู้วิชาของเรา
การอยู่การกินการใช้การสอยต้องมีการเสาะแสวงหาทั้งนั้น การเสาะแสวงหาต้องมีความรู้วิชา ไม่ใช่อยู่เฉย ๆ ก็ได้มา ด้วยเหตุนี้เอง โลกจึงต้องนิยมในการศึกษาเล่าเรียน ทางโลกเป็นอย่างนี้ การกินอยู่การหลับการนอนทุกอย่างเป็นไปทางธาตุทางขันธ์ที่เราอยู่ด้วยกันเป็นผาสุกร่มเย็นก็เพราะมีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องบำรุงรักษา ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้วทุกข์ทนด้วยกันทั้งนั้น เป็นความทุกข์ทรมานในทางร่างกาย นอกจากนั้นจิตใจก็ว้าวุ่นขุ่นมัวกระวนกระวาย เพราะคิดถึงสิ่งที่จะมาเยียวยาธาตุขันธ์ไม่มี ใจก็ต้องเป็นทุกข์ไปด้วย ด้วยเหตุนี้จึงต้องเสาะแสวงหาและเรียนวิชาความรู้มาเกี่ยวกับธาตุกับขันธ์ นี่เป็นประเภทอันหนึ่ง คือเกี่ยวกับร่างกายซึ่งเป็นสมบัติอันหนึ่งที่เรารับผิดชอบ คือร่างกายของคนทุกคนต้องมีความรับผิดชอบเป็นความรักตัวประจำพื้นฐานของจิต แล้วมีความรับผิดชอบ
จากนั้นหามาเยียวยารักษา การอยู่การกินการหลับการนอนการใช้การสอยเมื่อมีสิ่งอำนวยพอเป็นไปแล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยทุกข์มาก จิตใจก็ไม่ค่อยทุกข์ นี่เป็นประเภทหนึ่งที่จำเป็นซึ่งโลกหมุนกันตลอดเวลาอยู่เวลานี้ อันดับที่สองโลกไม่ค่อยมองเห็นกัน คือด้านธรรมะ จิตใจก็มีที่อาศัยเหมือนกันกับร่างกาย ร่างกายมีอาหารการบริโภคมีที่อยู่ที่อาศัยที่หลับที่นอนที่ไปมาถนนหนทาง เหล่านี้เป็นที่เพื่อความสะดวกของร่างกาย แต่ความสะดวกของทางด้านจิตใจนี้โลกไม่ค่อยมองกัน นี่แหละที่ว่าชาวพุทธเราห่างเหินจากศาสนธรรมหรือจากพุทธศาสนาไปอย่างมากประหนึ่งว่าไม่ใช่ชาวพุทธไปเสียก็ได้ เพราะขาดความเอาใจใส่ในจิตใจที่กำลังเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเจ้าของด้วยศีลด้วยธรรมนำเข้ามาบำรุงจิตใจให้มีความสงบเยือกเย็น ใจจะนำอันใดเข้ามาบำรุงรักษาให้เป็นความผาสุกร่มเย็นนั้นไม่ได้
นอกจากธรรมอย่างเดียวเท่านั้นเป็นคู่เคียงเป็นสิ่งเหมาะสมอย่างยิ่งกับใจที่เรียกร้องหาความสุขจากธรรมเพื่อความสงบตัวเองเสมอ ด้วยเหตุนี้ เราเป็นชาวพุทธด้วยกันทุกคนจึงควรถือเป็นคติหรือเป็นตัวอย่างอันดีเป็นความจำเป็นอันสำคัญเสมอหน้ากัน ทางร่างกายก็วิ่งเต้นขวนขวายเพื่อธาตุเพื่อขันธ์ เพื่อความเป็นอยู่หลับนอนสบายสะดวก ทางด้านจิตใจก็ควรให้มีทาน ทาน แปลว่า การเสียสละ การให้มากให้น้อย ให้ในที่ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ นับตั้งแต่ให้ทานพระพุทธเจ้า ให้ทานครูอาจารย์ ให้ทานพระอรหันต์ ให้ทานพระอริยบุคคลมาเป็นลำดับ ให้ทานผู้มีศีลมีธรรม นี่เรียกว่าการให้ทาน
ให้ทานสัตว์ทั้งหลายหรือให้ทานแก่ท่านผู้มีบุญมีคุณสงเคราะห์สงหาเรามาแต่ก่อน แล้วระลึกถึงบุญถึงคุณท่าน สละเป็นการให้ทานต่อท่านเป็นการบูชาคุณ ให้ทานด้วยความเมตตาสงสาร เช่นคนทุกข์จนข้นแค้นมาอาศัยขอร้องเรา ขอทานเรา เราก็แจกทานให้ตามกำลังที่จะเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร ตลอดสัตว์ทั้งหลายที่ทุกข์จนข้นแค้นอยู่ตามข้างถนนหนทาง ซึ่งเรียกร้องหาความช่วยเหลือตลอดเวลา เพราะโลกนี้เป็นโลกอาศัยกัน เราจะอยู่โดดเดี่ยวว่าไม่ต้องพึ่งพิงใครอย่างนี้ไม่ได้ แม้แต่มหาเศรษฐียังต้องอาศัยคนงานในบ้าน ไม่มีคนงานเป็นมหาเศรษฐีไม่ได้ จึงต้องอาศัยซึ่งกันและกัน คนงานต้องอาศัยเศรษฐีเป็นผู้หล่อเลี้ยงทุกสิ่งทุกอย่าง ให้ความสุขความเย็นใจความสบายทุกอย่าง สมบัติเงินทองอยู่ที่เศรษฐี แต่กำลังวังชาอยู่ที่คนงานทั้งหลายที่จะหนุนเพื่อหารายได้เข้ามาสู่ความเป็นเศรษฐี นี่ได้อาศัยกันมาตลอดอย่างนี้
โลกนี้เป็นโลกที่อาศัยกัน เมื่อโลกมีความอาศัยกันแล้วจึงต้องมีเมตตาอารีเห็นแก่ใจซึ่งกันและกัน ไม่ควรดูถูกเหยียดหยามกันในแง่ต่าง ๆ เช่น ดูถูกเหยียดหยามในชาติชั้นวรรณะอย่างนี้ผิดโดยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามกัน ท่านยกบทธรรมมาคำเดียวเท่านั้นว่า สพฺเพ สตฺตา อันว่าสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันหมดทั้งสิ้น สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนมีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นที่อยู่ที่อาศัย ทำบุญทำกรรมดีชั่วประการใดจะเป็นสมบัติของผู้ทำทั้งนั้น ต่างคนต่างเกิดมาด้วยบุญด้วยกรรมด้วยกันทั้งนั้น ท่านจึงห้ามไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน ให้อภัยกัน ต่างคนต่างสัตว์ที่เกิดมานี้มีกรรมเต็มตัวด้วยกัน สัตว์ก็มีกรรมเต็มตัวของสัตว์ที่จะควรเกิดในสัตว์ประเภทใดได้ จะเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนเอง โดยไม่ต้องอาศัยผู้หนึ่งผู้ใดไปหยิบยื่นเพิ่มเติมให้ ให้เป็นสัตว์สมบูรณ์อย่างนั้น
สัตว์สมบูรณ์อย่างนี้ เพราะเวลานี้สัตว์ประเภทนี้บกพร่อง เพิ่มเติมความดีงามเข้าตัวเอง เข้าสู่สัตว์ประเภทนี้ให้มีความเปลี่ยนแปลงตัวเองฐานะของตัวเองดีขึ้น อย่างนี้เป็นไปไม่ได้ ท่านจึงเรียกว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ คือกรรมเป็นสมบัติของตนเองด้วยกันทุกคน เป็นสัตว์ก็มีกรรมอันสมบูรณ์ของเขาตามประเภทต่าง ๆ ของสัตว์นั้น สัตว์จึงไม่บกพร่องอะไรในแต่ละประเภทที่มาเกิดเป็นสัตว์ประเภทนั้น เป็นสัตว์เต็มตัว ๆ เช่น เป็นหมูเป็นหมาเป็นเป็ดเป็นไก่เป็นสัตว์นรกอเวจี เป็นเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมตลอดมาเป็นมนุษย์ ต่างคนต่างมีกรรมเป็นตัวของตัวด้วยกัน แม้แต่คลอดออกมาจากแม่คนเดียวกันลูกแต่ละคน ๆ จะมีกรรมเป็นของตัวเองออกมา เพียงแต่อาศัยแม่เป็นแดนเกิดเท่านั้น แกนที่แท้จริงนี้เป็นเรื่องของเด็กแต่ละคน ๆ หรือเป็นเรื่องของลูกแต่ละคน ๆ ที่สำเร็จมาในตัวเองแล้ว
ด้วยเหตุนี้เด็กเกิดมาจากพ่อแม่เดียวกันจึงมีนิสัยใจคอไม่เหมือนกัน คนนี้ดี คนนี้เลว คนนั้นฉลาด คนนี้โง่ ตลอดถึงอวัยวะทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ค่อยเหมือนกัน เพราะกรรมไม่เหมือนกันจากแต่ละบุคคลที่สร้างมา ทำให้ไม่เหมือนกัน ผลจะตกออกมาจากแม่เดียวกัน ลูกก็ไม่เหมือนกัน นี่ท่านเรียกว่า กมฺมสฺสโกมฺหิ คือกรรมเป็นของตัว จะไปอาศัยกำเนิดเกิดจากผู้ใดก็ตาม แกนอันสำคัญคือกรรมที่ตนเป็นผู้สร้างไว้แล้วทั้งดีทั้งชั่วย่อมเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าความพาดพิงเกี่ยวโยงไปถึงกรรมอีกประเภทหนึ่งที่ต้องมาอาศัยพ่ออาศัยแม่เป็นที่เกิด นั่นเป็นอีกแขนงอันหนึ่งต่างหาก แต่ที่เป็นตัวของตัวเป็นกรรมจริง ๆ แล้ว กรรมเป็นของตัวทุกคน ไปอาศัยเกิดในแม่ใดก็ตามจะต้องเป็นกรรมของตัวเอง เป็นคนดีคนชั่วอยู่ในกรรมของตัวเองนั้นแล
นี่ท่านถึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามซึ่งกันและกัน นอกจากจะให้อภัยซึ่งกันและกัน ไม่ดูถูกเหยียดหยามชาติชั้นวรรณะ ฐานะสูงต่ำประการใด ถ้าเห็นเขาชั่วควรแนะนำสั่งสอนให้เขาเป็นคนดีได้ก็แนะนำสั่งสอน ถ้าไม่อาจแนะนำสั่งสอนได้ ก็อย่าไปชี้หน้าชี้ตาให้เขาชั่วต่ำลงไปมากยิ่งกว่านั้น เพราะไปชี้หน้าเขาย่อมโกรธ ความโกรธนี้จะสร้างความรุนแรงแห่งความชั่วช้าลามกขึ้นมาใส่เขาเองและใส่ตัวผู้ชี้หน้าเขา ไม่เกิดประโยชน์อันใด มีแต่ความเสียหายโดยถ่ายเดียว ท่านจึงไม่ให้ดูถูกเหยียดหยามชี้หน้าชี้ตาซึ่งกันและกัน ควรจะแนะนำสั่งสอนกันได้ด้วยเหตุผลกลไกอะไร อยู่ในฐานะที่จะอบรมสั่งสอนได้ก็สั่งสอน เมื่อสั่งสอนไม่ได้ก็ปล่อยไปดังพระพุทธเจ้าของเรา สอนสัตว์โลกมาถึงสามแดนโลกธาตุ ประเภทที่ควรปล่อยวางพระองค์ก็ปล่อยวาง ที่เรียกว่า ชักสะพาน
สอนไม่ได้แล้วก็ต้องปล่อย หรือเหมือนกับคนไข้ที่เข้าสู่โรงพยาบาล คนไข้ประเภทต่าง ๆ เขาหายออกมาจากหมอจากหยูกจากยาจำนวนมาก แต่คนไข้บางประเภทยังเถลไถลเข้าไปโรงพยาบาลก็จริง แต่เถลไถลเข้าไปห้องไอซียู ไม่ฟังเสียงหมอ ไม่ฟังเสียงหยูกเสียงยา คอยแต่ลมหายใจจะขาดลงไปเป็นคนตายเท่านั้น นี่ประเภทของสัตว์ทั้งหลายที่เป็นประเภทปทปรมะ ก็คือประเภทไอซียู มีชีวิตจัดว่าเป็นชีวิตของคน แต่หัวใจไม่ใช่คน อวัยวะทุกสัดทุกส่วนเป็นเหมือนคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป แต่ใจที่เป็นปทปรมะไม่ยอมเชื่อสาระธรรม สาระประโยชน์อันใดเลยนี้มันเต็มหัวใจ จะเชื่อตั้งแต่สิ่งชั่วช้าลามก อยากทำแต่สิ่งชั่วช้าลามก ใครไปแนะนำสั่งสอนบอกกล่าวไม่ยอมฟังเสียงทั้งนั้น นอกจากนั้นยังสะท้อนย้อนกลับมาดุด่าว่ากล่าวดูถูกเหยียดหยามเขาผู้แนะนำสั่งสอนอีก ซึ่งทำความอิดหนาระอาใจแก่ผู้เมตตาสั่งสอนเป็นอย่างมาก
คนประเภทนี้เป็นประเภทปทปรมะ ในธรรมของพระพุทธเจ้าท่านแสดงไว้แล้วอย่างโจ่งแจ้ง เราทั้งหลายได้ทราบตลอดมา สัตว์โลกทั้งหลายที่อยู่ในแดนโลกธาตุ นี้มี ๔ ประเภทด้วยกัน ประเภทที่ ๑ อุคฆติตัญญู เป็นประเภทที่มีความเฉลียวฉลาด อุปนิสัยสามารถที่จะบรรลุถึงแดนพ้นทุกข์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อได้รับอรรถธรรมของพระพุทธเจ้ามาแสดง เช่น เบญจวัคคีย์ทั้งห้า เป็นต้น พร้อมแล้วที่จะออกให้หลุดพ้นจากกองทุกข์โดยประการทั้งปวง พอพระองค์แสดงธรรมมีธัมมจักรกัปปวัตนสูตร เป็นต้นออกมาเพียงเท่านั้นเปิดประตูแห่งความกักขังซึ่งอยู่ในวัฏฏะนี้ให้กว้างออกไป ท่านเหล่านี้ก็โดดออกจากห้องแห่งวัฏฏวนนี้โดยลำดับลำดา หลุดพ้นจากทุกข์ไปอย่างรวดเร็ว เช่น เบญจวัคคีย์ทั้งห้า นี่เรียกว่า อุคฆติตัญญู ผู้จะรู้ทำได้อย่างรวดเร็ว แม้เป็นมนุษย์สังขารร่างกายทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนมนุษย์ทั่ว ๆ ไปก็ตาม แต่ว่าใจของท่านเหล่านี้เป็นใจเลิศเลอ เป็นอุคฆติบุคคล ใจอุคฆติจิต เป็นจิตที่จะคอยหลุดพ้นโดยถ่ายเดียว ท่านเหล่านี้หลุดพ้นไปอย่างง่ายดาย นี่ประเภทหนึ่ง
ประเภทที่ ๒ วิปจิตัญญู รอตามหลังกันไป คณะนี้ออกหลุดพ้น คณะหลังตามหลังกันมาก็หลุดพ้นไปโดยลำดับลำดา นี่เรียกว่า วิปจิตัญญู
ประเภทที่ ๓ เนยยะ อันนี้มีก้ำกึ่งกันอยู่ ทั้งจะขึ้นสวรรค์ทั้งจะลงนรก ถ้าได้รับการแนะนำสั่งสอนจากครูจากอาจารย์จากอรรถจากธรรมอยู่โดยสม่ำเสมอแล้ว ก็จะได้ตะเกียกตะกายตนเสาะแสวงหาศีลหาธรรม เพื่อจะนำตนให้พ้นจากทุกข์ไปโดยลำดับ ผู้นี้ก็ค่อนข้างจะก้าวขึ้นสู่ธรรมขั้นสูงโดยลำดับ ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์หรือได้ยินได้ฟังมาแล้ว แต่เจ้าของไม่สนใจปฏิบัติตามธรรมที่ท่านสอน ท่านสอนให้ทำบุญให้ทานให้เจริญภาวนากลับกลายเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้เห็นแก่ร่ำแก่รวยไปเสีย เห็นแก่เอา เอาได้ท่าไหนเอาท่านั้น พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคม ซึ่งเป็นการทำลายตัวเอง แล้วค่อยหลุดลอยจากขั้นเนยยะ ไปหาขั้นปทปรมะที่จะจมดิ่งลงถ่ายเดียว เพราะฉะนั้น คนประเภทที่ ๓ นี้จึงประเภทที่ก้ำกึ่ง ไปสวรรค์นิพพานก็ได้ ลงนรกหมกไหม้ก็ได้ เพราะก้ำกึ่งกัน แล้วแต่เราจะฉุดลากตัวเราเองซึ่งอยู่ท่ามกลางแห่งทางสองแพล่ง เราจะไปแพล่งไหน จะไปแพล่งความดิบความดีความไปสู่มนุษย์ไปสวรรค์นิพพาน ก็ให้ไปแพล่งทางสายที่มีความยินดีในการทำบุญให้ทาน
มีความอุตส่าห์พยายาม เจริญเมตตาภาวนา อิติปิโส ภะคะวา สฺวากฺขาโตฯ อย่าให้ขาดในวันหนึ่งเดือนหนึ่งปีหนึ่ง เป็นประจำวันทุกวัน ๆ ผู้นี้เรียกว่าตีตราเนยยะเอาไว้ตลอด ๆ ถ้าวันหลังมันพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงความรู้ความเห็นเสียใหม่ว่าเมื่อวานนี้ก็ได้ทำบุญให้ทานแล้วและได้สวดมนต์ไหว้พระแล้ว วันนี้ไม่ต้องทำ ไม่จำเป็น วันนี้ปทปรมะจดบัญชีเอาไว้แล้วกำลังจับขาดึงลง มันจะลากลงปทปรมะเพื่อเข้าสู่แดนนรกหมกไหม้ เพราะฉะนั้น คนประเภทที่ ๓ นี้จึงเป็นที่ประเภทก้ำกึ่ง ในตัวของบุคคลเราแต่ละคน ๆ นี้แหละ เราจะไปหาที่ไหนนะ หาคนอื่นเป็นคนอื่น หาใครเป็นใคร หาเราเป็นเรา เราให้หาเรา ถ้าเราอ่อนแอในทางไหนสำหรับที่จะเป็นประโยชน์แก่เรา อ่อนแออยู่แล้วไม่ดี ให้พยายามฟิตตัวให้ดี มันไม่อยากให้ทาน เอ้า!ให้ทานเรามี ๑๐ บาท ๕ บาทแบ่งไว้สำหรับครอบครัวเย้าเรือน และความจำเป็นหรือ ๘ บาท
เราแบ่งไว้สำหรับความจำเป็นครอบครัวเย้าเรือนความเป็นอยู่ จนกระทั่งถึงใครมีลูกมีเต้าส่งเข้าโรงร่ำโรงเรียน ค่าหนังแซหนังสือค่าหยูกค่ายา ทุกอย่างให้เตรียมพร้อมเอาไว้ในจำนวน ๘ บาทนี้ แล้ว ๒ บาทนี้เราจะแยกออกไปทำบุญให้ทาน จะเป็นทานประเภทไหนให้แก่ท่านผู้ใดก็ตาม เราจะแยกเงิน ๒ บาทนี้ออกไปเพื่อเป็นส่วนกุศลหนุนเราให้ขั้นเนินยะของเราสูงขึ้นเป็นลำดับ ๆ เพื่อเข้าสู่สวรรค์นิพพานด้วยเงิน ๒ บาทนี้ เราก็แบ่งให้ทานไป นี่เรียกว่า ผู้คิดถูกต้องดีงามตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า นี่ให้เราคิดไว้อย่างนี้ อย่ามีแต่กินอย่างเดียว ได้อย่างเดียว ร่ำรวยอย่างเดียว โก้หรูอย่างเดียว แต่งเนื้อแต่งตัวเทวดาสู้ไม่ได้ แต่หัวใจจมลงในนรกที่คอยจะไปนรก แต่เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวอยู่บนฟ้าบนสวรรค์ ตัวของบุคคลที่ทรงเครื่องแต่งตัวนั้นไปจมอยู่ในนรกรอก่อนแล้วอย่างนี้ใช้ไม่ได้
เราเป็นชาวพุทธต้องคิดอ่านไตร่ตรองให้เข้าใจเสียตั้งแต่บัดนี้ พระพุทธเจ้าสอนโลกให้ล่มจม มีแต่กิเลสเท่านั้นสอนโลกให้ล่มจม นี่เราพูดถึงเรื่องเนยยะ มีก้ำกึ่ง คนเรานี้จะดีไปก็ได้ ชั่วไปก็ได้ เพราะยอมเชื่อทั้งสองอย่าง ส่วนปทปรมะนั้น ขึ้นชื่อว่า ความดีแล้วเชื่อไม่ได้เลย จะเชื่อตั้งแต่ความชั่วอันกิเลสตัณหา ถ้าเป็นความชั่วถึงไหนถึงกัน หลับอยู่ก็ให้คนมาปลุกอยู่ก็ได้ไปทำความชั่ว ไม่มีอิดมีเอื้อน ไม่ว่าเสียเวล่ำเวลา เขาไม่ปลุกเราก็ตื่นไปเพื่อทำความชั่วช้าลามกขวนขวายฟืนไฟเผาไหม้ตัวเอง ประเภทนี้รอแต่ลมหายใจเท่านั้น พอลมหายใจขาดแล้วกำแพงแห่งมนุษย์เราคือร่างกายสังขารที่ปิดกำแพงแห่งนรกนั้น มันจะเปิดอ้าขึ้นมาทันที เวลานี้นรกจะมีมากี่กัปกี่กัลป์ก็ตามความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดจะปฏิเสธว่านรกไม่มีบาปไม่มี บุญไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี เปรตผีไม่มี สัตว์ประเภทต่าง ๆ ทั่วโลกดินแดนมีมนุษย์ เป็นต้นไม่มี อย่างนี้ไม่มี
รับรองยืนยันตามหลักความจริงที่สัตว์โลกมีอยู่ทั่วหน้ากันหมด เช่น มนุษย์เรามี ท่านก็บอกว่ามี เทวดามีท่านก็บอกว่ามี แล้วพวกเปรตพวกผีประเภทต่าง ๆ นรกมีท่านก็บอกว่ามี ทุกสิ่งทุกอย่างทรงสอนไว้ตามหลักความจริงที่รู้แจ้งแทงทะลุไปหมดแล้ว นี่สอนพวกเรา สอนมาตามหลักความจริงอย่างนี้ นี่ต้องขออภัยเวลาเทศน์หลงหน้าหลงหลัง ลืมจับเงื่อนต่อกันไม่ได้ก็มีนะ อันใดที่มันตกข้างอยู่ในความจำ แล้วกรุณายึดอันนั้นไป เถ้าแก่อย่างนี้แล้วเทศน์ไม่ค่อยติดค่อยต่อกันไป สัญญาความจำหลงลืม ตะกี้นี้ก็พูดถึงเรื่อง การทำบุญให้ทาน ว่าพระพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธว่าบาปบุญนรกสวรรค์มี นี่ไม่ทราบว่าต้นเหตุมาจากไหนจึงมาพูดตอนนี้ นี่ลืมไปแล้วนะ ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำเอาตามนี้ ไม่มีสอง บาปมีบุญมี มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมตั้งกัปตั้งกัลป์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมาเห็นสิ่งเหล่านี้ที่มีมาดั้งเดิมแล้ว แล้วนรกสวรรค์มีมาตั้งกัปตั้งกัลป์ตลอดถึงเปรตผี เหมือนคนเข้าคุกเข้าตะราง คนนั้นเข้าไปคนนี้ออกมา ประจำอยู่ในเรือนจำไม่ขาดนักโทษเลย
อันนี้นรกแต่ละหลุม อัดแน่นด้วยความชั่วช้าลามกประเภทปทปรมะนั้นแหละเป็นตัวสมัครที่จะลงนรกหลุมลึก ๆ นั้นมากกว่าเขา ดีไม่ดีจะชวนลูกชวนเมีย จูงลูกจูงหลาน จูงโคตรจูงแซ่ไปลงนรก เห็นว่าสถานที่รื่นเริงบันเทิง หลอกลวงลูกหลานไปตามด้วยความสมัครใจตนเอง สุดท้ายก็ไปจมทั้งนั้น หาได้รู้ตัวไม่ว่านั้นคือกิเลสหลอกลวงตัวเอง ให้พอใจในความชั่วอย่างเดียว ท่านสอนความดิบความดีมันไม่ยอมทำ นี่แหละให้รู้ถ้ากิเลสหนา ๆ แล้วให้ดูใจของเรา ถ้าใจของเรามันหนา หรือวันไหนมันหนา วันไหนมันบาง มีนะ ถ้าวันไหนมันหนาการไหว้พระมันก็ขี้เกียจ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ไม่จบ ดังเสียงแอ้ ๆ ๆ เพราะอะไรมันถึงแอ้ ๆ มันง่วงเหงาหาวนอน มันจะตาย อรหํฯ ไม่จบ ยิ่ง สฺวากฺขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ ได้ยินเสียงคร้อก ๆ นี่วันนี้กิเลสมันหนา ให้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใหม่ นอนนี่ก็นอนมาตั้งแต่วันเกิด ทำไมมาดิ้นมารนอยากนอนตั้งแต่บัดนี้
ส่วน อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ เพิ่งจะได้สวดเวลาได้ยินจากครูจากอาจารย์ ทำไมไม่พอใจสวด เอ้า!บังคับให้สวด ตื่นขึ้นมามันยังง่วงเหงาไปล้างหน้าซะก่อน ไปล้างหน้าแล้วกลับมาสวดใหม่ ถ้ายังง่วงอีกไปล้างหน้าอีก มันง่วงอีกโดดลงบึง โดดลงอยู่ในน้ำขึ้นมามา อรหํ อีก มันยังง่วงอยู่หรือ ฟาดมันลงในทะเลหลวง มันจะง่วงอยู่หรือ ไล่มันอย่างงั้นสิ คนที่จะสร้างความดีต้องชนะความชั่วต่อสู้กับความชั่ว นี่อะไรมาก็แอ้ ๆ ไปตาม ๆ มันใช้ไม่ได้นะ ชาวพุทธของเราห่างเหินจากธรรมมาก ความชั่วทั้งหลายมันจึงพอกพูนกันเข้า แล้วความทุกข์ความทรมาน บ้านใดเมืองใดที่บกพร่องในเรื่องความทุกข์ความทรมาน มีตั้งแต่ความทุกข์ความทรมานไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใด มันเต็มอยู่ที่หัวใจ เราจะเอาสมบัติเงินทองข้าวของตึกรามบ้านช่องถนนหนทางมาอวดกัน อันนั้นเป็นอิฐเป็นปูนเป็นหินเป็นทราย ไม่ใช่ความสุข ไม่ใช่ความทุกข์ ความสุขความทุกข์แล้วจิตเป็นผู้สร้างขึ้นมา คิดทางความไม่ดี คิดสร้างความทุกข์ขึ้นมาแล้ว
จิตคิดขึ้นทางที่ดี ทางอรรถทางธรรม จิตสร้างความดีขึ้นมาแล้ว มันอยู่ที่ใจของเราต่างหาก ให้พยายามดัดแปลงใจตัวมันดื้อด้านเวลานี้ มันอยากไปนรกหรืออยากไปสวรรค์ นรกก็เป็นความจริงอันหนึ่ง สวรรค์ก็เป็นความจริงอันหนึ่ง ดังที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้แล้วท่านไม่ปฏิเสธ สัตว์ประเภทใดทั่วแดนโลกธาตุนี้มีอย่างใดสอนไปตามหลักความมีความจริงอันนั้น อันนี้เรามันจะไปแบบไหน มันจะแหวกแนวพระพุทธเจ้าไปไหน มันเก่งกว่าศาสดาเหรอ ถ้าเก่งกว่าศาสดามันก็จะจมลงในนรก ในนรกนั้นมีศาสดาองค์ใดชมเชยว่า เป็นของเลิศเลอวิเศษ พอที่จะเอามาอวดพระพุทธเจ้าว่า นรกนั้นเลิศเลอยิ่งกว่าศาสดา ยิ่งกว่านิพพานไม่เคยมี เมื่อเป็นเช่นนั้นเราต้องฟาดฟันหั่นแหลกมัน ถ้ามันมีความขี้เกียจขี้คร้านสร้างคุณงามความดี เห็นว่าความชั่วช้าลามกเป็นของดีตัดให้ขาดสะบั้นเข้ามา ฝึกหัดตัวใหม่
นี่การฝึกหัดอบรมตัวเพื่อความเป็นคนดีเป็นอย่างนี้นะ นี่การมาสอนสอนในฐานะลูกหลานให้ท่านทั้งหลายได้ฟังเอาไว้ ส่วนมากธรรมะป่าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีอ้อมแอ้ม ร้อยสันพันคมเหมือนกิเลส กิเลสร้อยสันพันคมประจบประแจง เลียแข้งเลียขาหน้าไหว้หลังหลอกไม่มีอะไรเกินกิเลส แล้วผลที่ได้มามีแต่ถูกต้มถูกตุ๋นจากกลมายาของกิเลสที่แสดงต่อกันนั้นแหละ ส่วนธรรมนี้มีบอกว่ามี เป็นบอกว่าเป็น ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก จึงเป็นแบบเป็นฉบับ ที่พึ่งเป็นพึ่งตายของโลกได้ วันนี้พูดถึงเรื่องบุคคลถึง ๔ ประเภท เราเป็นบุคคลประเภทใดให้ย้อนมาถามตัวของเรา อุคฆติตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ นี้มีอยู่กับตัวของเราด้วยกันทุกคน
ถ้าจิตมันไม่ยอมสนใจในอรรถในธรรมนั้นเป็นปทปรมะก่อนเพื่อนแล้ว ถ้ามีความสนใจมากน้อยเกินไปก็จะเริ่มขึ้นขั้นเนยยะพอแนะนำสั่งสอนได้ ทีนี้มันมีความขยันหมั่นเพียรในความดีงามทั้งหลายก็จะเริ่มเป็นวิปจิตัญญู ยิ่งมีความเด็ดเดี่ยวอาจหาญในคุณงามความดีเพื่อมรรคเพื่อผลทั้งหลายนั้นเป็นอุคฆติตัญญูขึ้นมาในบุคคลคนเดียวกัน เราจะเห็นได้เวลาเราบำเพ็ญภาวนา เวลาเราบำเพ็ญภาวนาทีแรก มันล้มลุกคลุกคลาน ภาวนาอยู่ที่ไหนมันก็ไม่สะดวกสบาย มีแต่กิเลสตามขยี้ขยำจนแหลกจนเดินจงกรมนั่งสมาธิไม่ได้อ่อนเปียกไปหมด ถูกกิเลสตีเอา ครั้นเราฟัดกันไปฟัดกันมาหลายครั้งหลายหน ความขี้เกียจขี้คร้านความท้อถอยอ่อนแอในการทำความเพียรก็ค่อยขยันหมั่นเพียรขึ้นไป จากนั้นจิตใจของเราก็ค่อยมีกำลังวังชา จิตไม่เคยมีความสงบมีแต่การดีดการดิ้นวิ่งเต้นเผ่นกระโดด ขนความทุกข์มาเผาเจ้าของทั้งวันทั้งคืนก็ค่อยอ่อนตัวลงไป ๆ
สุดท้ายจิตก็มีความสงบเย็น เห็นผลประจักษ์ความสุขทั้งหลายในโลกธาตุนี้มาอยู่ที่ใจ มันเข้ามาแล้วนะ แล้วความทุกข์ทั้งมวลก็มาอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ เช่น เงินทอง ข้าวของ ตึกรามบ้านช่อง อิฐปูนหินทรายจะก่อกันขึ้นกี่ชั้นความสุขความทุกข์ไม่ได้อยู่ที่นั่น มันอยู่ที่ใจของผู้ริเริ่มสร้างขึ้นมา ถ้าเราปฏิบัติถูกสิ่งเหล่านั้นก็มาเสริมกำลังให้เรามีความสุขบ้าง ถ้าเราปฏิบัติตัวผิดเศรษฐีนั้นแลเป็นสัตว์นรกก็ได้ ไปตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเศรษฐีเขาตกหรือเขาไม่ตกนรกนะ อย่าไปคิด ความชั่วของเจ้าของนั้นแหละพาเจ้าของให้จมลงในนรกได้ ไม่ใช่อิฐปูนหินทรายตึกรามบ้านช่องพาไปตกนรก มันเจ้าของนั้นแหละผู้สร้างความชั่วช้าลามกพาไปตกนรก ถ้ามีความเฉลียวฉลาดนำสมบัติเงินทองที่เราได้เป็นกรรมสิทธิ์แล้วแบ่งสันปันส่วนไว้สำหรับกิน สำหรับทาน สำหรับใช้สอย ผู้นั้นเป็นประโยชน์ทั้งสองทาง สมบัติทางนี้ก็เป็นประโยชน์แก่ร่างกายของเรา
เมื่อร่างกายหาไม่แล้ว ทางจิตใจก็คือบุญกุศลเราสร้างไว้แล้ว เกาะติดกันเลย นี่ที่พึ่งเป็นพึ่งตายจริง ๆ คือธรรม คือบุญคือกุศล นอกนั้นเป็นเครื่องอาศัยชั่วร่างกายลมหายอยู่เท่านั้น พอลมหายใจขาดสะบั้นลงไปเมื่อไหร่ นั้นล่ะกำแพงผีจะมา เวลานี้กำแพงมนุษย์กั้นเอาไว้นะ ใครจะปฏิเสธว่าบาปว่าบุญว่านรกสวรรค์ไม่มีก็พอจะเชื่อถือตัวให้เย่อหยิ่งจองหองพองตัวทำความชั่วช้าลามกได้มากขึ้นอีก เพราะมองหานรกในปัจจุบันแห่งขันธ์มนุษย์นี้ไม่เห็น แต่พอจิตได้ขาดหรือลมหายใจขาดจากจิต สำหรับผู้ทำความชั่วช้าลามกมามากแล้วนะ พอลมหายใจขาดเท่านั้นกำแพงนรกกับกำแพงมนุษย์จะขาดสะบั้นออกไปทันที จะเห็นแต่กำแพงผีกำแพงแดนนรกเต็มหัวใจของใจดวงนี้ ดวงนี้เองที่จะไปจมลงในนรกหมกไหม้กี่กัปกี่กัลป์ที่เราเคยปฏิเสธว่านรกไม่มี เวลาเราไปเจอของจริงเข้าเป็นยังไง
เหมือนอย่างนักโทษในเรือนจำ เขาติดคุกติดตะราง เขาไม่ได้ว่าเขาจะติดนะ เขาขโมยก็ว่าตัวเขาดิบดีกว่าเจ้าหน้าที่รักษาการบ้านเมือง เขาฉลาดกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ครั้นเวลาถูกเขาจับได้แล้วเป็นยังไง ในเรือนจำมีแต่นักโทษตัวแหลมคมตัวฉลาดตัวอวดดิบอวดดี เก่งกว่าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ไปเป็นนักโทษหมดคุณค่าหมดราคา สังคมไม่ยอมรับอยู่เวลานี้ก็คือนักโทษในเรือนจำที่มันลืมตัวแต่ก่อน ว่าตัวนี้เก่งเป็นนักเลงโตแล้วเวลานี้มันโตมั้ยอยู่ในเรือนจำ อันนี้ก็เหมือนกันเวลายังมีชีวิตอยู่ก็ทำตัวเป็นนักเลงโต ธรรมะท่านสอนว่า บาปบุญนรกสวรรค์ให้ระมัดระวัง บาปอย่าทำ พระพุทธเจ้าเป็นองค์ศาสดาเอกทั้งองค์สอนไม่ได้โกหกโลก เราว่าอย่าทำบาปจะเป็นไร บาปไม่มี ตัวนักเลงโตแล้วนั่น ให้ทำบุญก็ทำไปหาอะไร ตายมาแล้วเกิดชาติเดียวเท่านั้น มีชาติเดียวเท่านี้ ชาติหน้าไม่มี อยากทำอะไรก็ทำ ทำตั้งแต่บาปอย่างเดียว
เวลาจมลงไปแล้วกำแพงผีกับหัวใจบาปใหญ่หลวงเต็มตัวนี้แล้วลงกันเข้ากันได้สนิท แล้วทีนี้ไปแก้ตัวได้ยังไง เวลาเขาจับตัวเข้าคุกได้แล้วแก้ตัวได้มั้ยนักโทษ อันนี้เวลาเข้าในแดนนรก เพราะตัวเองสร้างตัวเองลากตัวเองลงนรกแล้วจะไปปฏิเสธใคร ไปตำหนิติโทษต่อใคร ไปฟ้องร้องใครว่ามาทำตัวให้ตกนรก เพราะใครมาทำก็ตัวของตัวเองเป็นผู้ทำ ตัวของตัวเองเป็นผู้เก่งกล้าสามารถ เป็นนักเลงโต ไม่ยอมเชื่อฟังเสียงธรรมของพระพุทธเจ้า เวลาเป็นที่ตัวก็เป็นที่ตัวของเรานั้นแหละ นี่เราเป็นชาวพุทธขอให้พี่น้องทั้งหลายให้ระวังตัวให้ดี นี่หลวงตาที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ได้มาสอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ นะ เรียนก็เรียนมาเหมือนกัน เราไม่ประมาทในการเรียน เรียนมาจำได้ว่า บาปมีบุญมีนรกสวรรค์มี ท่านบอกไว้แล้วในคัมภีร์ตามหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นแล้ว แต่เวลาเราไปเรียนมันก็ได้แต่ชื่อน่ะสิ ในคัมภีร์ไม่มีบาป ในคัมภีร์ไม่มีบุญ ในคัมภีร์ไม่มีนรกสวรรค์ เปรตผีประเภทต่าง ๆ ไม่มี มีแต่ชื่อของสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น เราก็เห็นแต่ชื่อแต่นาม ทีนี้เราก็ไม่เชื่อล่ะสิ ไม่อยากเชื่อ หรือเชื่อก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
นี่เวลาเรียนมันเป็นอย่างนั้นนะ เวลาออกมาปฏิบัติแจงออกมาจากแปลน แปลนนี้คือตำรับตำรา พระไตรปิฎกนั้นคือ แปลนแห่งบาปแห่งบุญ แปลนแห่งมรรคผลนิพพานที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้โดยถูกต้องแล้ว นำแปลนนั้นออกมากาง กางคือปฏิบัติตามนั้นปฏิบัติไปเรื่อยตั้งแต่การอบรมจิตใจรักษาศีลธรรมของตนให้ดีงามแล้วปฏิบัติตนเข้าไป จิตใจมันจะว้าวุ่นขุ่นมัวขนาดไหน เพราะกิเลสถีบยันบีบบี้สีไฟมันอยู่ตลอดเวลาก็ตาม เมื่อธรรมเป็นน้ำดับไฟชะล้างเข้าไป ไฟคือกิเลสตัณหาก็ค่อยสงบลงไป เมื่อใจสงบลงไปแล้วทุกข์ทั้งหลายก็สงบไปตาม ๆ กัน มีแต่ความสุขความสำราญบานใจ สว่างขึ้นมา แดนนรกสวรรค์จะไปหาที่ไหน ใจเป็นนักรู้ เวลามันรู้มากน้อยมันก็รู้เป็นลำดับลำดาตามความสามารถของมัน เวลาจิตถึงขั้นบริสุทธิ์เต็มที่กระจ่างแจ้งเรียกว่า อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าครอบโลกธาตุแล้วจะอะไรมาปิด
พระพุทธเจ้าสอนเพื่อให้เห็นแท้ ๆ พระพุทธเจ้าเห็นมาแล้วรู้มาแล้วในสิ่งเหล่านี้ แล้วมาสอนพวกเรา กางออกมาจากพระไตรปิฎกแล้วปฏิบัติตามพระไตรปิฎกซึ่งเป็นแปลนอันถูกต้องดีงามแล้วก็ต้องรู้เห็นสิ่งต่าง ๆ โดยลำดับลำดา นี่แหละสงฆ์สาวกทั้งหลายที่รู้ตามพระพุทธเจ้าไม่ต้องไปทูลถามท่าน ไม่ต้องหาว่าพระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน กราบราบทันที เพราะความจริงประกาศอยู่ในหัวใจของผู้ปฏิบัติตามท่าน นี่ละธรรมเป็นของจริงอย่างนี้ ไม่ว่าสมัยใดกาลใดก็ตาม ธรรมเป็นของจริง อกาลิโก มีอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับกิเลส กิเลสก็เป็นอกาลิโก คว้าหากิเลสเป็นกิเลสขึ้นมา คว้าหาบาปเป็นบาปขึ้นมาทันทีจากใจดวงเดียวกัน คว้าหาบุญหาศีลหาธรรมเป็นบุญเป็นกุศลเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาจากใจดวงเดียวกันนี้เช่นเดียวกัน พิจารณาดูใจของเรามันมีความสนใจใคร่ต่อความชั่วหรือความดี
ถ้ามันยังมีจิตใจใคร่ต่อความชั่วช้าลามก แสดงว่าเรายังเก่งอยู่นะที่ตกนรกหมกไหม้มากี่กัปกี่กัลป์จำไม่ได้ก็ตาม คราวนี้มันจะไปตกอีกนะ มันยังอวดพระพุทธเจ้าที่แสดงทุกพระองค์ ว่าบาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มีทุก ๆ พระพุทธเจ้า ไม่เคยมีพระองค์ใดปฏิเสธ มันก็มีแต่เราคนเดียวปฏิเสธว่าบาปไม่มีนรกไม่มี แล้วมันก็จะสร้างความชั่วช้าลามกขึ้นที่หัวใจแล้วไปจมลงในนรกอีก พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้ เวลานี้ชาวพุทธเราห่างเหินศีลธรรมมาก เห็นกิเลสเป็นเงินเป็นทองเป็นทองคำทั้งแท่งขึ้นมาแล้วความโลภก็เก่ง ความโกรธก็เก่ง ราคะตัณหายิ่งเก่ง ผู้หญิงอยากได้ผัว ๒๐ คน ๓๐ คน มันเก่งขึ้นโดยลำดับในสิ่งที่จะเป็นไฟเผาตัวเอง ทีแรกก็มาเผาหัวอกของเมียซะก่อน เพราะผัวมันตัวคึกตัวคะนอง ไปที่ไหนมองเห็นผู้หญิงนี้ โธ๋!อยากได้ ๕ ตา ตาแมวสู้ไม่ได้แล้วอยากได้ ๕ ตา อยากดูหญิงสาว ๆ อีหนูนั่นแหละ มันชอบ เมียมันใช้ไปข้างหลัง มันไม่ให้มาเห็นนะ
เมียมันเหมือนกับตุ๊กตาคนหนึ่ง มันเห็นอีหนูเป็นเทวดาไป นี่เห็นมั้ยราคะตัณหาเวลามันปิดหูปิดตาแล้วมันเห็นเมียเป็นหมา มันเห็นผู้หญิงที่จะมาเป็นกาฝากกัดตับกัดปอดตัวของมันเองและเมีย ว่าเป็นเทวบุตรเทวดาไป มันก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน ไปที่ไหนตาสอดส่องหาตั้งแต่อีหนู นี่จิตใจลามก ห่างเหินจากอรรถจากธรรมต้องติดพันกับสิ่งชั่วช้าลามก เห็นเมียเจ้าของเป็นหมูเป็นหมาไปได้ ถ้าผู้หญิงตัวคึกตัวคะนองเห็นผัวตัวเหมือนหมาเหมือนกัน เพราะกิเลสอย่างนี้มีทั้งหญิงทั้งชายให้ต่างคนต่างระมัดระวัง ให้อยู่ดีกินดีด้วยศีลด้วยธรรม ผัวเมียนั้นแลเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย บ่อแห่งความสุขอยู่กับผัวกับเมียฝากเป็นฝากตาย มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกันนี้เป็นบ่อแห่งความสุข ท่านทั้งหลายอย่าหาความสุขนอกรีดนอกทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะเจอตั้งแต่แดนนรกเท่านั้นเผาทั้งเป็นเผาทั้งตาย ผัวเมียอยู่ด้วยกันไม่ได้ เหมือนหมากัดกันทีเดียว เพราะไปหาฟืนหาไฟมาเผากันมันจะไม่ดีดไม่ดิ้นยังไง ก็คนมีชีวิตอยู่ด้วยกัน ดีก็รู้ ชั่วก็รู้ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันจะไม่ต้านทานหรือทะเลาะเบาะแว้งกันยังไง ถ้าฟังตามอรรถตามธรรมแล้วจะไม่มีเรื่องนะ ผัวก็รู้แล้วว่าเรามีเมีย เมียก็รู้แล้วว่าเรามีผัว แล้วจะไปหายุ่งอะไรอีก เอาอะไรมาอวดผัวของเรา ผู้ชายคนนั้นมันมีกี่อัน มันก็มีอันเดียวเท่านั้น มีกี่คนก็ตามผู้ชายเอามาเป็นผัวเราร้อยคน มันก็มีคนละอันเหมือนกันกับผัวของเรามีอันเดียว ถ้าหากว่าผัวคนนั้นมี ๑๐ อัน ผัวของเรา ผู้ชายคนนั้นมี ๑๐ อันถ้าเป็นสองคนก็ ๒๐ อัน ถ้าเป็น ๓ คนก็ ๓๐ ๔๐ อัน เออ! ให้ ๆ เขาซะนะพ่ออีหนูนะ เพราะเขามีมากกว่าแกนะ แกมีอันเดียว ฉันไม่พอกิน ฉันอยากได้มากกว่านี้ ก็ควรจะเป็นไปบ้าง แต่เรื่องเขาหลอกกัน แต่ธรรมมีเท่าไหร่ผิดทั้งนั้น
ทางฝ่ายผัวก็เหมือนกันผู้หญิงคนนั้นมีกี่อัน มันเป็นเทวดามาจากไหน แล้วเมียของเรามีกี่อัน เอามาแข่งกับเมียของเรา ถ้าผู้หญิงคนนั้นเก่งกว่าเมียของเรา เมียของเรามีอันเดียวผู้หญิงคนนั้นมี ๑๐ อัน เพราะหนูคนนี้เขามี ๑๐อัน ๒๐ อัน นี่ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันบ้างในโลกราคะตัณหาตาบอด มันหลอกกันไปพอฟังกันนะ แต่เรื่องธรรมฟังไม่ได้เลย มีกี่อันก็ตามกี่คนก็ตาม ผัวเดียวเมียเดียวนี้ยอดแล้ว อย่าหามาแข่งขัน อย่าหามาเป็นวิชาหมากัดกันในบ้านในเรือน ลูกเล็กเด็กแดงที่เกิดขึ้นมากับพ่อกับแม่ มันเอาพ่อแม่เป็นแบบพิมพ์ เอาพ่อแม่เป็นตัวอย่าง ถ้าพ่อแม่เลวทรามเด็กจะกลายเป็นเด็กเลวทรามไป สุดท้ายบ้านเมืองของเรามีแต่คนเลวทราม ไปจากไหน ถ้าไม่ไปจากพ่อจากแม่ผู้เป็นแบบพิมพ์ จึงต้องระมัดระวังตัวของเราให้ดี เราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูเป็นอาจารย์ ต้องเป็นแบบพิมพ์ที่ดี เป็นคติเครื่องสอนใจแก่เด็กต่อลูกเต้าของเราด้วยดี แล้วเด็กก็จะกลายเป็นเด็กดี ลูกเป็นลูกที่ดีขึ้นไป
เราก็จะมีความสุขความ เจริญ บ้านเมืองเราจะมีขื่อมีแปมีศาสนาเป็นเครื่องปกครอง มีวรรคมีตอน มีเขามีเรา มีของเขาของเรา มีเขตมีแดน นี่เรียกว่า ธรรม ลามปามไปหมดนั้นมันใช้ไม่ได้นะ ให้พากันพินิจพิจารณา วันนี้ได้นำธรรมมาสอนพี่น้องลูกหลานทั้งหลาย เราสอนในฐานะหลวงตาสอนหลาน ให้ลูกหลานทั้งหลายนำไปพินิจพิจารณา แล้วอย่าไปเข้าใจนะว่าหลวงตาพูดหยาบพูดโลน ตัวกิเลสตัวมันทำโลกให้ล่มจมเสียหายทะเลาะเบาะแว้ง ยิ่งกว่าหมากัดกันในบ้านในเรือนมันมีไปทุกแห่งทุกหน นี่การสอนอย่างนี้พรากไม่ให้หมากัดกัน เป็นไงเป็นความผิดแล้วเหรอ อย่าไปหามามันจะเป็นหมากัดกันเป็นความผิดแล้วหรือ หรือให้ไปหามาร้อยคนสองร้อยคนให้มากัดกันมากกว่านี้อย่างนั้นเป็นความถูกต้องหรือ นี่แหละเรื่องธรรมท่านสอนไว้อย่างนี้ ให้ท่านทั้งหลายนำไปประพฤติปฏิบัติ
แล้วเวลากลางค่ำกลางคืน นี่เป็นเวลาจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะถือเป็นความจำเป็นไม่หลีกเลี่ยงด้วยอุบายต่าง ๆ ว่าต้องไหว้พระต้องสวดมนต์ แล้วทำจิตใจเราให้สงบเย็นด้วยบทภาวนา คือพุทโธก็ได้ ธัมโมก็ได้ สังโฆก็ได้ หรืออานาปานสติก็ได้ ให้มีสติบังคับอยู่กับคำบริกรรมของตนจนกระทั่งให้หลับไปกับคำภาวนา ให้ได้อย่างนี้ทุกวัน ท่านทั้งหลายจะมีความกระปรี้กระเปร่าในจิตในใจ มีความสงบร่มเย็น ใจจะเป็นหลักมีที่พึ่งเป็นของตัวเอง คือธรรม สมบัติภายนอกเป็นที่พึ่งของส่วนร่างกาย สมบัติภายในคือศีลคือธรรม มีบทภาวนาเป็นสำคัญ นี้เป็นหลักของใจเรา เป็นเรือนใจของเรา เราจะมี ทั้งเรือนใจทั้งเรือนกายด้วย เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขตลอดไปนะ ให้พากันยึดอันนี้ไปปฏิบัตินะ
หลวงตานี้สงสารจริง ๆ สอนโลกมากเข้าไปเท่าไหร่ โลกมันยิ่งมีแต่ความเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมด ความรู้มากน้อยมีแต่กิเลสมาเป็นเจ้าอำนาจถือความรู้นี้เป็นเครื่องมือฟาดหัวเรานั้นแหละ ไม่ใช่อะไร ความรู้มากรู้น้อยถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกแล้วไม่มีความหมายนะ มันสังหารทั้งตนและชาติบ้านเมือง ผู้อื่นผู้ใดก็ตาม ไม่มีกำหนดกฎเกณฑ์ เหมือนไฟได้เชื้อ นี่ให้พากันจำ วันนี้การเทศนาว่าการก็เห็นสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์ พูดไปพูดมาก็เห็นว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า และการแสดงธรรมขาดวรรคขาดตอนไปบ้าง กรุณาให้อภัยด้วยนะ ความจำมันหลงลืม พอพูดไป ๆ ตัดปึ๊บขาดไปเลย เลยจำไม่ได้ว่าพูดเรื่องอะไรมา แล้วก็ตั้งขึ้นมาใหม่ จึงไม่ค่อยได้ถ้อยได้ความเท่าที่ควรจะเป็น
การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์เวล่ำเวลา ท่านทั้งหลายมาบำเพ็ญในคราวนี้เรียกว่ามาบำเพ็ญมหากุศล คือวัตถุทานทั้งหลายที่ได้บริจาคมานี้เข้าสู่จุดใหญ่คือคลังหลวงของเรา นี่เป็นการหนุนชาติไทยของเรา ทีนี้บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการบริจาคทานของเรามากน้อยนี้ บุญนี้ไหลเข้ามาสู่ใจของเราทุกคนที่บริจาค เพราะฉะนั้น จึงว่าเราได้ประโยชน์ทั้งสองทาง คือด้านวัตถุก็เข้าสู่คลังหลวง ด้านบุญด้านกุศลที่เกิดจากการทำบุญให้ทานก็เป็นมหากุศล บุญไหลเข้าสู่จิตใจ เรียกว่าเราได้ผลทั้งสองทางด้วยความสมบูรณ์พูนผล จึงของความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องลูกหลานทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
?????www.Luangta.com ???? |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|