รักชาติต้องเสียสละ (ณ สนามกอล์ฟรถไฟ กทม.)
วันที่ 26 ธันวาคม 2542 เวลา 17:00 น.
สถานที่ : สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟรถไฟ เขตจตุจักร กทม.
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)   ข้อมูลเสียงแบบ(MP3)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ สนามกอล์ฟรถไฟ กทม.

เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๒

สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จเป็นประธาน

รักชาติต้องเสียสละ

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (๓ จบ)

สามคฺคี สมคฺคานํ ตโป สุโขติ

วันนี้เป็นวันอุดมมหามงคลอย่างยิ่งแก่พี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติ ที่ได้ประกาศก้องเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นผู้รักชาติ พร้อมหน้าพร้อมตากันมาบริจาคเพื่ออุ้มชาติไทยของเรา โดยมี ศจ. ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ทรงอุตส่าห์เสด็จมาเป็นประธาน และเป็นเกียรติอย่างยิ่งแก่พี่น้องชาวไทยเราทั้งชาติ เพราะเวลานี้ชาติไทยของเรากำลังอยู่ในภาวะอันคับขัน ที่เรียกร้องหาความช่วยเหลือจากคนไทยเราทั้งประเทศ คนไทยเราที่จะปฏิบัติต่อชาติของตนนั้นจะปฏิบัติอย่างไร จึงจะเป็นไปเพื่อความราบรื่นดีงามและสมบูรณ์พูนผล เพื่อหนุนชาติไทยของเราให้เจริญรุ่งเรืองและแน่นหนามั่นคงขึ้นไปโดยลำดับ

หลักใหญ่ก็อยู่ที่ความรักชาติ ความรักชาตินี้เป็นของสำคัญมาก เป็นรากแก้วแห่งชาติไทยของเรา คนไม่รักชาติหาความหมายไม่ได้ ลูกของเราเกิดมาในอกของเราแต่ละคน ๆ เรารักลูกของเราทั่วหน้ากัน ลูกมีกี่คนย่อมรักพ่อรักแม่เหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นลูกสัตว์ลูกบุคคล มีความรักพ่อรักแม่เป็นสำคัญ เป็นตายลูก ๆ ยอมเสียสละเพื่อพ่อแม่ได้โดยไม่เสียดายชีวิต ข้อนี้ฉันใดก็เหมือนกัน พี่น้องชาวไทยเราทั้งชาตินี้คือลูกแห่งชาติไทยของเรา เวลานี้ก็พอนับจำนวนได้ว่า ๖๒ ล้านคน นี้คือลูกแห่งชาติไทยของเราทั้งหลาย

เราต้องมีความรักชาติ คือพ่อแม่ของเราเรียกว่าชาติไทย เหมือนกันกับเด็กที่เกิดจากพ่อแม่มีกี่คนก็ตาม มีความรักชาติเสมอกันหมด แม้จะได้พลัดพรากจากไปสู่สถานที่ต่าง ๆ เพื่อการศึกษาเล่าเรียนและประกอบหน้าที่การงาน เขาย่อมมีความรักชาติคิดถึงชาติของตน คิดถึงพ่อแม่ของตนอยู่เสมอ นี่เราก็เหมือนกัน ต้องคิดถึงชาติไทยของเรา จึงสมกับว่าเราเป็นคนรักชาติ

การที่จะประกอบให้เหมาะสมกับความเป็นคนรักชาตินั้น ประกอบอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับความรักชาติ จึงต้องได้อาศัยศาสนาเป็นแนวทางเดินในการปฏิบัติตนด้วยความรักชาติของเรา จึงต้องปฏิบัติตัวให้ดี การประกอบทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีหลักศาสนาเป็นเครื่องดำเนิน อย่าได้ปล่อยตัวไปตามความอยากความทะเยอทะยาน ซึ่งส่วนมากเป็นความเสียหาย นี้เป็นทางหายนะแก่ตัวของเราตลอดส่วนรวมพร้อมทั้งประเทศชาติของเรา พากันนำเอาอรรถเอาธรรมเข้ามามีขอบเขตบังคับการประพฤติเนื้อประพฤติตัว หน้าที่การงาน การซื้อการขายทุกด้านทุกทาง ให้มีความรอบคอบขอบชิด โดยมีธรรมเป็นเครื่องดำเนิน มีความรู้จักประมาณ มีความรู้จักพอดิบพอดีเป็นประจำตัว

หลักใหญ่ที่กล่าวมาข้างต้นนี้คือความรักชาติ เป็นของสำคัญกับพี่น้องชาวไทยโดยทั่วหน้ากัน การรักชาติต้องเป็นความเสียสละ มีแต่ความรักเฉย ๆ ไม่เสียสละเพื่อชาติไทยของเรา ก็ไม่สมเหตุสมผลกับความรักชาติ นี่พี่น้องชาวไทยทั้งหลายต่างท่านไม่ว่าอยู่ทางใกล้ทางไกล เห็นชาติไทยของเราเป็นหัวใจของตนทุกท่านแล้ว ก็อุตส่าห์พยายามมาทั้งใกล้ทั้งไกล มาบริจาคเป็นทองคำบ้าง เป็นดอลลาร์บ้าง เป็นเงินสดบ้าง นี้เป็นหลักใหญ่แห่งการเสียสละเพื่อช่วยชาติของเรา นับว่าเป็นความถูกต้องดีงาม หลังจากนั้นเราก็พยายามขวนขวายช่วยหามาเพื่ออุดหนุนชาติไทยของเรา ตามมากตามน้อยตามกำลังความสามารถของตน และปฏิบัติตนให้อยู่ในขอบเขตแห่งศีลแห่งธรรม

เพราะพระพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่เลิศเลออย่างยิ่งแล้ว ในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีศาสนาใดเสมอเหมือน การกล่าวทั้งนี้เราไม่ได้ดูถูกเหยียดหยามศาสนาใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เรายกเอาความจริงที่เป็นที่ตายใจและรับรองว่าเป็นศาสนาที่แท้จริงขึ้นมาแสดงว่า พระพุทธศาสนาเรานี้มีร่องรอยมาเป็นลำดับจนกระทั่งถึงองค์ศาสดาของเรา ร่องรอยของศาสดาในเบื้องต้นนั้น ทรงปรารถนาพระโพธิญาณ คือปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ทรงบำเพ็ญพระบารมีเรื่อยมา ด้วยการละชั่วทำดีเป็นลำดับ สนับสนุนการสร้างความดีเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นก็เพื่อสั่งสอนประชาชนสัตวโลกทั่ว ๆ ไป พระองค์ทรงบำเพ็ญมาเป็นลำดับลำดา ด้วยความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนไม่ทรงท้อพระทัย จนถึงความได้เป็นศาสดาของเรา

วาระสุดท้ายที่จะเป็นศาสดา ก็ทรงได้มาอุบัติเป็นพระสิทธัตถราชกุมาร ครองกรุงกบิลพัสดุ์ เป็นพระมหากษัตริย์อยู่ได้ ๑๓ ปี ทรงสละราชสมบัติออกทรงผนวช บำเพ็ญพระองค์อย่างเอาจริงเอาจัง หากเราจะเทียบแล้วก็เหมือนเทวดาที่ตกลงมาจากสวรรค์ แล้วมาตกนรกทั้งเป็นนั้นแล ในขณะที่พระองค์ทรงบำเพ็ญเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่เป็นเวลา ๖ ปีนั้น ถึงขั้นสลบไสล จากนั้นมาก็ได้ตรัสรู้ขึ้นเป็นศาสดาสอนโลก นี่ละร่องรอยของพระพุทธเจ้ามีเป็นหลักเป็นเกณฑ์มา ถ้าเป็นโคก็ตามรอยเข้าไปจนกระทั่งถึงตัวโค นี่รอยของพระพุทธเจ้าก็มาจากการทรงบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นลำดับลำดา จนถึงจุดหมายปลายทางคือเป็นศาสดาขึ้นมาสอนโลก

การตรัสรู้ขึ้นมานั้นพระพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ในท่ามกลางแห่งอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ นี้คือ ทุกข์ ๑ สมุทัย ๑ นิโรธ ๑ มรรค ๑ ทั้งสี่ประเภทนี้เป็นโรงงานใหญ่แห่งการผลิตพระโพธิสัตว์ขึ้นมาให้เป็นศาสดา ตรัสรู้ขึ้นมาในท่ามกลางแห่งอริยสัจ เป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาในท่ามกลางแห่งอริยสัจนี้ สิ้นกิเลสโดยประการทั้งปวงในคืนวันเดือนหกเพ็ญ ที่เรียกว่าตรัสรู้ธรรมขึ้นเป็นศาสดาเอกของโลก ที่เรียกว่าตรัสรู้ธรรมสังหารกิเลสออกจากพระทัยโดยสิ้นเชิง เป็นผู้บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น ไม่มีกิเลสตัวใดครอบงำพระทัยของพระองค์แม้เม็ดหินเม็ดทรายเลย จึงได้เป็นศาสดาขึ้นมาอย่างเต็มองค์ นี่ละศาสดาของเราเป็นผู้สิ้นกิเลสเต็มองค์

การแนะนำสั่งสอนทุกแง่ทุกมุมในธรรมทั้งหลายแก่โลกทั้งปวงนั้น จึงทรงแนะนำสั่งสอนด้วยโลกวิทู รู้แจ้งแทงทะลุทั้งภายนอกภายในตลอดทั่วถึง ไม่มีสิ่งใดจะปิดบังลี้ลับพระญาณหยั่งทราบของพระองค์เลย การแนะนำสั่งสอนสัตวโลกจึงสั่งสอนโดยถูกต้องแม่นยำ เริ่มตั้งแต่บาปมี มีจริง ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ บุญมี มีจริง ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ นรกมี นรกมีกี่หลุมทรงแสดงไว้อย่างละเอียดลออ ในตำราแสดงไว้ว่านรกนั้นมีถึง ๒๕ หลุม ตั้งแต่หลุมที่เป็นมหันตทุกข์หนักที่สุด จนถึงหลุมสุดท้าย นี่เรียกว่านรก ๒๕ หลุม สวรรค์ ๖ ชั้นตั้งแต่จาตุมฯ ขึ้นไปถึงชั้นที่หกคือ ปรนิมมิตวสวัตดี นี่คือสวรรค์ ๖ ชั้น แล้วพรหมโลกอีก ๑๖ ชั้น จากนั้นก็เป็นนิพพาน

เหล่านี้ทรงรู้แจ้งแทงทะลุเห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่าง จากนั้นก็พวกเปรตผีประเภทต่าง ๆ สัตว์ทั่วโลกดินแดนในไตรโลกธาตุนี้ เป็นที่เสวยกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์ไม่มีว่างเลย พระองค์ทรงหยั่งทราบโดยตลอดทั่วถึง ตั้งแต่บาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก ถึงนิพพาน ตลอดสัตว์ทั้งหลาย ทรงรู้แจ้งด้วยพระญาณเรียกว่าโลกวิทู นี่ได้นำธรรมเหล่านี้ที่ถูกต้องดีงาม ถอดมาจากพระทัยมาสั่งสอนสัตวโลก ด้วยความแน่นอนไม่มีอันใดคลาดเคลื่อนไปได้เลย สมกับคำว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้วหรือตรัสไว้ชอบแล้ว

คือชอบที่ว่าบาปมี มีจริง ๆ ไม่เป็นอื่น ไม่มีใครมาลบล้างบาปให้สูญหายจากโลกสมมุตินี้ไปได้เลย เพราะสัตวโลกทำบาปอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคล เคลื่อนไหวไปมามีการทำบาปทำบุญอยู่สับสนปนเป ท่านจึงเรียกว่าบาปมีบุญมี เพราะมีผู้สร้างบาปสร้างบุญตลอดมา ผลจึงต้องติดแนบกับการกระทำลบล้างไม่ได้ นี่ท่านเรียกว่าบาปมีบุญมี

แล้วสถานที่เกิดของบาปนั้นเกิดที่ไหน สถานที่เกิดของบุญนั้นเกิดที่ไหน ไม่มีใครทราบได้นอกจากศาสดาองค์เอก ทรงรู้แจ้งแทงทะลุพระทัยเต็มสัดเต็มส่วนแล้วว่า บาปเกิดขึ้นที่ใจ บุญเกิดขึ้นที่ใจ พอใจกระดิกคิดปรุงขึ้นมาในทางบาป บาปเกิดขึ้นแล้ว คิดมากน้อยเพียงไรบาปเกิดมากน้อยเพียงนั้น คิดทางบุญมากน้อยเพียงไร บุญเริ่มเกิดขึ้นที่ใจนั้นก่อนอื่นโดยลำดับลำดา ขยายออกไปทางกายทางวาจาความประพฤติต่าง ๆ ก็เป็นบาปกระจายออกไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าบุญมี มีที่ใจนี้ก่อนอื่น

แล้วสัตว์ทั้งหลายก็ทำบาปทำบุญสับสนปนเปกันอยู่นี้ตลอดมาแต่กาลไหน ๆ นับไม่ได้ว่ากี่กัปกี่กัลป์ เมื่อเป็นเช่นนั้นบุญจึงต้องมี บาปจึงต้องมี เพราะสัตวโลกทำทั้งบุญทั้งบาปตลอดมา ผลแห่งบุญแห่งบาปจึงทำสัตวโลกให้ได้รับความทุกข์มากน้อย ความสุขมากน้อย ตลอดถึงตกนรกหลุมต่าง ๆ เป็นลำดับลำดาขึ้นมา ตามอำนาจแห่งกรรมหนักเบามากน้อยตลอดมา จนกระทั่งถึงสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เกี่ยวกับการสร้างบุญสร้างกุศล ผลบุญผลกุศลก็ติดแนบไปกับใจนี้ตลอดไป ให้สัตว์ทั้งหลายได้ไปเกิดสถานที่ดีและที่ชั่ว มีแง่หนักเบาต่างกันตามอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมของตนที่สร้างมามากน้อย นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นศาสดาองค์เอก

พี่น้องชาวพุทธเราได้ถือพระพุทธศาสนามานาน ได้มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง ขอให้นำธรรมเหล่านี้ไปคิดไปอ่านไตร่ตรอง เพื่อความเน้นหนักความรู้สึกสำนึกตัวของเราในบาปในบุญ ซึ่งเราสร้างอยู่ด้วยกันทุกคน ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ไปไหน ไม่มีใครลบล้างได้ ถ้าหากว่าบาปก็ดีบุญก็ดีมีธรรมชาติใดลบล้างได้แล้ว บาปบุญจะไม่มีอยู่ในสัตวโลก คำว่าสุขว่าทุกข์ก็จะถูกลบล้างไปตาม ๆ กันกับคำว่าบาปบุญไม่มี แต่นี้สัตวโลกก็เสวยบุญเสวยบาปตลอดมาจนกระทั่งปัจจุบัน และยังจะเป็นไปข้างหน้าอีกนับไม่ได้เลย

เงื่อนต้นเงื่อนปลายของสัตว์ทั้งหลายที่เกิดตาย ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตลอดมานี้ ไม่มีทั้งเงื่อนต้นไม่มีทั้งเงื่อนปลาย เกิดตายกันอยู่ และเสวยความสุขความทุกข์ต่าง ๆ อยู่ตลอดมา นี่พี่น้องทั้งหลายที่เป็นชาวพุทธเรา ขอให้นำพระพุทธศาสนานี้เข้ามากำกับจิตใจ เพื่อบังคับตัวเองไม่ให้เสียตัวไปตามสิ่งหลอกลวงที่เรียกว่ากิเลส นั้นคือมารของธรรม

คำว่ากิเลสนั้นได้แก่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ซึ่งเป็นหลักใหญ่แห่งกิเลสทั้งหลาย อยู่ภายในจิตใจทั้งของสัตว์และบุคคลทั่ว ๆ ไป สำหรับเราเป็นมนุษย์และเป็นชาวพุทธ รู้ดีรู้ชั่ว รู้บาปรู้บุญ รู้กิเลสรู้ธรรม เราจึงควรอย่างยิ่งที่จะนำธรรมเหล่านี้มาประกอบปฏิบัติกับตัวของเรา และพยายามสร้างตัวให้เป็นคนดี การสร้างคนเราให้เป็นคนดีนี้ มีน้ำหนักและมีผลดียิ่งกว่าสร้างวัตถุสิ่งอื่นเป็นไหน ๆ

การสร้างวัตถุอื่น ๆ เช่น สร้างบ้านสร้างเรือนถนนหนทาง สร้างจิปาถะไม่ค่อยมีประโยชน์ยิ่งกว่าการสร้างตัว แล้วค่อยไปสร้างสิ่งเหล่านั้นด้วยความมีเหตุผล สิ่งเหล่านั้นก็จะเกิดผลเกิดประโยชน์แก่เรา มีบ้านขึ้นมาหลังหนึ่งเราก็สร้างด้วยเหตุด้วยผล คือความพอเหมาะพอดีกับการอยู่การกินการใช้การสอยทุกอย่าง เรามีเหตุผลเป็นเครื่องกำกับอยู่เสมอก็ไม่เลยขอบเขต เมื่อไม่เลยขอบเขตเพราะเราเป็นคนดี สร้างตัวให้ดีแล้วสร้างสิ่งภายนอกย่อมเป็นของดีไปตาม ๆ กัน

ถ้าเราไม่มีหลักมีเกณฑ์เลยภายในตัวของเรา เป็นคนเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ทำอะไรย่อมเลอะเทอะไปหมด แม้จะมีเงินทองข้าวของกองเท่าภูเขา มีตึกรามบ้านช่องกี่ห้องกี่หับ มีอะไรมากมายขนาดไหนก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีความหมาย สุดท้ายความทุกข์ก็มาอยู่กับตัวของเราผู้เป็นเจ้าของนี้แล เพราะความไม่รู้จักประมาณ สร้างด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม สร้างด้วยความอยากร่ำอยากรวยอยากสวยอยากงาม อยากมีชื่อมีเสียง อยากให้เขานับถือลือหน้า เลยเป็นเรื่องของกิเลสโลภไม่หยุดไม่ถอย ความโลภเลยกลายมาเป็นไฟเผาตัวเองได้

เพราะคนมีความโลภมากอาจจะเถลไถลออกนอกลู่นอกทาง เพราะความประพฤติที่เกิดจากความโลภมากก็ได้ไม่สงสัย เพราะฉะนั้นคนเราจึงหลวมตัวจนถึงกับสร้างความชั่วช้าลามกได้ เพราะความไม่สำนึกตัว ไม่สำนึกธรรมภายในใจ ไม่สร้างตัวด้วยธรรมให้เป็นหลักใจเสียก่อน แล้วก็ทำตัวให้เสียไปเรื่อย ๆ

เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธ จึงขอให้คำนึงถึงอรรถถึงธรรมเสมอ เมื่อสักครู่นี้เราก็กล่าวก่อนที่จะรับศีลว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เราขอถือพระพุทธเจ้า ยึดพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งเป็นพึ่งตาย นี่หมายถึงยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นพึ่งตาย ทั้งการฝากชีวิตกับท่าน ทั้งความประพฤติหน้าที่การงานของเรา ต้องให้อยู่ในขอบเขตแห่งโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นผู้มีขอบเขต เราจะเป็นคนดีเป็นลำดับลำดา

เพราะการสร้างคนให้ดีนี้สร้างยากมากยิ่งกว่าสร้างสิ่งอื่นใด เราสร้างวัตถุต่าง ๆ สร้างขนาดไหนก็ได้ ๆ แต่สร้างคนให้ดีนี้สร้างได้ยาก จึงไม่มีใครสนใจอยากจะสร้างคนให้ดี คำว่าสร้างคนให้ดีคืออะไร คือนำธรรมเข้าไปสร้างตัวของเรา การกระทำทุกอย่างย่อมมีทั้งผิดทั้งถูก ให้นำธรรมเข้าไปพินิจพิจารณาก่อน เมื่อผิดแล้วต้องเป็นพิษต้องเป็นบาปเป็นกรรม เป็นความทุกข์แก่เจ้าตัวผู้ทำด้วยความผิดพลาดนั้น เมื่อถูกย่อมเป็นผลดีแก่ตัวเองจากหน้าที่การงานนั้นทุกอย่าง เราก็เป็นผลดีแก่เรา นี่เรียกว่าทำผิดทำถูกขึ้นอยู่กับธรรมเป็นผู้พิจารณาใคร่ครวญก่อน

เราจึงควรประพฤติตัวของเราให้ดีเสมอ อย่างน้อยตื่นขึ้นมาก็ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ตรวจตราพาชีเจ้าของด้วยดีว่า ขณะนี้เรายังไม่ได้ทำความชั่วช้าลามกอะไร พึ่งตื่นหลับตื่นนอนขึ้นมา ตลอดความดีเราก็ยังไม่ได้ทำ ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปเราจะปฏิบัติตัวของเราให้ดี เดินตามขอบเขตของธรรม เราจะไม่ทำความชั่วช้าลามกทั้งทางใจทางกายทางวาจา ประคองตนไปด้วยความดีงาม แล้วประพฤติตัวในหน้าที่การงานที่ชอบธรรม ตามคำสอนของท่านที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วว่า สัมมาอาชีวะ สัมมากัมมันตะ คือ ทำการงานชอบด้วยศีลด้วยธรรม เลี้ยงชีพชอบด้วยศีลด้วยธรรม ดำเนินตนไปด้วยวิธีการอย่างนี้ เรียกว่า เป็นผู้ดำเนินหรือก้าวเดินด้วยความถูกต้อง

แล้วไปที่ไหนอย่าลืมคำว่า พุทโธ คำว่า พุทโธ นี้เป็นธรรมที่เตือนจิตใจของเราให้รู้ตัวเสมอ ไม่หลวมตัวไปทำบาปกรรมหาบแต่นรกอเวจีเข้ามาสู่ใจอย่างเดียว คนที่มี พุทโธ ระลึกอยู่ภายในใจเสมอย่อมเป็นคนมีสติ คนมีสติย่อมรักษาตัวได้ คิดอ่านไตร่ตรองในเหตุผลดีชั่วประการต่าง ๆ ได้ แล้วดำเนินงานให้เป็นไปตามงานที่ชอบนั้น เรียกว่าผู้มีธรรมในใจ เราเป็นชาวพุทธขอให้เชื่อเรื่องบาปเรื่องบุญเป็นของสำคัญ สมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้โดยชอบแล้วทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งนรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน

เราเป็นชาวพุทธขอให้ฝากจิตฝากใจฝากเนื้อฝากตัว ฝากเป็นฝากตายกับพระพุทธเจ้า อย่าได้ทำสิ่งที่พระองค์ทรงตำหนิติเตียนจะเป็นความเสียหายแก่เรา เมื่อฝ่าฝืนลงไปแล้วมากน้อย จะเป็นความเสียหายแก่เรามากน้อยเป็นลำดับ ดังที่ท่านแสดงไว้ว่านรกมีกี่หลุมอย่างนี้ ก็เพราะท่านทรงเห็นโทษแห่งสัตว์ทั้งหลายที่ไปตกนรกหมกไหม้อยู่ในหลุมต่าง ๆ นั้น ตั้งแต่นรกหลุมมหันตทุกข์ขึ้นมา นรกมหันตทุกข์นั้นคือเป็นผู้สร้างกรรมอันหนัก ๕ ประการเป็นเครื่องยืนยันว่า ฆ่าบิดา ๑ ฆ่ามารดา ๑ ฆ่าพระอรหันต์ ๑ ทำลายพระพุทธเจ้าแม้ไม่ตายก็ตาม ๑ ยุยงพระสงฆ์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติโดยชอบ มีความพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ให้แตกร้าวจากกัน ๑

กรรม ๕ ประการนี้ท่านเรียกว่า อนันตริยกรรม เป็นกรรมที่หนักมากที่สุดในบรรดากรรมทั้งหลายที่สัตว์ทำลงไป เหมือนกับท่านกำชับย้ำเข้าอีกทีหนึ่งว่า ถ้ายังมีสติสตังพอยับยั้งได้อยู่แล้ว อย่าได้ทำกรรม ๕ ประเภทนี้ จะเป็นประเภทใดประเภทหนึ่งก็ตามเป็นอันขาด เพราะกรรมนี้เมื่อเวลาทำลงไปแล้วจะต้องตกนรกหลุมมหันตทุกข์เรียกว่า หลุมที่หนึ่ง ตกแล้วไม่ทราบว่ากี่กัปกี่กัลป์ถึงจะได้ฟื้นขึ้นมา เลื่อนขึ้นมาจากนรกหลุมมหันตทุกข์นั้น คำว่า อนันตริยกรรม นั้นแปลว่า กรรมที่เป็นมหันตทุกข์ หาระหว่างไม่ได้เลย แม้ชั่วฟ้าแลบก็ไม่มีว่าความทุกข์ในนรกนั้นจะคลี่คลายออก ไม่มีเลย ท่านจึงเรียกว่า อนันตริยกรรม หาระหว่างหาเวล่ำเวลาที่จะระบายทุกข์หรือเบาบางทุกข์ได้แม้นิดหนึ่งไม่มีเลย นี่เรียกว่ากรรมประเภทที่หนึ่ง นี่ก็คือองค์ศาสดาสอนไว้

พระพุทธเจ้าไม่เคยโกหกสัตวโลก สั่งสอนสัตวโลกด้วยพระเมตตาล้วน ๆ อันใดที่ผิดถูกดีชั่วมากน้อยเพียงไร ทรงนำมาชี้แจงแสดงบอกพวกเราทั้งหลายด้วยพระเมตตาสุดส่วนทั้งนั้น เราทั้งหลายซึ่งเป็นชาวพุทธ อย่าได้ดื้อด้านหาญทำในสิ่งที่ชั่วช้าลามกทั้งหลายดังที่กล่าวนี้ แล้วคำว่านรกหลุมหนึ่งนั้นเมื่อพ้นจากหลุมนี้แล้ว ไม่ใช่จะได้ผุดขึ้นมาเป็นมนุษย์ เป็นเทวดาอินทร์พรหมทีเดียว ยังต้องเลื่อนขึ้นมาตามอำนาจแห่งกรรมที่คลี่คลายออก ๆ แล้วเลื่อนขึ้นมาจากนรกหลุมที่หนึ่ง เข้ามาเป็นหลุมที่สอง ที่สาม เลื่อนขึ้นมาตามอำนาจแห่งกรรมที่เบาบางลงไป จนกระทั่งถึงนรกหลุมสุดท้าย

นอกจากนั้นยังมาเป็นเปรตเป็นผีอีกจำนวนมากมาย ตามธรรมท่านแสดงไว้ว่าเปรตมีถึง ๑๓ จำพวก เหล่านี้มีตั้งแต่พวกทำบาปทำกรรมกล้าหาญชาญชัย อย่างหนึ่งอาจท้าทายพระพุทธเจ้าก็ได้ว่า บาปไม่มี บุญไม่มี นรกสวรรค์ไม่มี ผู้ที่เก่ง ๆ อย่างนี้แลคือผู้ไปรับเหมากองทุกข์ตั้งแต่มหันตทุกข์ขึ้นมาจนนรกหลุมสุดท้าย เกิดขึ้นจากอำนาจแห่งการทำกรรมและความกล้าหาญชาญชัย

หนักที่สุดก็คือความไม่เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า บาปมีบุญมีนรกมีสวรรค์มีนั้นแล ทั้ง ๆ ที่ทรงนำสิ่งเหล่านั้นมาแสดงจากความรู้แจ้งเห็นจริงทุกสัดทุกส่วนในพระทัยของพระพุทธเจ้ามาบอก สิ่งที่เป็นโทษก็บอกอย่างชัดเจนว่าอย่าทำ อันนั้นมีโทษหนักขนาดนั้น ๆ อย่าทำ ๆ ด้วยความชอบธรรม ด้วยพระญาณหยั่งทราบเห็นแจ้งชัดเจนแล้วจึงมาสั่งสอนสัตวโลก ไม่ใช่มาสั่งสอนแบบลูบ ๆ คลำ ๆ กำดำกำขาวทั้ง ๆ ที่มีกิเลสเต็มหัวใจ พระพุทธเจ้าไม่มีกิเลส สว่างกระจ่างแจ้งไปหมดไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับได้ จึงเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ในแดนสมมุตินี้ไม่มีอันใดจะปิดบังลี้ลับพระญาณหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าได้เลย

เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธขอให้มีความหนักแน่นเชื่ออรรถเชื่อธรรม ถ้าเรายังรักนวลสงวนตัว มีความรับผิดชอบในตัวทั้งความสุขความทุกข์อยู่แล้ว ให้เชื่อทางเดินที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ ดังที่กล่าวมานี้คือทางเดิน ทางเดินที่ดีได้แก่การบำเพ็ญ คือ การให้ทาน การให้ทานให้ทานประเภทใดก็ตาม ให้มากให้น้อย ให้ในที่แจ้งที่ลับเท่าไรก็ตาม ให้มานานเท่าไรก็ตาม การให้ทานนี้ก็เป็นบุญเป็นกุศลฝังเข้าสู่หัวใจของเรานั้นเอง ไม่ได้มีขาดตกบกพร่องไปไหน ไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลาว่า การให้ทานนานแล้วจะสูญหายร่วงโรยไปเสียอย่างนี้ไม่มี

ทานทั้งหลายที่เราให้ประเภทต่าง ๆ เช่น ให้ทานด้วยความเคารพเลื่อมใส ให้ทานด้วยความเมตตาสงสาร ให้ทานประเภทใดก็ตามสงเคราะห์ ตลอดถึงวิทยาทาน อย่าว่าแต่วัตถุทานเลย เหล่านี้เป็นบุญเป็นกุศลผลประโยชน์แก่เราทั้งนั้น แล้วก็รวมเข้ามาสู่ที่ใจ ใจเป็นทำนบอันใหญ่หลวงสำหรับเก็บทั้งบุญและบาป ผู้สร้างคุณงามความดีตามพระพุทธเจ้าด้วยการให้ทาน บุญกุศลจะไหลรวมเข้าสู่ที่ใจของเรา รักษาศีลก็เป็นบุญเป็นกุศลประเภทหนึ่ง ๆ การเจริญเมตตาภาวนา สวดมนต์ ไหว้พระ เจริญพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ภาวนาทำจิตใจให้สงบเยือกเย็น นี้ก็เป็นบุญกุศลแต่ละอย่าง ๆ รวมเข้าสู่ใจนี้ทั้งนั้น

ใจจึงเป็นที่เก็บรวมแห่งความดีทั้งหลาย ในขณะเดียวกันผู้สร้างความชั่วก็เหมือนกันเช่นนั้น ไม่มีคำว่าที่แจ้งที่ลับ สร้างเมื่อไรเป็นบาปเมื่อนั้น ๆ ถ้าสร้างมากบาปมีอำนาจมากก็ขับไสเราลงสู่นรกได้ ทั้ง ๆ ที่ผู้ที่ดื้อด้านว่านรกไม่มีนั้นแล ผู้ดื้อด้านนั้นแหละจะโดนหนักที่สุดกว่าผู้ที่ยังมีขยะแขยงเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง สะเทินน้ำสะเทินบก ตกนรกก็ไม่เต็มเหนี่ยว ขึ้นสวรรค์ก็ไม่เต็มที่ เวลาจะขึ้นสวรรค์ก็ห่วงนรก คืออยากทำบาปเสีย ครั้นว่าจะทำบาปจริง ๆ ก็กลัวบาป ก็ไม่กล้าทำเสีย ขยับขึ้นมาจะไปสวรรค์ก็ไม่ไป จะไปนรกก็ไม่ไป ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ผู้นี้เรียกว่า สะเทินน้ำสะเทินบก ไม่หนักมากนักเหมือนผู้ที่ไม่เชื่อเสียเลย ผู้ที่ไม่เชื่อนี้เป็นผู้ที่รับเหมากองทุกข์ถึงขั้นมหันตทุกข์ได้โดยไม่ต้องสงสัย

ผู้ที่เชื่ออรรถธรรมก็เหมือนกัน เชื่ออรรถธรรมมีหลายประเภท เชื่อเพียงสะเทินน้ำสะเทินบก การทำบุญให้ทาน การทำความดิบความดี จึงทำไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งจะทำทั้งจะไม่ทำ เวลาจะทำความตระหนี่ถี่เหนียวมันก็มากีดมาขวางมาปิดมาบังไว้เสีย จะให้ทานเงินแต่ละบาทแต่ละสตางค์นี้ต้องแย่งกันกับความตระหนี่ถี่เหนียว ดีไม่ดีเงินหนึ่งบาทกำไว้ในเงื้อมมือนี้ ไม่ยอมเปิดไม่ยอมแบฝ่ามือได้เลย เพราะความตระหนี่ถี่เหนียวมันบีบมันบังคับเอาไว้ไม่ให้ทาน นี่คือฝ่ายมาร สุดท้ายเงินในกำมือนั้น สมัยปัจจุบันนี้เป็นเงินกระดาษเลยเปื่อยไปหมด ถูกเหงื่อในกำมือของเราเลยไม่ได้ ทางกิเลสก็ไม่ได้ทางธรรมก็ไม่ได้ นี่เรียกว่า สะเทินน้ำสะเทินบก

เวลากิเลสมีอำนาจมันก็ยึดไว้หมด เงินที่จะนำไปบริจาคบาทหนึ่งสองบาทนี้ประหนึ่งว่ามีคุณค่าเท่าภูเขาทั้งลูก เวลาจะเอาไปให้ทานมันขัดมันแย้งมันกีดมันขวาง เหมือนหนึ่งว่าเงินที่เอาไปให้ทานเพียงบาทสองบาทเท่านั้น เท่ากับทองกองเท่าภูเขาอีกเช่นกัน มันหึงมันหวงมันไม่ยอมให้เสียสละ เราผู้ทำบุญให้ทานที่เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก็ขัดก็แย้งกันอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา แล้วผลสุดท้ายจะทำบุญก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จะทำบาปก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงเกิดแบบสะเทินน้ำสะเทินบก ไม่ค่อยได้เป็นความสุขความเจริญเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ทีนี้ผู้ที่มีความเชื่อถืออรรถธรรม และเบื้องต้นนั้นอุตส่าห์พยายามฝืนความไม่เชื่อว่าทำบุญได้บุญลงไปเสียสละการให้ทาน เสียสละอยู่เรื่อย ๆ ไม่หยุดไม่ถอย ความตระหนี่ถี่เหนียวก็ค่อยอ่อนกำลังลงไป ๆ การให้ทานมีน้ำหนักมากขึ้น ๆ แล้วเชื่อต่อการให้ทานของตนว่า ทำลงไปมากน้อยเพียงไรยิ่งทำจิตใจให้มีความยิ้มแย้มแจ่มใสเบิกบาน ผิดกับความตระหนี่ถี่เหนียวไม่ยอมเสียสละแก่ผู้ใดและแก่การทำบุญให้ทานเป็นไหน ๆ

คนที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวมากเราอย่าเข้าใจว่า คนนั้นจะครองความสุขความเจริญเหนือโลกเขา คนนั้นแลคือคนได้รับกองทุกข์เต็มอยู่ในหัวใจ สมบัติเงินทองข้าวของมีมากน้อยเพียงไรก็ตาม นั้นเป็นเพียงเครื่องล่อของกิเลสให้ยึดให้เหนียวแน่นเข้าไปโดยลำดับ กว้านหามาเท่าไรก็ไม่พอ ๆ เวลาตายแล้วทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่านั้นก็เป็นวัตถุต่าง ๆ อยู่อย่างนั้นแล เจ้าของก็ไปจมลงในนรกทั้ง ๆ ที่สมบัติมีมากก็ช่วยอะไรไม่ได้ เพราะสมบัติที่มีความตระหนี่เป็นเจ้าของนั้น ไม่เคยอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้ใด สมบัติที่เกิดขึ้นจากการให้ทานต่างหาก คนทุกข์คนจนทำบุญให้ทานน้ำใจเป็นบุญเป็นกุศล ผู้นี้ไปสวรรค์ได้ไม่สงสัย ไม่สำคัญกับคนไหนมั่งมีศรีสุขคนนั้นจะไปสวรรค์นิพพาน อันนั้นเป็นกิเลสหลอกคนให้มีความสั่งสมตระหนี่ถี่เหนียวกวาดกว้านหามาไม่มีคำว่าพอ ได้เท่าไรไม่พอ ๆ นี่เป็นเรื่องของกิเลสจะหลอกคนให้จมลงนรกต่างหาก ขอให้พี่น้องชาวพุทธเราจงจำไว้ให้ถึงใจ

พระพุทธเจ้าทรงสอนโลกอย่างทรงถึงพระทัย เมตตาเต็มสัดเต็มส่วน เราฟังธรรมเป็นพุทธบริษัทลูกพระพุทธเจ้าขอให้ฟังอย่างถึงใจแล้วไปปฏิบัติตัวเอง อย่าให้กิเลสแย่งเอาไปกินเสียหมดทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยู่ แล้วตื่นลมตื่นแล้งในสมบัติของตน เพลินกับความตระหนี่ถี่เหนียว กวาดต้อนมา เพราะคนตระหนี่ย่อมเห็นแก่ตัว ความตระหนี่มากเท่าไรยิ่งเห็นแก่ตัวมาก ไปคบค้าสมาคมกับใครไม่ค่อยได้ ไม่มีใครคบค้าสมาคม เพราะคนตระหนี่ถี่เหนียวนอกจากความตระหนี่แล้วยังเห็นแก่ตัวมาก นอกจากความเห็นแก่ตัวมากแล้วยังหาช่องหาทางจะคดจะโกงจะรีดจะไถกัดตับกัดปอดมนุษย์ทั่วไป ใครจึงไม่อยากคบค้าสมาคมกับคนตระหนี่ถี่เหนียว ถือว่านี้คือไฟในสายตาของธรรม

ธรรมกับความตระหนี่ถี่เหนียวนี้เข้ากันไม่ได้ ท่านจึงสอนให้เสียสละ ต่างคนต่างเสียสละ แล้วเมื่อเวลาเราบำเพ็ญไปนาน ๆ เข้า การให้ทานกลายมาเป็นสมบัติที่พึงใจของเรา ทั้ง ๆ ที่เราจนแต่มองดูหัวใจที่เต็มไปด้วยการเสียสละทำบุญให้ทานในที่ทั่ว ๆ ไป ยิ่งมีความปีติยินดีเอิบอิ่มในจิตใจของตน แม้จะตายในเวลานั้นก็พอใจตาย เพราะตายไปแล้วยังไงก็ต้องไปเสวยความสุขบนสวรรค์ชั้นนั้น ๆ ตามอำนาจแห่งบุญของตนจนได้ไม่สงสัย นี่ผู้ที่มีการทำบุญให้ทานมาก ๆ ต้องมีความเอิบอิ่มภายในจิตใจ ชุ่มเย็นตลอดเวลา ผิดกับคนตระหนี่ถี่เหนียว แม้จะมีเงินมากขนาดไหน มีความเหี่ยวแห้งเป็นทุกข์ทรมานอยู่มากทีเดียว จึงอย่าได้เชื่อกิเลสว่าใครมีเงินมาก ใครคดโกงรีดไถมาก คนนั้นจะเป็นความสุข นั้นเป็นแง่งอนของกิเลสหลอกคนให้จมลงในนรกต่างหาก เราเป็นชาวพุทธอย่าเชื่อ ให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนโลกใดให้ตกนรกอเวจี ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้าแล้วพากันตกนรกอเวจีอย่างนี้ไม่เคยมี มีแต่ทำตามอำนาจของกิเลสซึ่งเป็นภัยของธรรมนั้นแหละพาให้คนจมลงในนรก เวลานี้นรกอัดแน่นตลอดเวลา เรายังจะกล้าไปลบล้างอยู่เหรอว่านรกไม่มี พระพุทธเจ้าไม่สามารถที่จะลบล้างได้ จึงบอกว่านรกมี ๆ เพราะลบล้างไม่ได้ แต่เราจะมีอำนาจวาสนาเกินพระพุทธเจ้ามาจากไหนจะไปลบล้างพระพุทธเจ้า แล้วสร้างความชั่วช้าลามกด้วยความหน้าด้านสันดานหยาบ ตายแล้วจะเป็นผู้รับเหมาอันใหญ่หลวงในนรกอเวจีไม่ต้องสงสัย

เพราะฉะนั้นเราเป็นลูกชาวพุทธขอให้รู้เนื้อรู้ตัว พระพุทธเจ้าทรงสอนโลกด้วยความเมตตาล้วน ๆ แต่กิเลสไม่เคยเสี้ยมสอนใครให้มีความเมตตา ให้มีแต่ความเห็นแก่ตัว ๆ ตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ได้ คดโกงรีดไถทุกแง่ทุกมุม นี้คือเรื่องของกิเลสสร้างความเป็นฟืนเป็นไฟแก่ตนเอง แล้วยังสร้างความเป็นฟืนเป็นไฟแก่ส่วนรวม เช่นอย่างประเทศไทยของเรานี้ ถ้ามีคนประเภทนี้มาก ๆ เมืองไทยของเราจะจมได้โดยไม่ต้องสงสัย ตกนรกทั้งเป็น ตัวของผู้ทำนั้นก็ยิ่งจะตกนรกหมกไหม้ที่หนักมากที่สุด

เมืองไทยเราถึงจะจมก็ตาม คนดีมีอยู่ ถึงจะจมก็ไปสวรรค์ได้โดยไม่ต้องสงสัย ผิดกับคนที่ประกาศตนภายในจิตใจด้วยความเย่อหยิ่งว่าเป็นคนมั่งมีศรีสุข เป็นคนเฉลียวฉลาด คดโกงรีดไถในแง่ต่าง ๆ ไม่มีใครเกิน คนดีมีธรรมในใจผิดกับพวกนี้เป็นไหน ๆ เราเชื่อแล้วตามหลักคำสอนว่าผู้ทำบาปจะลงนรกโดยไม่ต้องสงสัย เราเป็นลูกชาวพุทธขอให้ฟังให้ถึงใจทุกท่านทุกคน การปรับเนื้อปรับตัวของเราให้เป็นคนดีมีศีลมีธรรม ความรักชาติของเราเป็นที่หนึ่ง ความเสียสละเพื่อชาติของเราตามกันมา และความรักกัน ความเห็นแก่ใจกัน มีความเสียสละต่อกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ต่อกัน นี้เป็นลูกของชาวพุทธ

เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ต้องมีจิตใจอันกว้างขวางต่อกัน ไปที่ไหนพึ่งเป็นพึ่งตายกันได้ไม่เป็นภัยต่อกัน นี้คือลูกแห่งชาวพุทธ ขอให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายได้ปฏิบัติตัวอย่างนี้ทั่วหน้ากัน เมืองไทยของเราจะเป็นเมืองร่มเย็นเป็นสุข ไปที่ไหนไม่อดตาย เพราะคนไทยของเรามีน้ำใจต่อกัน คนมีน้ำใจสนิทกันได้ง่ายมาก ไปที่ไหนไม่ได้ถือสีถือสา มีความเมตตาสงสาร เฉลี่ยเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน นี่เรียกว่ามีน้ำใจ ชาวพุทธเราเท่านั้นที่มีน้ำใจต่อกัน จากนี้ไปแล้วก็เป็นชาวผี เห็นแก่ตัว คดโกงรีดไถประเภทต่าง ๆ อย่างนั้นอย่านำมาเป็นประมาณของชาวพุทธเรา ให้พากันพยายามสร้างเนื้อสร้างตัวให้ดิบให้ดี

การอยู่ก็ให้อยู่พอดิบพอดีดังที่กล่าวนี้ การกินก็เหมือนกัน อย่ากินแบบฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมแบบลืมเนื้อลืมตัว อะไรไม่พอ ๆ กว้านเข้ามา สุดท้ายก็เลยเฟ้อ ๆ ไปหมด การกินไม่รู้จักประมาณก็คือการจับจ่ายไม่รู้จักประมาณ กวนเจ้าของเอง สร้างกองทุกข์ให้เจ้าของ

การใช้สอยก็เหมือนกัน ให้ใช้สอยแต่พอเหมาะพอดี ในครอบครัวเหย้าเรือนของเรามีคนจำนวนมากขนาดไหน การอยู่การกินให้พอเหมาะพอดีกับครอบครัวของเรา การใช้สอยก็อย่าให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เครื่องใช้ไม้สอยอย่าให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเกินเนื้อเกินตัว ให้ประหยัดมัธยัสถ์ เมื่อการสร้างตัวดีแล้วทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีหลักมีเกณฑ์มีประมาณไปตาม ๆ กัน

การคบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูงก็ให้พินิจพิจารณาด้วยดี อย่าเห็นแก่ได้แก่คบ คนชั่วนั้นละทำลายคนดีเป็นจำนวนมาก เราต้องได้เลือกเฟ้นพินิจพิจารณา ไม่ควรคบอย่าคบ คนชั่วคนหลอกลวงต้มตุ๋นนี้ทำคนให้ล่มจมมามากต่อมากแล้ว ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้คัดเลือกด้วยดี

วันนี้อธิบายถึงเรื่องการอยู่การกินการใช้การสอยแห่งชาติไทยของเราซึ่งเป็นชาวพุทธ ขอให้นำไปปฏิบัติ และขอให้มีธรรมเป็นหลักใจด้วยกันทุกคนอย่าปล่อยวาง เวลานี้ชาวพุทธของเรารู้สึกว่าจะห่างเหินจากศีลจากธรรมมากจนน่าวิตก เฉพาะอย่างยิ่งทางด้านจิตใจแทบไม่มีธรรมภายในใจเลย มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาความคึกความคะนอง ความสุรุ่ยสุร่ายเต็มบ้านเต็มเมือง ไปไหนมีแต่กิเลสอวดกัน เรื่องกิเลสอวดกันก็คือเอาความฉิบหายอวดกันนั่นเอง ไม่ใช่เอาอะไรมาอวด มีแต่ความฉิบหาย

กิเลสเป็นของต่ำทราม มันมีอยู่ในผู้ใดมากน้อยจะแสดงความต่ำทรามและความฉิบหายให้เห็น นี่ยิ่งจะมีมากขึ้นเป็นลำดับลำดา ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องคัดค้านต้านทานกันแล้ว คนจะมีแต่ความทุกข์ความทรมานถ้าเดินตามกิเลสดังที่เป็นมาเวลานี้ ไม่มีการยับยั้งชั่งตัวด้วยอรรถด้วยธรรมเลยแล้ว จะไม่มีเกาะมีดอนเป็นที่ยึดที่อาศัย เราเป็นลูกชาวพุทธให้รู้จักประมาณการจับจ่ายใช้สอย

เฉพาะอย่างยิ่งเราเป็นคนไทย รักชาติไทยด้วย รักสมบัติของชาติไทยเราด้วย สมบัติของชาติไทยเราเป็นยังไง การผลิตสิ่งต่าง ๆ ขึ้นมาในชาติไทยของเรานี้ โรงงานในเมืองไทยของเรานี้มีจำนวนมาก ผลิตสิ่งใดขึ้นมาเพื่อการอยู่การกินการใช้การสอย ให้ต่างคนต่างเป็นคนไทยด้วยกัน ซื้อขายซึ่งกันและกันเพื่อเป็นการอุดหนุนสินค้าของคนไทยเรา ไม่ควรไปซื้อเมืองนอกเมืองนาอย่าได้ไป เพราะสิ่งที่ไปซื้อมานั้นเป็นสมบัติกาฝาก ซื้อมาแล้วมากัดสมบัติของเรา ชาติไทยของเราและนิสัยของเราให้เสียไป สมบัติต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทยใครมีอะไรก็ตามให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน โดยที่เป็นสมบัติของคนไทยด้วยกัน จะเป็นการอุดหนุนชาติไทยของเราไปในตัว แล้วก็เป็นการสร้างเนื้อสร้างหนังชาติไทยของเราให้แน่นเหนียวมั่นคงยิ่งขึ้น

ด้วยคนไทยรักนวลสงวนตัว ไม่เห็นว่าชาติอื่น สมบัติสิ่งของของชาติอื่นเมืองอื่นดีกว่าของเมืองไทย ของเมืองไทยไม่ดีอย่างนี้เป็นความเสียหาย เท่ากับมองข้ามคนไทยทั้งชาติ เราต้องถือว่าเมืองไทยของเรานี้ แม้แต่ลูกของเราเกิดมารูปร่างเป็นยังไง เรายังรักยังเลี้ยงดูลูกของเราให้ใหญ่โตขึ้นทุกคน นี่เมืองไทยของเราก็เหมือนกัน สมบัติใดที่เกิดขึ้นมาในเมืองไทย ให้ต่างคนต่างซื้อต่างขายแลกเปลี่ยนสมบัติของกันและกัน เป็นการสร้างเนื้อหนังขึ้นภายในชาติไทยของเราเอง ชาติไทยของเราก็จะเป็นเนื้อเป็นหนังขึ้นมาโดยลำดับ

สิ่งภายนอกหากมีความจำเป็น ทั้งเขาทั้งเราย่อมแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้เป็นธรรมดา แต่ซื้อด้วยความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมนั้นไม่สมควรอย่างยิ่งกับชาติไทยของเรา เราให้เลือกเฟ้นพินิจพิจารณาก่อน สิ่งเหล่านี้เป็นของสำคัญและเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับชาติบ้านเมืองของเราด้วย ถ้าเราไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์เป็นคนหลักลอย เห็นสิ่งภายนอกดีกว่าสิ่งภายในแล้วชาติไทยของเราก็เหลวแหลกแหวกแนวไปได้ทั้งประเทศ แล้วจมกันได้ทั้งประเทศนั้นแล ถ้าต่างคนต่างรักนวลสงวนตัวแล้วแสวงหาสิ่งที่เป็นสารประโยชน์แก่ชาติไทยของเรา ชาติไทยของเราจะฟื้นตัวขึ้นมาเป็นลำดับ ๆ

ดังที่หลวงตาพาพี่น้องทั้งหลายนำพี่น้องทั้งหลายเวลานี้ เรานำด้วยสองประการ คือ วัตถุเงินทองข้าวของก็เพื่อเข้าสู่คลังหลวงอันเป็นหัวใจของชาติไทยเรา อันดับที่สองคืออันดับใหญ่ที่สุด ได้แก่ การฟื้นฟูจิตใจของเราเพื่อเข้าสู่ทางอรรถทางธรรม เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นของตัวเอง แล้วปฏิบัติตัวเองฟื้นฟูตัวเองขึ้นมา เช่น การอยู่การกินการใช้การสอยเหล่านี้ก็รู้จักประมาณยิ่งขึ้น ๆ นี้แลคือการฟื้นฟูชาติไทยของเรา อันเป็นต้นเหตุแห่งการช่วยเหลือชาติไทย ส่วนวัตถุต่าง ๆ นั้นเป็นปลายเหตุ เอามาเยียวยาสิ่งที่บกพร่องเท่านั้น

หลักใหญ่คือใจของพี่น้องชาวไทยทุกคน ให้มีใจแน่นหนามั่นคงรักชาติ ต่างคนต่างสงวน การเสาะแสวงหาสิ่งภายนอกมาหากจำเป็นค่อยซื้อค่อยจ่ายหากัน ถ้าไม่จำเป็นขออย่าซื้อเข้ามา ของเมืองไทยเราพอเป็นพอไปแล้วให้ซื้อให้จับจ่ายใช้สอยในเมืองไทยของเราเอง นี้เรียกว่าสร้างเนื้อสร้างหนังเข้าสู่เมืองไทยของเรา

ประการสำคัญก็คือว่า การเที่ยวเตร็ดเตร่เมืองนอกเมืองนานั้น ไม่จำเป็นก็ไม่ควรไปเที่ยวหาความรื่นเริงบันเทิง ซึ่งไปก็ชั่วขณะเท่านั้นแหละ รื่นเริงดูนั้นดูนี้ดูบ้านดูเมืองของเขา มันก็มีแต่ตึกรามบ้านช่องอิฐปูนหินทรายเช่นเดียวกัน คนก็คนเหมือนกัน ไปแล้วเงินทองข้าวของก็จ่ายไปตลอดเวลา กลับมากระเป๋าแฟบ ๆ แล้วยังสร้างความเคยชินต่อนิสัยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมเข้าไปอีก ใครก็อยากจะไปเที่ยวเมืองนอก ๆ กอบโกยเอาเงินไทยไปถลุงเมืองนอก ๆ

เมืองไทยเราเป็นยังไงให้พากันคำนึงมาก ๆ ขอให้พี่น้องทั้งหลายคำนึงตลอดเวลาหลวงตาขอร้อง นำศาสนาพระพุทธเจ้ามาขอร้องพี่น้องทั้งหลายให้ยับยั้งตัวเอง อันใดที่จะทำส่วนใหญ่มีนิสัยของเราเป็นสำคัญ ที่จะทำลายชาติบ้านเมือง ทำลายได้ด้วยนิสัยของคนไทยเราเป็นคนเลื่อนลอยฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่มีหลักมีเกณฑ์ ต่างคนต่างเห่อ แล้วก็ขนเงินในเมืองไทยออกไปถลุงเมืองนอก ไปจมที่เมืองนอกมามากมาย แล้วยังจะขนไปอีกถ้าไม่ปรับเนื้อปรับตัวเสียตั้งแต่บัดนี้ นี่ก็เรียกว่าสร้างตัวประการหนึ่ง มันไม่มีหลัก..สร้างให้มีหลัก

การท่องเที่ยวไปที่ไหนก็เที่ยวได้..ไป เมืองไทยของเรานี้กว้างขนาดไหน ควรแก่การท่องเที่ยวได้ทุกแห่งทุกหนทุกภาค ไม่มีใครบีบบังคับ เอ้า ไป ถ้าไม่มีที่ไปเที่ยวจริง ๆ แล้วให้เดินผ่านหน้าวัดหลวงตาบัวไป นี่มาเที่ยวหน้าวัดของหลวงตาบัวแล้วผ่านไปเมืองไหน ๆ ก็ไป เราจับจ่ายซื้อขายนี้เราซื้อของเมืองไทยเรา จ่ายของเมืองไทยเรา จ่ายสุรุ่ยสุร่ายไม่มีหลักมีเกณฑ์ใส่ตัวเอง แล้วกุลบุตรสุดท้ายภายหลังที่เกิดมา ก็จะเป็นเด็กเหลวแหลกแหวกแนวหาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่เป็นแบบพิมพ์ที่เหลวไหลพาให้เป็น

เราต้องสร้างตัวของเราให้เป็นแบบพิมพ์แก่เด็กกุลบุตรสุดท้ายภายหลังด้วยดี ด้วยการมีขอบมีเขตการประหยัดมัธยัสถ์ การรู้เนื้อรู้ตัวทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นการสร้างเมืองไทยของเราให้แน่นหนามั่นคงขึ้นไปโดยลำดับ ขอพี่น้องทั้งหลายได้ยึดหลักศาสนา ที่มาสอนเวลานี้คือหลักศาสนา ขอได้นำไปปฏิบัติกัน

เรื่องของกิเลสมันจะพาเมืองไทยให้ล่มจมอยู่แล้ว เวลานี้มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นไม่ใช่เรื่องธรรม ธรรมท่านไม่พาใครให้ล่มจมฉิบหายไปไหน ให้พากันปฏิบัติอย่างนี้จึงเรียกว่าปฏิบัติตัว สร้างตัวให้ดี สร้างคนให้ดี วัตถุทั้งหลายที่เป็นเครื่องอาศัยนั้นจะหนาแน่นมั่นคงขึ้นเป็นลำดับต่อพี่น้องชาวไทยเรา

วันนี้ได้พูดถึงเรื่องการปรับเนื้อปรับตัวของพวกเรา เพื่อชาติไทยของเรา หลักใจเป็นของสำคัญมาก เวลานี้พี่น้องชาวไทยเรารู้สึกจะห่างเหินศีลธรรม เฉพาะอย่างยิ่งการภาวนาเพื่อใจสงบนั้นไม่ค่อยมีกันเลย วันนี้จะอธิบายถึงเรื่องการภาวนาเพื่อสงบใจ ซึ่งเป็นหลักยึดของเราอันสำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใดคือหลักใจ ให้พยายามทำใจของเราให้สงบ ในวันหนึ่งคืนหนึ่งอย่าปล่อยวางให้เวล่ำเวลาเสียไปเปล่า ๆ อย่างน้อยเวลาจะหลับจะนอนขอให้ไหว้พระ เรียบร้อยแล้ว

เราจะสวดมนต์ย่อหรือพิสดารก็แล้วแต่กำลังวังชาความสามารถของเรา แล้วทำใจของเราให้สงบด้วยท่านั่งใดก็ได้ นั่งพับเพียบก็ได้ ขัดสมาธิก็ได้ ถ้าเราจะไปนั่งบนเก้าอี้ภาวนานี้รู้สึกว่ากิเลสจะหัวเราะนะ นี่มันขึ้นเก้าอี้ภาวนา ตายแล้ว ! พระพุทธเจ้าจะจมลงทะเลแล้ว เพราะทรงระอาพวกเราที่ถูกกิเลสฉุดเอาต่อพระพักตร์ พอจะนั่งภาวนาโดดขึ้นเก้าอี้ภาวนา ภาวนาบนเก้าอี้มีแต่หลับครอก ๆ เท่านั้นไม่เห็นได้อะไร เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ส่งเสริมในการภาวนาขึ้นนั่งเก้าอี้ภาวนา ให้นั่งทำความสงบ จะนั่งขัดสมาธิก็ได้ นั่งพับเพียบหรือท่าใดก็ได้ แล้วระลึกถึงธรรมบทใดบทหนึ่งเช่น พุทโธ ธัมโม สังโฆ จะเอาธรรมบทใดก็ได้ตามแต่จริตนิสัยของเราชอบในธรรมบทใด ไม่มีขอบเขตจำกัด

ขอให้มีสติจดจ่อต่อเนื่องอยู่กับธรรมบทนั้นที่นำมาบริกรรม เช่น เราบริกรรม พุทโธ ๆ ก็ขอให้สติจดจ่ออยู่กับคำบริกรรม พุทโธ ๆ บังคับจิตไม่ให้ออกในเวลานั้น เพราะจิตถูกกิเลสผลักดันตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งถึงขณะที่เราไหว้พระ กิเลสยังจะฉุดลากความคิดความปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวายต่อไปอีกมากมายไม่มีสิ้นสุด เราจึงต้องหาที่ยุติด้วยคำบริกรรมภาวนา ไม่ให้มันคิดยุ่งเหยิงต่อไป ให้คิดกับ พุทโธ ๆ มีสติบังคับอยู่ อย่างน้อยขอให้ได้สัก ๑๐ นาที ไม่ได้มากก็ตาม ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ทำเถิด จะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์ของจิตใจในวันหนึ่งแน่นอน

เวลานี้เราเห็นแต่สิ่งภายนอกแปลกประหลาดอัศจรรย์ไปเรื่อย ๆ คือกิเลสหลอกไป ๆ อันนั้นก็ดี อันนี้ก็ดี ดีทั่วโลกดินแดนหาประมาณไม่ได้ ความดีดดิ้นคือเรา ความทุกข์คือเรา นี้คือกิเลสหลอกไป ทีนี้ให้ย้อนเข้ามาหาธรรมคำบริกรรม คือว่า พุทโธ ๆ คำใดก็ได้ ให้สงบอยู่ภายในใจของเรา นึก พุทโธ ๆ มีสติจดจ่ออย่าคิดไปไหน นั้นละไม่นาน เอาเพียง ๑๐ นาทีเสียก่อน บางท่านอาจจะเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาในขณะที่ภาวนานั้นไม่อาจสงสัย เพราะวิธีการนี้เป็นวิธีการยับยั้งจิตเข้ามาให้เป็นตัวของตัวด้วยธรรม นอกนั้นเราไม่ได้เป็นตัวของตัว ด้วยความคิดความปรุงยุ่งเหยิงวุ่นวายต่าง ๆ มีแต่กิเลสลากไป ๆ หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ หาความสุขจึงไม่มี วันหนึ่ง ๆ หาความสุขไม่มีเพราะกิเลสลากถูไปอย่างนั้น

บัดนี้เราย้อนจิตของเราเข้ามาสู่ภาวนา คือ พุทโธ ๆ คำใดก็ได้ ธัมโม ก็ได้ สังโฆ ก็ได้ ให้มีสติจดจ่ออยู่กับพุทโธ ๆ อย่าให้เผลอ เอ้า บังคับ ทำไมเราบังคับตัวของเราให้ดีเราบังคับไม่ได้ แต่กิเลสบังคับเราไปทั่วดินแดนโลกธาตุ กี่ทวีปมันยังบังคับได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งหลับ ทำไมมันบังคับเราไปได้ เราจะบังคับจิตให้เข้าสู่ธรรมเพื่อหาที่ยับยั้งตัวเอง หาสาระแก่ตัวของเราให้ได้ยึดเป็นสาระอันสำคัญด้วยการภาวนานี้ทำไมจะทำไม่ได้ เราเป็นลูกชาวพุทธ

พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ด้วยล้างมือเปิบ ท่านทรงสลบไสลมาถึง ๓ ครั้ง ยากหรือไม่ยากการต่อสู้กับกิเลสเป็นยังไง เราต่อสู้กับกิเลสเพียงแค่นี้ ไม่ให้มันคิดยุ่งเหยิงวุ่นวายไป ทำไมจะหนักเกินกว่าพระพุทธเจ้าไป กลัวจะล้มจะตายไปเสียอย่างนี้ไม่สมควรแก่เราเป็นลูกชาวพุทธเลย จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้นำคำบริกรรมนี้เข้ามาภาวนา พุทโธ ท่านทั้งหลายจะได้เห็นความแปลกประหลาดจากใจดวงนี้ซึ่งครองกันมาตั้งแต่วันเกิด มีแต่กิเลสเอาไปถลุงทั้งวันทั้งคืน ไม่เห็นความแปลกประหลาดอะไรพอจุใจบ้างเลย ก็ยังไม่เข็ดไม่หลาบ ลืมเนื้อลืมตัวกับมันตลอดไป บัดนี้ย้อนจิตเข้ามาสู่การภาวนา

วันหนึ่ง ๆ เอาอย่างนี้เสียก่อนไม่ให้มากละ บังคับเอาให้ได้คืนหนึ่งเวลาเราจะหลับนอนนั้นเป็นเวลาที่ไม่ต้องทำงานทำการอะไร ให้ภาวนา พุทโธ ๆ ประมาณ ๑๐ นาที ตั้งสติให้ดี แล้วจิตของเราจะแปลกประหลาด คือ จะค่อยสงบตัวเข้ามา ๆ สู่ใจ เมื่อใจสงบแล้วใจจะปราศจากความคิดปรุงยุ่งเหยิงต่าง ๆ อันเป็นอำนาจของกิเลสฉุดลากไปนั้น สงบตัวเข้ามาสู่ตัวของตัวแล้วความรู้นี้จะเด่นขึ้นมา พอความรู้ที่เด่นขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งคำบริกรรมนี้แล้ว ความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ ความตื่นเต้นในหัวใจของเรานี้ จะปรากฏเด่นขึ้นในขณะนั้น ๆ แล้วจะปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่จะเป็นเพียงเวลาเดียวขณะเดียว

ต่อไปจิตของเรามีความสงบเย็นเท่าไร ยิ่งจะแสดงสารคุณมากขึ้น ๆ ความแปลกประหลาดจะมารวมอยู่ที่ใจนี้ทั้งหมด เราเห็นได้ชัดเจนว่านี้คือสาระอันสำคัญ เราหาความสุขตั้งแต่วันเกิดมาด้วยสิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่เคยเจอ ๆ บัดนี้ได้เจอแล้วที่หัวใจของเรา ด้วยอำนาจแห่งธรรมฉุดลากเข้ามาหรือรั้งเข้ามาสู่ความสงบเย็นใจด้วยบทภาวนา เราจะปรากฏเด่นชัดขึ้นที่นี่ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ยึด นี้คือหลักใจของชาวพุทธ ขอให้มีการภาวนากันบ้าง เวลานี้จะไม่มีนะการภาวนา ดีไม่ดีงงกันไปหมดว่าภาวนา ๆ เป็นอย่างไร ชาวพุทธเรางงกันไปหมดไม่มีใครสนใจ เพราะอำนาจของกิเลสลากถูไปตลอดเวลา เห็นกิเลสเป็นสำคัญยิ่งกว่าธรรม เราจึงหาความสำคัญไม่ได้

ทั้ง ๆ ที่วิ่งตามกิเลสทั้งวันทั้งคืน เอาความสำคัญจากกิเลสนิดหนึ่งไม่ปรากฏเลย ทีนี้เราจะเอาความสำคัญจากธรรม ให้ระลึกอย่างนี้ทุก ๆ คน เราอยู่ใต้อำนาจของกิเลสต้องอยู่ใต้อำนาจของกองทุกข์ด้วยกันทุกคน ทีนี้เอาอำนาจของธรรมเข้าไปฉุดไปลาก แย่งกิเลสเข้ามาให้เป็นความสุขภายในใจของเรา

ใจนี้ไม่มีประมาณ เริ่มต้นมีความสงบก่อน พอสงบเพราะได้รับการบำรุงรักษาอยู่เรื่อย ๆ ใจนี้จะแสดงความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นมาเรื่อย ๆ ความสว่างกระจ่างแจ้งจะปรากฏขึ้นมาที่ใจ ๆ จากนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณเรื่องคุณสมบัติคุณธรรมขึ้นภายในใจ ขึ้นจากนี้นะ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ดวงใจ พระอรหันต์ทั้งหลายตรัสรู้ที่ดวงใจ ด้วยการภาวนาของท่าน เราถึงไม่ได้ขนาดนั้นก็ตาม ขอให้ดำเนินตามฐานะของลูกศิษย์ที่มีครูสอน เราก็ยังพอจะมีความสงบร่มเย็นบ้าง

อันนี้เอากิเลสมาพาอยู่พาไป มันพาเข้าฟืนเข้าไฟทั้งวันทั้งคืนไม่มีการเข็ดหลาบ เมื่อเอาธรรมยับยั้งเข้าสู่ใจแล้ว เราจะเห็นความแปลกประหลาดอัศจรรย์นี้คือที่พักของจิต นี้คือที่ยับยั้งของจิต นี้คือหลักของใจอยู่ตรงนี้ ๆ เราจะได้เด่นขึ้นภายในใจแล้วมีความหนักแน่นยิ่งขึ้น ความเชื่อบาปเชื่อบุญ นรก สวรรค์ ไม่ต้องบอก จิตดวงนี้เองเป็นผู้ที่จะรู้บาปรู้บุญรู้นรกสวรรค์ทุกประเภท พระพุทธเจ้ารู้จากจิต จิตนี้สว่างกระจ่างแจ้งไปแล้วไม่มีอะไรปิดบังลี้ลับได้เลย พระพุทธเจ้ารู้ด้วยความสว่างกระจ่างแจ้งของพระองค์นั่นเอง ได้มาชี้แจงบอกพวกเราทั้งหลายอยู่เวลานี้

พวกเราตาบอดมองไม่เห็น มีแต่กิเลสจูงไป ๆ พระองค์ทรงรู้แจ้งเห็นจริง ตาดี ไม่มีอะไรเทียมเท่าพระพุทธเจ้าแหละ มาส่องเห็นทั้งโทษทั้งคุณ แล้วมาชี้แจงแสดงบอกแก่เราทั้งหลาย สิ่งใดที่ไม่ดีให้ละเว้น อย่าทำความชั่วมันจะลงนรก ๆ ถ้าทำมากจะลงนรกหลุมนั้น ๆ บอกไว้หมด ให้ทำดี ๆ แล้วไปสวรรค์ชั้นนั้น ๆ เพราะอำนาจแห่งกรรมดีมีมากมีน้อย ทำมากเท่าไรได้มากเท่าไรก็สูงมาก ๆ จนกระทั่งหลุดพ้นจากทุกข์ได้ด้วยอำนาจแห่งความดี ด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ไม่ใช่ด้วยการสั่งสมกิเลสมาก ๆ แล้วจะไปนิพพานแข่งพระพุทธเจ้านั้นไม่เคยมี มีแต่ลงนรกแข่งพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ เราอย่ากล้าหาญดื้อด้านต่อพระศาสดานะ เราเป็นลูกชาวพุทธ

ใครอย่าปฏิเสธนะว่านรกไม่มี ตัวเองผู้ปฏิเสธนั้นแลเป็นผู้จะต้องรับเหมากรรมอย่างหนัก ไม่มีใครเหนืออำนาจของกรรมได้แหละ กรรมอยู่กับเรา เราทำชั่วจะให้เกิดความดีได้เหรอ เราทำชั่วช้าลามกมากเท่าไรยิ่งจะไปสวรรค์นิพพานได้อย่างรวดเร็ว อย่างนี้ศาสนาก็ไม่มีความหมาย นี่ท่านแสดงไว้ตามหลักความจริง ผู้ทำดีได้ดี ผู้ทำชั่วได้ชั่ว ผู้ทำดีมากเท่าไรยิ่งได้ดี ๆ นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ทรงสั่งสอนไว้อย่างนี้ขอให้เชื่อ เราเป็นชาวพุทธทุกคน

อย่าอยู่เด้น ๆ ด้าน ๆ ปล่อยเนื้อปล่อยตัวตลอดเวลา การอยู่การกินการใช้การสอยการประพฤติเนื้อประพฤติตัว ขอให้มีขอบเขต ให้มีธรรมเป็นเครื่องบังคับบ้าง อย่าให้มีแต่กิเลสลากไป ๆ ถูไป เสียคนทั้งคนนะ เราเป็นคนเราไม่ได้เป็นสัตว์ สัตว์เขาตามภาษีภาษาเขาอยากทำอะไร ๆ ไม่มีใครถือสีถือสาเขา แต่มนุษย์นี้ไม่เหมือนสัตว์ ถ้าทำผิดลงไปนี้มองกันจนสะดุดตาสะดุดใจจนดูกันไม่ได้ อิดหนาระอาใจต่อกัน ไม่อยากคบค้าสมาคม เพราะกิริยามารยาทไม่ดีของมนุษย์เราผิดกับสัตว์ มันต่างกันอย่างนี้ ยิ่งทำเหลวแหลกแหวกแนวไปเท่าไรยิ่งดูไม่ได้เลย มนุษย์เป็นอย่างนี้

เวลานี้เราเป็นชาวพุทธทั้งประเทศไทยของเรา ควรจะปรับเนื้อปรับตัวเข้าสู่อรรถสู่ธรรม เพื่อจะฉุดลากเราให้ขึ้นจากหล่มลึก ขึ้นจากความทุกข์ความทรมานทั้งหลาย เพราะความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ด้วยการทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ หันหน้าเข้ามาสู่การสร้างความดี เอ้า บังคับ มันไม่อยากทำดี..บังคับ ไม่บังคับไม่ได้นะกิเลสลากถูไป ๆ การบังคับนี้คือบังคับกิเลสนั่นแหละ กิเลสมันมาแย่งตัวของเราให้ไปทำตามความอยากความทะเยอทะยานซึ่งเป็นเรื่องของมัน เราฉุดลากมา มันอยากทำไม่ให้ทำ นี่เรียกว่าต่อสู้กันกับกิเลส ครั้นต่อสู้ไปหลายครั้งหลายหนเราก็มีกำลังมากขึ้น ความชั่วทั้งหลายที่เป็นกิเลสนำมาเสนอหน้าเราหรือว่ามาฉุดมาลากเราจะค่อยอ่อนตัวลงไป ๆ ความดีของเราจะเด่นขึ้น ๆ สมชื่อสมนามว่าเราเป็นชาวพุทธ

เพราะใจนี้ไม่เคยตาย ใจไม่เคยมีป่าช้า ตั้งแต่เริ่มแรกของใจนี้เป็นมายังไงก็เป็นอจินไตย พระพุทธเจ้าไม่ทรงทำนาย แล้วความสิ้นสุดของใจนี้อยู่ที่ไหนไม่มี นอกจากผู้มีธรรมผู้บำเพ็ญคุณงามความดี ติดตามรอยของจิตความเกิดความตายนี้ด้วยการปฏิบัติตัวให้ดี ๆ เรียกว่าแกะรอยแห่งความเกิดตาย เราจะไปตกนรกหมกไหม้ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมที่ไหน ตามรอยไปด้วยการสร้างความดี ๆ แล้วใกล้ตัวเข้าไป ๆ จนกระทั่งถึงตัวมัน

ดังพระพุทธเจ้า เมื่อถึงตัววัฏจิตวัฏจักรที่พาเกิดพาตายไม่มีสิ้นสุดแล้ว สังหารกันลงในคืนวันเดือนหกเพ็ญ กิเลสขาดสะบั้นลงไปจากใจแล้วการเกิดตายหมดโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ประกาศองค์เป็นศาสดาขึ้นมาโดยไม่ต้องถามใคร บรรดาพระอรหันต์ทั้งหลายก็เหมือนกัน ท่านตามรอยของวัฏจักรวัฏจิตที่ไม่เคยตายนี้ไปโดยลำดับ ด้วยการสร้างความดี ๆ เข้าไป แล้วใกล้เข้าไป ๆ ไปถึงตัวมัน ตัวที่พาให้เกิดให้ตายจริง ๆ ฝังอยู่ภายในจิต ท่านตามเข้าไปถึงจิต จนกระทั่งถึงจิตที่กิเลสตัวพาให้เกิดให้ตายฝังจมอยู่ในนั้นแล้ว ทำลายกันขาดสะบั้นลงไป เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ท่านก็เป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมา เช่น สำเร็จเป็นพระอรหันต์ เรียกว่าตัดได้แล้วภพชาติเกิดแก่เจ็บตายวกเวียนต่าง ๆ ไม่มีอีกแล้ว ๆ นี้เพราะอำนาจแห่งการปฏิบัติตัวของเราให้ดี ตามจิตนี้ให้ทัน

จิตนี้ไม่มีคำว่าตาย ไม่มีป่าช้า หากเกิดหากตาย ๆ มากี่กัปกี่กัลป์ เพราะฉะนั้นจึงตามร่องรอยของจิตนี้ด้วยการบำเพ็ญคุณงามความดี จะไปถึงตัวของภพชาติจริง ๆ ฝังอยู่ที่จิต แล้วทำลายกันที่จิตขาดสะบั้นลงไปแล้ว พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นเอง พระอรหัตอรหันต์เกิดขึ้นเองในความบริสุทธิ์ไม่ต้องไปถามใคร นี้คือแดนแห่งความพ้นทุกข์ แดนแห่งความพ้นทุกข์คือจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แล้วนั้นแล คือธรรมชาติที่พ้นทุกข์แล้ว แล้วก็เป็นธรรมธาตุขึ้นมา ใจนั้นกลายเป็นธรรมธาตุ

ธรรมธาตุนี้แลที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ขึ้นมาครอบโลกธาตุอยู่เวลานี้ ที่ว่าธรรมมีอยู่ ๆ คือธรรมธาตุ ออกจากพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้ขึ้นมา พระอรหันต์ทั้งหลายที่บรรลุธรรมขึ้นมา จิตดวงนี้ไม่ตายจึงกลายเป็นธรรมธาตุขึ้นมาอย่างนั้น ไม่มีคำว่าสูญหาย เรื่องว่าตายแล้วสูญ ๆ นั้นคือกิเลสหลอกโลกให้ตายจมอยู่ตลอดเวลาไม่มีกัปกัลป์มาบีบบังคับได้แหละ

วันนี้การเทศนาว่าการให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้ทราบในทางภาคปฏิบัติตัวเองให้เป็นคนดี นี้เป็นของสำคัญมาก ขอให้มีขื่อมีแปมีขอบเขตมีข้อบังคับทุกคน ๆ เมื่อเป็นคนดีแล้วแม้แต่ในครอบครัวของเราก็ประจักษ์ในตัวของเรา สามีภรรยาอยู่ร่วมกันด้วยความเป็นผู้มีศีลมีธรรมแล้วมีความอยู่เย็นเป็นสุข มีความอบอุ่น สามีมีเมียคนเดียว ภรรยามีผัวคนเดียว อัปปิจฉตา เป็นผู้มักน้อย ไม่สนใจกับหญิงใดชายใด เพราะเหล่านั้นเป็นหญิงกาฝากชายกาฝากจะมาทำลายครอบครัวของเราผัวเมียของเราให้แตกแยก เป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ขึ้นมา

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงสอนให้ อัปปิจฉตา กาเมสุ มิจฉาจาร ดังที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า ห้ามไม่ให้ทำ กาเมสุ มิจฉาจาร อันผิดแนวทาง ผิดทางก็คือว่าผิดจากความเป็นผัวเป็นเมีย หาหญิงอื่นมาเป็นเมียแทน หาชายอื่นมาเป็นผัวแทน เป็นผัวกาฝากเมียกาฝาก อย่างนี้เป็นการทำลายจิตใจของกันอย่างมาก แล้วผู้เช่นนี้ตกนรกหนักด้วยนะ ตามธรรมท่านแสดงไว้ เพราะพวกนี้ทำลายจิตใจกันไม่ใช่ทำลายธรรมดา เมียจะไม่เสียใจยังไงเมื่อผัวไปทำลายจิตใจตนต่อหน้าต่อตา ผัวจะไม่เสียใจยังไงเมื่อเมียไปทำอย่างนั้น เพียงเท่านี้ก็เป็นการกระเทือนมากแล้ว พระพุทธเจ้าจึงสอนให้มีขอบเขต บังคับไว้ด้วยศีลข้อนี้อย่างแน่นหนามั่นคง เพื่อรักษาให้เป็นความอบอุ่นแก่ครอบครัวผัวเมียนั้นเองไม่ใช่แก่ใครนะ

พระพุทธเจ้าไม่มีการได้การเสียจากเรา พวกเรานี้ละพวกที่จะเอาไฟเผากัน เพราะความเลยเถิดเรื่องกามกิเลสตัณหานี้ไม่มีเมืองพอ ตัวนี้ดื้อด้านมาก ขอให้พี่น้องชาวไทยทั้งหลายได้ยับยั้งลงให้อยู่ในพอประมาณ อย่าให้เลยเถิด ตัวนี้เหมือนไฟได้เชื้อ ไสเข้าไปหามันเท่าไรมันจะเผาไหม้หมด เรื่องหญิงเรื่องชายในโลกนี้มีเท่าไรมันไม่พอนะ ถ้าไม่มีธรรมเข้าบีบบังคับเอาไว้ ไม่พอก็คือมาเผาเรานั้นแหละไม่ใช่เผาใคร ให้พากันระมัดระวังอันนี้ให้มาก ตัวนี้เป็นตัวสำคัญมาก ครอบครัวผัวเมียนี้เป็นสำคัญมากนะ แล้วตกนรกก็ตกหลุมที่ลึก ๆ เสียด้วย ทำจิตใจให้แตกกระจายไปเลย ทั้ง ๆ ที่เป็นอยู่นี้อกแตกนะ นี่ละกรรมอันนี้เป็นหนักมาก เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไว้ในศีลข้อนี้อย่างหนัก เพื่อจะรักษาหัวใจของกันและกันให้มีความสงบร่มเย็น

วันนี้ได้เทศนาว่าการให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้ทราบในการปรับเนื้อปรับตัวของเรา เริ่มตั้งแต่การรักชาติ การเสียสละเพื่อชาติไทยของเรา การเฉลี่ยเผื่อแผ่ ความรักกันเป็นสำคัญนะ อย่าแตกอย่าแยก ความรักกันเป็นของสำคัญมาก เราเป็นคนไทยด้วยกัน อยู่ที่ไหนเป็นคนไทยด้วยกัน เหมือนเรามีพ่อมีแม่มีลูกหลายคน ลูกอยู่ที่ไหนเป็นลูกของเราคนเดียว ๆ นี่คนทั่วประเทศไทยเป็นลูกแห่งชาติไทยด้วยกัน ให้มีความรักสงวนกัน เฉลี่ยเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจ ให้อภัยกัน คนมีน้ำใจต่อกันไปไหนไปได้สะดวกสบาย ความคับแคบตีบตัน ความเย่อหยิ่งจองหองอย่านำมาใช้ในเมืองไทยเรา จะเป็นการทำลายชาติไทยของเราโดยไม่ต้องสงสัย

การแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา วันนี้เป็นเกียรติของพี่น้องชาวไทยทั้งหลายเราเป็นอย่างมาก ทูลกระหม่อมท่านอุตส่าห์เสด็จมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของชาติไทยเรา สมชื่อสมนามว่าชาติไทยของเรากำลังรื้อฟื้นชาติของตน โดยมีร่มโพธิ์ร่มไทรใหญ่แห่งชาติไทยของเรา โดยทูลกระหม่อมท่านมาเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้ สมเกียรติกับชาติไทยของเราที่ช่วยชาติของตนเป็นอย่างยิ่ง แล้วการแสดงธรรมวันนี้ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก