พูดเสียบ้างไม่ใช่คุย
วันที่ 18 ตุลาคม 2540 เวลา 19:00 น. ความยาว 63.59 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐

พูดเสียบ้างไม่ใช่คุย

พระไตรปิฎก พวกพิมพ์ขาย น่าเบื่อพวกพ่อค้าใหญ่แต่งเอามาขาย และพวกที่ไปจดจารึกมาคงไม่ใช่เป็นคนประเภทสิ้นกิเลส ถ้าประเภทสิ้นกิเลสแล้วน่าจะได้แก่น ๆ เนื้อ ๆ มา อันนี้มักมีแต่ลอย ๆ พูดมีแต่ยกยอกิเลส พูดตรงไหน ๆ มีแต่ยกยอกิเลส แสดงให้เห็นชัดเจน เนื้อหาของธรรมบอกอยู่ในตัวหนังสือ ถ้าเป็นของท่านผู้สิ้นกิเลสเป็นผู้จดจารึกมา จะมีหนักมีเน้นมีจุดสำคัญ ๆ ไม่มองดูหน้ากิเลสถ่ายเดียว มีการฟัดหัวกิเลสลงไป ตีกิเลสลงไปบ้าง นี่มีแต่เออออไปตามกิเลส

เราดูในพระไตรปิฎก แต่ก่อนดูไม่ได้คิดอะไรมากนัก ดูธรรมดา เนื้อธรรมก็ลอย ๆ ไปธรรมดา ๆ ที่นี่เวลาออกปฏิบัติ เวลาตีอันนี้แตก จะว่าตีพระไตรปิฎกแตกก็จะผิดอะไร ตีแตกอยู่ที่หัวใจนี่ จ้าอยู่นั้นจะว่าไง เวลากิเลสพังลงไปแล้วไม่มีอะไรปิด มีแต่กิเลสอย่างเดียวปิด นอกนั้นไม่มีปิด ทีนี้ทำไมจะไม่เห็นไม่รู้

อย่างพระพุทธเจ้าท่านรู้ ท่านเอาความรู้มาจากไหน ก็ความรู้ที่สิ้นกิเลสนั่นแล้ว กิเลสเปิดออกหมดแล้วถึงค่อยเห็น อย่างกระโถนนี้ นี่มองเห็น ถ้าหลับตาจะเห็นหรือ ไม่เห็นนะ อะไรปิดตานี้ไม่เห็นนะ พอเปิดตาปั๊บ นี่กระโถน กิเลสมันปิดไว้อย่างนั้นละ เวลามันเปิดที่นี่มันจ้า นอกจากจะนำมาพูดหรือไม่พูดหนักเบามากน้อยเท่านั้นเอง เรื่องรู้รู้ชัดเจนมากไม่มีใครเกินท่านผู้สิ้นกิเลสรู้สภาวธรรมทั้งหลายแหละ ผู้สิ้นกิเลสรู้สภาวธรรมทั้งหลายรู้ชัดรู้แจ้งรู้จริงรู้ไม่สงสัย ต่างกันอย่างนี้นะ

รู้ด้วยความจริงกับรู้ด้วยความจำต่างกันมาก เราตัวเท่าหนูนี่มันเป็นนะ จะให้ผมเทศน์สอนโลกแบบที่ความรู้ประเภทที่เป็นมานี้โลกแตก ว่าอย่างนั้นเลย ก็มันเห็นทุกกิทุกกีไป หยาบโลนอะไร ๆ ก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นไปหมดจะว่าไง หยาบโลนก็เรื่องกิเลสนั่นแหละ จะเป็นเรื่องอะไรหยาบโลน ฟาดกิเลสลงมานั่นละโลกฟังไม่ได้ กิเลสมันเป็นได้แต่เวลาพูดเรื่องของมันออกมานี้พูดไม่ได้ ต่างกันอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นที่ไหนจึงมีแต่กิเลสออกหน้าออกตาตีตลาดตเล สลดสังเวชนะผม ธรรมะไม่ได้ออก ผู้ที่ควรท่านจะออกได้ท่านก็ดูโลก โลกสมควรจะรับได้หรือไม่ นั่นละที่ไปค้ำยันกันตรงนั้นไปไม่ได้

คือถ้าเทศน์ตามความจริงขนาดไหนก็ตาม ตัวจอมปลอมนั้นไม่ได้รับความจริงนี่ หัวใจของคนไม่มีความจริงมารับแล้วจะรับได้ยังไง ก็เหมือนไม่รู้ซิที่นี่ เหมือนไม่รู้เหมือนไม่เห็น ถึงวาระก็แย็บออกเสียนิดหนึ่งอย่างที่เราเทศน์เหล่านั้นแหละ บางทีฟาดลงถึงหมาก็มี ก็ข้อเทียบเคียงเฉย ๆ ไม่ได้หยาบอะไรนี่ แต่เรื่องมันเป็นแบบหมายังเป็นได้เราทำไมจึงพูดแบบเรื่องมันเป็นไม่ได้ ถ้าพูดตามความจริงให้เสมอกันไม่เอียงนะ กิเลสมันเอียงนี่นะ มีแต่ลำเอียงเข้าตัวเสมอ

นี่จวนตายเท่าไรยิ่ง…..คือเหมือนกับตาของเรานี่ ดูแค่นี้เห็น ๆ ดูไปเท่าไรยิ่งเห็นกว้างเห็นขวางเห็นลึกเห็นซึ้ง เห็นลงไปดูเข้าไปพิจารณาเท่าไร เพราะธรรมะนี่เหมือนกับไฟ สภาพแห่งความจริงทั้งหลายเหมือนเชื้อไฟ เชื้อไฟมีอยู่ที่ไหน ไฟจะลุกลามของมันไปเรื่อย ๆ ปล่อยไปเท่าไรก็ลุกลามไปเรื่อย ๆ ลุกไปรู้ไปเห็นไป ๆ

สิ่งไม่เคยรู้ก็รู้ รู้อย่างไม่สงสัยเสียด้วยไม่ใช่รู้ธรรมดางู ๆ ปลา ๆ นะ นั่นละพระพุทธเจ้านำธรรมะมาสอนโลก ท่านเอาธรรมแบบรู้จริงเห็นจริงมาสอน ไม่ได้แบบงู ๆ ปลา ๆ มาสอน เราปฏิบัตินี้มันรู้ยังไงสงสัยอะไร จะไปทูลถามพระพุทธเจ้าหาอะไร บอกชัด ๆ อย่างนั้น ของอันเดียวกันเห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกันนี้ แล้วจะไปทูลถามท่านทำไม ถ้าไม่ใช่คนผีบ้าว่าอย่างนั้น ผีบ้าก็รู้อย่างนั้นไม่ได้นี่

ผมนี้พูดตามความจริง มันจวนตัวมาแล้วก็เลยเปิดออกบ้างแหละ แต่ก่อนไม่เคย ก็พูดธรรมดา ๆ ไป ลึกตื้นหยาบละเอียดก็ว่าออกมาตามหลักความจริงกลาง ๆ ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับเจ้าของ นี้จวนตัวเข้ามาแล้วมีเกี่ยวบ้างก็เกี่ยวบ้าง เช่นอย่างที่ว่าตายแล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก ไม่เคยพูดนี่นะเรื่องอย่างนี้ ปีนี้พูดแล้วนี่เห็นไหมล่ะ ของที่รู้แล้วนั้นเองแหละแต่ไม่พูด บัดนี้มาพูด พิจารณาซิ

ให้มันชัดอยู่ในหัวใจเต็มหัวอกแล้วจะไปสงสัยหาอะไร สงสัยจะว่าธรรมของจริงเหรอ จริงอย่างนั้นซิ พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาแล้วสอนโลกทันทีเลย ไม่ต้องไปถามใคร ไม่ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ใด สาวกองค์ใดก็เหมือนกัน

สัตว์ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมนะจึงเรียกว่าสัตว์ ไม่ค่อยมีเล่ห์เหลี่ยมหลายสันพันคม มนุษย์นี้ โถ กิริยามารยาทเป็นอย่างหนึ่ง จิตเป็นอย่างหนึ่ง บางทีจิตจะขยะ ๆ นู่นน่ะมองดูแล้ว กิริยาเรียบมาประดับร้าน เป็นอย่างนั้นนะ มันรู้จะว่าไง สิ่งที่มันรู้มันรู้นี่ แล้วพูดเกิดประโยชน์อะไร ไม่เกิดประโยชน์ก็ไม่พูด พูดหาประโยชน์อะไร

นี่ผมก็ยิ่งเฒ่าแก่ชรามาทุกวัน ๆ นะ เหมือนกับว่านับวันอยู่ไปอย่างนั้นแหละ ธาตุขันธ์ไม่อำนวยเลย วันหนึ่งเป็นอย่างหนึ่ง ๆ คอยความเป็นเพื่อผลลบนั้นเร็ว เอะอะเร็ว แต่ฟื้นนี่ยาก ฟื้นลำบากฟื้นยากด้วย จึงเป็นห่วงเป็นใยหมู่เพื่อน หมู่เพื่อนมาอยู่นี้กี่องค์นี่ ตั้ง ๓๐-๔๐ องค์ อย่ามามากนะต่อไปนี้ พอออกพรรษาเรียบร้อยแล้วนี้ให้พากันขยับขยายออกไปนะ ผู้ที่อยู่หลาย ๆ ปีก็มีเยอะ…ออกไป มันไม่ได้เป็นหน้าเป็นหลังอะไร ดีไม่ดีมาขวางหัวอกเราอกจะแตกตาย ไม่พูดเฉย ๆ ไม่ใช่เป็นของพูดนี่

โห แบกคนเป็นของง่ายเหรอ แบกหัวใจเป็นไฟนี่ ไม่ได้เหมือนแบกไม้แบกฟืนนะ แบกหัวใจเป็นไฟนี้ร้อนที่สุดนะ มาภาวนาหาความสงบสุขเย็นใจไม่ได้ มีแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาไหม้เจ้าของอยู่ในวัดในวาในหมู่ในเพื่อนกลางหมู่กลางเพื่อนไม่อายบ้างเหรอ พวกนักปฏิบัติ ทางจงกรมเป็นยังไง มีผู้คิดเดินจงกรมบ้างไหม ระยะนี้ผมยิ่งไม่ได้ไปดูที่ไหน ๆ เลย ปล่อยตามบุญตามกรรมไปแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะอ่อนพอแล้วไม่อยากเล่นกับอะไรแล้วนะ เพราะฉะนั้นถึงปล่อย

อะไรมายุ่งไม่ได้แล้วเดี๋ยวนี้ อยู่ลำพังคนเดียววันหนึ่ง ๆ พอดี ๆ ให้ผมพอเหมาะผมจริง ๆ แล้วฉันจังหันแล้วเข้าห้อง หรืออยากเดินจงกรมผมก็เดินของผมอยู่ตามนั้นไม่ให้ใครมายุ่ง อย่างนั้นผมอยู่ได้ อันนี้ยุ่งน่ะซิ อยู่วัดไม่ได้ถูกกวนยุ่งไปหมดเลย หลบนั้นหลีกนี้ไป รำคาญ อยู่ในรถเรานอนไปดูหัวใจเจ้าของไป ไม่มีอะไรยุ่งเรานะ นอนไปรถจะไปไหนไม่ไปไหนไม่สนใจกับมัน มีแต่ความรู้กับขันธ์ที่อยู่ด้วยกัน บางทีไม่รู้ว่ารถไปหรือไม่ไป..ไม่สนใจ หมู่เพื่อนจอดรถเอาของลง บางทีจะหลับหรือไม่หลับก็ไม่รู้

เดี๋ยวนี้ความหลับกับความไม่หลับจะคล้ายคลึงกันนะ แต่ก่อนผมไม่เคยเป็นมาเป็นปีนี้ บางทีเหมือนหลับไปแล้ว หายเงียบไป นี่เวลามันหลับก็ไม่รู้ เวลาตื่นก็ไม่รู้ มีหลับมีตื่นคนเรารู้ตัวเอง อันนี้ไม่รู้ตัวเองนะหลับตื่นไม่รู้ตัวเอง ถ้าว่าละเอียดก็ละเอียดเลยไปเสีย จะว่าอะไรก็เลยไปเสีย เหมือนไม่รู้ตัวเองแล้ว เวลาหลับหมู่เพื่อนไปจอดรถนี้ ไม่ทราบว่าจอดเอาอะไรบ้าง เงียบไปเลย มันอาจขโมยหลับตอนนั้น แต่ไม่รู้นะ

ใครจะตั้งอกตั้งใจปฏิบัติให้ตั้งใจนะ อย่ามาเร่ ๆ ร่อน ๆ รวนเร เดี๋ยวนี้กรรมฐานจะเหลวไหลหมดแล้วนะ ยิ่งนับวันเลวลง ๆ แล้วกรรมฐาน กลายเป็นกรรมฐานหากินไปนะเดี๋ยวนี้ ก็พูดอะไรคิดแล้วค่อยพูดจะผิดไปไหน คิดแล้วค่อยพูด ๆ ไม่ได้คิดแบบสุ่มเดา ไม่ได้คิดแบบยกโทษยกกรณ์ใครนี่ คิดตามเหตุตามผลตามหลักความจริง

ออกพรรษาพากันขยับขยายออกไป อย่ามากองกันอยู่นี้นะหนักวัดจะตายแล้ว ผู้ที่มากดมาถ่วงหมู่เพื่อนอยู่นี้ก็เยอะ ไม่น้อยนะ ตัวขี้เกียจ ตัวไม่รู้จักการจักงานอะไร ตัวขี้เกียจเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง อันนี้ละตัวสำคัญ ผมเคยอยู่มาแล้วกับสิ่งเหล่านี้รู้มาหมด อย่างที่เคยเล่าให้ฟังที่อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ เหมือนเราอกจะแตก เราทนเอาทนเพื่อพ่อแม่ครูจารย์ ผมนี้เป็นเหมือนกับบ๋อยกลางบ้านกลางเรือน วิ่งนี้ปับ ๆ ทำเพื่อพ่อแม่ครูจารย์

เราเห็นรายไหนเมื่อมันเลวก็จี้เอาบ้าง ๆ บางทีเรียกมาใส่เปรี้ยง ๆ เลย ถึงขนาดนั้นก็หน้ามึนอยู่นะ โอ๋ย มึนอยู่นะไม่ใช่เล่น ตัวมันดื้อด้านมึนจริง ๆ นะพระเรานี่ ไม่ใช่เล่นนะ ผมเคยมาแล้วมันเข็ดมันหลาบ แล้วเวลาหมู่เพื่อนมาอยู่กับผมทำไมจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อกิเลสมีอยู่ในหัวใจของทุกคน แล้วจะทำให้หมู่เพื่อนผู้ที่ดีหนักอกหนักใจ มีเยอะนะอยู่ในนี้ ทำอะไรก็เหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่เป็นหน้าเป็นหลังอะไรเลย

นี่เทศนาว่าการให้หมู่เพื่อนฟังนี้ แหม ผมฟังเทปผมทุกคืนนะ เดี๋ยวนี้ไม่เอาอะไรแล้วนะถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วประสานกันดี ระหว่างขันธ์กับจิตประสานกันได้สนิท ๆ ผมจึงอยู่ด้วยนั่นละทุกวันนี้ นอกนั้นมายุ่งไม่ได้ เวลามันปัดมันปัดขนาดนั้นละ เป็นคนละโลกไปเลยกับเรื่องโลกเรื่องสงสารกับใจนี้ เวลามันตัดของมันมันตัดถึงขนาดนั้นละ ถ้าเป็นเรื่องของธรรมแล้วประสานกันทันที ๆ เพราะฉะนั้นผมถึงต้องฟังของผมทุกคืน ๆ

ฟังกัณฑ์ไหนกัณฑ์เทศน์ผมว่าจะเลือก จะเลือกกัณฑ์เทศน์มาฟังกัณฑ์เหมาะ ๆ เจาะ ๆ เด็ด ๆ จะเอากัณฑ์นี้เลือกไว้แล้วเราเทศน์มาฟังเป็นกรณีพิเศษ เลือกกัณฑ์ไหนเลือกไม่ลง เจ้าของเป็นผู้เทศน์เองแต่ไม่เคยมาแย็บว่าเจ้าของเทศน์นะ หมายถึงธรรมคำเดียวเท่านั้นกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุเลย คำว่าธรรมเท่านั้น เอานั้นละออกมา เราไม่ได้ว่าเราเป็นคนเทศน์ เราทำงานแทนเฉย ๆ เราก็เป็นเหมือนตุ๊กตาคนหนึ่งเหมือนกันนะ เวลาฟังเทศน์เหมือนตุ๊กตาคนหนึ่งเหมือนกัน แล้วธรรมนั้นออกแสดงจ้า ๆ

ทีนี้เวลาฟังเทศน์กัณฑ์ไหนไปเลือกไม่ลง ผมไม่ได้คุยเลือกไม่ลง กัณฑ์นี้ดีไปทางนี้เสีย ๆ และกัณฑ์นี้ก็ดีไปทางนี้เสีย ทีนี้เลยเลือกไม่ลง ดีทุกกัณฑ์ดีไปคนละแบบ ๆ ไปอย่างนั้นเสีย ฟังแล้วปลุกใจเอาเหลือเกินนะ บางทีจนสะดุ้งบางกัณฑ์นะ ใส่เปรี้ยง ๆ เอ้อ ถึงขนาดนี้พอดี นี่ละที่ฟังมาเป็นลำดับลำดาอยู่ขณะนี้ ฟังเทศน์มานานสักเท่าไร ฟังอยู่อย่างนี้ทุกคืน ๆ เพลินอยู่คนเดียวไม่ยุ่งกับอะไร โลกนี้เหมือนไม่มี ถ้าว่ามีก็แย็บเท่านั้นออกไปว่ามี ถ้าหลักธรรมชาติแล้วไม่มีว่างั้นเลย คืออันนี้ไม่ออกไม่ไปยุ่ง

ตัวยุ่งจึงเห็นชัดเจนว่าคือตัวกิเลสตัวเทวทัตตัวพาให้ยุ่งตลอดเวลา ยุ่งไม่หยุดไม่ถอย ยุ่งไม่อิ่มไม่พอ ยุ่งไม่เบื่อไม่หน่าย ยุ่งไม่เข็ดไม่หลาบ คือกิเลสตัวพาสัตวโลกให้ยุ่ง ตัวนี้ยุ่งมาก พอตัวนี้พังลงไปเท่านั้นเองไม่มีอะไรยุ่งเลย มันเห็นหัวใจเจ้าของนี่ซิว่าให้ชัด ๆ นี่ ไม่มีอะไรยุ่งเลย มันหมดจริง ๆ หมดเสียขนาดนั้น ไม่มีอะไรยุ่งโลกจึงเป็นเหมือนไม่มี พอแย็บออกว่ามีเท่านั้น เพียงสังขารมันแย็บออกไป หรือสัญญามันแย็บออกไปชั่วขณะเหมือนฟ้าแมบเท่านั้น พอเข้ามาแล้วก็หายเงียบไปเหมือนโลกไม่มี ๆ เสีย แล้วอะไรจะมากวนใจ

ฟังแต่ธรรมะนี้ ธรรมะนี้ไม่ทราบว่าเป็นยังไง มันหากดื่มด่ำซึมซาบ และฟังตลอดมาเลยจนกระทั่งป่านนี้ ฟังกัณฑ์ไหนปลุกใจทุกกัณฑ์ ๆ แล้วก็ย้อนมาหาหมู่เพื่อน เทศน์ขนาดนี้มาได้ ๔๙ ปีนี้แล้วเทศน์สอนหมู่สอนเพื่อน เทศน์หมดไส้หมดพุง เทศน์หมดตับหมดปอด มีอะไร ๆ ไม่ว่าเหตุที่ดำเนินมายังไง ๆ เปิดออกหมด ไม่ว่าผลที่ได้รู้ได้เห็นมายังไง เปิดออกหมดให้หมู่เพื่อนฟังด้วยความเมตตาสงสารเต็มหัวใจ ๆ แล้วไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย มันสมควรแล้วเหรอที่จะเทศน์สอนหมู่สอนเพื่อนต่อไปอีก ทำให้ท้อใจ

สมมุติว่ามีกำลังวังชาอยู่ก็น่าจะท้อใจ น่าจะหยุดนะ ไม่น่าจะเทศน์ต่อไปอีก คือเหมือนกับละลายกะปิใส่น้ำทะเล ไม่มีน้ำยาอะไรกะปิละลายลงทะเลน่ะ ธรรมะก็ไม่มีน้ำยาสำหรับกองกิเลส เป็นอย่างนั้นละ ไม่มีน้ำยาอะไร ถ้าเป็นกิเลสเอาวันยังค่ำคืนยังรุ่งเอาเป็นตายกันว่าเลย นี่ซิน่าทุเรศนะ หมู่เพื่อนมาอยู่กับผมนี้นานสักเท่าไร ผมเทศน์สอนหมู่เพื่อนเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ องค์พระเณรที่มาเกี่ยวข้องกับเรานี่ องค์ไหนบ้างพอได้สติสตัง สมที่เราเทศน์ทุ่มลงเสียอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มไส้เต็มพุง ไม่มีอะไรเหลือเลย น่าจะได้อะไรบ้าง แล้วเป็นยังไง นี่ซิถึงอดคิดไม่ได้นะ ต้องได้คิดล่ะซิ

เจ้าของเองฟังจนตื่น คือมันปลุกใจคึกคัก ตื่นเต้นปลุกใจ แต่หมู่เพื่อนฟังมันหลับครอก ๆ ฟังนั่นซิถึงไม่ได้เรื่องได้ราว ถ้าฟังด้วยความสัตย์ความจริงแล้วจะต้องเป็นอย่างนั้น อย่างที่ว่านี่ นี่ก็เคยฟังเทศน์พ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา วันไหนท่านจะประชุมเทศน์ แหมวันนั้นเหมือนจะได้เหาะเหินเดินฟ้า จิตมันขยับใส่ปั๊บ ๆ ถึงขนาดนั้นนะไม่ใช่ธรรมดา

พอท่านเริ่มเทศน์ก็จ่อปั๊บใส่แน่วเลย ไม่มีกัณฑ์ไหนจะพลาดว่างั้นเลย เหมือนอย่างโยมแม่ฟังเทศน์เราที่ว่าไม่มีพลาด ถ้าอาจารย์เทศน์กัณฑ์ไหนก็กัณฑ์นั้น พอจ่อลงปั๊บนี่จิตจะเริ่มสงบแน่วทันทีเลย นี่เราก็เป็นแล้ว พอโยมแม่พูดก็เข้ากันได้ทันที เพราะเราเป็นมาก่อนแล้วนี่ เทศน์ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงนี้เหมือนไม่ได้นั่งนะ ตัวไม่ทราบอยู่ที่ไหน ไม่ได้สนใจกับตัว มีแต่ผู้ที่รู้ ผู้ที่ละเอียดลออที่สุดอยู่ภายในใจ

เทศน์เสียงอยู่แต่เผิน ๆ นะเวลาจิตเข้าถึงที่แล้ว เสียงเทศน์นี้จะแหวว ๆ อยู่เผิน ๆ ไม่ได้เข้านี้นะ พอส่งจิตเข้าสู่นั้นแล้วธรรมะก็อยู่ข้างนอกนี่เสียไม่เข้า ให้จิตดื่มธรรมะภายใน ธรรมะมีหลายประเภท จิตดื่มธรรมะประเภทนั้น ธรรมะที่ส่งเข้าไปหาจุดนั้นอยู่ข้างนอกเสียแล้ว แหวว ๆ เทศน์ถึง ๓ - ๔ ชั่วโมงไม่ได้กระดุกกระดิกอะไรเลย เหมือนตายแล้วธาตุขันธ์นี่ ไม่รู้เจ็บรู้ปวดรู้อะไรทั้งนั้น ท่านเทศน์จบลงแล้วยังเสียดายยังอยากฟังอีกนู่นน่ะฟังซิ

นี่ละฟังเทศน์ครูบาอาจารย์เราเคยฟังมาอย่างนี้ เราก็ปฏิบัติอย่างนั้นอีกด้วยนะไม่ใช่ธรรมดานะ ปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตาย ในชีวิตของผมผมบอกตรง ๆ ให้หมู่เพื่อนฟังอยู่แล้วไม่รู้กี่ครั้งกี่หน ไม่มีอะไรหนักมากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส ฆ่ากิเลสนี้เราได้สละชีวิตกับมันจริง ๆ เอาถึงเป็นถึงตายดังที่เคยพูดให้ฟัง เขาแตกบ้านแตกเมืองไปดูเขาว่าเราตายแล้ว เรายังไม่รู้จักตาย คนอื่นในบ้านเขายังรู้ว่าเราจะตายเขายังมาดูเรา หนักหรือไม่หนักพิจารณาซิ ตัวนี้เป็นหนังห่อกระดูก ไม่มีเนื้อ เพราะทรมานเจ้าของ ถ้าไม่ทรมานอย่างนั้นจิตก็ไม่ดี

ทรมานเท่าไรอดอาหารนี่สำคัญมาก กับจริตนิสัยของเรานี้ชอบมากนะ อดอาหารไปหลายวันเท่าไร ๆ ขาจะก้าวไม่ออก เดินจงกรมจะไม่ได้ จิตนี่เหมือนจะเหาะเหินเดินฟ้าพุ่ง ๆ นั่นซิถึงวันฉันมาถึงทะเลาะกันระหว่างขันธ์กับจิต ขันธ์ก็ว่า นี่จะอดไปให้ตายละเหรอ กิเลสยังไม่ตายเจ้าของจะตายแล้วนะ เรื่องทางขันธ์ทางกิเลสมันออกทางนี้ ทางนี้ก็ตอบรับกันปึ๋ง ก็เคยกินมาแล้วตั้งแต่วันเกิดก็ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร อดเพียงเท่านี้จะตายหรือ เอ้า ตายก็ตายซิ แน่ะมันแก้กัน มันเอาจริง ๆ จัง ๆ ไม่ได้ทำเล่น เพราะฉะนั้นเห็นอะไรเหลาะ ๆ แหละ ๆ ถึงดูไม่ได้นะ

เรื่องการฆ่ากิเลสนี่สุดหัวใจละผม สุดชีวิต ถ้ากิเลสไม่ตายเราต้องตายเท่านั้น มีสองอย่างเท่านั้น ที่จะให้เป็นคู่แข่งกันต่อไปอีกเป็นไม่ได้แล้วว่างั้นเลย กิเลสไม่พังเราต้องพัง มีสองอย่างเท่านั้น ที่จะให้เป็นคู่แข่งกันต่อไปอีก เป็นไม่ได้แล้ว ฟาดเอาเสียจน…มันยากเป็นขั้น ๆ นะการภาวนานี่ ให้เห็นตามความจริง ขึ้นบนเวทีแล้วก็รู้เอง มาพูดเหยาะ ๆ แหยะ ๆ อยู่นอกเวทีนี้ไม่ได้หน้าได้หลังนะ ให้ขึ้นเวทีต่อกรกับกิเลสเสียก่อน

เพราะฉะนั้นถึงว่าความรู้ใครก็ตามในสามแดนโลกธาตุนี้ ใครจะว่าความรู้เก่งกล้าสามารถขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังไม่ได้ขึ้นต่อกรกับกิเลสก่อนแล้วอย่าอวดนะว่างั้นเลย ความฉลาดแหลมคม ความแยบคายนี้ไม่มีอะไรเกินกิเลส เพราะฉะนั้นถึงได้ครอบงำหัวใจโลกละซิ นู่นเวลาธรรมประเภทที่จะเหนือมัน ที่เหนือมันแล้วขึ้นโดยลำดับ ๆ เหนือมันขึ้นโดยลำดับ ๆ ตามกันทันตามทัน ทีนี้ความรวดเร็วของกิเลสมันรวดเร็วขนาดไหนธรรมะยิ่งรวดเร็วกว่านั้น ๆ

สุดท้ายถ้าพูดถึงเรื่องเพลงมวย มองกันไม่ทัน ระหว่างแชมเปี้ยนต่อยกันนี้ กิเลสยังเก่งกว่านั้น ระหว่างกิเลสกับธรรมต่อยกันมองไม่ทัน เป็นเองนะ จนอัศจรรย์เจ้าของ โถ จิตนี้บทเวลามีความแกล้วกล้าสามารถ มีความฉลาดแหลมคม มีความรวดเร็วนี้ เป็นอย่างนี้เชียวเหรอ ๆ ว่าเจ้าของนะ มันเห็นเรื่องของตัวฤทธิ์ของตัวฟัดกับกิเลสละซิ กิเลสม้วนเสื่อ ๆ เป็นลำดับลำดา อันนี้พอแย็บออกมาขาดสะบั้น ๆ

เพราะฉะนั้นจึงได้กล้าเทศน์ละซิ ไม่ได้มาเทศน์เฉย ๆ บทเวลาธรรมะเกรียงไกรถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ ภาวนามยปัญญา มหาสติมหาปัญญาแล้ว เอาทีนี้ กิเลสตัวไหนมันจะยกมาสามแดนโลกธาตุให้มาว่างั้นเลย ต้องพังหมด ถ้าถึงขั้นสติปัญญาขั้นนี้แล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่ได้แหละ เพราะฉะนั้นกิเลสถึงได้ม้วนเสื่อในพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ม้วนเพราะเหตุนี้เอง จับได้หมดนะ ถ้าไม่ถึงขนาดนี้ม้วนไม่ได้

ถึงขั้นมันม้วนมันม้วนได้ ถึงขั้นเกรียงไกรเกรียงไกร..สติปัญญา เพราะฉะนั้นจึงว่าเป็นสิ่งที่ฝึกได้ ๆ ฝึกไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ พระสาวกเป็นสาวกไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ต้องเป็นของฝึกได้ เราทำไมจะฝึกตัวของเราไม่ได้มันน่าคิดนะ นี่ละเวลามาสอนหมู่สอนเพื่อนแล้ว อยู่งุ่ม ๆ ง่าม ๆ ต้วม ๆ เตี้ยม ๆ ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย มองดูหมู่เพื่อนถ้าดูแล้วดูไม่ได้ ฟังก็ฟังไม่ได้ ไม่ดูไม่ฟังเป็นแบบหูหนวกตาบอดไปเสียอย่างนั้น อยู่ไปตามประสาเจ้าของและตามประสาของพวกนั้นเสียอย่างนั้นไปถึงอยู่ได้นะ

เราไม่ได้หายกโทษยกกรณ์หมู่เพื่อนนะ คือความขวางเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้น ซึ่งเราตำหนิติเตียน เราเทศน์ให้ฆ่ามันทั้งนั้น แต่ให้มันมาเพ่นพ่านเหยียบหัวพระองค์นั้น เณรองค์นั้น ให้เห็นต่อหน้าต่อตาอยู่นี่น่า ความหมายว่าอย่างนั้นต่างหาก มันไม่ได้ลดน้อยลงไปเหมือนกับที่เราเทศน์เพื่อปราบกิเลสนี่นะ อันนี้ที่น่าคิด จึงว่าเห็นเหมือนไม่เห็น ดูเหมือนไม่ดูไปเสียดีกว่า

มันเก่งขนาดนั้นละกิเลส เก่งขนาดไหน เอ้า ให้ขึ้นเวทีเสียก่อน ขึ้นเวทีอย่างที่ว่านี่ ถ้าถึงขั้นนี้แล้วอย่างไรกิเลสจะมีสักเท่าไร ม้วนเสื่อหมด ไม่มีตัวไหนจะมาตกค้างอยู่ได้เลย ลงสติปัญญาขั้นนี้แล้ว เป็นขั้นอัตโนมัติ เป็นขั้นหมุนตัวไปเอง คือสมุทัยมันก็หมุนตัวของมัน กิเลสนี้ธรรมชาติของมันจริง ๆ มันหมุนตัวของมันโดยอัตโนมัติ มันหมุนสัตวโลกให้อยู่ในวัฏวน หมุนให้เกิดแก่เจ็บตาย หมุนให้คิดให้ปรุงให้แต่ง ให้ไม่มีความอิ่มพอ ในความคิดความปรุงของเจ้าของ ทุกสิ่งทุกอย่างหมุนอยู่ภายในหัวใจนั่นแหละ นี่เรียกว่ากิเลสวัฏจักร มันหมุนตัวของมันอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ยิ่งใครมีความหนาแน่นด้วยกิเลสเท่าไร กิเลสยิ่งหมุนใหญ่ ความทุกข์ยิ่งหนาแน่นขึ้นโดยลำดับลำดา

โน่นเวลาเราฝึกหัดอบรมเข้าไปเรื่อย ๆ เอ้า ทุกข์ก็ทุกข์ ยอมรับว่าทุกข์ ขั้นมันทุกข์ทุกข์จริง ๆ นะ จิตรวมไม่ได้นี่ซิ ฝึกทรมานให้จิตสงบนี้ก็เป็นกองทุกข์อันหนึ่งเหมือนกัน พอจิตสงบได้แล้วก็ขยับเข้าไปอีก แต่มันก็มาเพลินลืมตัวอยู่ตอนที่จิตเป็นสมาธิแล้ว มันลืมตัวก็ยอมรับว่าลืมตัว ที่ว่าติดสมาธิอยู่ ๕ ปีน่ะ มันลืมตัว คือมันสบาย ไม่ยุ่งกับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสกับอะไรเลย มีแต่ความสงบเย็น พอเข้าแน่วเลย เพราะมันอยากเข้าอยู่ตลอดเวลาไม่อยากออก เข้าไปนั้นแล้วมันไม่มีอะไรนี่ เหลือแต่ความรู้อันเดียวแน่ว สุดท้ายก็ว่านี่ละจะเป็นนิพพาน ๆ ไปอย่างนั้น นั่นเรียกว่านอนใจ มีสบายบ้างก็ตรงนี้

ทีนี้พอออกทางด้านปัญญา ก้าวทางด้านปัญญา ทีนี้เอาละนะ นี่ก็กองทุกข์ใหญ่อันหนึ่ง แต่กองทุกข์ด้วยความเห็นเหตุเห็นผล ด้วยความรู้จักการจักงานแล้วมันต่างกันนะ รู้จักผลรายได้ หมุนติ้ว ๆ ทุกข์ขนาดไหนก็ไม่ได้ว่าทุกข์ ทั้งวันทั้งคืน นอนไม่ได้ บางที ๒ คืน ๓ คืนนอนไม่ได้เลยนอนไม่หลับ เพราะจิตทำงานปัญญาทำงานเป็นอัตโนมัติของมัน นี่ละที่ว่ามรรคเป็นอัตโนมัติ มรรคสัจ สมุทัยสัจเป็นอัตโนมัติของมัน เวลามันหมุนหัวใจของสัตวโลกมันหมุนอย่างที่ว่านี้แหละ

ทีนี้พอถึงขั้นธรรมะหมุนกลับแล้ว ทีนี้ก็หมุนกลับแบบนั้นละที่นี่ กิเลสหมุนสัตวโลกฉันใด ธรรมะก็หมุนคลี่คลายออกฉันนั้นเหมือนกัน หมุนติ้ว ๆ หมุนไม่หยุด ถ้ากิเลสไม่หมดแล้วเป็นไม่หยุด หยุดไม่ได้ ฟาดลงไปจนกระทั่งมันม้วนเสื่อลงไปไม่มีอะไรเหลือเลย เอ้า เราพูดอย่างสรุปนะ ธรรมชาตินี้ก็ยุติตัวเอง ไม่ต้องบอกไม่ต้องสั่งต้องสอน ไม่ต้องบังคับบัญชา หากเป็นหลักธรรมชาติพอดิบพอดีกัน พอดี๊พอดี พออันนั้นม้วนเสื่อลงไปแล้วก็เห็นชัดเจนว่าม้วนเสื่อ มันก็รู้แล้วว่าม้วนเสื่อ แล้วจะฆ่าอะไรจะแก้อะไรที่นี่ เรื่องที่แก้ก็คือเรื่องที่มันม้วนเสื่อแล้วนั้น เดี๋ยวนี้มันม้วนเสื่อไปแล้วจะแก้กับอะไร จะสู้กับอะไร มันก็รู้กันอยู่งั้น

ไม่มีอะไรเหลือในหัวใจแล้วเปิดโล่ง แดนโลกธาตุนี้เปิดโล่งไปหมดเลย ไม่เคยเห็นก็เห็น ไม่เคยรู้ก็รู้ ว่าเรียนจบพระไตรปิฎก โอ๊ย อย่ามาคุย พระไตรปิฎกเป็นความจำ มันก็ไปเป็นทาง ๆ ที่เรียนไปตรงไหนก็ไปตามทางของมันที่เรียนที่จำได้เท่านั้น เรื่องความจริงนี้มันกระจายไปหมดเลยเหมือนไฟได้เชื้อ เชื้อไฟมีอยู่ตรงไหนไฟจะลุกลามไป นี่ความจริงมีอยู่ตรงไหนธรรมจะลุกลามไปอย่างนั้นเหมือนกัน นี่กว้างหรือไม่กว้างฟังซิ นี่ละธรรมะของพระพุทธเจ้า

อยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็น มีแต่พูดคนเดียวโก้ก ๆ เหมือนบ้า ได้เป็นมาพอแล้วถ้าพูดถึงเรื่องความทุกข์ความทรมานกับกิเลส เพราะฉะนั้นเราถึงได้อ่อนใจ ระอา โห ถ้าเป็นถึงขนาดนี้แล้วจะสอนใครได้ สอนโลกได้ยังไง เป็นถึงขนาดนี้ เราไม่คาดไม่ฝันว่าเราจะเป็นไปได้อย่างนี้ แต่ก็เป็นไปได้อย่างประจักษ์ใจ แล้วทีนี้จะสั่งสอนโลกให้ดำเนินตามดังที่เราดำเนิน ใครจะไปสามารถดำเนินได้อย่างนี้นะ เอาละนะที่นี่ท้อใจ มันหนามันแน่นขนาดนี้..กิเลส แล้วใครจะไปแหวกมันออกมาได้

คิดไปคิดมา ทบทวนเรื่องปฏิปทาเครื่องดำเนิน บันไดเครื่องก้าวไป สายทางที่ก้าวไป เอ้า ได้มากก็เอา ได้น้อยก็เอา ได้ขนาดไหนก็เอาตามที่มันเกิดมันมีพอได้นั้นแหละ เพราะฉะนั้นถึงถูไถไป พระพุทธเจ้าถูไถไปอย่างนี้นะ ไม่ใช่พระองค์จะเลิกเอาไปหมดทั้งโลกนี่นะ เหมือนกับว่าถูไถไป ถอดเอาตรงนั้นถอดเอาตรงนี้ไปอย่างนั้น ท่านถึงว่า เอ้าพอได้เท่านี้ก็เอา เอาไป

เวลาถึงแดนอัศจรรย์อัศจรรย์จริง ๆ ไม่ได้มีอะไรเหมือนธรรมชาตินั้นเลยนะ เอาอะไรมาเหมือน โลกธาตุนี้เอาอะไรมาเหมือน โลกธาตุนี้เป็นแดนที่อยู่ของกองนรกอเวจีของสัตวโลก เป็นที่ทอดสัตวโลกต่างหาก กองทุกข์เต็มอยู่นี้หมด พอพรากออกจากนี้ไปแล้วมีอะไรมาพูด หมดสิ่งที่จะพูด เห็นแต่ความอัศจรรย์เท่านั้น ความอัศจรรย์นี้ก็มาพูดเอาเฉย ๆนะ ยังเลยความอัศจรรย์ไปอีกคาดไม่ถูก ได้แต่คำว่าพอเท่านั้นละ ถ้าพอจะใกล้กันบ้างก็ว่าพอเท่านั้น คือพอดิบพอดีทุกสิ่งทุกอย่าง พออยู่ในนั้นหมดเลย จะว่าเลิศหรือว่าเลอว่าอะไร ๆ ก็พอแล้ว ไม่รับทั้งนั้น อะไรไม่รับหมด จึงเรียกว่าพอ

นี่เอาจนจะเป็นจะตายจริง ๆ กว่าจะได้มาสอนหมู่สอนเพื่อน ผมก็ไม่ได้นึกว่าผมจะได้เป็นครูเป็นอาจารย์สอนหมู่สอนเพื่อน ประชาชนญาติโยมทั่วประเทศ ดังที่เป็นอยู่เวลานี้ เวลาปฏิบัติตัวเองเราเป็นคนนิสัยวาสนาอาภัพ ไม่เคยยุ่งกับใครแต่ไหนแต่ไรมา ตั้งแต่ออกปฏิบัติก็ก้าวขึ้นสู่เวทีคือป่าคือภูเขาเท่านั้น คนเดียว ๆ ไม่เอาหมู่เอาเพื่อนไปด้วยเลย

พ่อแม่ครูจารย์มั่นก็ส่งเสริมเสียด้วย เอ้า ท่านมหาไปองค์เดียวนะ ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ท่านรู้นิสัยแล้ว แสดงว่าจริงจังมาก พูดก็ว่าอย่างนั้นแหละ คิดดูซิลงมาจากภูเขาบางครั้ง ท่านเห็นท่านตกตะลึงนะ ผมยังไม่ลืมพอมาก้มกราบลงปั๊บ ๆ เอ๊ย ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะท่านว่า คือยังเหลือแต่กระดูก หนังห่อกระดูกเท่านั้นลงมา คนหนุ่ม ๆ อายุแค่ ๓๐ ย่านนี้แหละ คนหนุ่ม ๆ คือมันฟัดกับกิเลสขนาดนั้นแหละ จนเจ้าของจะตายยังไม่รู้ว่าเจ้าของจะตาย ตัวเหลืองเหมือนทาขมิ้น โฮ้ ทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ

เราก็คอยฟังท่านจะออกแง่ไหนอีก ท่านกลัวเราจะอ่อนเปียกละซิ ท่านพลิกใหม่ปั๊บ เอ้อ มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ นั่นเห็นไหม มันต้องอย่างนี้จึงเรียกว่านักรบ ทีนี้เวลาเราจะไปไหนมาไหนนี้ ใครจะไปยุ่งไม่ได้ ว่าจะไปกี่องค์ ว่าไปองค์เดียว เอ้อ ไปองค์เดียวละท่านมหา ใครอย่าไปยุ่งท่านนะ ใครจะไปยุ่งก็ร่มโพธิ์ร่มไทรมีอยู่แล้ว เราก็สบาย

เราไม่ได้นึกว่าหมู่เพื่อนจะมาสนใจกับเรา เราจะไปไหนเราก็ไปสบาย ๆ องค์เดียว ๆ อย่างนั้นเป็นประจำ ๆ เพราะฉะนั้นใครจึงจะมาเขียนประวัติผมนี้ไม่ได้เรื่องแหละ เพราะผมไม่ได้เอาองค์นั้นไปด้วยองค์นี้ไปด้วย องค์นั้นอยู่กับผมระยะนั้น ๆ พอที่จะเอามาติดต่อกันให้ได้เรื่องได้ราวขึ้นมา อันนี้ผมไปแต่องค์เดียว นอกจากมาเล่าให้หมู่เพื่อนฟังแล้วก็เขียนสุ่มสี่สุ่มห้าไปอย่างนั้น นี่ขนาดนั้นจริง ๆ

คือ มันเป็นอยู่ในหัวใจแล้ว ความมุ่งมั่น ตั้งแต่ลงใจแล้วว่ามรรคผลนิพพานมี ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นท่านเทศน์ นี่น่า ๆ อยู่อย่างนี้ละ เหมือนท่านเอาเรดาร์จับเราแล้ว ความหวังกับมรรคผลนิพพานก็เต็มหัวใจ แต่ยังสงสัยว่ามรรคผลนิพพานจะมีอยู่หรือไม่มี

พอไปถึงท่านก็เหมือนกับว่า นี่น่า ๆ ท่านจะหามรรคผลนิพพานที่ไหน ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ อากาศธาตุเป็นอากาศธาตุ ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพานอยู่ที่จิต กิเลสอยู่ตรงไหนนั้นละมรรคผลนิพพานอยู่ตรงนั้น เอ้า ฟาดลงตรงนั้นซิ ท่านไล่เข้าไปหานี่นะ อย่าไปหาอยู่ตามกาลตามสมัยไม่มี

กิเลสไม่มีตามกาลตามสมัย มีอยู่ที่หัวใจ มรรคผลนิพพานไม่ได้อยู่ตามกาลตามสมัยตามสถานที่ต่าง ๆ อยู่ที่หัวใจ ซัดลงไปนี่ซิ ยุ่งอะไรยุ่งเวลานี้ ต้นไม้ภูเขาเขายุ่งไหม หัวใจเรายุ่งต่างหาก กิเลสอยู่ตรงนั้นก็ยุ่งละซิ ฟาดกิเลสลงไปแล้วอะไรจะมายุ่ง นั่นท่านสอนอย่างนั้น มันก็ลงใจ

เอา ๆ แน่ใจแล้วที่นี่ ยังไงก็เอาละ เป็นอันว่าไม่ถอย ปลงใจปึ๋งเลยทีเดียว เอาละได้การที่นี่ นั่นหมายถึงว่า ตกลงใจเป็นที่แน่ใจแล้วว่ามรรคผลนิพพานมีสมบูรณ์อยู่แล้ว เราจะเอาให้ได้มรรคผลนิพพาน ไม่ได้ต้องตายเท่านั้น ไม่ตายให้ได้ อย่างอื่นไม่มี เพราะฉะนั้นถึงเด็ดละซิเรื่องความเพียร ไปกับหมู่กับเพื่อนผมไม่สะดวกสบาย ไป ๒ องค์ก็เป็นน้ำไหลบ่า ๒ ทางไปเสีย ไหลบ่า ๒ ทาง ๓ ทางไม่สะดวก ถ้าไปองค์เดียวนี้เดินจงกรมทั้งวันเลยเป็นอย่างนั้นนะ เดินไปจากนี้ไปสู่ที่นั่น นี่คือเดินจงกรมไปทั้งวันเลย ไปอยู่ที่ไหนเดินจงกรมทั้งวัน อย่างนั้นละสติกับปัญญาอยู่ด้วยกันอย่างนั้นละ

ฟังเอาซิหมู่เพื่อน เรื่องความเพียรเป็นอย่างนั้นนี่นะ ความเพียรอยู่กับสติ อยู่ที่ไหนเป็นความเพียรตลอดเวลา เลยไม่ทราบว่าเราได้ทำความเพียรหรือไม่ได้ทำความเพียร เดินทั้งวันวันนี้ มันเป็นความเพียรทั้งวันนี่นะ หมุนติ้ว ๆ ของมัน ถึงขั้นสงบก็สงบของมันแน่ว ถึงขั้นหมุนติ้วก็หมุนติ้วอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา จนกระทั่งถึงขั้นที่ว่าสติปัญญานี้เลยคาดเลยคิด คาดไม่ถูกคิดไม่ถูกถ้าไม่เป็นในหัวใจของเจ้าของเสียอย่างเดียว

อย่างที่ว่าภาวนามยปัญญาผมก็ได้เรียน เพราะมีในหลักวิชาสอบ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา ภาวนามยปัญญา ท่านบอกไว้ว่าปัญญา ๓ ปัญญาเกิด ๓ ประเภท อันหนึ่งปัญญาเกิดขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง อันสองปัญญาเกิดขึ้นจากการคิดอ่านไตร่ตรอง อันที่สามปัญญาเกิดขึ้นจากการภาวนาล้วน ๆ การภาวนาล้วน ๆ นี่ซีไม่รู้ ภาวนาล้วน ๆ เป็นยังไง ปัญญาเกิดด้วยการภาวนาล้วน ๆ บทเวลามันมาเป็นขึ้นที่หัวใจนี้ อ๋อ อย่างนี้เองปัญญาล้วน ๆ

คือไม่ต้องอาศัยรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส เข้ามากระตุ้นเตือนหัวใจก็ตาม แต่ใจนั้นกับงานทำงานกันอยู่ตลอดเวลากับกิเลส ฟัดกันกับกิเลสตลอดเวลา อะไรมาสัมผัสก็เอาอันนั้นมาพินิจพิจารณา ก็เป็นเรื่องของกิเลสแก้กิเลสอยู่ในนั้น อันใดไม่มาสัมผัสก็เป็นอยู่ในหัวใจของตัวเองนี้เรียกว่าอัตโนมัติ เป็นภาวนามยปัญญาเรื่อย ๆ จากนั้นก็หมุนเข้าไปมหาสติมหาปัญญา ความเผลอไม่มีเลย เป็นพื้นเลยเทียว ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วความเผลอไม่มี ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งถึงหลับเผลอเมื่อไรนี้ไม่เคยจับได้เลย

ให้เห็นอย่างนั้นซิการปฏิบัติน่ะ พระพุทธเจ้าท่านเห็นอย่างนั้นท่านรู้อย่างนั้น พระสาวกทั้งหลายท่านเห็นอย่างนั้นท่านรู้อย่างนั้น ท่านนำมาเทศน์สอนโลกอย่างจัง ๆ อย่างนี้เราจะมาทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ ได้เหรอ เข้ากันได้เหรอ ความเหลาะ ๆ แหละ ๆ เป็นกิเลสหลอกคนต่างหากนี่นะ ธรรมะท่านไม่ได้เหลาะแหละนี่ ถ้าจะทำคุณงามความดีอะไร เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ก็เห็นว่าลำบากลำบน มีแต่กิเลสสร้างขวากสร้างหนามให้ทั้งนั้นให้ก้าวไม่ออก ธรรมะท่านสร้างที่ไหน เราจะก้าวไปหาอันดีกิเลสมันขวางไว้เสีย ๆ เหล่านี้เป็นกลมายาของกิเลส

เวลาเข้าถึงตัวมันแล้วรู้หมด อะไรเป็นกลมายาของกิเลสที่มันออกสกัดลัดโลกไม่ให้ไปจากเงื้อมมือของมัน คืออะไร ๆรู้หมดเลย ไม่รู้แก้ไม่ตก ถึงขั้นรู้พอแย็บออกมานี้ขาดสะบั้นไปเลย ฟังซิ นี่ละถึงขั้นรู้รู้อย่างนั้น อุบายของกิเลสจะออกมาแบบไหน แย็บพับรู้ ขาดสะบั้นไปพร้อม ๆ เรื่องของกิเลส ๆ เอาจนขาดสะบั้นไปหมดไม่มีอะไรเหลือ โล่ง จน โอ้โห สลดสังเวชเวลามันเป็นนะ น้ำตาร่วง คืนวันนั้นผมไม่ได้นอนนะ

เอ้า พูดให้เต็มยศเต็มบทเต็มบาทเสีย วันนี้ได้พูดธรรมะ พอที่จะพูดได้บ้างก็พูดแหละ ไม่ได้นอนทั้งคืน กราบพระพุทธเจ้า กราบพระธรรม กราบพระสงฆ์ กราบครูบาอาจารย์ คนอื่นเขาเห็นเขาจะว่าเราเป็นบ้าเป็นบอไป อีตาผีบ้ามันยังไงกันนี่ นั่งอยู่เฉย ๆ เหมือนตุ๊กตาเดี๋ยวกราบ ๆ กราบบ้าอะไร เขาจะว่าอย่างนั้น ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นบ้านั่นแหละ เรากราบความอัศจรรย์ต่างหาก มันอัศจรรย์ขึ้นมาที่นี่ โห มันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์

แต่ก่อนเราคาดพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น พระธรรมเป็นอย่างนี้ พระสงฆ์เป็นอย่างนี้ บทเวลาเป็นเพราะเป็นหลักความจริงแล้วเป็นอันเดียวกัน แล้วจะสงสัยพระพุทธเจ้าที่ตรงไหน พระพุทธเจ้านิพพานไปไหน นั่นเป็นอันเดียวกันแล้วนี่ ทีนี้ก็กราบละซิ ไม่ได้นอนเลย โถ อัศจรรย์ หาธรรมหาที่ไหน ๆ ถามเจ้าของ ธรรมอยู่ที่ไหนแล้วไปหาธรรมหาที่ไหน

แบกกลดแบกมุ้งวิ่งเข้าป่าเข้าเขาไปหาอรรถหาธรรม ธรรมอยู่ที่ไหน ๆ ก็ถูกในขั้นนั้น ขั้นแบกกลดเข้าป่าเข้าเขา แต่ธรรมจริง ๆ อยู่ที่ใจนี่ เวลามารู้มารู้ที่ใจนี่ ธรรมอยู่ที่ไหน ธรรมอยู่ที่ใจ ความหมายว่าอย่างนั้น มารู้ตรงนี้จ้าขึ้นมา อัศจรรย์ไม่ทราบว่าจะพูดว่าอย่างไรถูก มันไม่มีอะไรเหมือนเสียแล้วโลกอันนี้ มันหมดเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เอ้อ เอาละที่นี่ถึงแดนสมหวังแล้วเป็นอยู่ในหัวใจ เอาละถึงแดนสมหวังแล้ว นั่นเห็นไหม นี่ละความเอาจริงเอาจัง

ความมุ่งมั่นสำคัญมากนะ ความเชื่อว่ามรรคผลนิพพานมีแล้วยังไม่แล้ว ยังความมุ่งมั่นที่จะเอามรรคผลนิพพานให้อยู่ในเงื้อมมือให้ได้ อันนี้มันเต็มหัวใจ ความมุ่งมั่นเต็มหัวใจ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ยังไงก็ไม่ถอย จะเอาให้ได้ เราจะเอาให้เป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ว่างั้นเลยนะในหัวใจเจ้าของเป็นอย่างนั้น จะให้สิ้นทุกข์ในชาตินี้ เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ กิเลสไม่ตายเราต้องตายเท่านั้น เราไม่ตายกิเลสต้องตาย ซัดกันเลย จึงว่าไม่มีเวลาอ่อนข้อ

ผมจึงว่าหนักมาก ๙ ปี ไปติดคุกติดตะรางนี้ผมสมัครไปเลย ให้เข้าไปติดคุกติดตะราง กินข้าววันละสองมื้อสามมื้อ จักตอกเหลาตอกวันละ ๕ เส้นฆ่าเวล่ำเวลาไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้นเอง อันนี้ไม่ได้ทำอย่างนั้นทำด้วยความสมัครใจ ไม่กินก็ด้วยความสมัครใจ อดอยากจนจะตายก็ด้วยความสมัครใจ ไม่ได้นอนก็ด้วยความสมัครใจ ทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสมัครใจ ทุกข์ขนาดไหนเมื่อความพอใจมีแล้วพอทุกข์พอทน ซัดกันเสียจน..

พอลงจากเวทีแล้วทีนี้ ลงมาวัดสุทธาวาสเราไม่ลืมนะ ปี ๒๔๙๓ เดือนนั้นจำได้แต่เดือน ๖ ดับ วันที่จำไม่ได้ นั่นละที่ว่าปัญหาที่เกิดขึ้น คือมีจุดมีต่อมผู้รู้อยู่ที่ไหนภพชาติอยู่ที่นั่นก็ไปเกิดที่นั่น เวลาไปแก้ก็ไปแก้ตกที่นั่น จุดต่อมก็คืออันนี้เอง มันก็ไปรู้ตรงนั้น พอรู้แล้ว อ๋อ จุดต่อมคืออันนี้เอง อวิชฺชาปจฺจยา ตัวอัศจรรย์ ๆ หลอกโลกได้ ตัวนี้เอง พอตัวนี้พังลงไปแล้วไม่เห็นจุดต่อมอยู่ตรงไหน แล้วสิ่งที่อัศจรรย์เหนือนั้นคืออะไรนั่นซิ

ถึงว่าอวิชชาแหลมคมมาก โถ จอมกษัตริย์วัฏจักรคืออวิชชา ยอดสมุทัยคืออวิชชา ยอดของมรรคคือมหาสติมหาปัญญา รับกันได้ปึ๋งเลยเทียว ไม่ไปไหนละรับกันได้ปึ๋งทีเดียว เมื่อยอดของมรรคคือมหาสติมหาปัญญาได้ม้วนเสื่อยอดสมุทัยคือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ลงแล้ว ไม่มีอะไรในโลกอันนี้ คำว่ากัปว่ากัลป์ไม่ต้องพูดไม่ได้คำนึงละ คำนึงอะไร มันพอ ฟังแต่ว่าพออย่างเดียวเท่านั้น แล้วกี่กัปกี่กัลป์จึงจะมาเกิดมาตายอีกไม่ได้คำนึง พอเท่านั้นพอแล้ว นั่นจึงเรียกว่านิพพานเที่ยง เที่ยงอยู่ที่หัวใจ รู้อยู่ที่หัวใจ ไม่ได้สงสัยที่หัวใจแล้วจะไปสงสัยอะไร พระพุทธเจ้าก็สอนลงที่นี่ ๆ

ธรรมะสด ๆ ร้อน ๆนะ กิเลสสด ๆ ร้อน ๆ ฉันใด ธรรมะก็สด ๆ ร้อน ๆ อยู่ที่หัวใจด้วยกันนั่นแหละ แต่ว่ากิเลสเป็นเหมือนกันกับจอกแหนปกคลุมน้ำไว้ น้ำอยู่ข้างล่าง มองหาน้ำไม่เห็นก็ว่าน้ำไม่มีไปเสีย ทั้ง ๆ ที่กิเลสปกคลุมไว้นั่นแหละ น้ำมีอยู่ใต้จอกใต้แหน เวลาเปิดจอกเปิดแหนออกแล้วน้ำก็อยู่ที่ตรงนั้น ทีนี้เวลาเปิดกิเลสออกแล้ว ธรรมะมรรคผลนิพพานก็อยู่ตรงนั้นไม่อยู่ที่ตรงไหน ไม่อยู่กาลสถานที่เวล่ำเวลาตรงนั้นตรงนี้ อยู่ตรงนั้น ให้เห็นชัด ๆ ลงไปซิ

อย่าไปคิดถึงกาลสถานที่เวล่ำเวลา มีแต่กลมายาของกิเลสหลอกคนไม่ให้ทำความเพียรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนั่นแหละ พูดอย่างนี้ผมสลดสังเวชนะ ผมเคยถูกต้มมาแล้ว พอถึงขั้นแก้กันตกนี้แก้ตก ๆ ผึงออกมาตกเลย ๆ นี่ก็เห็น อุบายมันออกมาแหลมคมขนาดไหน สติปัญญายิ่งแหลมคมกว่านั้น พับเดียวขาดสะบั้น ๆ เหนือกันอย่างนี้เองถึงฆ่ากันได้ ไม่เหนือฆ่าไม่ได้

ไม่มีอะไรจะฉลาดแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสที่ครอบหัวใจโลก พระพุทธเจ้าจึงระอาละซิ ท้อพระทัยในการที่จะสั่งสอนสัตวโลก จึงมาแยกออกแยะออก แยกแยะออกมา ดึงเอาอันนั้นดึงเอาอันนี้ ได้แค่นี้ก็เอา ได้แค่นั้นก็เอา ยกภูเขาทั้งลูกไม่ได้ก็ไม่ต้องยกมัน หินก้อนไหนที่เป็นประโยชน์ ไม้ชิ้นไหนเป็นประโยชน์เอา แร่ธาตุชนิดไหนควรจะเป็นประโยชน์แล้วเอาไป ๆ เท่านั้นละ ไม่ได้เอาภูเขาทั้งลูก นี่ไม่ได้เอาสัตว์ทั้งโลกละ สัตว์ทั้งโลกเหมือนภูเขาทั้งลูก อันไหนที่ควรจะได้ก็ถอดเอา ๆ

จึงว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ อุคฆฏิตัญญูพวกนี้รวดเร็วที่จะรู้จะเห็น ถ้าเป็นวัวก็อยู่ปากคอกแล้ว พอเปิดประตูนี้โดดผึงออกเลย วิปจิตัญญูก็รองกันลงมา เนยยะนี่พอถูพอไถ ระหว่างปทปรมะกับเนยยะนี้รบกัน พวกเรานี่พวกปทปรมะกับพวกเนยยะนะรบกันอยู่เวลานี้ ส่วนมากไปแพ้ปทปรมะ ปทปรมะเอาไปกินหมด เนยยะพอถูพอไถพอเป็นไปได้ เนยยะแปลว่าพอนำไปได้ พอแนะนำสั่งสอนไปได้ ถูไถไปได้ หลายครั้งหลายหนพอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมา แปลออกเป็นอย่างนั้น

แต่เดี๋ยวนี้มันมีตั้งแต่ปทปรมะไม่เอาไหน มันลากคอเราไปต้มยำกินพวกเรา จะภาวนาก็ให้กิเลสต้มยำเสีย จะทำอะไรก็ให้กิเลสต้มยำ ๆ กิเลสเลยท้องจะแตกมันกินต้มยำของพระขี้เกียจขี้คร้าน พระไม่เอาไหนนั่น พากันเข้าใจหรือยังพวกนี้น่ะ เทศน์มาสอนมาสักเท่าไร ๔๙ ปีนี้นะ ผมก็หมดกำลังที่จะเทศน์แล้ว อะไรก็หมด ๆ แล้ว อยู่ไปอย่างนั้นละ ใครจะตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติก็เอาซิ

เราอยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นสิ่งที่เลิศที่เลอที่สุด ขี้หมูราขี้หมาแห้งเลิศเลออะไร เดี๋ยวนี้มาขยี้ขยำกันกับขี้หมูราขี้หมาแห้งซิพวกเรา ทองคำทั้งแท่งไม่ไปมองดูเลย มาจดจ่อกันอยู่ตั้งแต่ขี้หมูราขี้หมาแห้งนี่แหละ ทองคำทั้งแท่งไม่ไปดูนะ เดี๋ยวนี้กิเลสกำลังเป็นทองคำมันขยี้ขยำ ความโลภก็เก่ง ความโกรธเก่ง ราคะตัณหาก็เก่ง มีตั้งแต่ทองคำทั้งแท่ง ๆ ทั้งนั้น กิเลสมันหลอกสัตวโลก ทองคำจริง ๆ เหมือนตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก

เพราะฉะนั้นเราถึงได้พูดถึงเรื่องวิตกวิจารณ์กับศาสนาชาวพุทธของเรา เฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่วงราชการ เป็นผู้ใหญ่เท่าไรยิ่งห่างเหินจากศีลจากธรรมก็ยิ่งเหลวแหลกแหวกแนวไปเรื่อย ๆ ทีนี้ไม่ทราบผู้น้อยจะยึดใครเป็นหลัก ถ้าว่าพระ พระผู้ใหญ่เท่าไรก็ยิ่งทำตัวให้เลวลงไป ๆ แล้วจะได้หลักจากใคร ก็เมื่อใหญ่เท่าไรยิ่งเหลวแหลกมากเข้าไป ๆ อย่างนั้น มันไม่มีที่เกาะที่ติดจะทำยังไง นี่ซิน่าทุเรศนะ

จวนตายเท่าไรยิ่งเป็นห่วงโลกมากสงสารโลกมาก เป็นอยู่ในหัวใจนี่ ท่วมท้นล้นฟ้าล้นแผ่นดินเลย อำนาจแห่งความเมตตา พระพุทธเจ้าท่านสอนโลกท่านสอนด้วยความเมตตาล้วน ๆ ไม่มีโลกามิสอะไรเข้าเจือปนเลย มันรู้ชัดนี่ รู้ชัดในหัวใจของเราซึ่งตัวเท่าหนูนี่ มันรู้นี่ มันไม่ได้หวังอะไรในโลกนี้ ไปไหนมาไหนไม่ได้หวังอะไรแหละ หวังแต่หัวใจโลกเท่านั้น สงเคราะห์สงหาไปตามกำลังความสามารถของเรา ตัวของเราเองเราไม่ได้หวัง เราพอเสียทุกอย่างก็บอกว่าพอ มันพออยู่นี้ประจำจะว่าไง พอเป็นอนันตกาล นิพพานเที่ยงจะผิดไปไหนเมื่อหัวใจพอแล้ว นิพพานเที่ยงเท่านั้นเอง

เอาละเหนื่อยแล้ว

พูดท้ายเทศน์

เดี๋ยวนี้มันไม่เอาไหนแล้วนะผมน่ะ มันหดเข้า ๆ จะไม่เอาไหนแล้ว รู้ชัด ๆ รู้เจ้าของมันหดเข้ามา ๆ ไม่เอาไหนแล้ว วันไปวัดหลวงพ่อตันเกือบตายอยู่นั่นนะผม หัวเลี้ยวหัวต่อกันอยู่ตรงนั้น หนักมากอยู่ แทบจะเอาไว้ไม่อยู่ อย่างนั้นละเวลามันเป็น หมดกำลังหมดเข้าไป ๆ เรื่อย ๆ อ่อนเข้าไป ๆ มีแต่จะดีดจะดิ้นจะออก

การภาวนาเรื่องสติผมได้พูดแล้วพูดเล่า ไม่ว่ากัณฑ์ไหนไม่เคยลดละเรื่องสติ เพราะเราเห็นคุณค่าของสติ อันดับที่สองก็คือปัญญาประจำความเพียร ทั้งวันไม่ให้เผลอ ให้มีสติอยู่อย่างนั้นตลอด เราเคยทำมาแล้ว แต่ก่อนก็ว่าจริงจังอยู่ ก็ไม่จริงจังเมื่อยังจับหลักไม่ได้ ตอนที่ว่ามันปล่อยเสียทุกอย่างนั่นแหละ คือทำยังไงมันก็เสื่อม จะทำให้เจริญมันก็เสื่อมของมันต่อหน้าต่อตา ทีนี้ไม่เอาละ อะไรจะเสื่อมก็เสื่อมไป อะไรเจริญก็เจริญไป เราจะเอาแต่ พุทโธ คำเดียว ทีนี้จะไม่ปล่อย พุทโธ เลย ปักจิตปุ๊บใส่ พุทโธ เลย

นั่นละตั้งแต่ขณะนั้นมา พุทโธ จะเผลอไปไม่ได้ อยู่ที่ไหนมีแต่ พุทโธ ๆ ปัดกวาดลานวัด ทำอะไร ๆ กระดิกพลิกแพลงไปทางไหน พุทโธ จะเผลอไม่ได้เลย เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย เสื่อมก็เสื่อม เจริญก็เจริญ ไม่เสียดายกับอะไรแล้ว จะเอาแต่ พุทโธ พุทโธ นี้เมื่อสติยังมีอยู่แล้ว พุทโธ กับสตินี้จะต้องอยู่ด้วยกัน นี่เราเห็นคุณค่าาของสตินะ ทำความเพียรไม่มีสติสตัง คำว่า พุทโธ คำบริกรรม ถ้าไม่มีหลักก็ต้องเอาคำบริกรรมเข้ากำกับ ให้ติดอยู่นั้นต้องสงบได้จิตน่ะ นี่สงบได้

เมื่อปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ความเสื่อมความเจริญของจิตเราทอดอาลัยตายอยากแล้ว เพราะหวังมาพอ เราทุกข์เพราะความเสื่อมของจิตนี้มาปีเต็ม ๆ จนปักลึกไม่ลืม ถึงขนาดที่ว่าต่อไปนี้จะเสื่อมไปไม่ได้ ถ้าเสื่อมเราต้องตายเท่านั้น ถึงขนาดนั้น มันเข็ด เพราะฉะนั้นจึงปักเข้ากับ พุทโธ เอาเลย สติอยู่กับนั้นทั้งวันทั้งคืน ตื่นขึ้นมา พุทโธ แล้วไม่ให้เผลอ บิณฑบาตอะไร ๆ เหมือนเดินจงกรมไปเลย ติดแนบกันไปจนกลายเป็นสัมปชัญญะ

โธ่ พุทโธ นี่เวลาละเอียดพอ ๆ บริกรรมไม่ได้นะ เห็นกับเจ้าของ เวลา พุทโธ กับจิตกลมกลืนเป็นอันเดียวกันแล้ว คำว่า พุทโธ นี้ไม่ปรากฏ นึกเท่าไรก็ไม่ปรากฏ เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ทีนี้ พุทโธ ไม่มีแล้วทำยังไง แต่ก่อนเราเกาะ พุทโธ คำบริกรรม พุทโธ ๆ ทีนี้คำบริกรรมนี้ไม่มีแล้วทำยังไง เหลือแต่รู้ เอ้า อย่างนั้นให้อยู่กับรู้นี้ พอถอยจากรู้พอขยับ พุทโธ ได้เมื่อไรจะเอา พุทโธ ทีนี้มันก็ได้จังหวะของมัน มันอยู่ของมันอย่างนั้น พอได้จังหวะแล้วมันขยับถอยออกมาปั๊บ เอา พุทโธ ใส่ปั๊บเลย นั่นถึงจะอยู่ถึงไม่เสื่อม

จากนั้นมาก็ค่อยดีขึ้น ๆ ถึงขั้นควรจะเสื่อม เอ้า เสื่อมก็เสื่อมไป เราเคยหึงเคยหวงมันมาพอแล้ว จนจะเป็นจะตายเพราะความหึงหวงมัน ทีนี้ไม่หวง เอ้า เสื่อมไปไหนก็เสื่อมไปแต่ พุทโธ จะไม่ปล่อย อยู่อย่างนั้น สุดท้ายถึงวาระที่จะเสื่อมก็ไม่เสื่อม ถึงจุดนี้ละจุดมันเคยเสื่อม มันรู้นี่นะ ว่าพอไปถึงจุดนั้นอยู่ได้สองสามวันเท่านั้นเสื่อมปรูด ๆ ลงไป เสื่อมต่อหน้าต่อตา บางคืนไม่ได้นอนเลยกลัวจิตเสื่อม มันก็เสื่อมต่อหน้าต่อตาเราไปจนได้

ทีนี้จึงไม่เอา จะเอา พุทโธ เสื่อมไม่เสื่อมช่างมัน พอไปถึงขั้นที่ควรจะเสื่อมทีนี้ไม่เสื่อมนะ เรื่อย ๆ ค่อยละเอียดเข้าไป ๆ ทีนี้ชักจะแน่ใจ แต่ไม่ค่อยแน่ใจกับมันนัก เพราะมันเคยดัดสันดานเราพอแล้ว ไปแน่ใจเอาตอนไปรอรับพ่อแม่ครูจารย์มั่นไปเผาศพหลวงปู่เสาร์มาจากวัดธาตุพนม ทีนี้ทุ่มเลย หมดภาระทุกอย่างแล้ว ทีนี้เราจะทุ่มเลย ฟาดนั่งหามรุ่งหามค่ำน่ะซิ ถึงมาได้ความแน่นอนตรงนี้ ทีนี้แน่ รู้ประจักษ์

เหมือนกับเป็นง่าม ปีนขึ้นไปหลุด ๆ ตก ปีนขึ้นไปพอจะเกาะนี้ หลุดตก บทเวลาจะไม่เสื่อม พอหลุดไปปั๊บลงกึ๊กตรงนี้เลย เอ้อ ทีนี้ไม่เสื่อม นั่นรู้คราวนี้ไม่เสื่อม ถึงยังไงก็ตามความเข็ดหลาบนี้ไม่จืดจางเลย ฟัดกันอยู่อย่างนั้นทั้ง ๆ ที่ก็แน่ใจว่าไม่เสื่อม แต่ก็ไม่ถอยเรื่องความระวัง

ตอนนั่งหามรุ่งหามค่ำได้คืนแรก ผมได้หลักเกณฑ์คืนแรกเลย พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ไปหาพ่อแม่ครูจารย์ ท่านคงจะเห็นกิริยามารยาท ไอ้บ้ามันขึ้นแล้ว เพราะกิริยาอย่างนั้นไม่เคยได้ใช้กับท่านนี่ กิริยาธรรมดาเรียบ ๆ ระหว่างครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ แต่วันมันเป็นมันเป็นเองนะ พลังใจมันคึกคักของมันผึง ๆ เลย มันพิจารณายังไรรู้ยังไงเห็นยังไง เห็นในหัวใจจริง ๆ นี่ก็อาจหาญล่ะซิ ท่านก็นั่งฟังเงียบ เราก็ผึง ๆ พอจบแล้วก็หมอบฟังท่าน

มันต้องอย่างนั้นซิ(ขึ้นเลยท่าน) เอ้า อัตภาพเดียวนี่มันไม่แตกถึง ๕ หนละ มันแตกหนเดียวเท่านั้น ทีนี้ได้หลักแล้ว เอ้า ฟาดมันลงไป โอ๊ย ทางนี้ก็เหมือนหมาตัวหนึ่ง พอท่านยุสักหน่อยทั้งจะกัดทั้งจะเห่า เว้นสองคืนสามคืนฟัดกัน ๆ แต่สำคัญที่ว่าคืนไหนก็คืนนั้นเลยไม่มีพลาด เป็นแต่เพียงว่าได้ช้ากับเร็ว บางคืนตั้ง ๖ ทุ่ม ตีหนึ่งตีสองถึงลงได้ก็มี แต่ลงได้ลงแดนอัศจรรย์ได้ทุกคืน เป็นแต่เพียงว่าช้ากับเร็ว

บางคืนไม่ทันสามสี่ชั่วโมงเลยเกาะติดปั๊บ ๆ พุ่งเลย เกาะติดปั๊บ ๆ พุ่งเลย ถ้าคืนอย่างนั้นถึงจะเวลาเท่ากันก็ตาม เรานั่งจนกระทั่งตลอดรุ่งเวลาเท่ากันก็ตาม ไม่ได้เหนื่อย ไม่ได้เจ็บปวดตามอวัยวะต่าง ๆ นี่มันอยู่กับจิต ถ้าวันไหนบอบช้ำมากคือจิตไม่ลงง่าย ๆ ฟัดกันเสียจนเต็มเหนี่ยว จนเราจะเป็นจะตายนี้ วันนั้นนอนจนสะดุ้ง กลางวี่กลางวันนอนสะดุ้ง ปวดหมดในตัวของเรา แต่มันไม่อยู่กับสะดุ้งนี่นะ อยู่กับจะเอาให้ได้ ก็หนักละซี

ได้ทุกคืนไม่มีพลาด ๙ คืน ๑๐ คืนผมนั่งตลอดรุ่ง เว้น ๒ คืนบ้าง ๓ คืนบ้าง บางทีถึง ๗ คืนก็มี..เว้น แต่เว้นทีไรก็ตามเถอะ เวลาเอาได้เลย เพราะจิตของเราเป็นเหมือนหินหักนี่นะ เอามาต่อกันไม่ได้ ถ้าลงได้หักปุ๊บลงไปแล้วต่อกันไม่ได้ ว่าเอาอย่างไรเอาอย่างนั้น จะมามีข้อแม้ไม่ได้เลย นิสัยผมเป็นอย่างนั้น เด็ดมากอยู่ ถ้าพูดถึงเรื่องเด็ดนี้เด็ดมาก ได้ทุกคืน

ทีนี้นั่งเวลาเท่ากันก็ตาม ถ้าคืนไหนบอบช้ำมากจิตลงได้ยาก วันนั้นจะบอบช้ำร่างกายมากที่สุดเลย ถ้าวันไหนจิตลงได้ง่ายแล้ว พอลุกขึ้นไปเลย ถ้าวันไหนบอบช้ำมาก ๆ ลุกไม่ได้นะ เวลาลุกจะต้องจับขาดึงออกเสียก่อน มันตายแล้วนี่ จับขาดึงออกดูจนกระทั่งเลือดลมค่อยเดิน ๆ แล้วกระดิกเท้าดู กระดิกดู ๆ แล้วคู้ดูเหยียดดู จึงลุกได้ไปได้

ผมเคยล้มแล้วนี่ เพราะมันตายไปหมดแล้วเหล่านี้ มันไม่เจ็บอะไร มันไปเลยเถิดพอแล้ว พอถึงเวลาลุก ลุกก็ล้มหงายเลย หงายแล้วลุกไม่ขึ้น อ้าว ทำไมเป็นอย่างนี้ นั่งคืนแรกลุกไม่ขึ้น เลยล้มทั้งหงาย ขาอยู่ยังไงมันก็อยู่อย่างนั้น ไม่กระดุกกระดิกอะไร มันตายหมดแล้ว พอรู้นั้นก็เป็นบทเรียน คราวหลังพอวันไหนมันลำบากมาก ๆ แล้ว วันนี้เอาละนะ พอถึงเวลาแล้วก็ได้จับขาดึงออก จับขานี้ดึงออก ๆ

ผมหนักมากจริง ๆ ที่ได้มาทุ่มเทให้หมู่เพื่อนฟังนี้ เรื่องสละชีวิตกับธรรมผมหนักมากจริง ๆ ฆ่ากิเลส ไม่มีงานใดที่จะหนักมากยิ่งกว่างานฆ่ากิเลสว่างั้นเลย ใครจะเก่งขนาดไหนก็ตาม ถ้ายังไม่ขึ้นเวทีต่อกรกับกิเลสเสียก่อน อย่ามาคุยว่างั้นเลย เพราะเราเคยฟัดมาเสียจนพอแล้ว จนจะเป็นจะตายด้วยกันจริง ๆ

สำคัญที่จิตไม่ถอย จิตเด็ด เพราะฉะนั้นถึงทำได้ทุกแบบ พิจารณาย้อนหลังทุกวันนี้ โอ้โห อย่างนั้นก็ทำได้ ๆ คิดย้อนหลังนะ คืออย่างทุกวันนี้ทำก็ตาย จะทำอย่างนั้นไม่ได้ ธาตุขันธ์ก็ไม่อำนวย ความมุ่งความหวังความอะไรอย่างนี้ก็ไม่มี ความมุ่งมั่นอะไรก็ไม่มี ความอยากไปสวรรค์นิพพานอะไรก็ไม่มี ว่าให้มันตรง ๆ อย่างนี้เลย ไม่อยากก็บอกว่าไม่อยาก แต่ก่อนเต็มหัวใจถึงพุ่ง ๆ เลย บทเวลาผ่านไปแล้วถึงได้มาพิจารณาถึงโลกสงสาร โอ้โห ๆ อย่างนั้น ใครจะไปได้ ขนาดนี้แล้วใครจะไปได้ คิดอโธอธังละ อย่างว่าละ สุดท้ายก็ถอดตรงนั้นเอา ถอดตรงนี้เอา ไปอย่างนั้น

โห กลมายาของกิเลสนี้หมดทั้งตัวเลย แย็บออกตรงไหนมีแต่เรื่องกลมายาของกิเลสหลอกธรรม ๆ กั้นธรรม กีดขวางธรรมทั้งนั้น ๆ เราไม่เห็นเราไม่รู้ พอถึงขั้นที่รู้แล้วมันทันกันหมด มันออกแง่ไหนมุมใดนี้ทันหมด ๆ ฆ่าได้หมด ๆ ถึงได้รู้ ปู๊โธ่ กิเลสขนาดนี้เชียวเหรอ ถ้าไม่เหนือฆ่าไม่ได้นะ ต้องเหนือมัน ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาที่ว่าเกรียงไกรที่สุดเลย คือกล้าหาญมากอยากพบกับกิเลส เอ้า ตัวไหนมาให้มา

เวลาอยากพบเป็นขั้นของมหาสติมหาปัญญา ไม่มีถอย มีแต่จะเอาให้ม้วนเสื่อทั้งหมด ๆ เลย คำว่ากลัวกิเลสนี้ไม่มีเลย มันกล้าหาญชาญชัยขนาดนั้น ถึงขั้นกล้าหาญกล้าหาญจริง ๆ พุ่ง ๆ แล้วกิเลสขาดสะบั้นอย่างรวดเร็วเสียด้วย สมกับสติปัญญาขั้นนี้จริง ๆ นี่ละจึงมาเล็งดูที่หมู่เพื่อนทำความพากความเพียร งุ่ม ๆ ง่าม ๆ ต้วม ๆ เตี้ยม ๆ โฮ้ เพราะเหตุนี้เอง เหมือนควายตัวหนึ่ง คิดไปละนะ เหมือนควายตัวหนึ่งนั่นแหละ เวลาเราอยู่ในขั้นควายเราก็อยู่นี่ เราเคยอยู่มาแล้ว ขั้นควายตัวหนึ่งเราก็เคยอยู่ ขั้นควายบ้างคนบ้างก็เคยอยู่ ถึงขั้นคนแล้วก็เอาละ ขั้นนักรบแล้วทีนี้ยิ่งไปใหญ่ ฟาดลงขาดสะบั้นไปเลย

วันนี้เหนื่อยมากผม เหนื่อยตลอดวันเลย แต่พอมาตอนเย็นนี้พอทนได้ไม่เหนื่อยมากนัก ฉันจังหันค่อยได้บ้าง ๓ วันนี่ ฉันจังหันหมู่เพื่อนอย่ามาถือสีถือสาผมนะ อย่าเอามาเป็นแบบเป็นฉบับไม่ได้ ผมทำตามธาตุตามขันธ์ของผมเท่านั้น ดูอะไรมาผมก็จัดฉันสำหรับผมเสีย อย่างนี้ถือเอาเป็นแบบเร็วนะ ถือเร็วนะ ถ้าอย่างต่ำ ๆ อย่างดูไม่ได้นี้มันชอบนะ พระนี่ชอบมาก เรื่องอ่อนละเร็ว

เพราะฉะนั้นพ่อแม่ครูจารย์ท่านถึงฟิตอยู่เรื่อย ๆ เราเล็งเห็นหมดเรื่องของท่าน อ๋อ ท่านเป็นอย่างนั้นเพราะเหตุนั้น ๆ เวลามาโดนเราเข้าก็รู้ อันนี้ก็ปล่อยตามเรื่องมันแล้ว มองดูอะไรมันพอฉันก็ดู ๆ แล้วฉันไปเสีย จะไปรอหมู่เพื่อนก็เสียไปอีกทางหนึ่ง มีส่วนได้ส่วนเสียของมันอยู่ จะไปรอหมู่เพื่อนอยู่นี้ อันไหนที่ควรจะฉันก็ไม่ฉัน ต่อไปธาตุก็คลายตัวของมันไปเสีย เลยฉันไม่ได้อีกแหละ อันไหนที่พอทันกันก็เอาเสีย จะหยิบฉันอะไรก็ฉันเสีย ๆ เวลากำลังร้อน ๆ กำลังทันกันอยู่ ธาตุขันธ์กับอันนี้รับกันอยู่ เอาเสียตอนนั้น ครั้นเวลามันปล่อยแล้วไม่ได้นะ นี่ละเราทำเราทำเพราะเหตุนี้เอง หมู่เพื่อนจึงจะมาเอาเป็นคติตัวอย่างไม่ได้ คติบ้า คตินรกอเวจี

อ่อนไม่เอาไหน ขนาดนั้นละ อ่อน ไม่เอาไหนไม่สนใจกับอะไร ปล่อยตามบุญตามกรรมของธาตุของขันธ์ไปอย่างนั้น มองเห็นผู้เห็นคนไม่อยากมองดูกระทั่งหน้า มองดูแล้วก็จะถามเราให้เราเสียเวลาพูด ไม่อยากพูด ขนาดนั้นนะ เวลามันปล่อยมันปล่อยหมดเลย ถือเป็นการรบกวนทั้งนั้น เราไม่ได้อยู่สะดวกสบาย

เอาละเลิกกัน


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก