ถ้าไม่มีศาสนาก็เป็นอีกอย่าง
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2545 เวลา 8:30 น. ความยาว 52.01 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๔๕

ถ้าไม่มีศาสนาก็เป็นอีกอย่าง

 

ก่อนจังหัน

         พระเท่าไร (๔๕ ครับผม) นู่นน่ะขึ้นเรื่อยนะ พระทำไมขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ได้นะยุ่งตลอด หลั่งไหลเข้ามา ๆ อกเราจะแตกแล้วนะ เมื่อเช้านี้ก็มาจี้องค์หนึ่ง มาเถ่อดูหนังสืออะไรอยู่นั่น ไม่รู้ข้อวัตรปฏิบัติในเวลาเช่นนั้น ๆ มันไม่ได้คิดไว้นี่นะ มาเถ่อมองดูนั่น มาก็จี้เอาหลงทิศ ดีที่ไม่ไล่หนีจากวัดเลย มันเลอะ ๆ เทอะ ๆ ขนาดนั้น ดูไม่ได้นะ เวลาเราจะตายมันเลอะมาขนาดไหน นี่พอฟื้นขึ้นบ้างจึงหาสอดแทรก นี้ออกมาตั้งแต่เช้า ๆ ดีไม่ดีก่อนพระนะเราออกมา เราเคยปฏิบัติตัวอย่างนั้นมาตลอดกับพระกับเณร

เรื่องศาสนาเป็นของเล่นเมื่อไร ละเอียดสุขุมมาก แล้วเอาขี้เอาถานมาโปะเข้า ๆ ในวัดในวาในพระในเณรมันดูไม่ได้นะ โอ๊ย พิลึกจริง ๆ นี้ยังเย่อยังหยิ่งอยู่นะ กองถังขยะกองมูตรกองคูถหยิ่งต่อธรรม ทับธรรม เหยียบหัวศาสดา เหยียบหัวธรรมตลอดเวลา ชาวพุทธเรานั้นแหละ ชาวพุทธชาวพระเรานี่ละตัวเก่ง ๆ น่ะ เหยียบพระพุทธเจ้า เหยียบหัวพระพุทธเจ้า เหยียบพระธรรม เหยียบพระสงฆ์แหลกหมด เอามูตรเอาคูถขึ้นไปโปะหัวพระพุทธเจ้าโน่นน่ะเป็นของเล่นเมื่อไร โห เลอะเทอะจริง ๆ เราดูสลดสังเวชนะ มันทนไม่ไหวก็ออกเสียบ้าง ๆ คือมันทนไม่ไหว มองที่ไหนปั๊บตำปุ๊บ ๆ มีแต่ข้าศึกศัตรูของศาสนา ของประชาชนพระเณรชาวพุทธเรา แหลกขนาดนั้นนะ ยังเย่อหยิ่งอยู่หรือ ยังว่าเก่งอยู่หรือเวลานี้น่ะ มันจะพากันจมทั้งเป็นยังว่าเก่งอยู่หรือ มันเป็นยังไง

กิเลสมันไม่ยอมตัวเลยเหรอ ลงธรรมชำระสะสางไม่ได้แล้วหมดหนทางนะ อย่ามาอวดดีหายใจฝอด ๆ อยู่เฉย ๆ นะ ให้ดู ธรรมเป็นเช่นไร ศาสดาองค์เอกมาสอนโลก เรามันเอกมีแต่เอกตาเดียว เห็นไหมเอกตาเดียว หลับตานี้ ตานี้เอกตาเดียว พอหลับตานี้อีกมืดแปดทิศแปดด้าน พวกเราพวกเอกตาเดียว จากนั้นก็บอดหมดเลย โถ มันน่าทุเรศนะ เราทนไม่ได้มันจวนจะตายแล้วดู ได้อัศจรรย์ธรรมพระพุทธเจ้าซี โลกมันไม่เห็นนี่จะให้ทำไง ชนโน้นชนนี้ชนไปอย่างนั้นไม่ลืมตา คือสติปัญญาด้วยอรรถด้วยธรรมมันไม่เห็นมันไม่ดู

แล้วพระเข้ามาเรื่อย ๆ นะ เข้ามาให้มาเก้ง ๆ ก้าง ๆ อยู่นี้ ดูไม่ได้นะเวลานี้น่ะ โถ ทำไมจึงเลอะเทอะเอาขนาดนี้พระเณรเราน่ะ เหอ ทำไมมันจึงเลอะเทอะเอาขนาดนี้ สอนตัวเองก็ไม่เคยสนใจจะสอนแล้วจะไปสอนใครน่ะ พิจารณาซิ จะให้พร

หลังจังหัน

สรุปทองคำและดอลลาร์วันที่ ๑๖ และ ๑๗ พฤศจิกา ทองคำได้ ๑ กิโล ๕๒ บาท ๒๙ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๙๔๗ ดอลล์ นี่ไปกฐินบ้านแพงได้มา ทองคำที่ได้ทั้งหมด ๕,๓๙๗ กิโลครึ่ง ยังขาดอยู่อีก ๑๖๒ กิโลจะครบ ๕๐๐ กิโลที่เราจะมอบเข้าคลังหลวงคราวนี้นะ คือเราได้สั่งโรงหลอมไว้เรียบร้อยแล้ว คือให้หาเตรียมมาให้ครบจำนวน ๕๐๐ กิโล ขาดเหลือเท่าไรเราจะพิจารณาทีหลัง คือในวันมอบทองคำยังไงต้องให้ได้ ๕๐๐ กิโล ตกลงกันแล้วเขาจัดเรียบร้อยแล้ว ทีนี้ขาดเหลือเท่าไรเราจะเอาเข้าไปแทนตรงนั้น ๆ  คือให้เขาเอาเข้าครบ ๕๐๐ เลย ทีนี้ทองคำของเราที่ได้มาเท่าไรยังขาดเท่าไร นั่นละที่ขาดนั่นเราจะค่อยพิจารณาทีหลัง ในวันนั้นต้องให้ได้อย่างที่ว่า

เรารอวันที่ ๒๔ คือวันที่ ๒๔ วงกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นมาหมดละทางภาคอีสาน อยู่ในป่าในเขาที่ไหน ๆ เพราะเราได้เผดียงไป ออกจากจุดนี้จุดเดียว พอออกจากนี้ปั๊บจะกระจายไปทันทีเลย ไม่ว่าอะไรถ้าออกจากนี้จะรวดเร็ว เพราะอะไรถึงรวดเร็ว เพราะความเคารพความเชื่อ ไม่ใช่อะไรนะ ว่าอะไรปั๊บปุ๊บเลยเทียวกรรมฐาน คอยรอนี้แห่งเดียว เรื่องราวมายังไงคอย เสนอเข้ามาปุ๊บ ๆ เข้ามาหาเราจุดเดียว คอยฟัง พอทางนี้ออกปุ๊บทางนั้นก็จับปุ๊บ ออกทันที ๆ เลย วันที่ ๒๔ นี้เราก็ได้เผดียงแล้วการช่วยชาตินี้เป็นเรื่องศาสนาด้วย เหมือนหนึ่งว่าเป็นหัวหน้านำ แล้วเราเป็นฝ่ายศาสนาฝ่ายพระเจ้าพระสงฆ์ ซึ่งบ้านเมืองกำลังเดือดร้อนอยู่ทั่วหน้ากัน จึงควรพิจารณาอย่างยิ่งทีเดียว เราบอกตั้งแต่ต้น ๆ นู้นแหละ จากนั้นมาก็เตือนมาเรื่อย ท่านก็ช่วยมาเรื่อยจนกระทั่งป่านนี้ ทางนี้ก็เตือนออกไปถึงเรื่องการรวบรวมกำลังวังชา

ใครอยู่ที่ไหนได้มากได้น้อยก็ให้แสดงน้ำใจออกมาต่อชาติของตน นี่ละวันที่ ๒๔ นี้จะมา ก็คงต้อนรับกันที่ศาลาใหญ่ พระคิดว่าจะมามากพอสมควร พอหลังจากวันที่ ๒๔ รวบรวมทองคำได้จำนวนเท่าไร ๆ ขาดเหลือเท่าไรจะเริ่มละที่นี่ เริ่มรบกวนธนาคาร ธนาคารไทยพาณิชย์ อุดรนี้ฝากไว้ ๗๕ ล้าน ทางโน้น(กรุงเทพ) ๖๖ ล้าน รวมเป็น ๑๔๑ ล้าน เงินจำนวนนี้ละที่เราจะไปถอน ถ้าไม่พอเรียกว่าเป็นอย่างน้อย มากกว่านั้นยังจะเข้าถึงโครงการช่วยชาติอีก มีอยู่นั้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า ๕๐ ล้าน แต่ยังไงมันก็ไม่ถึงแหละ เพียงจำนวนนี้ก็จะพอ คิดไว้แล้ว ๑๔๑ ล้านนี้ ซึ่งเป็นเรื่องกองกฐิน ๘๔,๐๐๐ กอง ล้วน ๆ อยู่ในนี้ เราก็จะถอนนี้ออกไปให้พอ เหลือจากนั้นเราก็จะเอาไว้ในธนาคาร จะนำออกมาใช้ในงวดต่อไป คืองวดต่อไปก็ต้องเป็น ๕๐๐ กิโล เวลานี้ได้สั่งตายตัวไปเรียบร้อยแล้ว

แต่ก่อนเราไม่กำหนด พอเห็นสมควรจะมอบคลังหลวงเมื่อไร ทองคำเรามีสมควรจะมอบแล้วเรามอบเลย ๆ แต่คราวนี้เพื่อให้เป็นแน่ใจเป็นพัก ๆ ไปเลยก็คือว่า มอบแต่ละครั้งให้ได้ ๕๐๐ กิโลไปเลย ครั้งที่สองก็เป็นหนึ่งตัน ที่เราขาดนี้ยังน้อยกว่าที่เราได้แล้ว เราได้แล้วมันตั้ง ๕,๓๙๗ กิโลครึ่ง ที่เหลือจากนั้นเราก็จะหาเพิ่ม

เราแน่ใจว่าโรงหลอมเขาไม่มีอะไรกับเราละ ถึงจะเอามาเท่าไรเขาก็ไม่มีอะไรกับเรา คือความเชื่อนั่นเองใช่ไหมล่ะ เพราะเราก็เชื่อเราด้วยเชื่อพี่น้องทั้งหลายด้วย จึงต้องสั่งว่าให้เอามาตามความต้องการนั้นเลย พอเสร็จเรียบร้อยแล้วจัดปุ๊บๆๆ เข้าเลย เพียงเท่านี้มันเป็นไม่ได้แล้ว ตายหมดเลยเมืองไทยเรา ไม่มีคุณค่าแม้เม็ดหินเม็ดทรายเลยนะ ถ้าเพียงเท่านี้ยังไปไม่รอดว่างั้นเถอะ ทอง ๕๐๐ กิโลขาดอยู่เพียงร้อยกว่ากิโลแล้วไปไม่รอด หาเงินมาใช้ให้เขาไม่ได้ โอ๊ย หลวงตาบัวนี้ตายเลยเทียว อย่าให้อยู่ในโลก แต่นี้เราไม่ได้เป็นอย่างงั้น ยังมั่นใจตั้งแต่ ๑๐ ตันมันยังจะเอาให้ได้นี่วะ จะมาว่าอะไรร้อยกิโลนี้ พูดตรงนี้เลย

ไปบ้านแพงคนไม่ใช่น้อยๆนะ ศาลาก็หลังใหญ่พอสมควร แน่นเลยเชียว ตอนค่ำก็แน่นตอนเช้าก็แน่น ตอนเช้ายิ่งคนมามากใส่บาตรเต็มไปหมดเลย พระก็มีมาหลายองค์ ดูเหมือนตั้งเจ็ดแปดสิบละมั้ง งานบ้านแพงงานอำเภอเขา ก็ไม่นึกว่าพระจะมากันมากตั้ง ๘๔  ๘๕ กับเรา มากมายอยู่ พอเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็กลับมา คือถวายทั้งสองวัด วัดอยู่บนภูเขาวัดหนึ่งเขาเรียกวัดถ้ำยา อันนี้แต่ก่อนเป็นท่านบุญมีเราที่นาคูณ ไปอยู่ที่นั่นก็ดีอยู่ ทีแรกไล่จากนี้แล้วให้ไปถ้ำหีบ เพราะท่านอยู่กับเราร่วม ๓๐ ปี ตั้งแต่พรรษาน้อยๆ ได้ ๒ พรรษา ๓ พรรษาอยู่กับเรามาจนกระทั่งร่วม ๓๐ พรรษาละมัง ดู ๒๘ ปีละมั้งมาอยู่นี้ ท่านดีนะเป็นผู้น้อยอยู่ตลอดเวลาเรื่องความขยันหมั่นเพียรทุกสิ่งทุกอย่างหาที่ต้องติไม่ได้ เป็นพระผู้น้อยอยู่ตลอด ถ้าพูดภาษาเราจะเรียกว่าตลกบ้างก็เรียกว่าเป็นลูกเขยใหม่อยู่ตลอด เป็นผู้น้อยอยู่ตลอด

เราก็ดูอยู่ตลอด อายุพรรษาก็แก่แล้วควรจะไปเป็นอิสระบำเพ็ญธรรมเฉพาะตนเองโดยลำพัง ๆ จะได้รับผลประโยชน์ยิ่งกว่าการมาเกลื่อนกล่นกับหมู่กับเพื่อนกับครูอาจารย์อย่างนี้ คิดถึงผลแล้วเราคิดว่าออกไปอย่างงั้นจะดีกว่าเราว่างั้น เพราะนี้ท่านเป็นกังวลของท่านเองนั้นแหละ ใครถ้าคิดเห็นใจเขาใจเราเห็นเพื่อนเห็นฝูง นี่เรียกว่าความเป็นธรรม มันก็ต้องหมุนตลอด นี่ก็เห็นมานานแสนนานก็เลยไล่เลย นี่ละที่ว่าไล่นะ มาอยู่ตั้งแต่อายุพรรษา ๒-๓ พรรษาจนกระทั่งป่านนี้ ดูเหมือนจะเข้า ๓๐ พรรษาหรือกว่านิดหน่อยก็ไม่ทราบ มันยังไงกัน มันควรเป็นพ่อตาแม่ยายได้แล้วนี่ เป็นปู่เป็นทวดเขาได้แล้ว ทำไมยังมาเป็นลูกเขยใหม่อยู่นี้ ไปหาภาวนาว่างั้น บอกไปทางถ้ำหีบ ได้ยินว่าถ้ำหีบแต่ก่อนมันสงัดดี

ครั้นไปแล้วเขามาสร้างโรงเรียนเลยจากถ้ำหีบมานั้นเลยเอิกเกริกเฮฮา พอท่านไปอยู่ไม่นานเราก็ติดตามไปดูสถานที่ท่านภาวนา ไปเลยไปเห็นโรงเรียน โธ่ แล้วกัน โรงเรียน ไม่ไหวแล้ว เลยบอกให้ท่านหนีเสียไม่น่าอยู่แล้ว ออกจากนั้นเลยไปถ้ำยานั่นแหละสงัดดีตรงนั้น เราก็ไปมาอยู่เสมอถ้ำยา จากนั้นท่านมาอยู่ทางนาคูณ ทีนี้อยู่ประจำแหละ นี่ละที่ว่าไล่ออก ก็คิดเห็นใจท่านเป็นพระผู้น้อยตลอดเวลา ขวนขวายเพื่อหมู่เพื่อเพื่อนอยู่ตลอด ส่วนเพื่อตัวเองนั้นเรียกว่ามีน้อยมากเพราะเกี่ยวข้องกับหมู่เพื่อน เมื่อไปอยู่อย่างนั้นก็สะดวกในการบำเพ็ญ เราจึงให้ท่านไปอยู่ เมื่อวานนี้ท่านก็ไป

เมื่อวันที่ ๑๖-๑๗ ท่านเพียรก็ไปท่านบุญมีก็ไป พระจึงรวมทั้งหมดตั้ง ๘๕ องค์เราก็นึกว่าไม่มาก เพราะเราไปเราจะทำอย่างสบาย ๆ ไปเลย เราว่าอย่างนั้น คือถ้าเป็นเรื่องของเราเองไม่ยากนะ อะไรเหมือนกันหมด ปุ๊บทันทีเข้าถึงเลย ๆ นี่เราก็จะทำแบบนั้น ที่ไหนได้พระไปเต็มอยู่นั้นแล้ว ประชาชนมาจากไหนไม่รู้ โน้น กรุงเทพฯอยู่ฟากทะเลโน้น ยังไปก่อนหน้าเราแล้ว แซงก่อนเราแล้วเก่งมากนะ กรุงเทพฯนี้เก่งมาก ไปที่ไหน ๆ ถึงก่อนเรามา เช่นอย่างว่าไปบ้านแพงนี้ก็เหมือนกัน เข้ามาที่นี่ มาใส่บาตรหน้าวัดเสร็จแล้วเปิดก่อนเลย เราถึงไปทีหลัง พวกกรุงเทพฯ มีน้อยเมื่อไร งานที่ไหน ๆ เหมือนกันพวกกรุงเทพเต็มไปหมดเลย งานไหนทั่ว ๆ ไปเป็นอย่างนั้น

ปัจจัยก็ได้ถวายวัดละไม่มากนัก ไม่มากเราก็สบาย เมื่อวานนี้ก็พูดให้พวกญาติโยมฟังอย่างสบายเหมือนกัน เรามาคราวนี้เราสบายมากเราว่าอย่างนั้น เขาก็คอยฟังความสบายของเราซิ สบายยังไง ก็ก่อนที่เราจะมาทอดกฐินนี้ เรามาขู่สมภารวัดไว้ทั้งสองนี้แล้วว่า ปีนี้เราไม่มีเงิน เรามีเท่าไรเราก็จะให้ มี ๕ สตางค์เราก็จะให้ ๕ สตางค์แล้วเราเปิดเลย เราว่าอย่างนี้นะ พอมาปีนี้เราจึงสบายมาก แต่นี้ยังดีมันไม่มี ๕ สตางค์ ให้ ๕ สตางค์แล้วเปิดเลยอย่างที่ขู่สมภารวัดไว้ บอกว่าปีนี้เราไม่มีเงิน เราจนจะตายแล้วนะ เรามีเท่าไรเราก็จะให้เราว่าอย่างนี้ ท่านไม่ว่าอะไรละ เราเองเป็นคนไปขู่ พอไปแล้ววัดถ้ำยาได้ ๘๐๒,๐๐๐ บาท ส่วนวัดบ้านแพงนี้ ๘๑๕,๘๙๐ บาท นี่หมายถึงเงินส่วนรวมที่เอาไว้จุดรวม เรียกว่าเป็นของสงฆ์ในวัดนั้น

ส่วนที่เราถวายพระนั้นแยกเป็นพิเศษ คือ พระองค์รับกฐินให้องค์ละหมื่น คู่สวด ๒ องค์ๆ ละ ๕,๐๐๐ นอกนั้นให้องค์ละ ๑,๐๐๐ หมดทุกองค์ตลอดถึงเณรก็พันหนึ่ง แม่ชี แม่ขาวให้คนละพัน ๆ วัดข้างบนข้างล่างเหมือนกัน อันนี้เราไม่นับเข้าในนี้ รวมแล้วสองวัดเป็น ๘๖,๐๐๐ บาท แยกเป็นวัดถ้ำยา ๓๖,๐๐๐ วัดชัยมงคล ๕๐,๐๐๐ อันนี้เราถวายพระเป็นส่วนตัวของท่าน ส่วนใหญ่นี้เอาไว้สำหรับจุดศูนย์กลางใช้เป็นประโยชน์ส่วนรวม ปีนี้ก็ไม่ได้มาก ปีกลายกับปีนี้ดูเหมือนจะพอ ๆ กัน เราไปดูเหมือน ๓ ครั้งนี้ละมั้ง ครั้งแรกไปให้วัดละล้านกว่า ๆ เพราะฉะนั้นเราถึงไปขู่ได้ละซิ คราวก่อนเราให้มาก คราวนี้เราไม่แน่ใจจึงบอก ขู่แล้วค่อยไป เพราะฉะนั้นเราถึงบอกให้พี่น้องทางบ้านแพงฟัง เรามาคราวนี้เรามาแบบสบายไปแบบสบาย คือเรามี ๕ สตางค์เราก็ให้ ๕ สตางค์แล้วไปเลย เพราะเรามาขู่สมภารวัดหมอบ ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว เขาก็อดหัวเราะไม่ได้

ส่วนสิ่งของมีมาก ข้าวก็ได้แจกชาวบ้าน ๑,๑๐๐ ถุง ๆ ละ ๑๒ กิโล ส่วนพระ ๒ วัดเราบอกเราไม่ให้มาก บิณฑบาตเต็มบาตรมาทุกวัน ชาวบ้านอดอยากจะเป็นจะตายนี้คิดเห็นเขาบ้างซิ ท้องเขาท้องเรามันเหมือนกันนี่นะ เลยให้ทางวัดบ้านแพงให้ ๗๐ ถุง ๆ ละ ๑๒ กิโล ให้วัดถ้ำยา ๓๐ ถุงรวมแล้วเป็น ๑๐๐ ถุง ให้เท่านั้นนอกนั้นสำหรับเขาแจกประชาชนทั้งฝั่งนั้นฝั่งนี้ เป็นจำนวน ๑,๑๐๐ ถุง ก็มีเท่านั้น

วันหนึ่ง ๆ เราไม่ได้หยุด เมื่อวานนี้มาแล้วก็มีแขกเข้ามาเรื่อย ๆ มานั่งรออยากกราบเรา โอ๊ย.เราพึ่งไปไหนมาเดี๋ยวนี้ พอมานี้ปั๊บก็เข้าทางจงกรมเลย เหน็ดเหนื่อย แข้งขาปวดเมื่อย ต้องไปเปลี่ยนอิริยาบถ พอออกจากนั้นมา เอ้า แขกมารออยู่นี้ เราถามพระเขามารอเรื่องอะไรลองว่าซิ เขาอยากมากราบหลวงตาเฉย ๆ มีเท่านั้นเหรอ เหตุผลอย่างอื่นไม่มีเหรอ ไม่มี ไม่มีเราไม่ลงเราบอก เขาจะกลับก็ได้ เขาจะไปไหนก็แล้วแต่เขา บอกท่านไม่มาท่านเหนื่อย ก็บอกอย่างนั้นแหละ แล้วมาอีกสองพักสามพัก ไม่รับทั้งนั้นเมื่อวาน ก็มากราบเฉย ๆ จะว่ายังไง อยากกราบก็มากราบ ให้เราลงมา มากราบ เราทำประโยชน์ให้โลก ร่างกายอันเดียวนี้เพื่อประโยชน์แก่โลกกว้างแคบขนาดไหน สละเวล่ำเวลา กำลังวังชาจิตใจอรรถธรรม เพียงแต่มาขอกราบเฉย ๆ มันคุ้มค่ากันไหมนั่น เทียบเหตุเทียบผลนะเรา ไม่ใช่ว่าไม่มาเฉย ๆ นะ พิจารณาเหตุผลเทียบเคียงกันเรียบร้อย ผลได้ผลเสียเป็นยังไงบ้าง

ไม่ใช่ใครมาก็เจริญพร ๆ มาตั้งแต่กุฏิโน้น มันบ้าเจริญพร อย่างนั้น ก็ต้องมีเหตุมีผลซิพระเรา พระเราไม่มีเหตุมีผลมีหลักมีเกณฑ์นี้ใช้ไม่ได้ พูดจริง ๆ เพราะพระนี้ออกจากหลักธรรม หลักธรรมหลักวินัยเป็นศาสดาองค์แทน นั่นฟังซิ ออกจากธรรมออกจากวินัยแล้วคือศาสดาออกมาเลยเทียว เพราะฉะนั้นเราถึงได้กล้าพูดอย่างยันเลยว่า ถ้าพระมีหิริโอตตัปปะ เป็นผู้รักสงวนในธรรมในวินัย พระองค์นั้น ๆ เรียกว่าเป็นผู้มีศาสดา ติดในหัวใจกิริยามารยาท ถ้าไม่มีนี้แล้ว จะเป็นหมื่นแสนพระก็ตาม ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่มีศาสดา ไม่ฟังเสียงศาสดา หิริโอตตัปปะ ความสะดุ้งกลัวต่อบาปต่อกรรม ความรักใคร่ใฝ่ธรรมไม่มี ไม่มีศาสดาติดตัว เพราะฉะนั้นเราเป็นพระ เพศของพระก็คือลูกศิษย์ตถาคต ลูกตถาคตต้องมีธรรมมีวินัยประจำตัว เมื่อมีธรรมมีวินัยซึ่งเป็นองค์แทนของศาสดาประจำตัวแล้วนั้นเรียกว่ามีศาสดาประจำตัว ไปไหนก็มีความอบอุ่นทุกอย่างเรียบร้อยหมดเลย

เราจึงได้เตือนเสมอ ๆ นะ เตือนพระเตือนเณรเรา ยิ่งโลเลลงทุกวัน ๆ เข้ามาในวัดนี้ก็อีกเหมือนกัน นี่ก็มาจากที่ต่าง ๆ ค่อนข้างจะแน่ใจ หรือแน่ใจเลยว่าการอบรมมีน้อย โลเลโลกเลก เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน ในวัดในวาในพระในเณรด้วยกันเป็นแบบเดียวกันมา ครั้นเวลาเวลาออกมานี้มันเป็นยังไง มันก็รู้ซิ ผู้รักษา รักษาอยู่นี่ อย่างวัดนี้เรารักษาเป็นหัวหน้า สอดโน้นแทรกนี้ไปตลอดเวลา ดู อยู่ในวัดนี้ก็เหมือนกันเข้าซอกแซกซิกแซ็กไปหมด ข้างนอกก็ยังออกและข้างในก็ไป

นี่ละการเป็นหัวหน้ารับผิดชอบทุกอย่างนะ ไปดู อย่างเมื่อเช้านี้พอสว่างปั๊บออกเลย ถ้าสายกว่านั้นไม่ได้นะ คนมาแขกมา มาแล้วไม่ไปไหน พอมองเห็นเรานี้รุมใส่เลย มันพิลึกนะ เราจึงต้องออกก่อนที่เขามาใส่บาตร เมื่อเช้านี้พอสว่างออกจากกุฏิออกเลย ไปเที่ยวดูจุดนั้นจุดนี้ ตรงไหนที่พอจะแนะนำบอกแก้ไขดัดแปลงยังไงก็ไปดูเสียก่อน เรียบร้อยแล้วก็มาสั่งทีหลัง บางวันถึงได้ออกไป ถ้ายังไม่แน่ใจจุดไหนก็ไปดูจุดนั้นก่อน ส่วนพระส่วนเณรดูตอนเช้า ออกมานี้ดูหมด ดูพระดูเณร จัดกันยังไงทำกันยังไง ดูกระทั่งกิริยามารยาทที่แสดงนี้แสดงด้วยความเซ่อซ่า ๆ หรือแสดงด้วยความมุ่งมั่นตั้งอกตั้งใจมีสติสตัง ตั้งหน้าต่อข้อวัตรปฏิบัติจริง ๆ หรือสักแต่ว่าทำ ดูทั้งภายนอกภายในด้วย

นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าจึงบอก ละเอียดลออขนาดไหน โลเลโลกเลกอย่างเป็นทุกวันนี้ แหมเราสลดสังเวชจริง ๆ นะ พระเณรของเรานี่ละ มันจะดูกันไม่ได้เลยจะว่าไง คือมันเลอะ ๆ เทอะ ๆ ขนาดนั้น อู๊ย สลดนะ นี่ละถึงถามเช้าหนึ่ง ๆ วันนี้มีเท่าไร ๆ อย่างเมื่อเช้านี้ก็ ๔๕ ก็อย่างนั้นแหละมากขึ้นเรื่อย ต้องได้ดุหัวหน้าอีกพักหนึ่งลงไป มาอยู่ก็ไม่ให้อยู่นาน ให้ออก ๆ อยู่นานก็เป็นขอนซุงเกลื่อนวัด ขอนซุงที่ไม่มีการถากการเลื่อย การไสกบลบเหลี่ยมบ้างเลยนี้ ขอนซุงนั้นใช้ไม่ได้เลย พระที่ไม่ได้รับการอบรมแนะนำสั่งสอนมา ก็เท่ากับพระขอนซุง พระขอนซุงเลวยิ่งกว่าขอนซุงอีก ควรที่จะทำประโยชน์ได้มากขนาดไหนกับพระองค์หนึ่ง แต่เลวยิ่งกว่าขอนซุงมันดูได้ไหมล่ะ ขอนซุงทิ้งอยู่เฉยๆ ไม่มีใครถือสีถือสานะ พระเป็นขอนซุงเลวกว่าขอนซุง นี่ละมันกระเทือนใจของประชาชนมาก ของพระของเณรด้วยกันผู้ท่านตั้งใจปฏิบัติดีนี่กระเทือนมากเหมือนกัน

เรื่องศาสนาเป็นของละเอียดลออมากสุดยอด เรานี้กราบอย่างราบมาตลอดนะ พอปฏิบัติไปตรงไหน ๆ รู้เห็นตรงไหน เป็นสิ่งที่องค์ศาสดาของเราสอนไว้เรียบร้อยแล้ว คือเห็นก่อนแล้วมาสอน เรารู้ตรงไหนเราค้านเราไม่ได้ เมื่อค้านเราไม่ได้แล้ว สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าก็รู้แล้วเห็นแล้วสอนไว้แล้ว แล้วเราจะไปทะนงตัวได้ยังไง มันก็กราบราบ ๆ เลย นี่ละศาสดาละเอียดลออถึงขนาดนั้นนะ มาสอนโลก แต่โลกก็เอาส้วมเอาถานเข้าไปโปะพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ แหลกเหลวไปหมด ศาสนาเลยอยู่ใต้กองมูตรกองคูถ กองมูตรกองคูถคือกิเลสมันแผลงฤทธิ์ เวลานี้กิเลสกำลังแผลงฤทธิ์ทั่วบ้านทั่วเมือง ทุกแห่งหนตำบลในชาวพุทธแห่งเมืองไทยของเรานี้แหละ มันจึงดูไม่ได้ซิ

ถ้าไม่มีศาสนาก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง อันนี้มีศาสนา แล้วเป็นศาสนาของศาสดาองค์เอกเสียด้วย กับเราพวกเราที่เป็นอย่างทุกวันนี้ มันจึงเข้ากันไม่ได้ว่างั้น แต่มันก็เข้ากันอยู่แล้วตั้งแต่เรายังไม่ว่าจะทำยังไง ว่าเข้ากันไม่ได้ มันเข้ากันอยู่แล้วแต่เรายังไม่ว่า แล้วจะไปแก้ไขยังไง มันจมอยู่แล้วอย่างนั้น ความเลวร้าย มันฝังหัวตับหัวปอดพระพุทธเจ้า ฝังตับปอดของพระธรรม พระสงฆ์ ไว้นานแล้ว หาความสะอาดสะอ้านพอจะเป็นสาระไม่มีเลย มันถึงเลวละซิ จะไม่เลวได้ยังไง ศาสดาองค์เอกแท้เลวที่ไหน ไม่มีอะไรเลิศยิ่งกว่าพุทธ ธรรม สงฆ์

นี่พวกเรามาปฏิบัติตรงกันข้าม ก็เอามูตรเอาคูถไปโปะหัวพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เสีย มูตรคูถก็ขึ้นอยู่ข้างบนโน่นเสีย ธรรมทั้งแท่งคือพุทธ ธรรม สงฆ์ หรือธรรมธาตุ ธรรมอันเลิศเลอนี้ก็อยู่ใต้กองมูตรกองคูถ ศาสนาจึงเหมือนไม่มีคุณค่านะทุกวันนี้ มันมีคุณค่าอยู่กับกิเลสหมดทั่วโลกดินแดนจะว่ายังไง ความโลภโลภเท่าไรยิ่งดี ต่างคนต่างส่งเสริมไม่มีใครเห็นโทษกัน ทั้ง ๆ ที่อำนาจแห่งความโลภนี้มันสร้างฟืนสร้างไฟให้สัตว์โลกได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า มันก็ไม่เห็นโทษที่เกิดจากความโลภ เพราะต่างคนต่างเสริม ต่างคนต่างเห็นแบบเดียวกัน จึงไม่เห็นความโลภว่าเป็นภัย เห็นแต่เป็นคุณ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นโทษต่อผู้โลภนั้นแหละ โลภมากไปเท่าไรก็ยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟมันก็ไม่เห็นจะว่ายังไง ที่ธรรมดาความอยากได้นั้นได้นี้ ธรรมดาท่านไม่เรียกว่าความโลภนะ ก็ไม่ใช่คนตายก็มีความอยากความต้องการเป็นธรรมดา

ความอยาก ความต้องการที่เป็นภัยต่อตนเองและคนอื่นนั้นต่างหาก ท่านเรียกว่ากิเลส ท่านเรียกว่าตัวมหาภัย ให้ละตรงนี้ แต่เวลานี้ใครล่ะ ในเมืองไทยเราซึ่งเป็นเมืองพุทธใครละความโลภนี่ มีแต่ต่างคนต่างส่งเสริมตลอดเวลา ฟืนไฟมันถึงเผาไหม้ตลอด ไม่สมใจมันก็โกรธ โกรธแล้วก็ฆ่ากัน โลกพินาศไปด้วยเพราะความโลภนี่ละสำคัญ อยากได้ทุกอย่างคำว่าโลภคำเดียวเท่านี้ ยศถาบรรดาศักดิ์ สมบัติเงินทอง ศฤงคารบริวาร มีเท่าไรไม่พอ ๆ นี้คือความโลภ ใครมาขัดอันนี้ไม่ได้ หรือไม่สมใจไม่ได้ต้องโกรธ โกรธแล้วก็ฟาดกันแหลกเหลวไปหมดโลก นี่มีแต่เรื่องกิเลส แล้วโลกเห็นโทษที่ไหน

จากนั้นก็ราคะตัณหา ราคะตัณหาพวกนี้กินไม่มีคำว่าอิ่มว่าพอ ได้มากเท่าไรเหมือนเชื้อไฟ เสริมไฟเข้าไปแสดงเปลวจรดเมฆโน่น เราอย่าเข้าใจว่าไฟจะดับด้วยการเสริมเชื้อนะ เสริมเท่าไรยิ่งแสดงเปลวขึ้นจรดเมฆ เรื่องราคะตัณหาก็เหมือนกันนี่คือตัวไฟ สิ่งที่มันดีดมันดิ้นให้เราขวนขวายหามา คือไปหาเชื้อไฟมาใส่ไฟนี้ให้มันเสริมขึ้นไปอีก เป็นยังไงทุกวันนี้ อันนี้ตัวสำคัญมากที่ทำโลกให้เดือดร้อนทุกวันนี้ ท่านสอนมันก็ไม่ยอมฟัง พระองค์ก็ไม่ได้บอกให้ละให้ขาดนี่ แต่ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดีงาม อย่าให้เลยนี้ ถ้าเลยนี้จะเป็นไฟเผาโลก เผาทั้งเราทั้งโลกไปหมด ให้ต่างคนต่างอยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรมข้อนี้บังคับเอาไว้ แล้วจะพออยู่เย็นใจด้วยกัน

เช่น ศีลข้อที่ ๓ กาเมสุ มิจฉาจาร ระงับดับไฟกองใหญ่ ๆ นี้แหละ ไม่ให้มันลุกลามจนเกินเหตุเกินผล ให้อยู่ในเตา คือศีลธรรมเป็นเตา บังคับเอาไว้ในศีลในธรรม โลกเราก็ไม่เดือดร้อน ก็อยู่พอสบาย ๆ ถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่นี้มันไม่ได้สนใจปฏิบัติซิ มันลุกลามยิ่งกว่าไฟได้เชื้อ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เป็นเรื่องฟืนเรื่องไฟ เรื่องสกปรกรกรุงรังในหัวใจ และเสียดแทงจิตใจเผาไหม้จิตใจ เผาไหม้โลกสงสารได้เป็นอย่างดี ไม่มีที่ต้องติมันเลยว่ากำลังของมันอ่อน ขอให้เสริมลงไปเถอะ มันจะเป็นไฟแสดงไปหมด นี่คือภัยของศาสนา ภัยของหัวใจเรา แล้วไม่มีใครสนใจ

พระพุทธเจ้าสอนให้ละ ให้อยู่ในกรอบแห่งความพอดิบพอดีมันไม่ยอมอยู่ มันถึงดีดถึงดิ้น ทีนี้โลกก็ยิ่งเป็นฟืนเป็นไฟ เราดูซิในโลกอันนี้ที่ไหนมีความสะดวกสบาย มันมีแต่กิเลสเสกสรรปั้นยอลม ๆ แล้ง ๆ บ้านนั้นเขาเจริญบ้านนี้เขาเจริญ เมืองนั้นเจริญเมืองนี้เจริญ มันเจริญอะไร ถามหาตัวจริงมันไม่มีนะ มีแต่เจริญลม ๆ แล้ง ๆ ความจริงในหัวใจมีแต่ไฟ นี่คือความจริงแท้ มีแต่ไฟ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา คือไฟเผาหัวใจสัตว์โลก ความโลภก็เผา ความโกรธก็เผา ราคะตัณหาก็เผา เพราะความหลงมันเผาอยู่แล้ว มันถึงร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ ควรที่จะปฏิบัติรักษาได้พออยู่ได้เย็นใจก็ยังค่อยยังชั่วนะ อันนี้ไม่มีใครสนใจ แล้วใครจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติความดี กองทัพกิเลสมันมาแล้วนะ มาดูถูกเหยียดหยาม มาเยาะมาเย้ย มาแสดงความเย่อหยิ่งจองหองพองตัวต่อธรรมนั่นแหละ เหยียบธรรมไปต่อหน้าต่อตา เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้ มันถึงน่าทุเรศ เอาละวันนี้พูดเพียงเท่านี้

 

อ่านธรรมะหลวงตาวันต่อวัน ได้ที่ www.luangta.com


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก