เชื่อกรรมก็คือเชื่อศาสนา
วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 33.22 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(Real)   วิดีโอแบบ(Win Narrow Band)   วิดีโอแบบ(Win High Band)   วิดีโอแบบ(Real)

ค้นหา :

เชื่อกรรมก็คือเชื่อศาสนา

ลูกศิษย์ : หลวงตาเจ้าคะ เมื่อวานนี้ที่ถามตกไปข้อหนึ่งเจ้าค่ะ เกี่ยวกับกฎแห่งกรรมและตัวอย่างในหลักพระพุทธศาสนา หลวงตาเคยเทศน์ออกทางอินเตอร์เน็ตบอกว่า กฎแห่งกรรมเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา

หลวงตา : ใช่ ตัวอย่างก็พระพุทธเจ้าทรงสร้างพระบารมีมาทุก ๆ พระองค์ ตั้งแต่ ๑๖ อสงไขยบ้าง ๘ อสงไขยบ้าง ๔ อสงไขยบ้าง นี้คือกรรมดี เข้าใจไหม กฎแห่งกรรม แล้วผลปรากฏขึ้นมาพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์สำเร็จขึ้นมาจากการสร้างบารมี คือการสร้างกรรมดี เข้ากันได้แล้วยัง (เข้ากันได้แล้วเจ้าค่ะ) ก็อย่างนั้น เหตุกับผลติดกันมาเลย ๆ พอทำปั๊บนั่นเรียกว่าสร้างเหตุขึ้นแล้ว ผลก็ติดตามมา พอเข้าใจกันแล้วนะ ตัวอย่างก็ชัด ๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าลอย ๆ เกิดมาด้วยหลักคือกรรม เพราะฉะนั้นจึงว่ากรรมจึงเป็นของสำคัญ กรรมเป็นแก่นของพุทธศาสนา มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา คือใจ แก่นของศาสนาอยู่ที่ใจไม่อยู่ที่อื่น แก่นของศาสนาคือกรรม อยู่ที่ใจ กรรมอยู่ที่ใจเลย

พูดง่าย ๆ อย่างใกล้ ๆ นี่หลวงตาบัวตอนเช้ามานี้ ถ้าแต่ก่อนก็หิวอาหารมากมากิน ทุกวันนี้ไม่หิวมากแต่กินได้ การกินนี้สร้างเหตุ เข้าใจไหม ผลคือความอิ่ม ก็เห็นอยู่ชัด ๆ จะให้ว่ายังไงอีก มันติดแนบ ๆ อยู่อย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อกรรมแล้วก็เรียกว่า ไม่เชื่อพุทธศาสนา ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ว่าทุก ๆ พระองค์ก็ได้ถ้าไม่เชื่อกรรมเสียอย่างเดียว กรรมเป็นเครื่องประกาศศาสนาออกมา ออกมาจากกรรม หลักของศาสนาแท้ก็คือใจ ขึ้นใจก่อน ใจเคลื่อนปั๊บแสดงกรรมแล้ว เคลื่อนไหวดีชั่วปั๊บแสดงดีชั่ว ทำดีทำชั่วแล้ว มโนกรรม ออกมาวาจาก็เป็นวจีกรรม ออกไปทางกายทำนั้นทำนี้ก็เป็นกายกรรมทั้งดีทั้งชั่ว ออก ๓ สถานนี้ มโนกรรม วจีกรรม กายกรรม

คนไม่เชื่อการทำของตัวเอง จึงทำความชั่วช้าลามกได้มาก ถ้าเชื่อในการทำของตัวเองแล้วจะไม่ทำ ก็คือเชื่อกรรม เชื่อกรรมก็คือเชื่อศาสนานั่นเอง แต่นี้มันไม่เชื่อ เรื่องเหล่านี้มันก็จับจุดที่ผู้ทำนะ จับจุดที่ผู้ทำผู้สนใจในการทำของตัวเอง ผู้ทำจะไม่สนใจในการทำไม่ทราบว่าดีชั่วก็ไม่ได้เรื่อง ไปติดคุกติดตะรางมันไปออกลวดออกลายอีกว่า เขาหาว่า ไม่ยอมรับการทำของตัวเอง แล้วความจริงไปทำจริง ๆ เหรอ จริง ๆ ล่ะครับ ให้ประจักษ์จริง ๆ ไม่มีอะไรเกินจิตตภาวนา อันนี้ก็เรียกว่าเป็นรากแก้วของมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานจะขึ้นตรงนี้เลยจิตตภาวนา

บุญกุศลศีลทานที่ทำ ๆ นั้นไหลเข้ามาปากคอก ๆ อำนาจแห่งทาน แห่งศีล แห่งอะไร ๆ ที่เราทำมามากน้อยจะนานแสนนานขนาดไหนอยู่ในนั้น ติดอยู่ปากคอก ป้วนเปี้ยน ๆ อยู่นั้น พอภาวนานี้ไล่เข้าคอก ถ้าว่าน้ำก็ไหลมาเต็มอยู่นี้ แล้วก็เข้าทำนบ ทำนบคือจิตตภาวนา บุญกุศลทั้งหลายเท่ากับสายน้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้ามารอที่ทำนบ ถึงเวลาที่จะเอาจริงเอาจังสำเร็จประโยชน์เป็นที่รวมยอดจริง ๆ แล้วลงภาวนาทั้งนั้น คือ ทานนี้มากขนาดไหน ศีลมากขนาดไหนทำมาเหล่านี้ มารวมอยู่ในนี้หมด พอภาวนาเรียกว่าสร้างทำนบหรือเปิดทำนบรับน้ำไหลเข้า จ้า ทีนี้เห็นหมด

เวลาเราทำไม่หายไปไหน แต่ไม่เห็น อยู่นี้ ๆ พอจิตตภาวนาเปิดขึ้นเหมือนกับว่าเราสร้างเขื่อนใหญ่เต็มที่แล้ว เปิดที่นี่ก็รับน้ำผึงเลย น้ำที่ไหนลงที่นั่นหมด ประจักษ์ลงที่จิตตภาวนา รวมลงนี้หมดเลย รวมที่จิตตภาวนาก็คือใจนั่นเอง มันก็ลงที่ใจ ๆ ไม่ไปที่อื่น ท่านจึงสอนว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา เราเอาย่อ ๆ สิ่งทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน สำเร็จแล้วด้วยใจ ทำดีก็สำเร็จอยู่ที่ใจ ทำชั่วสำเร็จอยู่ที่ใจ ไม่ออกจากนี้ไปเลย เรื่องภาวนานี้ชัดมากทีเดียว เรียกว่าเหมือนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าตลอดเวลา การภาวนาเข้าถึงจิตที่เข้าหลักเข้าเกณฑ์แล้ว ยังกระเทือนถึงองค์ศาสดาตลอดเวลาในหัวใจของนักภาวนา อยู่ตรงนี้ ๆ หมดไม่เคลื่อนไปไหน ผางออกมาก็คือองค์ศาสดาเต็มส่วนแล้ว คำว่าผางออกมาได้แก่ ตรัสรู้ธรรมหรือบรรลุธรรมผึงขึ้นมา กิเลสขาดสะบั้นไปหมด เป็นศาสดาองค์เอกเต็มดวงในหัวใจเราเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไร อันนี้กับศาสดาองค์เอกคืออันเดียวกัน เป็นอย่างนั้นนะ

นี่เป็นเหตุที่จะให้พูดอีก เมื่อคืนนี้ก็พูดแล้วเรื่องนี้ มันก็เป็นเหตุที่จะให้พูดอีก ใครจะว่าบ้าก็ตาม นี่บ้ากำลังสอนท่านทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายเข้าใจว่าหลวงตาบัวเป็นบ้า นี่หลวงตาบัวกำลังเป็นบ้า กำลังจะพูดให้ท่านทั้งหลายหูดี ๆ ให้ระวังให้ดีเดี๋ยวบ้าจะเข้า เข้าใจไหม ประจักษ์อยู่นี้เลยเทียวกับองค์ศาสดา ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อันนี้ตั้งแต่อ้อนแต่ออก พ่อแม่ปู่ย่าตายายเราสอนอรรถสอนธรรม ก็คือ พระรัตนะทั้งสาม พุทโธ ๑ ธัมโม ๑ สังโฆ ๑ เราก็ติดจิตติดใจมาจนกระทั่งวาระนั้นแหละ วาระที่ตัดสินใจกันนั้น พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยังเป็น พุทโธ ธัมโม สังโฆ เต็มความรู้สึกมาดั้งเดิมไม่เคลื่อนคลาด

พอกิเลสขาดสะบั้นออกจากใจผางขึ้นเท่านั้นที่นี่นะ นี่ท่านทั้งหลายฟัง ภาษาบ้านะ ภาษาบ้านี้เกิดขึ้นเราเทียบแล้ววันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ แต่เวลาไปเทียบปฏิทินร้อยปีมันตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภา เราเลยบอกว่าวันที่ ๑๕ พฤษภา ความจริงเราจำได้แต่แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ เราไปเทียบแล้วมันตรงกับวันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นั่นละที่นี่ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ก็ไม่เคยสะดุดใจนะ พอกิเลสเปิดจ้าขึ้นในขณะนั้น เราไม่ได้วัดรอย เราไม่มีความรู้สึกวัดรอย แต่ความรุนแรงแห่งความอัศจรรย์ในจิต ระหว่างกิเลสกับธรรมได้พรากจากกันที่จิตของเรา ขาดสะบั้นจากกันผางเดียวเท่านั้น ขึ้นมาผางนี้ ขึ้นแล้วนะนี่ เราได้คิดไว้เมื่อไร

เหอ ขึ้นเลยทันที ใครจะไปวัดรอยพระพุทธเจ้า ก็กราบท่านอยู่ตลอดเวลา พอผางขึ้นมาแล้ว เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ๆ นั่นเห็นไหมล่ะ วัดรอยพระพุทธเจ้าที่ไหน คือมันผางขึ้นเป็นพยานกันแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ ๆ อยู่งั้น ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ พระสงฆ์แท้อย่างนี้ละเหรอ ขึ้นแล้วเข้าแล้วเป็นอันเดียวกันแล้ว ผางขึ้นมาเป็นอันเดียวกันเลย เหอ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วเข้าใจไหม ใครคิดไว้เมื่อไร พุทโธ ธัมโม สังโฆ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันก็ปรากฏขึ้นในเวลานั้นแล้วไปถามใคร ก็มันกระจ่างอยู่นั้นแล้ว เหอ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง คือเป็นธรรมชาติอันเดียวกัน เป็นความบริสุทธิ์ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ถ้าเราแยกออกมาอีกก็เรียกว่าเป็นธรรมธาตุล้วน ๆ แล้ว กระเทือนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์เลยไม่มีเว้นแม้พระองค์เดียว แล้วถามหาพระพุทธเจ้าหาอะไร

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลกนี้กี่พระองค์ถามหาอะไร เป็นเหมือนน้ำมหาสมุทร ไหลลงมาจากสายต่าง ๆ มารวมลงเป็นแม่น้ำมหาสมุทร ก็พูดได้คำเดียวว่า น้ำมหาสมุทร จะเรียกน้ำสายนั้นสายนี้มาอย่างนั้นไม่ได้ พูดได้แต่เพียงว่าน้ำมหาสมุทรคำเดียว ทีนี้บรรดาผู้ที่สร้างบารมีมามากน้อย ซึ่งเทียบกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ไหลเข้ามา ๆ ผู้ใกล้เข้ามา บารมีแก่กล้าก็ใกล้เข้ามา ผู้อยู่ห่างไกลบารมีกำลังสร้างก็เดินตามหลังกันมาเรื่อย ๆ เหมือนแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่จะไหลลงมหาสมุทร พอมาถึงมหาสมุทรแล้วเรียกได้คำเดียวเป็นมหาสมุทรเหมือนกันหมดเลย

อันนี้จิตของผู้สร้างบารมี พอไหลเข้า ๆ ถึงแดนอัศจรรย์ที่ว่านี่ มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุ ลงนี้ผึงเดียวเท่านั้นไม่ได้มีละที่เรียกว่า มาจากแม่น้ำสายนั้นสายนี้ สายไหนลงถึงนั้นแล้วเป็นมหาสมุทรไปเลย เป็นธรรมธาตุ เป็นอันเดียวกันเลย ๆ ไม่มีคำว่าสอง แล้วจะทูลถามหาพระพุทธเจ้าที่ไหนไม่มี ไม่สงสัย จ้าออกมาแล้วพระพุทธเจ้ากี่องค์รู้หมดเลย เป็นอันเดียวกันหมด เหมือนน้ำมหาสมุทร จ่อมือลงปั๊บกระเทือนหมดแล้ว พอจิตนี้ผางขึ้นมานี้กระเทือนหมดบรรดามหาสมุทร คือ มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือธรรมธาตุ จ้าอันเดียวกันหมด ถามพระพุทธเจ้าทำไม นี่ซีถึงได้มาพูด เขาก็จะว่าเป็นบ้าซิ

จุดสุดท้ายอีกจุดหนึ่งนะ เขาว่าพระพุทธเจ้ามีเท่านั้นพระองค์ เท่านี้พระองค์ แล้วเขายังเขียนไว้ใน สมฺพุทฺเธ อฏฺฐวีสญฺจ เราอ่าน แล้วก็ไปเขียนฟุตโน๊ตไว้ข้างล่าง ถึง สมฺพุทฺเธ นวุตฺตรสเต อฏฺฐจตฺตาฬีสสหสฺสเก วีสติสตสหสฺสานิ นมามิ สิรสา อหํ. เรากราบพระพุทธเจ้าเท่านั้นล้านเท่านี้ล้านองค์ เขาเขียนฟุตโน๊ตไว้ว่า สุดวิสัยที่จะกลืน คือไม่เชื่อ เราสลดสังเวชผางทันทีเลย โถ อย่างนี้คนมีกิเลสมาจดจารึกธรรมให้เป็นส้วมเป็นถานไปด้วยกันหมด พระพุทธเจ้าเพียงล้าน ๆ พระองค์เท่านั้นก็ไม่ยอมเชื่อแล้ว ถ้ามากกว่านี้จะเป็นยังไง นี่ประกาศขายความเลวร้ายของตัวเอง เอาส้วมเอาถานไปโปะธรรมที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ให้มิดไปเลย ไม่ให้เชื่อ เข้าใจไหม

แล้วทีนี้เวลาจะนับพระพุทธเจ้าให้เต็มหัวใจที่เป็นนี่นะ น้ำมหาสมุทรอย่าเอามาเทียบว่างั้นเลย พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมากี่พระองค์ แล้วกี่กัปกี่กัลป์ ๆ ต้นไม่มี ปลายไม่มี ยังจะตรัสรู้มาเรื่อย แม้จะทีละองค์ห่าง ๆ ก็ตามแต่ตรัสรู้ไม่ถอยใช่ไหม นานเข้า ๆ ก็มากเอง เหมือนน้ำมหาสมุทร ฝนตกทีละหยดละหยาด มันเม็ดใหญ่ที่ไหนเม็ดฝนเท่านี้ แล้วเป็นยังไงมหาสมุทรมีน้ำมากขนาดไหน ออกไปจากไหน ออกจากฝนทีละหยดละหยาดใช่ไหม นี่พระพุทธเจ้าที่เต็มท้องฟ้ามหาสมุทรเป็นธรรมธาตุครอบโลกธาตุ ก็เหมือนกับน้ำมหาสมุทรที่ออกมาจากฝนทีละหยดละหยาด นี้ออกมาจากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ที่ตรัสรู้ พระอรหันต์ที่ตรัสรู้แต่ละองค์ ๆ เท่ากับน้ำทีละหยดละหยาด กลายเป็นธรรมธาตุครอบหมดโลกธาตุ เข้าใจหรือเปล่าล่ะ เป็นอย่างนี้ละเทียบเอา

นี้ยันเลยใครจะว่าเป็นบ้าเราจะเป็นตลอดตายเรา เราไม่ยอมถอนบ้าแบบนี้ ถึงว่าท่านทั้งหลายจะฟังเสียงบ้าก็ให้ฟังเสียนะ เราเป็นอย่างนั้น องค์เดียวเราเท่านี้พอ กับพระพุทธเจ้าทั้งหลายเราไม่มีสงสัยแล้ว กระเทือนครอบโลกธาตุ เป็นศาสดามานานเท่าไร แล้วยังจะเป็นต่อไปอีกนะ พระพุทธเจ้าองค์นี้แล้ว พระอริยเมตไตรยมา จากนั้นท่านก็บอกเป็นอนาคตวงศ์ เท่านั้นองค์เท่านี้องค์ พอองค์นี้มาตรัสรู้แล้วก็บอกต่อไปเรื่อย ๆ แล้วยังมีบอกอีก พระพุทธเจ้า ๑๐ พระองค์ที่เลยจากพระอริยเมตไตรยไปนี้ เป็นอนาคตวงศ์ ๑๐ พระองค์ จะต่อกันไปเรื่อย จากนั้นก็ต่อกันไปอย่างนี้ละ ท่านพูดผิดเมื่อไร

นี่ละที่ว่าสุดวิสัยพระพุทธเจ้าจะสอนโลก คือความรู้ของศาสดาองค์เอก กับความรู้ของเต่าของตุ่นของพวกเรานี้เป็นยังไง พิจารณาซิ ศาสดาที่มาสอนโลกเป็นคนโง่คนตาบอดที่ไหน จ้ามาด้วยกันหมด โลกวิทู ๆ สอนโลกด้วย โลกวิทู เหมือนกันหมด จะผิดกันที่ไหน เป็นยังไงบอกอย่างนั้น อันใดที่ผิดเพี้ยนกันบ้างท่านก็บอก ที่นอกจากนั้นไม่ผิดเพี้ยนท่านก็บอกว่าเหมือนกันหมด

เช่นอย่างลงอุโบสถสังฆกรรม พระสงฆ์มีจำนวนมากน้อยต่างกันท่านก็บอก คืออำนาจวาสนาบารมีของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ แล้วการรื้อขนสัตว์ได้มากน้อยต่างกันนี้ ท่านก็บอกว่าไม่เหมือนกัน แน่ะท่านก็บอกไว้ พระพุทธเจ้าประเภทสร้างพระบารมีมาถึง ๑๖ อสงไขยแสนมหากัปนี้ นี่เป็นพระพุทธเจ้าชั้นหนึ่งเลย ที่สั่งสอนสัตว์ทั้งหลายได้มาก รองลำดับมาก็ ๘ อสงไขย รองลำดับมาก็ ๔ อสงไขยอย่างพระพุทธเจ้าของเราท่านก็ยอมรับ พระพุทธเจ้าก็ยอมรับ ว่าไม่ได้มาก ท่านไม่เห็นโอ้อวดวะ ได้ขนาดไหนก็ได้อย่างนั้น นี่ที่ผิดกันท่านก็บอกว่าผิดกัน

การลงอุโบสถสังฆกรรม บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ท่านมีพระชนมายุยืนนานตั้ง ๗ ปีท่านมาลงอุโบสถร่วมประชุมสวดปาฏิโมกข์ทีหนึ่ง ๆ พระสงฆ์ก็กลมกลืนสามัคคีกันตลอดถึง ๗ ปี ไม่มีความร้าวราน ไม่มีความแตกร้าวกันพอที่จะมาทดสอบกัน เอาธรรมวินัยปาฏิโมกข์มาเป็นสักขีพยานยืนยัน ท่านก็สงบกันมาอย่างนี้ แล้วก็ย่นลงมา ๗ ปีแล้วก็มา ๖ ปี ถึง ๗ เดือนลงอุโบสถทีหนึ่ง แต่ของเราตถาคตนี่ ๑๕ วันเท่านั้น บอกแล้วนะ ถ้าเลยจากนี้พระสงฆ์ร้าวรานเรื่องหลักธรรมวินัย ต้องลงอุโบสถทดสอบวินัยของพระ การดำเนินชีวิตของพระ ดำเนินตามหลักพระวินัย ท่านต้องได้มาประชุมปาฏิโมกข์ทุก ๑๕ วัน

พระชนมายุของพระพุทธเจ้าทั้งหลายส่วนมาก มีแต่เป็นหมื่น ๆ ปี ๗ หมื่นปี ๘ หมื่นปี ท่านถึงจะสิ้นพระชนม์ แต่เราตถาคตนี้เพียง ๘๐ เท่านั้น ก็บอกไว้แล้ว พอ ๘๐ ก็เสด็จไปเลยไปเมืองกุสินารา ไปนิพพานเลย เห็นไหมล่ะเคลื่อนไหม ก็อย่างนั้น อันไหนที่ผิดแปลกจากกันก็มี แล้วเราก็มาเห็นในคัมภีร์ยังมีอีกนะ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งมีพระชนมายุเพียง ๕๐ ปีปรินิพพาน มีพระองค์นี้องค์หนึ่ง กับพระพุทธเจ้าของเรา ๘๐ ปีองค์หนึ่ง นอกนั้นมีแต่หมื่น ๆ ปีขึ้นไป ท่านก็บอกไว้ในตำรา อย่างพระพุทธเจ้าท่านก็บอกไว้ เอาองค์ท่านเป็นพยานเลย ที่อายุน้อยที่สุดก็คือเรา ๘๐ ปีเท่านั้นตาย พอ ๘๐ ปีเต็มแล้วท่านก็ไปเลยใช่ไหมล่ะ นิพพานเดือน ๖ เพ็ญก็ปึ๋งเลยนั่นผิดไหมล่ะ นั่นละท่านว่าไว้ยังไง พระญาณหยั่งทราบหมดแล้วจะผิดไปไหน

เพราะฉะนั้นจึงว่าผู้ใดก็ตาม ถ้าปรารถนาพุทธภูมิหรือปรารถนาเป็นอัครสาวกข้างซ้ายข้างขวา จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทำนายแล้ว ยังมีพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงได้ อาจล้มเหลวไปก็ได้ ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายไว้เรียบร้อยแล้ว ยังไงก็ต้องเป็น ท่านจึงเรียกว่า เอกนามกึ หนึ่งไม่มีสอง ถ้าลงทำนายแล้วเป็นยังงั้น นี่เธอจากนั้นไปเท่านั้นกัปเท่านั้นกัลป์ ไม่ใช่น้อย ๆ นะ เธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้าชื่อว่าอย่างนั้น สาวกข้างซ้ายข้างขวาชื่อว่าอย่างนั้น ๆ บอกไว้อย่างนี้ เคลื่อนไม่ได้เลย เปลี่ยนยังไงก็ไม่ได้ เพราะพระญาณหยั่งทราบไว้เรียบร้อยแล้ว ตายตัวแล้ว จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

ถ้ายังไม่ทรงทำนายแล้วยังเปลี่ยนไปได้ ๆ อย่างหลวงปู่มั่นท่านพูดให้ฟังเอง ไม่ใช่ผู้ใดพูด ท่านบอกว่าท่านก็เป็นนิสัยพุทธภูมินั่นเอง พูดง่าย ๆ คือทีแรกท่านปรารถนาพุทธภูมิ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ครั้นปรารถนาไป ๆ แล้วก็บำเพ็ญเพียรไปนั่นซี เวลาท่านออกภาวนา พอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร นิสัยโพธิญาณจะผ่านแย็บเข้ามา ว่างั้นนะ พอจะเข้าด้ายเข้าเข็ม ที่จะลงถึงที่ของจิตให้เป็นที่ภูมิใจครั้งใดแล้ว สายโพธิญาณจะแย็บเข้ามา แล้วถอยเสีย พอสายโพธิญาณแพล็บเข้ามา ก็บารมีของท่านนั่นเอง แพล็บเข้ามานี่ผ่าน ท่านถอยเสีย ท่านว่างั้น หลายครั้งหลายหน ความอยากพ้นทุกข์ก็เหลือกำลัง ความอยากเป็นพระพุทธเจ้าก็เหลือกำลังเหมือนกัน แต่ความอยากพ้นทุกข์มันมีอยู่ทุกอิริยาบถ ท่านว่าอยากพ้นทุกข์ ๆ ส่วนความอยากเป็นพระพุทธเจ้า มีเป็นระยะ ๆ ทีนี้ความที่อยากพ้นทุกข์นี้มันติดแนบอยู่ตลอดเวลา ก็เลยทำให้หวนเหเรรวนไป เออ เป็นพระพุทธเจ้าที่ต่างกันก็คือว่า เป็นผู้มีอำนาจวาสนา แนะนำสั่งสอนสัตว์โลกได้มากมายก่ายกอง

แต่สำหรับเป็นสาวกแล้วความพ้นทุกข์ก็เหมือนกัน คือพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย เรียกว่าความบริสุทธิ์เสมอกัน ความพ้นทุกข์เสมอกันไม่มีอะไรต่างกัน อันนี้ไม่ต่างกันเลย ที่ต่างกันก็เพียงเท่านั้น เราพ้นทุกข์ไปเสียก็จะดี ท่านว่างั้นนะ สุดท้ายอันนี้ก็มาผ่านอยู่ในจิตตลอดเวลาที่จะให้หลุดพ้นจากทุกข์ ท่านเลยเอนมาทางนี้ เอ้า เป็นพระพุทธเจ้าก็ยกให้แหละว่างั้น ทีนี้เป็นสาวกก็ขอให้พ้นทุกข์ก็พอ บริษัทบริวารวาสนาอะไรมากน้อยไม่เอาแหละ เอาความบริสุทธิ์พ้นจากทุกข์เหล่านี้พอเลย ท่านเลยตัดสินใจลง ทีนี้จะไม่ไปทางของโพธิสัตว์ จะไปทางพ้นทุกข์เรียกว่า สาวกภูมิ ภูมิของสาวกแล้วที่นี่ พลิกมาทางนี้

จิตพอเข้าด้ายเข้าเข็มปั๊บนี่ลงผึง ๆ หายกังวล ท่านว่านะ เพราะท่านปลดเปลื้องเรื่องสายโพธิญาณที่เคยมาผ่านเสมอ ๆ ออกเรียบร้อยแล้ว สายแห่งความพ้นทุกข์ในปัจจุบัน ๆ มันก็มีกำลังแรงพุ่ง ๆ เลย แล้วก็ผ่านไปเลยง่าย ท่านพูดเองนี่ เพราะฉะนั้นนิสัยของท่านจึงแตกต่างอยู่มาก แม้จะเป็นพระสาวกก็ตาม แต่นิสัยลวดลายศาสดาของท่าน โอ๋ย ไม่ใช่เล่น ๆ ความรู้ความเห็นแตกต่างอะไรอย่างนี้ผิดที่ไหน เพราะฉะนั้นท่านพูดว่า อายุของท่าน ๘๐ ปี ท่านก็พูดไว้แล้วนี่นะ ประกาศในท่ามกลางสงฆ์ พระสงฆ์ที่นั่งอุโบสถใครจะไม่ได้ยิน ใครจะตั้งใจให้ตั้งใจนะ บอกตรง ๆ อย่างนี้เลย พระสงฆ์ ๕๐-๖๐ องค์นั่งลงอุโบสถกัน คือวัดนั้นบ้างวัดนี้บ้างอยู่ตามป่าตามเขา ถึงวันอุโบสถ บ่ายโมง พระฉันจังหันเสร็จแล้ว ระยะทาง ๑๓-๑๔ กิโล ๕ กิโล ๖ กิโล มารวมกันตอนเช้า พอตอนบ่ายโมงท่านก็ประชุมพาลงอุโบสถ

พอหลังอุโบสถแล้วท่านเทศน์ เทศน์อย่างนั้นทุกวันอุโบสถ นี่ใครจะตั้งใจให้ตั้งนะ เอาขนาดนี้นะป้าง ๆ เลย ใครเป็นยังไงเรื่องจิตตภาวนา ให้มาพูดให้ฟัง การแก้จิตใจนี่มันลำบากนะ ไม่รู้แก้ไม่ได้นะ นั่นฟังซิ การแก้จิตใจเป็นของลำบากมากนะ ถ้าไม่รู้แก้ไม่ได้ เวลานี้ภิกษุเฒ่ายังมีชีวิตอยู่ เอา ใครสงสัยข้อไหนให้ถามมา โน่นน่ะฟังซิป้าง ๆ เลย นี่อายุไม่นานนะไม่เลย ๘๐ นะฟังซิ เวลานี้ก็ได้เท่านั้นปีแล้ว ท่านก็นับข้อมือให้ดูอีก เวลานี้ได้เท่านี้ แล้วก็เท่านั้น ๆ พอไปถึง ๘๐ ปีปั๊บ นั่นเห็นไหม มันนานไหม นั่นฟังซิ ใครจะตั้งใจให้ตั้งใจนะ ใครจะไม่จำได้ลงขนาดนั้นแล้วใช่ไหม

ทีนี้พอเริ่มป่วยนะที่นี่ เอาชัดเจนตรงนี้เอง ก็ท่านอนุญาตเอง เราไปเที่ยวที่ไหน ไม่เคยดันทุรัง เราไม่เคยมีอย่างนั้น อนุญาตกันเรียบร้อยแล้วให้ไปเที่ยวกรรมฐาน เราก็บอกสถานที่ที่จะไป เพราะท่านถามจะไปทางไหน ๆ เราก็บอก คราวนี้คิดว่าจะไปทางนั้น ๆ เออ เอ้า ไปนะ บางทีท่านก็พูดหยอกเล่นบ้าง เอา เอาให้ดีนะ อย่างนี้ก็มี เอา เอาให้ดีนะท่านว่า ท่านพูดหยอกเล่นเฉย ๆ ดีไม่ดีมาทีไรมีแต่หนังห่อกระดูกลงมา จะดีหรือไม่ดีก็ไม่ทราบ ท่านก็รู้อยู่แล้ว

พอดีมาถึงวันนั้น ไม่ลืมนะ วันแรม ๑ ค่ำเดือน ๔ นั่นเห็นไหม ถ้ามีเหตุการณ์ไม่ลืม วันเรามาถึง(วัดป่าหนองผือ) ท่านเป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๔ เริ่มป่วยขึ้น ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำเราเดินทางมาก็เลยลงอุโบสถองค์เดียว อุโบสถองค์เดียวพระวินัยก็มี เราลงอุโบสถของเราแล้วเราก็มา พอวันแรมค่ำหนึ่งก็มาถึงท่าน พอกราบมับ ๆ ท่านมหาไปไหนมาล่ะ ไปที่ไหนมา ขึ้นเลยทันทีเปรี้ยง ๆ เลย ไปยังไงกัน ทั้ง ๆ ที่ท่านอนุญาตนะ นี่ที่วิเวก ที่ไหนมันก็วิเวกไปหมดแหละถ้าใจไม่เป็นบ้าเสียอย่างเดียว ถ้าใจเป็นบ้าไปอยู่ไหนมันก็ไม่วิเวกอย่างว่าใช่ไหม ท่านพูด

นี่เริ่มป่วยแล้วนะ เริ่มป่วยเมื่อวานซืน วานซืนก็คือวันขึ้น ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำก็เมื่อวาน วันแรมค่ำหนึ่งก็วันที่เราไปถึง นี่เริ่มป่วยแล้วนะ จากนั้นก็ขึ้น ป่วยครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย เห็นไหมล่ะฟังซิน่ะกล้าหาญไหมล่ะ ป่วยนี้เป็นครั้งสุดท้ายไม่มีหาย เอายาเทวดามาใส่ก็ไม่หาย มีแต่จะตายท่าเดียว แต่มันไม่ตายง่ายนะ โรคนี้เป็นโรคทรมาน เขาเรียกว่าโรคคนแก่ โอ๊ย ไม่ลืมนะ เขาเรียกว่าโรคคนแก่ ต้องทรมานอยู่นานกว่าจะตาย คือครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย การเจ็บไข้ได้ป่วยไม่มีหาย ท่านบอก ต้องตายถ่ายเดียว เอายาเทวดามาใส่ก็ไม่หาย มันก็เหมือนกับเอาน้ำมารดต้นไม้ที่มันตายยืนต้น ให้มันผลิดอกออกใบมันจะเป็นไปได้ยังไง ความหมาย นี่ก็ยังไม่ล้มเท่านั้นเอง ท่านว่า เราก็ไม่ลืม ตั้งแต่นี้ต่อไปโรคนี้จะไม่มีหายจะถึงวาระสุดท้ายเลย แต่เป็นโรคทรมานไม่ตายง่ายแหละ เขาเรียกว่าโรคคนแก่ ๗ เดือนใช่ไหมล่ะ เราก็นับปั๊บจนกระทั่งถึงวันท่านมรณภาพ ๗ เดือน

อย่างนี้แหละผิดไหมล่ะ ๘๐ ปี แต่ก่อนประกาศก็ประกาศไม่เลย ๘๐ นะ ชี้นิ้วเลยเทียวนะ ใครจะเร่งให้เร่งนะ ไม่เลย ๘๐ เวลานี้ก็ได้เท่านั้นปี แล้วก็นับนิ้วให้เห็นด้วย พอถึง ๘๐ ปั๊บนี่มันนานไหม นานอะไรล่ะดูซิ มันจับได้ทุกกิทุกกีนะเรา ท่านก็เฉยนะที่นี่ เจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนไม่ใช่คนเจ็บคนไข้นะ เฉยธรรมดา ๆ ธรรมดาท่านเหมือนไม่มีโรคมีภัย เป็นปรกติ แต่ใครก็รู้ว่าท่านไม่สบาย เอายานั้นมาเอายานี้มาให้อะไรท่านก็เฉย ท่านไม่สนใจ ยาแยอะไร ท่านว่า ยาแยอะไร หายุ่ง นั่นฟังซิท่านบอก หามายุ่ง อยู่นี่สบายแล้ว

เรื่องธรรมถ้าลงได้เข้าถึงใจแล้ว ไม่ต้องหาอะไรมาเป็นพยาน จ้าขึ้นเท่านั้นพอแล้ว นี้พูดจริง ๆ จะว่าบ้าก็บ้าเต็มสัดเต็มส่วน ไม่เคยกระดิกพลิกแพลงในการจะคิดเปลี่ยนแปลงอะไรในความเห็นความรู้อันนี้นะ ไม่เคย ตั้งแต่มันจ้าขึ้นเท่านั้นแล้ว ทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร เท่านั้นพอ พระพุทธเจ้ามีกี่พระองค์ถามหาอะไร นั่น มันจ้าอยู่นั้นครอบหมดไปแล้ว มองดูน้ำมหาสมุทรถามหาอะไร มีกี่หยดกี่หยาดถามหาอะไร รู้แล้วว่าน้ำมหาสมุทร นี่ธรรมชาติที่ครอบโลกธาตุเป็นธรรมธาตุถามหาอะไร ถามพระพุทธเจ้า เป็นอย่างเดียวกันนี้หมด พระสงฆ์สาวกบรรดาที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ เป็นอันเดียวกันหมด ธรรมชาตินี้มันก็อยู่ในท่ามกลางเป็นอันเดียวกันหมดแล้ว แล้วจะถามหาอะไร

นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า คงเส้นคงวาหนาแน่น ที่ท่านประกาศเอาไว้ว่า อกาลิโก คือไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลามาทำลายได้ นอกจากตัวเองทำลายตัวเองและส่งเสริมตัวเองเท่านั้น ธรรมจะเกิดมีขึ้นก็เพราะตัวเองบำรุงรักษา ธรรมจะฉิบหายลงไปก็เพราะตัวเองทำลาย มีเราเป็นตัวประกัน ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติธรรมก็คงเส้นคงวา กิเลสก็เหมือนกัน ท่านก็บอกว่าเป็น อกาลิโก เหมือนกัน จะทำให้เป็นกิเลสเมื่อใดเป็นได้ทุกเวลา จะทำให้เกิดศีลเกิดธรรมเมื่อใดเป็นได้ทุกเวลาจากหัวใจดวงเดียวกัน

เพราะใจดวงนี้บรรจุไว้ทั้งกิเลสและธรรมอยู่ด้วยกัน ทางไหนมีกำลังกล้าก็ตีกันลง ทางชั่วกิเลสมีกำลังกล้าตีธรรมลง ถ้าธรรมมีกำลังกล้าก็ตีกิเลสลง เมื่อธรรมกล้าขึ้นไปตีลง ๆ ฟาดจนแหลกขาดสะบั้นลงไปแล้วบรรลุธรรมปึ๋ง ก็ออกจากหัวใจดวงเดียวกันนี้ จะมีเมืองอินดงอินเดียที่ไหน อยู่ในหัวใจนี้ อินเดียก็เอาหัวใจเป็นที่ตั้ง กิเลสมันเหยียบอินเดียคือหัวใจเรานั่น อินเดียที่ไหน กิเลสมันเหยียบอยู่ที่เมืองอินเดียหัวใจเรานั่น ธรรมก็เจริญที่อินเดียนี้

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่อินเดียคือหัวใจของเรา ปรินิพพานดับสมมุติทั้งหลายก็ตรัสอยู่ที่ธาตุที่ขันธ์นี้เหมือนกันหมด แล้วไปหาอินเดียที่ไหน เรายกไว้สำหรับการกราบไหว้บูชาเป็นขวัญตาขวัญใจ สถานที่ที่ควรเคารพบูชา แต่จะหลงจนเกินตัวอย่างนั้นเราไม่เห็นด้วยเข้าใจไหมล่ะ ต้องให้มีนอกมีในซิ นั่นสถานที่ตรัสรู้ สถานที่เราตรัสรู้ ตรัสรู้ที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ ด้วยอะไร ท่านเอาอะไรมาปฏิบัติ เราก็เอาอันนั้นมาปฏิบัติตัว เราก็ตรัสรู้ขึ้นมาได้ แน่ะก็วิธีการอันเดียวกัน ธรรมอันเดียวกัน ธรรมไม่ได้เปลี่ยนแปลง กิเลสเป็นประเภทเดียวกันไม่ได้เปลี่ยนแปลง แก้กิเลสแก้ด้วยธรรมอย่างเดียวกันไม่เปลี่ยนแปลง แล้วอันไหนจะสูงจะต่ำ อันไหนจะครึจะล้าสมัย นอกจากเราเสียเองเป็นผู้ทำให้ครึให้ล้าสมัยให้กิเลสเหยียบเอา ๆ ด้วยความขี้เกียจขี้คร้านไม่เอาไหน ความไม่เชื่อบาปเชื่อบุญเชื่อกรรมเท่านั้นเองจะทำลายเจ้าของ

พากันจำเอาทุกคน นี้ก็ได้เปิดเรื่อย ๆ ธรรมประเภทนี้เราก็ไม่ค่อยได้เปิด เปิดแต่ลูกศิษย์ลูกหาเฉพาะ ๆ ที่ว่า เหอ.พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ๆ อย่างนี้ละเหรอ เข้าใจไหมล่ะ เราก็ไม่เคยพูด แต่ก็พูดกับลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดพูดอยู่เสมอ ที่มาพูดอย่างเปิดเผยเป็นบ้าเต็มปากอย่างนี้ เราไม่ได้มาเป็นบ้าเต็มปากเข้าใจไหม วันนี้เต็มปาก พวกฟังก็บ้าเต็มหูเลยนะ ต่างคนต่างเอาบ้าไปเถอะ บ้าแบบนี้ไม่ค่อยมีละ นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า จ้าขึ้นมาเท่านั้น ไม่ต้องถามเลย จึงเรียกว่า สนฺทิฏฺฐิโก คือรู้เองจากการปฏิบัติของตัวเอง นี่คือธรรมประกาศ พระพุทธเจ้าประกาศไว้เรียบร้อยแล้ว สนฺทิฏฺฐิโก คือจะให้ผู้ปฏิบัติเป็นผู้รู้เองเห็นเองตัดสินตัวเอง จึงไม่จำเป็นต้องทูลถามพระพุทธเจ้า ถ้ายังไปทูลถามพระพุทธเจ้า ธรรมข้อนี้ก็ไม่มีความหมายละซิ

พระพุทธเจ้าประกาศไว้แล้วนี่ พอจ้าขึ้นมาเท่านั้น เหอ.เท่านั้นพอ ขึ้นเหอเลยเทียวนะ เป็นอย่างนั้นละธรรม มีอยู่ตลอดกาล สถานที่เวล่ำเวลา ในหัวใจของเราทุกคน กิเลสก็แอบอยู่นั่น เหยียบย่ำทำลายอยู่นั่น พูดไปพูดมาก็เหนื่อย แล้วมีอะไรบ้างวันนี้ มีอะไรที่จะพูดเอ้าว่ามา

โยม : ล่ารายชื่อถอดถอนมหาโจรปล้นพระพุทธศาสนา

หลวงตา : เขาว่ายังไงลองอ่านซิ

อันนี้จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ยื่นเสนอแล้ว ถอดถอนจำลอง ครุฑขุนทด กลุ่มลูกศิษย์หลวงตามหาบัว เตรียมล่ารายชื่อห้าหมื่นชื่อภายใน ๑๘๐ วัน อธิบดีกรมการศาสนาเต้นเร่า ขอเข้านมัสการหลวงตามหาบัวอีกรอบ ขอชี้แจงแฉปมที่มาของกฎหมายสงฆ์ฉบับมหาโจรปล้นพระพุทธศาสนา เริ่มต้นจากอานันท์ ปันยารชุน โยงมาถึงสมเด็จเกี่ยวและคณะที่ฉวยสถานการณ์เสนอยกร่าง พ.ร.บ.ใหม่ ด้วยอุบายกลที่แยบยลเร่งร้อนผลักดันจนผิดสังเกต ขณะที่ฝ่ายหนุน นำโดยพระมหาโชว์ ยันร่างผ่านมติมหาเถรสมาคมแล้ว การยกร่างกฎหมายคณะสงฆ์หรือพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เริ่มปรากฏเด่นชัดถึงความแตกแยกอย่างรุนแรง ของคณะสงฆ์ฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ดังที่ผู้จัดการรายวันเสนอรายละเอียดไปก่อนหน้านี้

ล่าห้าหมื่นชื่อขับจำลอง วานนี้ (๒๒ กุมภาพันธ์) นายทองก้อน วงศ์สมุทร ศิษยานุศิษย์พระธรรมวิสุทธิมงคลหรือหลวงตามหาบัว เจ้าอาวาสวัดป่าบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี แกนนำในการต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ เปิดแถลงการณ์ต่อต้านอย่างเป็นทางการโดยระบุว่า ขณะนี้เป็นที่ชัดเจนว่า นายจำลอง ครุฑขุนทด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในการปรับปรุงแก้ไขร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่และเป็นผู้เสนอร่างเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยข้อบัญญัติดังกล่าวสนับสนุนการลิดรอน พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นองค์สกลมหาสังฆปรินายกจนหมดสิ้น ขัดพระธรรมวินัย และฝ่าฝืนพระพุทธเจตนารมณ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากนี้ร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ดังกล่าว ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒ มาตรา ๖ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๑ มาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ และมาตรา ๔๖ มาตรา ๗๐ และมาตรา ๗๖ อีกด้วย

นายจำลอง ซึ่งเป็นนักการเมืองอาชีพ และเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการย่อมต้องมีสำนึกในการเทิดทูนพระมหากษัตริย์ และจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี แต่นายจำลองกลับเป็นประธานทำงานดังกล่าว จึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการต่อไป นายทองก้อน กล่าวว่า ในฐานะที่ประชาชนคนไทยที่นับถือพุทธศาสนา ในวันนี้ได้ร่วมกับชาวพุทธอีกหนึ่งร้อยคนซึ่งเป็นผู้ริเริ่มในการรวบรวมรายชื่อประชาชนห้าหมื่นชื่อ เสนอต่อวุฒิสภา เพื่อถอดถอนนายจำลองให้ได้ภายใน ๑๘๐ วัน โดยจะออกแบบฟอร์มให้ประชาชนร่วมลงชื่อต่อไป

ด้านนายสุวิทย์ คุณกิตติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเปิดเผยว่าได้รับเรื่องร้องเรียนจากนายทองก้อน ศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัวที่ไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์แล้ว ซึ่งจะส่งให้คณะกรรมการศาสนาและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา เพราะร่างฉบับนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา และเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต้องพิจารณาโดยรอบคอบ ต้องมองให้รอบด้านด้วยว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับคณะสงฆ์ ในส่วนของการยื่นรายชื่อถอดถอนนายจำลองนั้น ยังไม่รู้เรื่อง ขอดูรายละเอียดก่อน จริง ๆ แล้วกระทรวงศึกษาธิการพยายามดูแลแก้ไขทุกเรื่อง โดยรับฟังความคิดเห็นทุกฝ่ายอยู่แล้ว

นายสมานจิต ภิรมย์รื่น อธิบดีกรมการศาสนากล่าวว่า พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีบัญชาให้ตนไปกราบนมัสการเพื่ออธิบาย พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ในส่วนที่ยังเป็นข้อสงสัย ให้เป็นที่เข้าใจกันทุกฝ่าย ตนได้ติดต่อไปยังหลวงตามหาบัว และได้เดินทางไปที่จังหวัดอุดรธานีพร้อมกับนายเชลียง เทียมสนิท หัวหน้าฝ่ายนิติการ กรมการศาสนา เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา แต่พอไปถึงวัดป่าบ้านตาด หลวงตามหาบัวได้ติดกิจนิมนต์ที่อื่น จึงให้นายเชลียง ทำหนังสือชี้แจงกรณีที่หลวงตามหาบัวขอให้ทบทวนและแก้ไขร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับใหม่ได้เข้าใจ โดยฝากหนังสือดังกล่าวไว้กับศึกษาธิการจังหวัดอุดรธานี ก่อนหน้านี้ได้ทำหนังสือชี้แจงอย่างเป็นทางการให้หลวงตามหาบัวทราบบ้างแล้ว และได้ขอนัดกราบนมัสการท่านอีกในวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ แต่ลูกศิษย์ของท่านแจ้งว่า ติดกิจนิมนต์อีก อย่างไรก็ตามในวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์นี้ ผมจะเดินทางไปยังวัดป่าบ้านตาดเพื่อขอพบหลวงตามหาบัวอีกครั้งหนึ่ง อธิบดีกรมการศาสนากล่าว

นายสมานจิต กล่าวอีกว่า นายทองก้อนเคยมาพบตนและขอร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับดังกล่าวไปแล้ว อีกทั้งประเด็นที่นายทองก้อนสงสัยมีข้อสงสัย กรมการศาสนาก็ได้ทำหนังสือชี้แจงไปแล้วเช่นกัน ส่วนกรณีที่นายทองก้อนจะล่ารายชื่อห้าหมื่นคนเพื่อถอดถอดรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งนั้น เป็นเรื่องส่วนตัวของนายทองก้อน ยัน พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ผ่านการพิจารณาของมหาเถรสมาคม

แฉกลที่มาของที่มาของกฎหมายเผด็จการ นอกจากล่ารายชื่อนายจำลองออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการแล้ว ในครั้งนี้กลุ่มศิษยานุศิษย์ของหลวงตามหาบัว ยังเปิดเผยถึงที่มาของ พ.ร.บ.คณะสงฆ์นี้อย่างละเอียด ถึงกับเรียกว่าเป็นฉบับมหาโจรปล้นพระศาสนา ในแถลงการณ์ระบุว่าเริ่มมาตั้งแต่รัฐบาลนายอานันท์ ปันยารชุน ลิดรอนพระราชอำนาจพระมหากษัตริย์ ในการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราช โดยการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ในปี ๒๕๓๖ มาตรา ๗ และยังไม่ยอมให้มีข้อความว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐ ทั้ง ๆ ที่ชาวพุทธไม่น้อยกว่า สองล้านคนเข้าชื่อกันร้องขอ

ต่อมารัฐบาลนายชวน หลีกภัย อาศัยกฎหมายรัฐธรรมนูญ ออก พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ กำหนดให้กรมการศาสนาต้องขึ้นกับ คณะกรรมการศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติ และตั้งคณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาขึ้นมาโดยมี ศาสตราจารย์ ดอกเตอร์วิจิตร ศรีสะอ้าน เป็นประธาน คณะกรรมการปฏิรูปการศึกษาชุดนี้ กำหนดให้มีผู้แทนจากศาสนาอื่นมาเป็นกรรมการในคณะกรรมการศาสนาศิลปะและวัฒนธรรมแห่งชาติ มีผลให้พระพุทธศาสนาต้องอยู่ในการปกครองของคนนอกพระพุทธศาสนา

จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลนายชวน จงใจออกกฎหมายเพื่อให้ชาวพุทธทั่วประเทศเกิดความระส่ำระสาย ชาวพุทธจึงพร้อมใจกันเรียกร้องให้แก้ปัญหาโดยด่วน ถัดจากนั้น สมเด็จพุฒาจารย์(เกี่ยว อุปเสโน) เจ้าอาวาสวัดสระเกศ เจ้าคณะใหญ่หนตะวันออก และคณะ ถือจุดนี้เป็นโอกาสยกร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์แบบเร่งด่วนผิดปกติและเสนอต่อรัฐบาลโดยไม่มีมติของมหาเถรสมาคมรองรับ โดยศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาใต้การนำของพระเทพดิลก (พระมหาระแบบ) และพระราชกวี (เลขาศูนย์) และพระมหาโชว์ เป็นผู้ให้การสนับสนุนด้วยการการโฆษณาชวนเชื่อ ชักนำชาวพุทธที่ไม่ทราบความจริงให้เข้ามาสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.สงฆ์ จึงมีที่มาไม่ชอบมาพากล เร่งด่วนผิดปกติวิสัย เนื้อหาในร่างเป็นการลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และยึดอำนาจสมเด็จพระสังฆราช แต่เพิ่มอำนาจแบบเบ็ดเสร็จให้แก่มหาคณิสสร ทำหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ตามกฎมหาคณิสสร และวินิจฉัยนิคหกรรม โดยไม่มีการคานอำนาจจากผู้ใดเลย และยังห้ามการวิพากษ์วิจารณ์มหาคณิสสรและคณะสงฆ์อีกด้วย จึงเท่ากับเป็นเผด็จการมหาคณิสสรซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในพระธรรมวินัยและพ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่เคยมี

การดำเนินการดังกล่าวของคณะบุคคลเห็นได้ชัดเจนว่า เป็นอุบายของมหาโจรคิดจะปล้นคลังธรรม คือพระพุทธศาสนาให้อยู่ในอำนาจตน เราชาวพุทธจึงขอต้านทานและปราบปรามมหาโจรปล้นพระศาสนา แถลงการณ์ระบุ

ฝ่ายหนุนเสียงแข็งยันผ่านมหาเถรสมาคม นายกำพล พุ่มมณี ประธานอนุกรรมาธิการศึกษา ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในกิจการพุทธศาสนากล่าวว่า จากการที่มีบุคคลกลุ่มหนึ่งออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ซึ่งนำโดย นายทองก้อน วงศ์สมุทร ได้พยายามเสนอข่าวว่า พ.ร.บ.ดังกล่าวไม่ผ่านการพิจารณาของมหาเถรสมาคม และมีความไม่เป็นประชาธิปไตยนั้น เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเองทั้งสิ้น ด้านพระมหาโชว์ ทัศนีโย ยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ นี้ได้ผ่านการพิจารณาของมหาเถรสมาคมจึงไม่ผิดตามธรรมวินัย ซึ่งการให้สัมภาษณ์ของนายทองก้อน เพื่ออ้างถึงความใกล้ชิดของพระผู้ใหญ่ ถือว่าเป็นการหลอกลวง นอกจากนี้พระมหาโชว์ กล่าวต่อว่า มีกระบวนการทำลายทางพระพุทธศาสนา และคัดค้านไม่ให้ พ.ร.บ.เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวต้องสูญเสียผลประโยชน์

หลวงตา : ในหนังสือพิมพ์นี้บอกชัดเจนว่า มหาโจร ๆ มาตลอด พากันเข้าใจเอานะ ฟังแล้วนี่ เป็นมหาโจรมาตลอด ๆ เลย พลิกแพลงเปลี่ยนแปลง ลบล้าง ๆ เอาตัวเป็นใหญ่ ๆ ขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้แต่ผู้วินิจฉัยยังต้องหาพวกมหาโจรมาเป็นเจ้าอำนาจคุมบังเหียนใช่ไหมล่ะ ในนี้มีแต่อย่างนั้น ๆ ให้พี่น้องทั้งทราบเอานะ นี้ละมหาโจรกำลังออกเปิดเผยในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้แล้ว เราฟังชัดเจนแล้ว แต่ก่อนก็ทราบอยู่แล้ว แต่ไม่มีสักขีพยานที่จะออกมา วันนี้ออกมาแล้ว เราจับได้ทุกระยะ ๆ ไปเลย มหาโจรตั้งแบบตั้งฉบับมาจากไหน เรื่องว่าผ่านมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมองค์ไหนว่ะ เอาอ้างออกมา ผู้ที่ตั้งข้อบัญญัติคือใคร ตรงนี้แหละสำคัญมาก แล้วตั้งกลุ่มโจรขึ้นมานี้ ตั้งมาจากไหน ได้รับความเห็นชอบในประเทศไทยเรามีที่ไหน ไม่มี มันตั้งขึ้นมา นี้เป็นมหาโจรขั้นหนึ่ง

แล้วจากนั้นก็ตั้งขึ้นมาเป็นกฎกำหนดข้อบัญญัติขึ้นมาว่าผ่านมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมองค์ไหนที่จะรับทราบในสิ่งเหล่านี้ มหาเถรสมาคมมีทั้งสองภาค ภาคธรรมยุต-ภาคมหานิกายมีรวมกัน ทำไมจะไม่ทราบ ถ้าไม่ใช่มันหาเรื่องเป็นมหาโจรที่จะปล้นบ้านปล้นเมืองหนักเข้าไปเท่านั้น มีอย่างนั้นเท่านั้น พากันเข้าใจแล้วเหรอ อุบายวิธีการนี้คืออุบายวิธีการมหาโจรล้วน ๆ เลย ไม่เป็นวิธีการใดทั้งนั้นแหละ แก้ไปไหนก็แก้ไปเถอะ ต้นตอสำคัญก็คือว่าตั้งข้อบัญญัติมานี้ใครเป็นคนตั้งมา เอาป่า ๆ เถื่อน ๆ มาจากไหน ใครเป็นคนรับทราบ คนชาวพุทธทั่วประเทศไทย ทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าทั่วประเทศไทย ใครรับทราบจากการแต่งตั้งของมันขึ้นมา นี้อันหนึ่ง

และคณะที่มันตั้งเป็นกรรมการอยากโชว์อวดนั้นนะ กรรมการที่ตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มเป็นก้อนตั้งขึ้นมาจากใคร ใครเป็นคนอนุญาตให้ตั้งขึ้นมา ชาติไทยของเรามีใครเป็นคนรับผิดชอบ และทราบเรื่องราวมาด้วยดีแล้วค่อยมารับผิดชอบ มีองค์ไหนไม่มี สำหรับหลวงตาบัวไม่เคยเห็นก็บอกไม่เคยเห็นอย่างนี้แหละ นี่แหละเรียก มหาโจรปล้นศาสนา ทราบในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็แล้วกัน นี่ละออกมาประกาศป้าง ๆ เอาอำนาจวาสนาใหญ่หลวง ต้องขอวิงวอนเวลานั้นเวลานี้ หาอุบายวิธีการชักไปดึงไป เพื่อให้เสียเวล่ำเวลาของทางนี้ ทางนี้จะอ่อนไม่ได้เข้าใจไหม ทางนั้นแข็งทางนี้ต้องแข็ง เราเป็นเจ้าของสมบัติของชาติของศาสนาทั้งประเทศ เราจะอ่อนข้อไม่ได้

อย่าเอาหัวเต่าหดอยู่ในกระดองออกมาใช้กับชาติไทยของเรา สมบัติของชาติไทยไม่ใช่สมบัติหัวเต่า คนชาติไทยไม่ใช่คนหัวเต่าพอจะหดอยู่ในกระดอง เข้าใจไหม จำให้ดีข้อนี้ นี่มหาโจรปล้นแล้วเวลานี้เริ่มแล้ว หาแต่อำนาจใหญ่ ๆ มาอวดโลก ๆ ว่าผ่านมหาเถรสมาคม มหาเถรสมาคมที่ไหน เราไม่เห็น เอ้า.มหาเถรสมาคม เอ้า.เข้าไปหาซิ มันก็รู้กันทันที แล้วตั้งข้อบัญญัติมานี้ตั้งมาจากไหนจะรู้กันทันที นี่ละต้นตอของมัน เดี๋ยวมันออกข่าวเรื่องราวไป ต้นตอมันไม่ให้เข้าไปแตะ เข้าใจไหม ผู้ตั้งกำหนดกฎบัญญัติป่า ๆ เถื่อน ๆ มาจากใคร ใครเป็นคนตั้งขึ้นมา

ข้อที่สองตั้งขึ้นมาเป็นกลุ่มมหาโจรกำลังปล้นศาสนาอยู่เวลานี้ ตั้งขึ้นมาจากไหน ใครเป็นผู้รับทราบคนไทยเราทั่วประเทศไทย ทั้งฝ่ายพระทั้งฝ่ายฆราวาส ใครทราบด้วยมีไหม ไม่มีใครรับทราบด้วย นี่มันตั้งขึ้นมาปลอม ๆ สองจุดนี้ มันระบาดสาดกระจายออกมา เลื้อยไปเหมือนเถาวัลย์หลอกโลก ตัวหัวโจกอันสำคัญอยู่ที่จุดนี้นะ จุดที่มันปล้นศาสนาปล้นที่จุดนี้แหละ มันไปตั้งมาจากไหน เอ้า.เข้าไปหาซิจุดใหญ่มันมีอยู่นี้ ไปเกาทำไมที่ไม่คัน เกาตรงที่มันคันซิ มันจะทำลายโลกอยู่นี้คือตรงคัน ๆ นี้แหละ ตั้งขึ้นมาเป็นกฎเกณฑ์ข้อบังคับอย่างนั้นอย่างนี้ ใครเป็นคนตั้งมา เอามาจากไหน แล้วตั้งเป็นกลุ่มขึ้นมา เป็นมหาโจรปล้นศาสนาอยู่เวลานี้ตั้งขึ้นมาจากไหน ใครรับทราบคนทั่วประเทศไทยไม่รับทราบ มีแต่พวกเดียวรับทราบกันที่จะเข้าปล้นบ้านปล้นศาสนาเท่านั้นเอง พากันเข้าใจหรือยัง

นี่ละหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เราทราบได้ชัดเจนแล้ว การมาหาเราไม่มาหาเรา ไม่เห็นจำเป็นอะไร ขอให้เรื่องราวนี้สงบลงไปด้วยงานส่วนรวมเราเป็นที่พอใจ การมาหาเราไม่มาหาเราไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไร ถึงเวลาเราพูดเราจะพูดของเราเองอย่างนี้ อย่างพูดอยู่เดี๋ยวนี้ มาพูดก็มาพูดอ้อมแอ้ม ๆ ทำท่านั้น พอให้คันปากคันหมัดกำปั้นฟาดปากคนเท่านั้นเองเรา เข้าใจเหรอ นี้ละภาษาธรรมฟังเอา ท่านทั้งหลายไม่เคยฟัง

นี่ละเรื่องโจรปล้นศาสนาออกหนังสือฉบับนี้นี่ เห็นดูเอา เราฟังชัดแล้ววันนี้ไม่สงสัยแล้ว อุบายวิธีการทั้งนั้นที่จะเหยียบย่ำทำลาย เป่าหูให้คนโง่ ๆ เชื่อมัน เข้าใจไหม หูนี้เราก็ยังไม่แน่ว่าหูใครโง่หูใครฉลาด เรายังไม่ได้มาประชุมหมาเราสิบสองตัวดู สูโง่หรือสูฉลาด ถ้าสูโง่ก็จะถูกต้มนะ ก็จะว่าอย่างนั้นอีก พูดอย่างนี้ละ ต้องประชุมหมดซิเวลาประชุม จึงเรียกว่า นักสู้นี่วะ

โยม : เขาบอกว่า พรุ่งนี้อธิบดีกรมการศาสนาจะมากราบหลวงตา

หลวงตา : มากราบก็มา ทางกรุงเทพก็ให้มาด้วยกัน เข้าใจไหม ถ้าพอจะพูดมากน้อยเพียงไรเราจะพูดเอง ไม่พอพูดเราไม่พูด ไม่มีใครมาปิดปากเราได้ทั้งการพูดและการไม่พูดเข้าใจเหรอ ก็มีเท่านั้น ตกลงตามนี้นะ นี้เป็นสิทธิของเราที่เราจะพูดหรือไม่พูด หรือพูดหนักเบามากน้อยเพียงไร ให้มาฟัง.เรื่องราวอะไรมาฟัง อย่ามาโม้อย่ามาอวดกับเรา พูดจริง ๆ

เอาให้จริงนะทุกคน สงฆ์ทั่วประเทศไทยนี้ก็เหมือนกันนั่นแหละ ได้ร้อนไปทั่วกันหมดแล้วจากมหาโจรนี้นะ อยู่ ๆ มาตั้งหาอะไร เด็กอมมือเขาก็ไม่ทำ ทำอย่างนี้

สรุปทองคำและดอลลาร์ วันที่ ๒๓ เมื่อวานนี้ทองคำได้ ๑ บาท ๗๕ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๐๐ ดอลล์ เท่านั้นละ ไม่อ่านมากนะ ทองคำที่เราได้แล้วเวลานี้ ทั้งรวมแล้วและยังไม่รวม รวมกันทั้งหมด ได้ทองคำ ๔,๗๔๗ กิโลกรัม กรุณาทราบตามนี้ พอแค่นี้

เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก