กิเลสชอบแต่ความนิ่มนวลอ่อนหวาน
วันที่ 21 ตุลาคม 2538 เวลา 19:00 น. ความยาว 59.45 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๘

กิเลสชอบแต่ความนิ่มนวลอ่อนหวาน

เรื่องธรรมะของพระพุทธเจ้าถ้าให้พูดตามหลักธรรมจริง ๆ แล้วโลกแห่งกิเลสนี้ฟังไม่ได้นะ คือธรรมที่เทศน์ตีหัวกิเลส เพราะฉะนั้นโลกที่มีกิเลสจึงฟังไม่ได้ เพียงแย็บ ๆ ออกเท่านั้นก็ว่าหยาบว่าโลนว่าเผ็ดว่าร้อน เขาหารู้ไม่ว่าธรรมเหล่านี้คือเครื่องสังหารกิเลส เขาไม่รู้ก็หมายความว่ากิเลสไม่ยอมรับ ยอมรับแต่เรื่องของกิเลส นิ่มนวลอ่อนหวานไพเราะเพราะพริ้งเท่าไรเป็นเรื่องของกิเลส กิเลสชอบอย่างนั้น โลกอันนี้จึงนิ่มนวลอ่อนหวานในกิริยามารยาทการแสดงออกต่อกัน เป็นผิว ๆ เผิน ๆ ประดับร้าน แต่หลักความจริงแล้วในหัวใจดวงหนึ่ง ๆ นั้นมีแต่ฟืนแต่ไฟมันบีบมันเผาไหม้อยู่ตลอดเวลาสุมอยู่เช่นนั้น ไม่ว่าจิตดวงใดไม่เลือกว่าสัตว์ว่าบุคคลชาติชั้นวรรณะ เพราะกิเลสตัวนี้ไม่เลือก อยู่ได้ทุกดวงใจ ทำงานของตัวได้ทุกดวงใจ

เมื่อเป็นเช่นนั้นสัตว์โลกกับเราจึงไม่แปลกต่างกันอะไร ที่แตกต่างกันก็มีแต่กิริยาแห่งสมมุติที่นำมาใช้เป็นการพูดการจาที่ต่างกันกับสัตว์ บางสัตว์ก็ไม่ได้ยินเสียงเขาพูดว่ายังไงแหละทั้ง ๆ ที่เขาก็มีภาษาของเขาเหมือนกัน กิริยาเขาบอกกัน แต่มนุษย์เรานี้มีภาษาพูด ความทุกข์ร้อนที่เป็นประจำอยู่ในโลกดินแดนนี้ก็เพราะกิเลสอย่างเดียวเท่านั้นไม่มีเพราะอะไร ทีนี้โลกไม่เห็นนั่นซี มันสำคัญที่โลกไม่เห็นโลกไม่รู้ โลกถือว่าเป็นสมบัติของตัวเองไปเสียหมดเลย มันก็แยกกันไม่ออกกับสิ่งเหล่านี้ ส่วนพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่าน ท่านแยกออกแล้วยังสังหารด้วยทำลายด้วย ทำลายแล้วอยู่ในหัวใจดวงใดท่านก็แยกได้ทั้งนั้น แยกได้ ๆ อันไหนส่วนดีส่วนชั่วผิดถูก อันใดเป็นธรรมอันใดเป็นกิเลส ทีนี้เมื่อเวลาสรุปลงไปแล้วก็มีแต่กิเลสเต็มหัวใจ ๆ น่าสลดสังเวช

ธรรมะของพระพุทธเจ้าถ้าจะนำมาแสดงเป็นธรรมแก้กิเลสจริง ๆ ให้มุดให้มอดให้สงบงบเงียบลงไปจากใจนี้โลกฟังไม่ได้ เพราะโลกนี้เป็นโลกของกิเลสเป็นข้าศึกต่อธรรม จึงไม่ยอมฟังไม่ยอมรับ ด้วยเหตุนี้เราที่เป็นคลังแห่งกิเลสเวลาได้ยินเสียงอรรถเสียงธรรมพูดมีหนักเบามากน้อย ดุด่าว่ากล่าวเป็นกิริยาคำรามกิเลสหรือปราบปรามกิเลสแก้กิเลส หรือพูดตามเรื่องความจริงของมันก็ว่าดุด่าว่ากล่าว ว่าเผ็ดว่าร้อนว่าหยาบว่าโลนไปเสีย ล้วนแล้วตั้งแต่เป็นเรื่องของกิเลสต้านทานธรรมทั้งนั้น

เพราะฉะนั้นจึงว่าการเทศน์สอนโลกที่มีกิเลสนี้ พระพุทธเจ้าท่านจึงอิดหนาระอาใจ นอกจากเป็นราย ๆ มาที่ออกมาอยู่ปากคอกพอที่จะหลุดพ้นไปได้ ท่านก็ฉุดออก ๆ อันไหนที่อยู่ในคอกนอนจมอยู่กับกิเลสท่านก็สุดวิสัยจึงทอดอาลัย นี่ละที่ทรงท้อพระทัย ทรงท้อด้วยความรู้ความเห็นสัตว์ทั้งหลายจริง ๆ เห็นโทษของกิเลสจริง ๆ เห็นคุณค่าของธรรมซึ่งเป็นเครื่องถอดถอนกิเลสจริง ๆ ท่านแสดงออกทุกอย่างจริงทุกอย่าง เพราะท่านรู้ตามความจริงทั้งนั้น

ทีนี้โลกไม่รู้โลกไม่เห็น จะตำหนิเขาก็ไม่ได้นะเขาไม่รู้ เพราะเครื่องกล่อมอันนี้มันกล่อมสนิทมากที่สุดเลย ไม่ให้โลกรายใดรู้เลยว่ามันเป็นกิเลสว่ามันเป็นภัย มีแต่เป็นเราเป็นของเราเสียทั้งนั้น หมดทั้งตัวกิเลสเป็นเราหมดเป็นของเราหมด ทีนี้ก็ไม่ทราบจะไปแยกอะไรเพราะไม่รู้วิธีจะแยก ไม่รู้ว่าอะไรเป็นกิเลสอะไรเป็นธรรม มีแต่เราทั้งหมดเต็มตัว ๆ นี่มันแทรกขนาดนั้นเราไม่รู้ เวลาชำระไปโน้นถึงได้รู้กัน ไม่รู้นำคำพูดเหล่านี้มาแสดงโลกได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านนำสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วทั้งนั้นมาสอนโลก แต่โลกไม่รู้จึงทรงท้อพระทัย มันหนาขนาดนั้นแหละโลกเรา เฉพาะอย่างยิ่งก็โลกมนุษย์ โลกมนุษย์นี้หนามาก พูดไม่ยอมฟังเสียงธรรมเลย ถ้าเป็นเรื่องเสียงของกิเลสนี้ไม่พูดก็ฟัง เรื่องของกิเลสไม่จำเป็นต้องพูด ดันออกให้ทำดันออกให้พูดดันออกให้คิดต่าง ๆ ไปหมดตลอดถ้าเป็นเรื่องของกิเลสเป็นอย่างนั้น จึงเป็นที่ท้อใจ นี้เพียงเราตัวเท่าหนูนี้ก็เป็นนะ เป็นอยู่ในใจ ทั้งที่ก็พยายามทำประโยชน์แก่โลกอยู่นั่นแล

เวลามันปิดมันกั้นมันไม่รู้จริง ๆ ก็เหมือนกับใคร ๆ ทั้งหลายทั่วโลกดินแดน ไม่รู้ไม่ได้คิดในแง่ใดพอที่จะว่าอันนั้นดีอันนี้ชั่ว อันนั้นเป็นกิเลสอันนี้เป็นธรรมไม่รู้ มีแต่เรา ๆ ๆ ด้วยอำนาจของกิเลส เป็นเราเป็นของเรา เป็นเราทั้งตัวเลยก็ไม่รู้ ค่อยคลี่คลายออกไป ๆ เริ่มต้นตั้งแต่จิตมีความสงบ นี่เริ่มต้นรู้เรื่องบ้างว่าเรื่องธรรมเป็นยังไง พอจิตสงบก็เห็นโทษแห่งความฟุ้งซ่านวุ่นวายก่อกวนตัวเอง ถ้าไม่สงบไม่รู้ พอจิตสงบความสงบของจิตต่างกันกับความฟุ้งซ่าน ให้คุณต่างกัน ความฟุ้งซ่านวุ่นวายมีแต่โทษแต่กรรม มีแต่ความทุกข์ความทรมาน เพียงเข้าขั้นสมาธินี้ก็รู้ เริ่มเห็นแล้วเริ่มพอใจ ผู้มีจิตสงบย่อมเริ่มพอใจในความเพียร ความเพียรก็เพื่อชำระกิเลสอันเป็นตัวโทษตัวภัยนั้นแลจะเป็นอะไรไป เริ่มพอใจ ๆ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีผู้แนะนำสั่งสอนทางด้านปัญญาก็พิจารณาคลี่คลายปัญญา ตอนที่จิตสงบแนบแน่นดีนี้กิเลสก็เข้าสร้างบ้านสร้างเรือนอยู่ในนั้นไม่ให้รู้ตัวนะ

คำว่าติดสมาธิก็คือติดกิเลสนั่นเองจะไปติดอะไร กิเลสแฝงธรรมแฝงอย่างนั้น ให้เห็นอย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ เราจะว่าแต่สมาธิเป็นธรรมอย่างเดียว ๆ ไม่ได้ ถ้าเป็นธรรมอย่างเดียวสมาธิจะก้าวตัวเองออกไปโดยลำดับจนถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น เรื่องปัญญาไม่ต้องถามจะพุ่งใส่กันเลย แต่นี้ไม่ไปนะ ติดอยู่ในนั้น นั่นละกิเลสแทรกธรรมแทรกให้ติดให้จม เพราะความสุขโลกามิสอันนี้เรื่องความสุขเพียงสมาธินี้เป็นโลกเต็มตัวอยู่ในนั้น เพียงสงบกระแสของจิตเข้ามาได้ชั่วระยะกาลเท่านั้นก็ว่าเป็นความสุข ก็ติดอยู่ในนั้นเสีย กิเลสสร้างบ้านสร้างเรือนอยู่ในนั้นไม่ให้รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีปัญญา

ขั้นปัญญานี้เป็นขั้นสำคัญมากทีเดียว ให้เห็นประจักษ์ใจแล้วก็พูดได้เองนะ มันแจ่มมันแจ้งทุกอย่าง เช่นสมาธิ ตั้งแต่เริ่มเป็นสมาธิขึ้นมาก็รู้ชัดๆ ในเจ้าของ จนกระทั่งเป็นสมาธิตายตัว หมดภูมิสมาธิว่างั้นเถอะ ไม่มีอะไรที่จะให้ก้าวกว่าสมาธิขึ้นไป เหมือนกับน้ำเต็มแก้วอยู่ในนั้นพอ จะทำยังไงให้เลยนั้นไม่เลย นี่ขั้นของสมาธิเหมือนน้ำเต็มแก้วแล้วพอ อยู่เท่านั้นอยู่เพียงแค่นั้น ปัญญามาเปิดซิ มาเปิดปากแก้วให้น้ำไหลออกละซิ น้ำสมาธิไหลออกทางปัญญาค่อยก้าวไปเรื่อย

พิจารณาเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่อง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา คำว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้จะเริ่มงานละนะที่นี่ นี่ละงานที่จะออกจากกองทุกข์ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้เป็นงานของปัญญา ทีแรกก็เป็นงานของสมถะ บริกรรมอันนี้ก่อน พอจากนี้แล้วก็เป็นงานของวิปัสสนา คลี่คลายด้วยปัญญาโดยถือเอาสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานแห่งการพิจารณาเป็นงาน พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจแล้วก็ซึมซาบเข้าไป ๆ หนังหุ้มห่อโดยรอบ ออกจากหนังโดยรอบเข้าไปข้างในเป็นยังไง ก็เห็นแล้วนี่ปัญญา คลี่คลายดู ๆ ตามหลักความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ไม่ไปตามกิเลสว่าเป็นของสวยของงาม เพราะเราคลี่หาความจริง ดูผมงามที่ตรงไหน แน่ะเริ่มเห็นแล้ว ขน เล็บ ฟัน หนัง งามที่ตรงไหน จีรังถาวรที่ตรงไหน สะอาดสะอ้านที่ตรงไหน เริ่มเห็นความจริงแล้ว นี่ละงานของปัญญาเริ่มคลี่คลาย

งาน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้จึงเป็นงานสำคัญสำหรับผู้ที่จะรื้อภพรื้อชาติรื้อวัฏสงสาร งานนี้เป็นงานชิ้นเอก ขึ้นนี้เลย เบื้องต้นก็เป็นอารมณ์ของสมถะ พอสมถะมีกำลังแล้วสิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องของปัญญาไป...พิจารณา เรื่องปัญญาคลี่คลายดูจากหนังเข้าไปเนื้อ เอ็น กระดูก เข้าไปตับไตไส้พุง มีแต่เรื่องของสกปรกโสมมเต็มเนื้อเต็มตัว เราก็มาเสกสรรปั้นยอตามกิเลสมันหลอกลวงว่าเป็นของสวยของงาม ว่าเป็นเราเป็นของเรา ติดกันอยู่นั้น ๆ ใครไปแตะไม่ได้ มีแต่จะเสริม สกปรกขนาดไหนก็เอาอะไรมาชะมาล้างให้มันสะอาด ส่งเสริม ปฏิกูลโสโครกขนาดไหนก็เอาอะไรมาประมาพรมเข้าไปให้มีกลิ่นหอมหวนชวนชม มีแต่สิ่งที่ส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น

ทีนี้เวลาพิจารณาตามความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้มันหมดความหมายไป ดูเห็นแต่หลักธรรมชาติ อาการ ๓๒ ภายในจิตใจของเรานี้ ดูก็เห็นอย่างนี้ตามหลักความจริงเป็นลำดับลำดาแล้ว อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นที่หนักอึ้งอยู่ด้วยการยึดถือกายนี้ก็ค่อยเบาลง ๆ ปัญญาก็ค่อยซึ้ง ปัญญาซึ้งความสุขซึ้งไปด้วยกันนะ คืออุปาทานเบาออกไปเท่าไรความสุขก็ยิ่งซึ้งเข้าไปเรื่อย ๆ พิจารณาเรื่อย ๆ ขั้นนี้เป็นขั้นจะออก ขั้นสมาธิเป็นขั้นพักงาน เป็นขั้นหนุนกำลังปัญญา สั่งสมกำลังเพื่อสมาธิไม่ให้จิตฟุ้งซ่านวุ่นวายไปกับรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ให้อิ่มอารมณ์เหล่านี้แล้วพาทำงาน ทำงานก็เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ตลอดอาการ ๓๒ ดูในนี้

ดูข้างนอกก็ดูแบบเดียวกัน ข้างนอกก็เป็นมรรคข้างในก็เป็นมรรค ดูแบบเดียวกันดูเพื่อถอดเพื่อถอนดูเพื่อหาความจริง ดูเข้าไปโดยลำดับลำดาก็ค่อยซึ้งเข้าไป ๆ สุดท้ายอุปาทานก็หดเข้ามา ๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนไปแล้วในความรู้สึก แต่ก่อนเป็นเราเต็มตัว เป็นของเราเต็มตัว ครั้นพิจารณาเข้าถึงความจริงมากน้อยเพียงไร สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นขอนซุงไปแล้ว ขอนซุงหรือถังขยะดังที่เคยพูดนั้น มันไม่เพียงขอนซุง ขอนซุงไม่สกปรก อันนี้มันท่อนปฏิกูลถังขยะปฏิกูลโสโครก ก็ขยะแขยงภายในจิตใจ ความขยะแขยงภายในจิตใจด้วยปัญญานี้ทำให้ใจเบาหวิว ๆ ๆ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นถอยออก ๆ นั่นการพิจารณา นี่ราคะตัณหาอยู่ตรงนี้นะ อยู่ที่กายนี้

ราคะตัณหาที่พาดีดพาดิ้นบีบบี้สีไฟโลกให้เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสาย จนเหมือนฟ้าดินถล่ม ก็เพราะอำนาจแห่งราคะตัณหานี้มันรุนแรง เนื่องจากไม่มีใครพิจารณา มีแต่ความส่งเสริมมัน ส่งเสริมเท่าไรก็เหมือนกับไสเชื้อเข้าหาไฟ มันก็ไหม้เข้าไป ๆ เรื่อย จิตใจมีแต่ความรุ่มร้อน ใครอยู่ที่ไหนก็ประดับหน้าร้านกิริยาท่าทางอันดีงามยิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน แต่ภายในนั้นเป็นไฟไหม้กองแกลบ สุมอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เพราะกิเลสตัวนี้ทำงานอย่างนั้นทำอย่างอื่นไม่ได้ ความโลภก็ทำงานเพื่อโลภ ๆ ความโกรธก็สุม อย่างน้อยสุม ไม่พอใจในสิ่งใดก็โกรธ มีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น มันเป็นไฟด้วยกัน

ราคะตัณหาก็เหมือนกัน ดีดดิ้นเสาะแสวงหาด้วยอำนาจของไฟราคะนี้มันเผา อยู่ไม่ได้ต้องดีดต้องดิ้นเสาะแสวงหา ทั้งตัวผู้ตัวเมียเป็นบ้ากันไปไม่ได้เห็นความจริง มีแต่ความจอมปลอมทั้งนั้นออกทำงาน ทีนี้เวลาพิจารณาเข้าไปชัดเจนเข้าไปเรื่อย ๆ ตัวนี้ก็ค่อยเบาลง ๆ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นเบาลง ความเห็นซึ้งภายในร่างกายนี้นับวันซึ้งเข้าไปโดยลำดับลำดา นี่ผู้ที่จะถอดถอนราคะตัณหาเพื่อรื้อวัฏฏะ ตัวนี้เป็นตัวรุนแรงตัวสำคัญมาก

พิจารณาร่างกายก็คือจะตีหัวราคะตัณหานั้นเองจะเป็นอะไรไป มันทำงานของมันอยู่นี่ ตีเข้าไปตรงนั้นมันก็ถูก พอสว่างกระจ่างแจ้งเห็นชัดเจนตามเป็นจริงแล้ว ทีนี้อุปาทานออกหมด ถอนปึ๋งเลยในกายนี้ เมื่อถอนปึ๋งในกายเราได้ ถอนปึ๋งในกายเขาได้ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ถอนออกไปพร้อม ๆ กันกับการถอนกายเราถอนกายเขาไปพร้อม ๆ กัน ไม่ยึดเราไม่ยึดเขาเหมือนกัน ไม่ติดในรูปในเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัส ของเขากับของเราเป็นอันเดียวกัน นี่วิ่งประสานกัน นี่เรียกว่าปัญญา วิ่งประสานกันเข้าไปเรื่อย ๆ สุดท้ายก็หมด เมื่ออุปาทานหมดแล้วการพิจารณาร่างกายก็หมด ประโยคใหญ่หมด ประโยคที่จะประสานกันกับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้มี มีก็มีเล็ก ๆ น้อย ๆ มีพอเป็นเครื่องประสานสัมผัสกันไปเท่านั้น ไม่ใช่เป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ อย่างที่เราเคยพิจารณาแต่ก่อน ไม่ได้พิจารณาเป็นเนื้อเป็นหนังจริง ๆ

นี่ละกิเลสที่มากองอยู่ในร่างกายนี้ ออกรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส พอตีอันนี้แตกแล้ว รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ก็ไม่เป็นกิเลส มันกลายเป็นหลักธรรมชาติความจริงอันหนึ่ง ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเรานี้ก็ไม่เป็นตัวกิเลส เพราะกิเลสอวิชชาครอบงำอยู่ ก็กลายเป็นหลักความจริงอันหนึ่ง ๆ ไป หาดูกิเลสจริง ๆ ในรูปในเสียงในกลิ่นในรสไม่มี ความโลภไม่มีในรูปในเสียงในกลิ่นในรส มันมีอยู่ที่หัวใจ มาดูตัวของเราเอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ว่าเป็นกิเลสก็ไม่เป็น ตาเป็นตา หูเป็นหู พระอรหันต์ท่านก็มีสิ่งเหล่านี้มันไม่เป็นกิเลส ไล่เข้ามา ๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย เข้ามา อะไรเป็นกิเลส ๆ อะไรเป็นราคะตัณหามันไม่มี ตาไม่เป็นราคะตัณหา หู จมูก ลิ้น กายไม่เป็นราคะตัณหา มันเป็นอยู่ที่ใจอย่างเดียว แน่ะมันไล่เข้าไปต้อนเข้าไปนั่น

นั่นละที่ว่าเหมือนเราตากแห มองไปไหนก็ไม่เห็นชัดเจนเพราะแหเราตากกางเอาไว้ พอดึงจอมแหเข้ามาดึงเข้ามา ๆ ทีนี้ก็ไล่ต้อนกิเลสเข้ามาแบบเดียวกัน เข้ามาก็มาเป็นก้อน เป็นก้อนแหแล้วเป็นกองแหแล้ว ทีนี้พอไล่ต้อนกิเลสออกมาจากรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ไล่ต้อนออกมาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย เหล่านี้มันก็เข้าไปเป็นก้อน คือก้อนความรู้ก้อนอวิชชารวมตัวไม่มีที่หากิน ถูกตีถูกต้อนไปหมดทุกอย่างแล้วด้วยปัญญา ๆ นี่แหละอันนี้สำคัญ พิจารณาอย่างนั้นซิ

ปัญญานี้จะหมุนตัวเป็นเกลียวมาตั้งแต่ขั้นร่างกายอสุภะอสุภังนะ เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ เรียกว่าภาวนามยปัญญา หมุนมาเรื่อย เพราะฉะนั้นจึงฆ่ากิเลสได้ ปัญญาประเภทนี้เป็นปัญญาที่ฆ่ากิเลสโดยตรงเรื่อย ๆ หมุนเข้าไป ๆ แต่ปัญญาขั้นราคะตัณหานี้รุนแรง หากเป็นโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง การพิจารณาเหมือนฟ้าดินถล่มพิจารณาร่างกายตัวเองนี้ จะพิจารณาเรื่องใดก็ตามเมื่อเกี่ยวกับราคะแล้วจะรุนแรงทั้งนั้น พออันนี้ผ่านไปแล้ว สิ้นสุดยุติกันไปแล้ว ปัญญาขั้นนี้ก็ยุติตัวเองโดยหลักธรรมชาติไม่ต้องบีบบังคับอะไรเลย กลายเป็นปัญญาน้ำซับน้ำซึมไหลรินอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน ประสานกันทั้งร่างกาย ประสานกันทั้งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไล่ต้อนเข้าสู่จิต ๆ สุดท้ายก็ไปรวมอยู่ที่จิตแห่งเดียว

เวทนาเกิดก็รู้มันก็ดับ เวทนาไม่ใช่กิเลส แน่ะมันไล่เข้าไปอย่างนั้นนะ สัญญาไม่ใช่กิเลส สังขารไม่ใช่กิเลส วิญญาณไม่ใช่กิเลส คืออันนี้เป็นเครื่องมือของกิเลสทางเดินของกิเลสต่างหาก ไล่เข้าไปจนกระทั่งถึงจิต กิเลสมันอยู่ที่จิต สติปัญญาจะรวมตัวเข้านั่นหมดไม่ไปที่ไหน จะพิจารณาอะไรไม่ยอม เพราะไล่เข้าไปแล้วไปสู่จุดรวมแล้ว นั่นท่านเรียกว่าอวิชชารวมตัว ไม่ได้แตกแขนงไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย รูป เสียง กลิ่น รส ซ่านไปทั่วแดนโลกธาตุเหมือนแต่ก่อนแล้ว แต่ก่อนเป็นบริวารของมันหมด มันเที่ยวหากินครอบโลกธาตุอวิชชา พอถูกไล่ต้อนเข้ามาด้วยปัญญาแล้วมันก็ไหลเข้าไป ๆ มันจะถึงจุดยุติของมันแหละ

ถึงจุดสิ้นซากของอวิชชาของภพของชาติ ไล่เข้าไป ๆ เข้าไปสู่จุดนั้น จิตกับอวิชชาเป็นอันเดียวกัน คืออวิชชากลืนจิตเอาไว้ไม่ให้มองเห็นจิตเลย ให้เห็นแต่อวิชชาอย่างเดียว สง่าผ่าเผย เป็นแดนอัศจรรย์อยู่ที่นั่นหมด นี่ละกิเลสตัวนี้ละเอียดมาก เราอย่าเห็นว่ากิเลสตัวใดละเอียดเลย เราวาดภาพมันเป็นเสือโคร่งเสือเหลืองเสือดาวเป็นยักษ์เป็นผีเป็นมาร ทีนี้เวลาไปเจอกันแล้วตัวกล่อมที่สุดคือตัวนี้ กล่อมขั้นสุดท้าย

ยอดสมุทัยยอดกิเลสก็คืออวิชชา เพราะฉะนั้นจึงแสดงลวดลายเต็มที่ แม้มหาสติมหาปัญญาก็ยังหลงกลมันจนได้แต่หลงไม่นาน เพราะคำว่ามหาสติมหาปัญญาย่อมไม่นอนใจ พิจารณาจ่อเข้าไป มันไม่มีอะไรพิจารณาแล้วนี่ ถ้าว่าสังขาร วิญญาณนี้มันก็เกิดพับดับพร้อม ๆ เป็นกิริยาของจิตเท่านั้น เป็นกิริยาของกิเลสที่มาแสดงเฉย ๆ กิเลสจริง ๆ อยู่ในใจ มันก็อยู่ในใจ ๆ นั้น ไล่เข้าไปตรงนั้น พอถึงจุดแล้วมันก็อิ่มตัวได้เหมือนกัน ความเลิศความเลอของอวิชชานี่มันก็อิ่มตัวได้เหมือนกัน อิ่มตัวด้วยปัญญา พิจารณาแล้วก็เห็นความเคลื่อนไหวของกันและกันจนได้ ๆ สุดท้ายก็จ่อสติปัญญาปึ๋งเข้าไปตรงนั้น เห็นว่าสิ่งนี้เป็นภัย เห็นว่าสิ่งนี้ควรพิจารณา เห็นว่าสิ่งนี้เป็นอะไร

สิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้นเหล่านี้เห็นมาหมดแล้วรู้มาหมดแล้ว แต่อันนี้เป็นอะไร นี่จ่อแล้วจ่อเป้าหมายแล้ว พิจารณาด้วยปัญญา จ่อเข้าไปนั้นอวิชชาก็พังทลาย เมื่ออวิชชาพังทลายจิตไม่มีอะไรเป็นเครื่องหุ้มห่อแล้วเป็นยังไงที่นี่ นั่นละจิตดวงประเสริฐเลิศเลอถึงขนาดที่ว่ามาเห็นอวิชชาแดนอัศจรรย์แห่งสมมุติเป็นกองขี้ควาย ต่างกันมากไหมพิจารณาซิ กองขี้ควายนี่ละมันกล่อมสัตว์โลกกล่อมนักภาวนาของเรา ถึงขั้นนี้แล้วต้องติดเสียก่อน มันอ้อยอิ่งมันสง่าผ่าเผยพูดไม่ถูก

เพลงของอวิชชานี้แหลมคมมาก เพลงสุดท้ายแหลมคมเอามากจริง ๆ แต่ก็สู้มหาสติมหาปัญญาไม่ได้ ขาดสะบั้นลงไปแล้วเลยกลับกลายเป็นกองขี้ควายทั้งกองไปแล้ว นั่นเป็นอย่างนั้น นั่นละท่านเห็นโทษกิเลสท่านเห็นอย่างนั้นนี่นะเห็นด้วยใจ เห็นคุณค่าของธรรมที่เลยกองขี้ควายไปแล้วนั้นคืออะไร นั่นคือธรรมชาติที่พูดไม่ถูกแล้ว อัศจรรย์เลยเขตเลยแดนเลยสมมุติอะไรไปทั้งสิ้น คาดไม่ถูกถ้าไม่เป็น เป็นเสียอย่างเดียวเท่านั้นเป็น สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศกังวานขึ้นหายสงสัยทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าอยู่ในทิศใดแดนใด มารวมตัวเป็นธรรมชาติอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่ภายในจิตแล้วสงสัยพระพุทธเจ้าที่ไหน มันลงในจุดนี้เองโดยหลักธรรมชาติ นี่ละท่านว่าสังหารภพสังหารชาติ

คือตัวอวิชชานี้แหละตัวก่อให้เกิดภพเกิดชาติมันหมุน เวลาเราพิจารณารู้นี่มันมีเงื่อนต่อ ๆ อยู่ตรงไหน สติปัญญาติดตามเข้าไป ๆ ขาดสะบั้นเข้าไปดังที่ว่านี่ รวมเข้าไปจนกระทั่งถึงจุดมัน จุดรากเหง้าเค้ามูลของความเกิดแก่เจ็บตายก็อยู่ที่อวิชชา พอเข้าไปพังทลายรากแก้วมันเสร็จแล้วก็หมด มีอะไรมาเป็นเงื่อนต่อของใจไม่มีเพราะถูกทำลายหมดแล้ว ก็กลายเป็น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ จนกระทั่ง นิโรโธ โหติ ไม่มีอะไรเหลือแล้วดับพร้อมกันหมดเลย

นี่ละพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา ประกาศมรรคผลนิพพานท้าทายอยู่ตลอดเวลา สำหรับผู้ปฏิบัติหาความจริงแล้วเจอความจริงจนได้ เพราะความจอมปลอมมันมีมาดั้งเดิม ความจริงก็มีมาดั้งเดิม เป็นคู่แข่งคู่เคียงกันมาอย่างนี้ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติเถิด ถ้าไม่ตั้งใจแล้วจะจมจริง ๆ นะ เวลานี้โลกามิสเจริญมากทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นกิเลสทั้งนั้นนี่ เวลาจิตเราเป็นกิเลสสิ่งเหล่านี้เป็นกิเลสทั้งนั้นแหละ เราอย่าดีอกดีใจว่าเราได้สิ่งนั้นได้สิ่งนี้นะ เราได้กิเลสนั้นแหละ เพราะตัวเราใจเราเป็นกิเลส สิ่งเหล่านั้นมากิเลสมันกลืนเอา ๆ ให้เป็นเรื่องกิเลสไปตาม ๆ กันหมดเสีย ทีนี้เราก็ภูมิใจกับสิ่งเหล่านั้นก็ภูมิใจกับกิเลสไป ธรรมเลยเหินห่างไปเรื่อย ๆ ตายทิ้งเปล่า ๆ นะ ให้พากันระมัดระวังให้มาก

วัดนี้ผมจึงไม่ให้เกี่ยวกับเรื่องการเงินการทอง เพราะโทษของมันหนักมากอันนี้ ถ้าลงได้อันนี้เกาะติดแล้วตายเลย ไม่มีทางออกไม่สนใจจะออก โลกทั้งหลายติดอันนี้ทั้งนั้น โลกามิสตัวสำคัญจริง ๆ ก็คือตัวนี้เองจึงต้องระมัดระวัง หากมีความจำเป็นที่เราจะต้องใช้สอยมันก็ดังที่ปฏิบัติมานี้ มันเป็นมันเราเป็นเรานี่ไม่ได้ไปคละเคล้ากัน เอาใช้อันใดที่จะเป็นประโยชน์แก่โลกใดบ้าง แก่ผู้หนึ่งผู้ใดบ้างหรือแก่สมาคมใดบ้างทั่วโลกดินแดน เราก็ไปทำให้เป็นประโยชน์เสียเท่านั้น ส่วนเราไม่มีอะไรกับมัน ไม่ติดแล้วก็เป็นอย่างนั้น....สบาย เหมือนกับฝ่ามือของเราไม่มีแผล เอายาพิษมาวางบนฝ่ามือก็ไม่เป็นพิษ ถ้าฝ่ามือมีแผลนั้นเอายาพิษมาวางไม่ได้นะซึมซาบทันที

ยาพิษคือกิเลสนั่นแหละอยู่ในหัวใจ ใจมีแผลสิ่งใดเข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ก็เป็นพิษไปตาม ๆ กันหมด เมื่อใจไม่มีแผลแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นภัย สิ่งในโลกนี้หมดความเป็นภัยตั้งแต่กิเลสขาดสะบั้นลงไป คือกิเลสอวิชชาขาดสะบั้นลงไป นั่นละภัยหมด ขาดสะบั้นเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรเข้าไปติดต่อเกี่ยวข้องกับจิตของพระอรหันต์ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติตั้งแต่ขณะที่บรรลุธรรมปึ๋งขึ้นมาเท่านั้น ขาดสะบั้นไปหมดไม่มีเงื่อนต่อแล้ว จากนั้นไปก็เป็นอันว่าอนันตกาล นิพพานเที่ยง

กิเลสมันหมุนมันเวียนไม่พาให้เที่ยง กฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปบีบบังคับอยู่ในหัวใจ หัวใจก็เป็นฟุตบอลไป พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปไม่มีอะไรไปหมุนไปเตะมันก็เที่ยงละซิ ท่านว่านิพพานเที่ยงดูหัวใจแล้วก็พอกับนิพพาน ดูนี้แล้วหายสงสัยในนิพพาน ถ้าดูนิพพานแล้วไม่หายสงสัยในจิตนะ คือดูนิพพานดูด้วยความคาดความหมายนี่ ถ้าดูจิตใจนี้ดูด้วยหลักความจริงที่เป็นขึ้นมาในหัวใจเจ้าของแล้วก็พอกันกับดูนิพพาน อยู่ที่ไหนก็หายสงสัยหมด เพราะตัวนี้หมดสงสัยแล้ว

ตลาดแห่งมรรคผลนิพพานก็คือพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรา ถูกทอดทิ้งมานานแสนนาน เห็นเป็นของเล่นไปหมดเวลานี้ นี่ซิที่ผมสลดสังเวช เพราะฉะนั้นเทศน์ถึงแผดบ้าง เวลาที่ควรแผดควรเด็ดเผ็ดร้อนเข้มข้นเอาบ้าง ไม่เห็นโทษจริง ๆ นะชาวพุทธเราจะทำยังไง ยิ่งสลดสังเวชขึ้นไป มันมีแต่เรื่องของกิเลสเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มหัวใจคน กิริยามารยาทการแสดงออกมีแต่กิเลสควบคุมเป็นนักโทษตลอดเวลา หาธรรมะยิบแย็บ ๆ ออกมาพอจะเห็นโทษของกิเลสบ้างนี้ไม่มี อันนี้ที่น่าสลดสังเวช

เฒ่าแก่มาเท่าไรยิ่งคิดมากถ้าว่าคิด คิดมากกว่าแต่ก่อน เป็นห่วงเป็นใยสัตว์โลกสงสารงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมเหมือนเต่าเหมือนปลาเรานี่นะ แต่เรานั้นต่างคนต่างภูมิใจ เพราะอะไร ความงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมก็คือกิเลสพาให้เป็นทำให้เป็นอย่างนั้น ความภูมิใจเจ้าของก็คือกิเลสพาให้ภูมิใจนั่นจะว่าไง มีแต่กิเลสทั้งนั้นไม่มีธรรมเข้าแทรกจะไปรู้เนื้อรู้ตัวได้ยังไงมนุษย์เรา ว่าอย่างนี้กิเลสมันพอใจเมื่อไร ว่างุ่มง่ามต้วมเตี้ยมโง่เง่าเต่าตุ่น แล้วภูมิใจในความโง่เง่าเต่าตุ่นของตนนี้กิเลสมันพอใจฟังเมื่อไร เพราะเป็นเรื่องของกิเลสต้องคัดค้านธรรม

ถ้าความจริงแล้วเป็นอย่างนั้น ทำยังไงจะฉลาด แน่ะมีที่แก้กัน มันรู้โทษแล้วนี่เรื่องงุ่มง่ามต้วมเตี้ยม พระพุทธเจ้างุ่มง่ามต้วมเตี้ยมอย่างเรานี่เหรอ พระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมอย่างเรานี่เหรอ แล้วท่านทรงธรรมประเภทใดไว้ พวกเรานี่ทรงอะไรไว้ เอามาเทียบกันปั๊บ ๆ มันก็ดีดละซิจิต นั่นท่านเทศน์เพื่อแก้กิเลสท่านเทศน์อย่างนั้นนี่ แต่พวกเรานี่ฟังเพื่อกิเลส ๆ อันนี้ละเข้ากันไม่ได้

โห อ่อนใจจริง ๆ ถ้าจะพูดตามเรื่องความรู้ความเห็นความเป็นของใจนี้ เราพูดนี้โลกฟังไม่ได้จริง ๆ นี่เฒ่าแก่มานี้ผมก็เปิดบ้าง แต่ก่อนก็เฉยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ หูหนวกตาบอดไป แต่นี้ผู้ที่พอจะได้รู้ได้เห็นบ้างมีอยู่ก็อดไม่ได้ก็ต้องแย็บออกมา ถ้าหากว่าเป็นแบบเดียวกันหมดก็จะพูดไปอะไร เขาหลับตาเราก็หลับตาไปเสียก็เท่านั้นเองไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร มันเป็นไอ.ซี.ยู เสียหมด ไม่เห็นกับหยูกกับยากับหมออะไร แต่เรื่องของแสลงนั้นเอาวันยังค่ำ เป็นตายถึงไหนถึงกัน

นี่ซิเวลานี้กิเลสประเภทนี้ละมันแบบถึงไหนถึงกัน ถ้าเป็นธรรมแล้วเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ถ้าทำอะไรก็มีแต่ประเพณี ๆ ให้กิเลสเข้าไปถือบังเหียนไปบีบบังคับให้เป็นไปหมด สิ่งเหล่านี้มีแต่เรื่องกิเลสทำนะ เรามองดูแล้ว แหม กิเลสมันควบคุมตลอด ๆ อันนี้ที่น่าทุเรศจริง ๆ นะ เราไม่รู้.เหมือนควายตัวหนึ่ง ๆ มีแต่กิเลสเข้าไปควบคุม ๆ เวลาจิตเปิดออกปัญญาเปิดออกละซิมันเห็นกันถึงได้เอามาพูดนี่ ไม่เห็นพูดได้เหรอ เวลามันเปิดออก ๆ เปิดเสียจนหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว ทำไมจะไม่เต็มหัวใจล่ะความรู้น่ะ มันเต็มหัวใจละซิ

อยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็น กรรมฐานค่อยกุดด้วนเข้ามา ๆ โลกามิสนี่ละอันหนึ่งสำคัญมากผมละวิตกวิจารณ์ ไม่รู้จักวิธีปฏิบัติตัวเอง จึงได้เข้มงวดกวดขันกับหมู่กับเพื่อน นิมนต์ทางไหนก็ไม่ให้ไปเพื่อให้สั่งสมอรรถธรรม ตักตวงเอาอรรถเอาธรรมเต็มเม็ดเต็มหน่วย งานการก็ไม่ให้มีจะไปหาที่ไหน ให้ความสะดวกแก่เพื่อนฝูงลูกศิษย์ลูกหาขนาดนี้ อยากคุยเสียบ้างว่ะ อะไร ๆ ก็ไม่ให้ยุ่งเลย ให้ดูตั้งแต่หัวใจมันเป็นยังไง หัวใจนี่เป็นตัวภัยที่สุดอยู่ที่หัวใจนะ เราอย่าเข้าใจว่าอยู่กับดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมที่ไหนนะ ไม่มี สามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีอะไรเป็นภัย มีแต่กิเลสกับหัวใจบีบบี้สีไฟกันอยู่เท่านั้น มันเป็นภัยอยู่ตรงนั้น ทุกข์อยู่ตรงนั้น มหันตทุกข์ก็อยู่ตรงนั้น ดูลงตรงนั้นซิ เมื่อเห็นนี้แล้วก็จ้าเลย

จิตดวงเก่านะเวลาถูกกิเลสปิดบังอยู่เป็นอย่างหนึ่งนะ พอกิเลสพังลงไปหมดแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่งนะ ไม่เหมือนที่เคยเป็นมาแต่ก่อน นั่นซิพระพุทธเจ้าเวลาโง่ท่านก็มีตอนยังเป็นปุถุชนคนธรรมดา เวลาท่านฉลาดแหลมคมจริง ๆ เป็นจอมศาสดาท่านก็มีในพระทัยในใจของท่านเอง นั่น ใจดวงนั้นแหละพลิกออกมาถึงสว่าง ก็เหมือนกับเวลากลางคืนนี่เหมือนจะไม่แจ้งไม่สว่าง นี่เป็นวาระของกลางคืน เหมือนจิตที่อยู่ในวาระของกิเลสครอบงำ พอตอนเช้าจ้าขึ้นมาก็สว่างของมันเอง นี่เวลาจิตของเราชำระได้ก็จ้าขึ้นมา มันก็เป็นจิตดวงใหม่ขึ้นมาในจิตดวงเก่านั้นแหละ เห็นละที่นี่เห็นหมด อะไร ๆ เห็นหมด เราจึงได้สนุกดูกิเลส ถ้าว่าสนุกดู แต่จะสนุกดูยังไงคนหนึ่งทนทุกข์ทรมานจะเป็นจะตายไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลย เรายังจะไปสนุกดูอยู่เหรอนอกจากเมตตาสงสาร ควรสงเคราะห์ได้แง่ไหนก็สงเคราะห์ไป สงเคราะห์ไม่ได้ก็จำเป็นจำใจ

ขอให้เร่งนะหมู่เพื่อนนะ แดนนิพพานนั้นเป็นแดนที่หลุดพ้นทุกสิ่งทุกอย่างจากความกดขี่บังคับทั้งมวล เอาให้ได้ภายในจิตใจ สิ่งเหล่านี้อย่างโลกเขาอยู่นั่นละเป็นยังไง เขาอยู่กันยังไง เราอยู่แบบเขาก็เป็นแบบโลกเขาไม่เห็นมีผิดแปลกอะไรกัน มีแต่ให้กิเลสมาขยำย่ำยีหัวใจให้เป็นฟืนเป็นไฟ หัวโล้น ๆ โกนคิ้วด้วยครองผ้าเหลืองด้วย แต่เอาไฟกิเลสมาเผาหัวใจนี้แหมมันเสียเกียรตินะ ให้ธรรมะเป็นตปธรรมเผากิเลสออกจากหัวใจให้มันสง่างามจ้า ๆ ไปที่ไหนจ้า ๆ อยู่ไหนจ้าหมด พอตัว ๆ อยู่ไหนพอตัว ไม่มีอะไรจะเอามาเพิ่มเติมได้อีก จะเอาอะไรออกอีกก็ไม่มี เรียกว่าความพอดีอยู่ที่ความพอได้แก่จิตที่บริสุทธิ์ หาที่ตำหนิติเตียนไม่ได้ จะเพิ่มเติมอะไร ๆ พอดิบพอดีทุกอย่างเลย อันนี้ละโลกไม่มี จิตของโลกไม่มี มีเฉพาะจิตของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์เท่านั้นมีท่านผู้เป็นอย่างนี้

ทุกวันนี้ธาตุขันธ์มันอ่อนลง ๆ อย่างว่านะ ผมไม่เล่นกับอะไรนะ เกี่ยวข้องกับผู้กับคนผมทนเอาจริง ๆ นะ เห็นแก่หัวใจดวงหนึ่ง ๆ ทนเอาที่จะมาเกี่ยวข้อง ร่างกายมันอ่อนของมันลงไป ๆ ทุกอย่างเครื่องใช้ที่เราเคยใช้มาแต่ก่อนมันสึกมันหรอเข้าไปเรื่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยในทางลบนะ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ถึงวาระมันแล้วมันก็ไปของมัน แต่เราก็ไม่ได้วิตก ไปเมื่อไรเราก็พร้อมเสมอ มันไม่ได้วิตกจริง ๆ นะกับเรื่องความเป็นความตายของเจ้าของ มันหมดปัญหาเอาเสียขนาดนั้นนะ ก็ธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ครองกันอยู่นี่ใจมาอาศัยอยู่นี่ เวลานี้ก็เพียงอาศัยกันเท่านั้น จะว่าถือเป็นเราเป็นของเรามันไม่ถือก็บอกว่าไม่ถือจะว่าไง แต่เวลามันถือก็บอกว่ามันถือ ทีนี้ไม่ถือก็บอกว่าไม่ถือ อาศัยกันไปชั่วระยะกาล มีความสืบต่อระหว่างจิตกับขันธ์ใช้งานได้ เครื่องมือยังพอใช้ได้ก็ใช้กันไป ถึงวาระแล้วเหรอสลัดปั๊วะเดียวเท่านั้นพอ

ห่วงอะไร พิจารณาหมดแล้วจะเอาอะไรมาห่วงอีก ครอบแดนโลกธาตุพิจารณาหมด รวมในหัวใจดวงเดียวเป็นผู้รู้รอบขอบชิดหมดแล้วจะสงสัยอะไรอีก จะพอใจกับอะไรอีก ให้มันเห็นในใจซิ ถ้าเห็นแล้วมันหมดแหละปัญหาทุกอย่างไม่มีเหลือ ขาดสะบั้นออกไปหมด

กลางคืนก็นอนไม่หลับนะ ออกมาเดินจงกรมคืนละ ๒ หนทุกคืน ตอน ๓ ทุ่มนี้ก็ออกมาเสียทีหนึ่ง ตอน ๖ ทุ่มหรือตีหนึ่งออกมาอีกที นอนไม่ค่อยหลับนะ ตีสองหรือตีหนึ่งหลับ บางคืนตีหนึ่งหลับ บางคืนตีสองหลับ หลับงีบเดียวก็พอของมัน ไม่ใช่ว่าหลับน้อยไม่พอนะ มันก็รู้ตัวของมันรู้ในธาตุในขันธ์ว่าพอ ไม่เห็นมีหิวโหยอะไร คือเวลาเรานอนไม่พอเราก็รู้ตั้งแต่เป็นหนุ่มนะ วันนี้นอนน้อยไปเรื่องธาตุเรื่องขันธ์รู้สึกหวิวแหวว ๆ นอนพอดิบพอดีก็รู้ นอนมากไปก็รู้ มันหนักหน่วงถ่วงตัวไปหมดนอนมากไป ถ้านอนน้อยไปมันเป็นลักษณะหวิวแหวว ๆ ตัวของเรา นอนพอดี อย่างที่พักนอนทุกวันนี้ ๔ ชั่วโมงพอดี

ตั้งแต่ประกอบความเพียรมันไม่เคลื่อนไหวนะ ๕ ทุ่มนี่ปกตินะ ถ้าเวลาเร่งความเพียร คลื่นมหาสมุทรระหว่างมหาสมุทรกับธรรมะฟัดกันนั้นไม่มีเวลาแหละ บางทีแจ้ง ถ้าธรรมดา ๆ ทะเลไม่มีคลื่นว่างั้นเถอะ กิเลสธรรมดาธรรมะธรรมดา ๕ ทุ่มนอน ตีสามตื่นปุ๊บ ๆ ไม่ตื่นนะในช่วงนี้มันแปลกอยู่นะธาตุขันธ์ ตื่นทีเดียวลุกเลย ๆ มันฝึกหัดกันยังไงก็ไม่รู้ ธาตุขันธ์มันก็พร้อมก็พอ กลางวันถ้าอยากพักก็พักบ้าง พองีบขึ้นมาก็พอแล้วนั่งภาวนา จากนั้นก็ลงทางจงกรม

เรื่องนอนไม่ได้ห่วงมันแหละ มันจะเป็นจะตายจริง ๆ ค่อยนอนมัน ห่วงธรรมต่างหาก เวลาเฒ่าแก่มานี้เอาแล้วที่นี่นอนไม่หลับ กลางวันนี้ไม่ค่อยหลับนะ ผมนอนไม่เห็นหลับสักวันวันไหนก็ดี ถ้าอย่างหลับก็งีบไปเสีย ๑๐ นาทีก็ตื่นของมันเสีย บางคืนก็หลับชั่วโมงหนึ่งตื่นแล้ว ตื่นแล้วก็ตั้งใจนอนอีก สักเดี๋ยวหลับไปอีกตื่นอยู่อย่างนั้นแหละ มันเป็นของมันเอง เราก็ไม่วิตกวิจารณ์ห่วงใยมันอะไรนะ ดูตามความจริงของมัน นี่มันแสดงความจริงอันหนึ่งในธาตุในขันธ์ของเรา เราก็ดูตามสภาพของมัน เมื่อถึงวาระจะไปแล้วก็ไปสะดวกสบายไม่เห็นมีอะไร

จึงเคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังถึงเรื่องการเป็นการตายของเรา ใครอย่ามายุ่งนะเราพูดจริง ๆ ถึงวาระยาให้หยุด-ให้หยุดจริง ๆ นะอย่าเอามาฝืน เราเคยได้ฝืนพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น เราเห็นโทษเหลือเกิน เวลาจิตมันผ่านเข้าไปให้รู้เรื่องรู้ราวในสิ่งเหล่านี้แล้ว โถ เราก็เป็นเจตนาอันหนึ่งก็ว่าเจตนาที่บริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ของคนมีกิเลสกับเจตนาบริสุทธิ์ของผู้สิ้นกิเลสต่างกันละซิ ของท่านสิ้นกิเลสของเราไม่สิ้นกิเลส เจตนาก็จะเอาบริสุทธิ์มาจากไหน อ๋อ ตรงนั้นก็ผิดตรงนี้ก็ผิด ค่อยรู้เรื่องนะ นี่เวลาเราจำเป็นแล้วเรื่องหยูกเรื่องยาถ้าว่าหยุดอย่าเอามายุ่งนะ คือมันรู้ในตัวเองเรียบร้อยแล้วว่าธาตุขันธ์จะไม่รับไม่เอาไหนแล้ว...ปล่อย ต้องเนื้อต้องกายนี้ไม่ให้มาต้อง ให้อยู่ธรรมดาต่างคนต่างเงียบต่างสงบ ถ้าได้ตายกับหมู่กับเพื่อนนะ เราจะทำหน้าที่ตายของเรา เพียงทำหน้าที่ปล่อยขันธ์เท่านั้นไม่เห็นมีภาระอะไร พิจารณาไปตามสภาพความจริงมียังไง ๆ เวลานั้นพิจารณา ถึงวาระแล้วก็สลัดปัวะไปเลย

ร่างกายมันจะดีดจะดิ้นยังไงหมู่เพื่อนอย่ามากังวลกับผม คือร่างกายนี่เป็นได้วิบากขันธ์ บางองค์ตายไม่สงบธาตุขันธ์ดีดดิ้นกระตุกนั้นกระตุกนี้ มันหากเป็นของมันนั่นแหละธาตุขันธ์ เรื่องจิตนั้นจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ว่างั้นเลย ขอให้จิตบริสุทธิ์เสียอย่างเดียวเท่านั้นเป็นอย่างอื่นอย่างใดไปไม่ได้ ถึงร่างกายจะเป็นแบบไหนก็เป็นเถอะ เป็นเรื่องของขันธ์ดีดดิ้นไปตามสมมุตินิยมของขันธ์เท่านั้นแหละ เรื่องจิตที่จะให้พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปตามขันธ์นั้นเป็นไปไม่ได้ เรียกว่าอกุปปะทีเดียวพอ หาความกำเริบและหาความเป็นอื่นไปไม่ได้แล้ว

เพราะฉะนั้นถึงได้เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ที่ว่า พระอรหันต์บางองค์ท่านยืนนิพพาน บางองค์นั่งนิพพาน นอนนิพพาน เดินนิพพาน ท่านทำไม่ได้ยังไงเพราะมันคนละอันจริง ๆ นี่เป็นหลักธรรมชาติ เหมือนน้ำในคลองนี้คนละฝั่งจริง ๆ ไม่ใช่ฝั่งเดียวกัน ทางโน้นฝั่งโน้นทางนี้ฝั่งนี้ นี่ฝั่งโลกนี่ฝั่งธรรม นี่ฝั่งสมมุตินี่ฝั่งวิมุตติ จะเอาเข้ามาประสานกันได้ยังไง ไม่ประสาน ให้รู้ชัด ๆ อย่างนั้นซิในหัวใจแล้วจะสงสัยอะไร ว่าตายก็ว่าไปตามกิริยาของโลกไม่เห็นวิตกวิจารณ์นี่นะ อันนี้มารวมตัวเป็นส่วนผสมแล้วมันก็สลายของมันออกไปธรรมดา ๆ ธาตุขันธ์อันนี้ก็ไม่รู้เรื่องจิต มีแต่จิตเป็นผู้รู้เขา จิตไม่สำคัญมั่นหมายไม่ไปยึดเขาเสียอย่างเดียวจะมีอะไร เขาไม่รู้เรื่องของเราอยู่แล้วนี่

ก่อนตายน่ะซิ เฒ่าแก่มาเท่าไรยิ่งเป็นห่วงหมู่เพื่อนมากเข้าไปโดยลำดับลำดา มันน่าห่วงจะทำยังไง โห กิเลสนี้เป็นภัยจริง ๆ นะ ภัยมหันตภัยมหันตทุกข์อยู่กับกิเลสนี้หมด ผมไม่มีที่ตำหนิตรงไหน มีกิเลสแห่งเดียวเท่านั้น หัวใจนี้หยั่งลงถึงนั้นละนะ ความสุขทุกข์เดือดร้อนวุ่นวายของโลกนี้ลงในกิเลสอันเดียว ๆ นี้ เห็นได้ชัดเวลาฟาดกิเลสพังลงไปแล้วไม่เห็นมีอะไร เอาตรงนั้นซิมายันกัน เมื่อกิเลสพังไปจากใจหมดแล้วไม่เห็นมีอะไรมาแสดง ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ร้อนเป็นร้อน หนาวเป็นหนาว ก็เป็นธรรมดาของเขาไม่เห็นมากวนใจ แต่กิเลสนี้กวนจริง มีมากมีน้อยกวนหัวใจ ๆ นี่สำคัญมาก อันนี้กวนมากจริง ๆ บีบมากจริง ๆ โทษมันอยู่ที่นี่ บ่อเกิดแห่งความทุกข์ก็อยู่ที่ความเกิดแก่เจ็บตาย ก็อยู่ที่จิตนี้ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา อยู่ที่ตรงนี้ ๆ พากันตั้งใจ

เอาเท่านั้นละพอ

พูดท้ายเทศน์

ประชาชนญาติโยมเขามาจากที่ต่าง ๆ เราก็อนุโมทนากับเขา ได้พูดออกปากพูดจริง ๆ เดือนนี้เงินดงเงินเดือนรายได้มาจากประเภทไหน ๆ ทุ่มลงทางกฐินผ้าป่ากองการกุศลนี้ทั้งนั้นนะชาวพุทธเรา เงินเดือนมีเท่าไรทุ่มหมด เอ้า ทุ่มก็ทุ่มเถอะเราพอใจไปด้วยนี่นะ จะคิดกลัวเขาจะเดือดร้อนอย่างนั้นอย่างนี้เลยไม่คิด เพราะ ๑๒ เดือนมีเดือนเดียว ๆ นอกนั้นกิเลสเอาไปกินหมดนั่นซิ กิเลสนี่พอกพูนมาก ร่างกายนี่พอกพูนจนเฟ้อ แต่เรื่องจิตใจแห้งผาก ๆ กับศีลกับธรรมนั่นซิ พอมีโอกาสในเดือนนี้เขาทำเราภาคภูมิใจกับเขา แทนที่กลัวเขาจะเดือดร้อนเพราะสมบัติสละออกไปทำบุญให้ทานหมดไปนี้ ไม่หมดว่างั้นเลยนะทันที ขอให้จิตได้มีเครื่องหล่อเลี้ยงเถอะจะชุ่มไปหมดนั่นแหละ เป็นอย่างนั้นนะ

เดี๋ยวนี้จิตมันเหี่ยวแห้งนั่นซิ เป็นมหาเศรษฐีก็หาความสุขไม่ได้จิตมันเหี่ยวแห้งจะว่าไง เราออกปากพูดก็พูดให้ประชาชนญาติโยมฟัง พูดด้วยความเป็นอย่างนั้นในจิตจริง ๆ เราไม่ได้เสแสร้ง เราพอใจกับเขา ยิ่ง ๓ วันนี้แล้วหมุนติ้วแหละ วัดนั้นวัดนี้ ๆ เราก็พอใจอนุโมทนากับเขา เพราะบุญกุศลเท่านั้นที่จะลากเข็นคนออกจากทุกข์ได้นะนอกนั้นไม่มี มีแต่บุญมีแต่กุศลเท่านั้นที่จะฉุดจะลากออกจากกองทุกข์ ออกจากปากกิเลสว่างั้นเถอะ กิเลสมันกลืน

โห ทุกข์จริง ๆ ทุกข์เพราะอำนาจของกิเลสมันบีบ คิดย้อนหลังนี่แหม ที่มันฝังลึกก็คือคิดย้อนหลังไปถึงที่น้ำตาร่วง คือมันไม่ลืมจริง ๆ นะ ไม่ลืมเพราะถึงใจนี่นะ ถึงใจที่ตั้งสติไม่อยู่ ไปอยู่ในป่าลึก ๆ พยายามว่าจะเอาให้เต็มเหนี่ยว ความเพียรเอาให้เต็มเหนี่ยว ไปมีแต่กิเลสเอาเราเต็มเหนี่ยว ตั้งพับล้มผล็อย ๆ ตั้งกับล้มพร้อมกัน ตั้งเพื่อล้ม ๆ ไม่ได้ตั้งเพื่ออยู่ ว่าปัญญาไม่ต้องพูดเป็นสัญญาอารมณ์ไปหมด กิเลสเอาไปถลุงหมด แล้วจิตมันวุ่นอยู่ตลอดเวลา ต้นไม้ภูเขาป่าช้าป่ารกชัฏเขาไม่เป็นอะไรแต่จิตมันดิ้นของมันอยู่นี้ มันไม่สงบอยู่ที่หัวใจนี่ สิ่งเหล่านั้นเขาสงบแต่ใจเจ้าของไม่มีภูมิธรรมหาความสงบไม่ได้ มีแต่กิเลสถลุงอยู่ตลอดเวลา โอ้โห น้ำตาร่วงไม่ลืมนะ

ที่ไม่ลืมก็คือว่ามันเคียดแค้น อันนี้ละพาให้ฝังลึก ถึงขนาดกูมึงเทียวนะ กูมึงอยู่ในใจนะ ยังไงมึงต้องพังแน่ ๆ ให้กูถอยกูไม่ถอย ยังไงกูต้องเอาให้มึงพังแน่ ๆ เวลานี้มึงเอากูเต็มที่ขนาดนี้ ได้ทีกูแล้วกูจะเอาให้เต็มที่ ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่งแน่นอนโน่นน่ะ เด็ดด้วยนะคำพูดอันนี้ ทั้ง ๆ ที่สู้เสือด้วยกำปั้นมันยังเด็ดของมันอยู่นะ เพราะฉะนั้นเวลาได้ที่มันถึงขนาบกันใหญ่เลย เอาอย่างถึงใจจริง ๆ

ความเพียรฆ่ากิเลสนี้หนักมาก เคยพูดให้หมู่เพื่อนฟังเพื่อเป็นคติ ไม่มีอะไรหนักมากยิ่งกว่าการฆ่ากิเลส อันนี้หนักมากจริง ๆ ชีวิตจิตใจทุ่มลงหมดเลย ผมนี่ไม่มีเหลือแหละ ถ้ากิเลสไม่ตายเราก็ตายเท่านั้นมีสองอย่าง เพราะมันไม่ถอยกันนี่ มันอาจจะมีนิสัยอยู่บ้างก็ไม่รู้ แปลก ๆ จะเป็นจะตายมันยังไม่ถอย ธรรมดามันถอยกรูด ๆ นะ นั่นซิอย่างกิเลสเอาจนน้ำตาร่วง ยังมึงนะ ๆ ยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง มันยังสู้อยู่ ทั้ง ๆ ที่เสือตะปบเอาเลือดสาด ยังมึง ๆ ต้องพังวันหนึ่งด้วยกำปั้นกูนี่ นี่ถึงได้เอามาพูดให้เป็นคติแก่หมู่เพื่อน เรื่องความพากความเพียรฆ่ากิเลสนี้ โถ ไม่ใช่เล่น ๆ นะ

ตัวราคะตัณหานี้รุนแรงมากนะ เวลาขึ้นเวทีถึงรู้กันไม่งั้นไม่รู้นะ อยู่ในจิตมันก็เป็นของจิตนะมันไม่ได้แสดงอาการอะไร มันยิบแย็บก็ยิบแย็บเป็นอยู่ในนั้น มันเป็นยิบ ๆ แย็บ ๆ กวนเล็กกวนน้อยมันก็เป็นอันนี้แหละเป็น โห อันนี้ทำไมเป็นอย่างนี้นะ ๆ ทั้ง ๆ ที่เราจะฆ่ามันอยู่มันยังมาแสดงยิบ ๆ แย็บ ๆ ให้เห็น ร้อยสันพันคมไม่มีอะไรเกินอันนี้ อันนี้ออกสนามออกทำงานออกแนวรบ เวลาพิจารณาแล้วอวิชชาพอเป็นพื้นฐานเท่านั้นไม่ได้ออกทำงานอะไร เป็นพื้นฐานเหมือนแผ่นดินนี่ ต้นไม้ภูเขาอะไรเต็มแผ่นดินนี่มีแต่เรื่องของราคะตัณหาสร้างขึ้นมา สร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมาร้อยสันพันคม

เวลาเราจะรู้มันก็คือว่า พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่เห็นมีอะไรแสดงเรื่องที่ว่าเหล่านี้หมด อ๋อ มันเป็นเพราะอันเดียวนี้ มันแตกกิ่งแตกก้านสาขาดอกใบไปทั้งใกล้ทั้งไกลครอบโลกธาตุ มีแต่อันเดียวนี้ ๆ พออันนี้มุดลงไปเท่านั้นไม่เห็นมีอะไรแสดง ก็แสดงว่าตัวนี้ นั่นก็ชัดเจนซิ อวิชชาไม่เห็นแสดงอะไร พออันนี้ดับลงไปแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรมาดึงมาดูดมากวนใจ อวิชชาไม่ดึงดูดนะมีแต่ให้เพลิน เพลินความเพียรในเรื่องสติปัญญาอัตโนมัติ นั่นละอวิชชา

ความผาดโผนโจนทะยานนี้ตอนราคะตัณหา ปัญญาประเภทนี้เป็นประเภทที่ฟัดกันถึงเป็นถึงตาย บางทีเหมือนกับว่ากายไหวนู่น มันแรงนะอำนาจสติปัญญาฟัดกัน รุนแรงมาก มันหากเป็นธรรมชาตินะไม่ใช่เราตกเราแต่ง มันหากมีพอฟัดพอเหวี่ยงกันจนได้ เขาต่อยมาเราต่อยไปเหมือนนักมวย หนักเบามันก็เต็มแรงทุกคน กิเลสก็เต็มแรงมัน เราก็เต็มแรงเรา บทเวลาอันนี้มันหมดของมันลงไป ๆ แล้วไม่เห็นมีอะไรมาแสดง ดังที่ว่าเหล่านี้ไม่มีนะ มีแต่อวิชชาก็ละเอียดลออ ๆ อ้อยอิ่ง ๆ ดูดดื่มอยู่ตรงนั้น ๆ เท่านั้น ไม่เห็นไปกังวลกับอะไรเลยมีเท่านั้น มีแต่จิตร่างกายไม่มาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นมันถึงหมุนอยู่ภายในหัวใจ เดินจงกรมนี่ออกนอกลู่นอกทาง เดินเปะปะเข้าไปป่านั้นเข้าไปป่านี้ คือตามันไม่เห็น จิตมันอยู่ข้างใน ทำงานอยู่ภายในไม่ออก เดินเซ่อ ๆ ซ่า ๆ คนไปเห็นเขาจะว่าเราเป็นบ้า

แต่ทางภายในมันพูดไม่ถูกนะเรื่องกิเลสกับธรรมฟัดกันนี้ ถ้าเป็นนักมวยก็แชมเปี้ยนไม่ทัน แชมเปี้ยนยังช้าไป พอเราจะเอาอันนี้มาพูดเป็นภาษาสอนกันไม่ได้ ให้เป็นในใคร ๆ ก็ตามรู้เอง ภาษาของธรรมกับกิเลสฟัดกัน เวลาถึงเข้าหัวเลี้ยวหัวต่อแล้วเอาอย่างนั้น พิจารณาขนาดนั้นเต็มหัวใจ อวิชชาไม่มีอะไรมีแต่เบาหวิว ๆ ๆ ไม่มีอะไรดึงดูด มีอันเดียวนี้ตัวดึงดูด โห ดึงดูดจะเอาให้ล่มให้จมต่อหน้าต่อตานะ มัดกดมันถ่วงมันหน่วงมันเหนี่ยวอยู่ในนี้แหละ ใคร ๆ ก็รู้เองมีอยู่กับหัวใจของทุกคน พออันนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้วไม่มีอะไรดูดนี่ หมุนลิ่ว ๆ ละเอียดเข้าไป ๆ ละเอียดเข้าหาจุดนั้นแหละไม่ใช่อะไร ไล่เข้าไป ๆ

แต่สังขารกับอวิชชานี้มันสัมผัสกันนะ คือมันเอานั้นละเป็นสนามรบเป็นหินลับปัญญา เอาพวกสังขาร พวกวิญญาณ พวกสัญญานี่เป็นหินลับปัญญาเพื่อเข้าจุดนั้น ทั้ง ๆ ที่อยู่จุดนั้นอยู่แต่อันนี้มันเกี่ยวข้องกันอยู่ก็พิจารณากันอยู่ในนั้นมีเท่านั้นไม่มาก จิตไม่มีอะไรกดถ่วงนี่ เรียกว่าหมดงานอะไร มีงานอันเดียวงานเฉพาะจิตกับขันธ์ ๔ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างเดียว เหล่านี้ก็เพื่อเข้าอันนั้น

สมมุตินี้มีอวิชชาเป็นแดนอัศจรรย์ที่สุดว่าอย่างนี้เลยนะ แดนสมมุตินี้มีอวิชชาเป็นแดนอัศจรรย์ที่สุดของสมมุติ ของยอดกิเลสอยู่ตรงนั้นหมดเลย ยอดเกิดแก่เจ็บตายอยู่ตรงนั้น ไปเพลินอยู่ตรงนั้นซิสัตว์โลก เพลินกับความเกิดแก่เจ็บตาย ตัวนั้นละตัวเป็นไฟเผาไหม้ เวลามันเข้ากันจริง ๆ แล้วไม่มีอะไร เครื่องดึงดูดอะไรไม่มีมันเบาเหมือนสำลี หวิว ๆ ๆ เพลินทั้งวันทั้งคืน อยู่นั้นละไม่ไปไหน เพราะเป็นมหาสติมหาปัญญาเผลอกันที่ไหน ไม่มีคำว่าเผลอ เป็นความเพียรตลอดเว้นแต่หลับเท่านั้น นอกนั้นเป็นเอง ๆ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีท่านจึงไม่ลงมาเกิด ตัวนี้ตัวกดตัวถ่วงตัวดึงดูดแหละ พออันนี้หมดไปแล้วไม่มีอะไรดึงดูดท่านก็ไปของท่านเรื่อย ละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ ๆ

มันไม่ได้ว่าเกิดนะจิต ดูในหลักจิตตภาวนาซิ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี คือมีชีวิตอยู่เร่งความเพียรมันก็ผ่านของมัน ๆ ถ้าหากว่าตายมันก็อยู่จริง ๆ มันอยู่ในระดับใดขั้นใดมันก็อยู่ในขั้นนั้นแหละ แต่ก็ทำงานของตัวเองเป็นหลักธรรมชาติเพื่อจะก้าวขึ้นไปเรื่อย ๆ อันนี้ก็ชัดในหัวใจไม่สงสัย เวลามีชีวิตอยู่นี้เพียงผ่านเท่านั้น ผ่าน ๆ ๆ ถ้าหากว่าตายแล้วอาจจะอยู่เสียก่อนแล้วก็ทำงานของตัวเองแล้วค่อยเลื่อนไป หากช้าเพราะไม่มีผู้เร่ง มีชีวิตอยู่นี้เราเร่งได้นี่ รวดเร็วพ้นได้ไปเลย ถ้าตายแล้วก็ช้า อันนั้นทำงานอัตโนมัติก็ทำตามอัตโนมัติของตัวเองมันก็ช้าไม่มีผู้เร่ง แต่มีชีวิตอยู่นี้เร่ง เร่งกันเรื่อยตลอด บรรลุปึ๋งเลย

ใครอยู่ด้วยกันทำข้อวัตรปฏิบัติให้ดูกันนะ อย่าให้ผมได้หนักใจกับเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ก้นเบา ๆ หูไวตาไว ให้เห็นอกเห็นใจหมู่เพื่อนนะอยู่ร่วมกัน มีมากมีน้อยมาด้วยความเป็นธรรมด้วยกัน อย่าให้เรื่องกิเลสเข้ามาตีตลาดเป็นอันขาดนะ ข้อวัตรปฏิบัติอย่าเห็นว่าใครทำแล้วแล้วเรา เราไม่แล้วเราไม่ได้ทำได้ประโยชน์อะไร ผู้เป็นมีนะมันเคยอยู่มาแล้วนี่ ผมเห็นแล้วผู้อืดอาดเนือยนายเก้งก้างมี หนักอกจะตายหนักอกหมู่เพื่อน แหม หนักมากนะ

สมัยที่ผมอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์นี้ โห ผมเหมือนเป็นบ๋อยกลางเรือนนะ ดึงหมู่เพื่อนทุกอย่าง ๆ พอดีฝนตกกลางคืนด้วยเราเป็นไข้ลุกไม่ขึ้นด้วย ตอนเช้าสว่างขึ้นมาท่านลงจากกุฏิมาแล้วมายืนกลางวัด หือ พระไปไหนกันหมด หือ ๆ ๆ ไม่ได้ยินเสียงปัดกวาดดังละซิ เพราะฝนตกกลางคืนใบไม้ร่วงเต็มวัดจะว่าไง ก็ต้องปัดกวาด หือ พระไปไหนกันหมด หือ ๆ ๆ สักเดี๋ยวก็ท่านมหาไปไหน...ถาม ท่านเป็นไข้ หือ ท่านมหาเป็นไข้องค์เดียววัดร้างไปอย่างนั้นเชียวหรือ ท่านมหาไข้องค์เดียววัดร้างไปเลยเหรอ ไม่ลืมนะคำพูดอย่างนี้น่ะ

ของกฐินใครจะใช้อะไรก็แล้วแต่นะดังที่เคยปฏิบัติมาแหละ ผมไม่ได้มายุ่งกับสิ่งเหล่านี้นะ ทำตามหน้าที่ไปเท่านั้นเอง มีอะไร ๆ จัดแยกแยะไปที่ไหน ๆ ทำบุญให้ทานสถานที่จำเป็นยังไง ๆ ก็ให้หมู่เพื่อนพิจารณากันเอง นี่ไม่ได้สนใจกับอะไรมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว ก็โลกามิสเครื่องใช้ใช้ไปอย่างนั้น มีอะไรก็ใช้ไป

เอาละที่นี่เลิกกัน


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก