ในปี ๓๘ นี้ไม่เคยได้ประชุมเทศน์อบรมพระเณรบ้างเลย เพราะธาตุขันธ์แย่ลงทุกวัน ๆ เพียงประคองตัวอยู่เท่านั้นก็จะไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านที่มาศึกษาอบรมในสถานที่นี่ จงตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสจริง ๆ อย่ามามั่วสุมสั่งสมกิเลสซึ่งไม่ใช่ทางของพระพุทธเจ้า ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมเครื่องกำจัดปัดเป่ากิเลสโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ไม่มีธรรมแง่ใดบทใดเป็นธรรมสั่งสมกิเลสสำหรับผู้มาปฏิบัติตาม มีแต่ธรรมแก้กิเลสชำระกิเลสสังหารกิเลสทั้งนั้น
แต่แล้วก็ไม่พ้นที่กิเลสจะมาแทรกมาแซง อย่างน้อยมาแบ่งสันปันส่วนเอาจนได้ในความเคลื่อนไหวของใจนั้นแลเป็นสำคัญ เคลื่อนออกมาด้วยความคิดปรุงใด ๆ มักจะมีกิเลสแทรกออกมาก่อนเสมอ ที่ความคิดปรุงทางด้านธรรมะจะปรากฏตัวออกมา เพราะฉะนั้นจึงไม่ทันกัน การปฏิบัติจึงเป็นลุ่ม ๆ ดอน ๆ แทนที่จะได้ผลคือความสงบร่มเย็นมาครองใจ ให้ได้รับความผาสุกเย็นใจบ้าง กลับได้แต่ผลของกิเลสคือความรุ่มร้อนความทุกข์สุมอยู่ภายในจิตใจเสียมากต่อมาก อย่างนี้แลผู้ปฏิบัติธรรมจึงไม่เห็นผลเห็นประโยชน์อย่างใดจากการปฏิบัติของตน มีแต่กิเลสปฏิบัติหน้าที่ของมันเสียถ่ายเดียว ธรรมะนั้นมีเพียงชื่อเพียงนาม เพียงตั้งความสำคัญมั่นหมายไว้ในเบื้องต้นเท่านั้น นอกนั้นก็เปิดช่องเปิดทางให้กิเลสก้าวเดิน ขยำย่ำยีจิตใจของเราด้วยความคิดความปรุงต่าง ๆ ให้แหลกเหลวไปหมด ธรรมไม่ปรากฏในจิตใจเลยจะหาความสงบร่มเย็นมาจากไหน
ผู้ปฏิบัติธรรมท่านเอาจริงเอาจัง ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมของจริง ยกอริยสัจขึ้นมาทั้ง ๔ ประการนี้เป็นของจริงทั้งนั้น ของจริงนี้แลผลิตมรรคผลขึ้นมาให้ได้ครองใจเป็นความสุขสงบร่มเย็นโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้นออกจากหลักความจริงนี้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นธรรมของพระพุทธเจ้าเวลาแสดงออกมาเป็นอากัปกิริยาประเภทหนึ่ง ๆ นี้ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมของจริงที่ออกมาจากพระทัยซึ่งทรงความจริงไว้เต็มส่วนแล้ว
แต่ผู้ปฏิบัติมีแต่กิเลสรุมล้อมหัวใจ มาศึกษาอบรมได้ยินได้ฟังกิเลสก็แบ่งไปกิน ได้เห็นก็แบ่งไปกิน อะไร ๆ มีแต่เรื่องของกิเลสแบ่งสันปันส่วนเอาไปกินเสียทั้งนั้น พวกเราทั้งหลายไม่รู้ นี่ละที่ว่ากิเลสแหลมคม แหลมคมจนกระทั่งสัตว์ทั้งหลายตายใจไปเลย ไม่ทราบว่าอากัปกิริยาความเคลื่อนไหวของตนที่เป็นไปอยู่วันหนึ่งคืนหนึ่งในอิริยาบถทั้ง ๔ นั้นเป็นไปด้วยอำนาจของกิเลส หรือเป็นไปด้วยอำนาจอันใดไม่ทราบ ซึ่งล้วนแล้วตั้งแต่เป็นอำนาจของกิเลสพาให้แสดงทั้งนั้น
แม้ที่สุดนักบวชนักปฏิบัติเราก็ไม่พ้นที่กิเลสจะมาทำงานแบบเดียวกันนี้ เพราะฉะนั้นการประกอบความเพียรจึงไม่ค่อยได้เรื่องได้ราว เรื่องเหลาะ ๆ แหละ ๆ นั้นก็คือเรื่องของกิเลสพวกเราทั้งหลายไม่ทราบได้ และเราก็ไม่รู้ว่าเราเหลาะแหละด้วย มันเป็นชั้น ๆ อย่างนี้ จิตใจจะคึกคักขึ้นมาบ้างก็ชั่วระยะประเดี๋ยวประด๋าว จากนั้นก็อ่อนตัวลงไปให้กิเลสเหยียบย่ำทำลาย เพราะธรรมชาตินี้ไม่มีคำว่าอ่อนตัว วัฏจักรไม่มีคำว่าอ่อนตัว ส่วนธรรมจักรนั้นอ่อนได้อ่อนตลอดเวลาเมื่อยังไม่มีกำลังควรจะฟิตตัวหรือแข็งตัวได้ ย่อมอ่อนต่อกิเลสตลอดเวลาและโดยไม่รู้ตัวอีกด้วยว่าธรรมะของตัวเองได้อ่อนต่อกิเลสไปโดยลำดับลำดา นี่มันสลับซับซ้อนอย่างนี้
วัฏจักรวัฏวนจะหมายถึงอะไร หมายถึงจิตแต่ละดวง ๆ ทั้งของสัตว์ทั้งของบุคคล อันมีกิเลสเป็นกงจักรหมุนตัวอยู่ภายในของมัน ให้กระเสือกกระสนกระวนกระวายดิ้นรนกวัดแกว่ง ร้อยจิปาถะมีแต่เรื่องกงจักรของกิเลสทำงานทั้งนั้นบนหัวใจสัตว์ โดยที่สัตว์ทั้งหลายไม่รู้ตัวเลย เหมือนกับหุ่นอันหนึ่งเท่านั้นเอง ให้กิเลสมันเตะกลิ้งไปกลิ้งมา พลิกไปพลิกมา มีแต่ความรู้ ก็แบบไส้เดือนกิ้งกือรู้นั้นแลความรู้ของเราทั้งหลายก็ดี ไม่ได้รู้สำนึกทางโทษของกิเลสที่มาเตะมาถีบมายันเราแม้แต่อย่างใด เพราะธรรมชาตินี้เหนือกว่า ท่านจึงเรียกว่าวัฏจักร หมุนอยู่ที่หัวใจของสัตว์โลกตลอดมา และจะหมุนตลอดไปสมกับคำที่ว่าใจไม่ตาย กิเลสเครื่องสิงอยู่ภายในนั้นก็ไม่ตาย เมื่อไม่ถูกกำจัดมันเสียเมื่อไรแล้วเป็นอันว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นตลอดไป
คำว่ากิเลสมีความแก่คร่ำคร่าชราลงไปตามกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อย่างนั้นไม่มี กฎนี้เป็นกฎของกิเลสโดยตรง กิเลสจะยอมให้พ้นเงื้อมมือของกิเลสไปได้อย่างไร อนิจฺจํ ก็เพื่อกิเลส ทุกฺขํ ก็เพื่อกิเลสเป็นผู้กอบโกยเอาผลไปเสียทั้งสิ้น อนตฺตา ก็เพื่อกิเลสทั้งนั้น นี่แหละเรียกว่ากิเลสสวมรอยธรรมสวมอย่างนี้ พวกเราทั้งหลายไม่รู้ มันจึงสนุกหมุนตัวอยู่ภายในจิตใจหาเวลาว่างไม่ได้เลยสำหรับจิตใจแต่ละดวง ๆ ที่กงจักรคือกิเลสจะหยุดทำงาน เว้นแต่เวลาหลับสนิทเท่านั้นเป็นเวลาที่สงบตัว คือกิเลสสงบตัวไม่ทำงาน ถ้าไม่หลับสนิทก็ยังต้องละเมอเพ้อฝันไปต่าง ๆ นานา นี่ก็เพราะอำนาจของกิเลสหมุนตัวเช่นเดียวกัน
เพียงขันธ์ล้วน ๆ หมุนตัวไปนั้น เหมือนอย่างพระอรหันต์ท่านฝันอย่างนี้ไม่มีความหมายอันใด เพราะขันธ์อันนี้เป็นสมมุติย่อมฝันได้เปลี่ยนแปลงตัวไปได้ สงบตัวไปได้ คำว่าฝันนี้ปุถุชนเรากับท่านผู้สิ้นกิเลสแล้วย่อมมีการฝันเช่นเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าต่างกันกับขันธ์ที่มีกิเลสผูกมัดรัดรึงนั้น ฝันไปด้วยอำนาจกิเลสพัวพันดีดดิ้นหรือผลักดันให้ฝันไป ส่วนขันธ์ของพระอรหันต์ท่านฝัน ฝันไปตามเรื่องของขันธ์ดีดดิ้นไปตามธรรมชาติของมันแล้วก็ดับไป ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวอะไรก็ดับไปพร้อม ๆ เพราะไม่มีเจ้าของไม่มีอุปาทานเครื่องยึดถือ ท่านจึงไม่เป็นภัยและท่านจึงไม่รับความดีใจเสียใจจากความฝันนั้นว่ามาให้โทษให้คุณประการใด เพราะเป็นเหมือนกับหางจิ้งเหลนขาดดีดดิ้นอยู่ตามธรรมชาติของตนที่ขาดจากตัวของมันแล้วก็มีอย่างนั้น
ความฝันนี้ก็ออกมาจากอำนาจของกิเลสดีดดิ้นอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าฝันแห้ง ฝันสดได้แก่ความคิดความปรุงนี้ตัวสำคัญมาก ฝันไม่มีเวลาหยุดยั้ง ความโลภก็ออกจากความฝัน ความโลภความอยากได้มีแต่ฝันสด ๆ ทั้งนั้น ความโกรธ ราคะตัณหา มีแต่เรื่องความฝันสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยอำนาจของสมุทัย มันหมุนตัวของมันให้ฝันไปอยู่ตลอดเวลา พวกเราทั้งหลายก็ไม่รู้ว่าตัวนี้ได้ฝันไปอย่างไรบ้าง นี่ละอำนาจของกิเลสหมุนใจหมุนอย่างนี้ ท่านเรียกว่าวัฏจักร และจะหมุนอย่างนี้ตั้งกัปตั้งกัลป์ไม่มีที่สิ้นสุดหลุดพ้นกันไปได้เลย ต้องเป็นไปอยู่ทำนองนี้
ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรกไม่มีธรรมเข้ากำจัดปราบปรามกันแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายก็ต้องหมุนมาฉันใดหมุนไปฉันนั้น ไม่มีทางด้านใดว่าสั้นว่ายาว หมุนกันไปอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นหลักธรรมชาติแท้ที่อำนาจของกิเลสทำงาน ทำงานบนหัวใจสัตว์ ทำจิตใจของสัตว์ให้หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงเป็นไปต่าง ๆ นอกจากนั้นยังดันให้สัตว์ทำกรรมชั่วช้าลามกต่าง ๆ อีก แล้วก็กลายเป็นผลแทรกขึ้นมาอีกให้ได้รับความทุกข์ความลำบากลำบน
แม้เกิดก็ไม่เกิดในสถานที่ที่เคยเกิดกำเนิดที่เคยเป็น เกิดในสถานที่ไม่เคยเกิดสถานที่ไม่เคยเป็น ความทุกข์ความลำบากก็เปลี่ยนแปลงตัวเองไปเรื่อย เพราะอำนาจแห่งกรรมไม่ซ้ำกัน ถ้ากรรมซ้ำกันผลก็ซ้ำกัน นี่เป็นคติของวัฏจักรในหัวใจสัตว์โลกหมุนเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดมา และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ถ้าแก้ไม่ได้เมื่อไรแล้วใครจะว่าอย่างไรก็ตามธรรมชาตินี้จะต้องทำหน้าที่ของตัวอยู่อย่างนี้ตลอดไป เช่นเดียวกับทำมาแล้วอย่างใด การทำไปข้างหน้าก็เช่นนั้นเหมือนกัน
นี่ยังดียังมีกาลมีสมัยมีเวล่ำเวลาที่ธรรมมาโปรด ได้แก่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ นั้นแลเรียกว่าธรรมมาโปรด มาทำลายกงจักรของวัฏจักรให้อ่อนตัวลง ไม่ให้แข็งแกร่งอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนไม่มีศาสนา พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แต่ละพระองค์ ๆ นั้นแลคือเอาน้ำมาดับไฟ ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถที่ควรจะหลุดพ้นไปได้ในกาลเวลานั้นก็หลุดพ้นไป ๆ
ดังศาสนาพระพุทธเจ้าของพวกเราทั้งหลายนี้ พอมาตรัสรู้แล้วก็ประกาศธรรมสอนโลก ผู้ที่พร้อมแล้วซึ่งจะควรหลุดพ้นไปได้แต่ประตูยังปิดอยู่เปิดไม่ได้ เพราะไม่มีผู้มาเปิด ได้แก่ไม่มีผู้มาสอนอรรถธรรมให้รู้ทั้ง ๆ ที่อุปนิสัยนั้นสามารถแล้ว เหมือนกับวัวที่อยู่ปากคอกรอที่จะออก แต่ประตูยังไม่เปิดก็ออกไม่ได้ ก็ต้องติดแจกันอยู่เช่นเดียวกันหมด ทั้งตัวอยู่ในคอกทั้งตัวอยู่ที่ปากคอกก็ติดแจอยู่อันเดียวกัน ไม่มีตัวไหนยิ่งหย่อนกว่ากัน นี่สัตว์โลกผู้มีอุปนิสัยก็ดี ผู้ไม่มีอุปนิสัยก็ดี ก็ติดแจอยู่ในวัฏวนวัฏจักรนี้จนได้นั้นแลเมื่อธรรมยังไม่มาโปรด
ที่เรียกว่ามาเปิดปากคอกให้ น้ำมาดับไฟ เหมือนธรรมมาเปิดปากคอกให้ เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา นั้นแลคือเปิดปากคอก เบญจวัคคีย์ที่พร้อมแล้วก็ได้บรรลุธรรมปึ๋งปั๋ง ๆ ไปเรื่อย จากนี้ก็เปิดเรื่อย ๆ ปากคอก สัตว์ทั้งหลายก็ออกไปเรื่อย นี้แลผู้ออกโดยแท้ ติดคุกมานั้นเท่าไร คุกคือวัฏจักรติดมากี่กัปกี่กัลป์ ท่านเหล่านี้เพิ่งได้พ้นในเดี๋ยวนั้นในเวลานั้น และพ้นตลอดไปไม่มีวันกลับมาก็คือท่านผู้พ้นกิเลส ก็คือพ้นจากวัฏจักรวัฏวนแห่งกงจักรทั้งหลายที่หมุนเวียนอยู่นี้แล
พวกเราทั้งหลายยังนอนใจอยู่เหรอกับวัฏจักรอันนี้ ที่พาหมุนมานี้หมุนมามากต่อมากแล้ว นับได้ไม่ได้ไม่สำคัญ เอาวงปัจจุบันซึ่งหมุนอยู่ในหัวใจนี้เป็นตัวยืนยัน บรรดาพระพุทธเจ้าพระอรหันต์รู้ร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยกันหมด ในบรรดากิเลสที่หมุนตัวอยู่ภายในจิตใจให้เกิดขึ้นเป็นภพเป็นชาติ สูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ อันเจือไปกับด้วยวิบากกรรมดีชั่ว เป็นมาอย่างนี้ตลอดและยังจะเป็นไปอย่างนี้ตลอด คำว่าสูญไม่ปรากฏในองค์แห่งอริยสัจนั้นเลย มีแต่ความหมุนอยู่อย่างนี้ พิจารณาเข้าไปยิ่งเห็นยิ่งชัด
ท่านเห็นชัดนั้นแลท่านถึงทำลายกงจักรได้ ถ้ามีแต่ปล่อยให้กิเลสมันหมุนตัวของมันอยู่ก็เหมือนโลกทั่ว ๆ ไป เพราะใครก็ถูกกิเลสหมุนอยู่ในหัวใจให้เป็นวัฏวนวัฏจักรเกิดแก่เจ็บตายสูง ๆ ต่ำ ๆ ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เหมือนกันหมด เมื่อไม่มีธรรมเรียกว่ามรรคปฏิปทา มีสติปัญญาเป็นสำคัญที่จะหยั่งทราบสิ่งเหล่านี้ได้อย่างประจักษ์ แล้วสังหารกันให้ขาดสะบั้นลงไป เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไป วัฏจักรก็ขาดไปพร้อม ๆ กัน เรียกว่าสมุทัยตัวสร้างทุกข์ให้สัตว์ทั้งหลายได้ขาดสะบั้นลงไป นิโรธคือความดับทุกข์ก็ดับผึงขึ้นมาในขณะนั้น นั้นแลผู้ที่ท่านพ้นจากแหล่งแห่งวัฏทุกข์แห่งวัฏจักรทั้งหลาย ซึ่งเคยหมุนเวียนได้รับความทุกข์ความทรมานมาตั้งกี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วนแล้ว พึ่งได้มาหลุดพ้นในขณะนั้นและจะหลุดพ้นตลอดไป เราควรนำมาคิดทั้งสองด้านนี้
เรื่องวัฏวนก็หมายเอาตัวของเราแต่ละท่าน ๆ ที่นั่งฟังอยู่นี้โดยเฉพาะเป็นสำคัญ วัฏจักรที่กล่าวนี้อยู่ในหัวใจของเราทุกคน วิวัฏจักรได้แก่ธรรมเราก็กำลังได้ยินได้ฟังได้ประพฤติปฏิบัติกำจัดมันอยู่ด้วยความเพียรทุกท่าทุกทาง ควรจะได้เป็นคติตัวอย่างอันดีงาม กำจัดกงจักรอันนี้ให้อ่อนตัวลง อย่างน้อยกงจักรอ่อนตัวลงใจก็สงบ ที่ท่านเรียกว่าสมาธิ นี่ละกงจักรของวัฏวนที่มันหมุนฟุ้งเฟ้อเห่อคะนองตลอดเวลา ได้สงบลงด้วยอำนาจแห่งสมาธิธรรม ใจก็มีความสงบเย็น
เมื่อใจมีความสงบเย็นลงไปบ้างแล้วก็มีช่องมีทางคนเรา มีทางคิดทางอ่านและเพิ่มกำลังความสามารถความอุตส่าห์พยายามเข้าไปโดยลำดับลำดา อำนาจแห่งความสงบของใจก็มีมากขึ้น ๆ และอำนาจแห่งวัฏจักรที่เคยหมุนใจให้เป็นบ้าอยู่ตลอดเวลานั้นก็ค่อยอ่อนตัวลงไป ๆ ค่อยสงบไล่ตีตะล่อมเข้าไปสู่จุดกลางคือใจ เมื่อจิตสงบลงไปก็เรียกว่าตะล่อมกระแสของจิตเข้าสู่จิต กระแสของจิตนั้นแลเป็นเครื่องก่อกวนทำลายเราอยู่ตลอดเวลาให้หาความสุขความสบายไม่ได้
เมื่อสมาธิธรรมตีต้อนให้สงบตัวเข้าไปจิตก็สงบร่มเย็น เมื่อจิตสงบร่มเย็นแล้วควรแก่ปัญญาที่จะพินิจพิจารณาเพื่อฆ่ากิเลสที่รวมตัวอยู่ในนั้นด้วยอำนาจแห่งสมาธิมัดมันไว้แล้ว ก็ตีคลี่คลายออกมา พินิจพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ ตั้งแต่อุปัชฌายะที่ท่านสอนให้ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้แหละภูเขาทั้งลูกภูเราทั้งลูกคือตัวนี้เอง ตัวมันมัดมันรึง ตัวนี้แลเป็นเครื่องมือของกิเลสได้เป็นอย่างดี กิเลสวัฏวนมันเดินแถวนี้แหละ เดินตาม เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ของสัตว์โลก โดยมันเสกสรรปั้นยอขึ้นเสียใหม่ว่าเป็นของสวยของงามของจีรังถาวร ของเจริญรุ่งเรือง ของน่ารักใคร่ชอบใจน่ากำหนัดยินดี มันเสกสรรปั้นยอขึ้นมาใหม่ทั้ง ๆ ที่หาความจริงกับสิ่งเหล่านี้ไม่มีเลย
กิเลสเสกสรรปั้นยอโดยอาศัยธาตุอันนี้แหละเป็นพื้นฐานแห่งการทำงานของมัน ประดิษฐานขึ้นมาใหม่ ผลิตอุบายวิธีการขึ้นมาใหม่ให้เป็น นิจฺจํ คือความเที่ยงหนาถาวรเสีย สุขํ กลายเป็นความสุขไปเสีย มีแต่ว่าจะได้รับความสุขความเจริญรุ่งเรือง เลยกลายเป็น อตฺตา อันนั้นก็เป็นเราอันนี้ก็เป็นของเรา ภูเขาภูเราเลยคละเคล้ากัน มีแต่ของเขาของเราเต็มบ้านเต็มเมือง หาผู้ที่จะเป็นเราเสียจริง ๆ ตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเลยไม่เจอ เจอตั้งแต่เรื่องจอมปลอมของกิเลสเต็มไปหมด
เพราะฉะนั้นจงใช้ปัญญาพินิจพิจารณาสิ่งที่กล่าวมานี้ ซึ่งได้พูดมาหลายครั้งหลายหนแล้วควรจะได้เป็นคติตัวอย่าง พินิจพิจารณาอันนี้ด้วยปัญญาตีตะล่อมเข้าไป แยกธาตุแยกขันธ์ให้เห็นตามความจริงอย่างชัดเจน ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วไม่มีผิดมีเพี้ยนไปไหน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มีแต่กองอสุภะอสุภังกองป่าช้าผีดิบทั้งนั้น พวกเรามันหลงป่าช้าผีดิบตามอำนาจของกิเลสที่หลอกลวงต้มตุ๋นไปเรื่อย ๆ นี่ละวัฏวนมันวนอยู่ตรงนี้แหละ ไปที่ไหนก็วนอยู่ตรงนี้ อันนี้ต้องเป็นของเยี่ยมของยอด ไปอยู่ในภพใดชาติใดอันนี้ต้องเป็นของเยี่ยมของยอดไปเรื่อย เป็นอาหารอันโอชาของกิเลสหลอกลวงสัตว์โลกให้หลงงมงายกันไป ติดกันไปเรื่อย ๆ จนกว่าปัญญาจะมีความสามารถ
ปัญญานี่ก็เรียกว่าน้ำดับไฟประเภทหนึ่ง พิจารณาคลี่คลายสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นส่วนหยาบก่อน แล้วก็พิจารณาอาการของจิตที่ออกมาสำคัญมั่นหมาย เช่นสังขาร เช่นสัญญา มามั่นหมายสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นอะไรว่าเป็นเราเป็นของเรา ว่าเป็นของสวยของงาม ว่าเป็นของจีรังถาวรอย่างไรบ้าง แยกลงไปให้เห็นได้ชัดเจนตามเรื่องของปัญญาแล้วก็จะปล่อยวางไปโดยลำดับลำดา การปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ก็คือปล่อยวางทุกข์นั้นเอง ปล่อยวางวัฏจักรนั้นเองจะปล่อยวางที่ไหน เพราะวัฏจักรหมุนอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เมื่อปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ก็เท่ากับปล่อยวางวัฏจักรความหมุนเวียนของจิต จิตก็ถอนตัวออกมาเรื่อย ๆ
พิจารณาเข้าเรื่อยตั้งแต่ส่วนหยาบคือรูป ร่างกายของเราทุกสัดทุกส่วนทั้งภายนอกภายใน เทียบเคียงกันได้ทุกสัดทุกส่วนแล้วปล่อยวางไว้ตามความเป็นจริงของเขาของเรา จากนั้นก็พิจารณาเรื่องเวทนาคือความสุขความทุกข์ความเฉย ๆ มันก็เกิดขึ้นจากนี้ อาศัยกันอยู่ ต่างอันต่างเป็นความจริงด้วยกัน เวทนาก็เป็นความจริงอันหนึ่ง กายก็เป็นความจริงอันหนึ่ง พิจารณาแยกแยะ สัญญานี่ตัวสำคัญมั่นหมาย สังขารเป็นตัวปรุงตัวแต่งยิบ ๆ แย็บ ๆ ตัวคะนองคือตัวสังขาร สัญญาตัวจับตัวมัดรัดรึงเอาไว้ให้ติดแจอยู่กับความสำคัญมั่นหมายนั้น ๆ ถอนตัวไม่ขึ้น ก็แยกแยะออกพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงของมัน นี่เรียกว่าปัญญา
เมื่อตีกิเลสตะล่อมเข้าสู่วงจำกัดคือความสงบของใจ ไล่เข้าสู่ใจแล้วย่อมสงบ ทีนี้ปัญญาออกคลี่คลายพิจารณาตามสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ จนเกิดความแกล้วกล้าสามารถแล้วสติปัญญาก็มีความคล่องตัวขึ้นไปโดยลำดับ ๆ นี้แหละเรียกว่าธรรมจักรเริ่มหมุนตัว หมุนทำลายวัฏจักรซึ่งอยู่ในหัวใจของเราดวงเดียวกันนี้แล เมื่อวัฏจักรอันนี้ได้ถูกฟาดฟันหั่นแหลกจากธรรมจักร คือ สติปัญญาเป็นสำคัญอยู่โดยลำดับลำดาแล้ว ย่อมอ่อนลง ๆ ตัวตายไปก็มี ตัวสลายไปก็มี ตัวที่ยังมีอยู่ก็ไม่พ้นที่จะถูกทำลายไปโดยลำดับ
เพราะอำนาจของสติปัญญาขั้นเกรียงไกรแล้วย่อมมีแต่การฟาดฟันหั่นแหลกโดยถ่ายเดียว ไม่มีคำว่าอ่อนข้อย่อหย่อน มีแต่คำว่าหมุนไปเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าธรรมจักรมีกำลัง วิวัฏจักรเริ่มฉายแสงเข้ามา วิวัฏฏะได้แก่ความหลุดพ้นเริ่มฉายแสงเข้ามาหาธรรมจักรที่กำลังทำงานอยู่เวลานี้ หมุนตัวเข้าไป ๆ พินิจพิจารณาไปโดยลำดับลำดา รู้ได้ปล่อยวางได้โดยลำดับ ละเอียดเข้าไปขนาดไหนกิเลสละเอียดโดยลำดับ สติปัญญาก็ละเอียดตามกันไป ๆ เหมือนไฟได้เชื้อ
เชื้อไฟส่วนหยาบ สติปัญญาซึ่งเป็นเหมือนไฟก็หยาบแสดงเปลวเต็มที่ เมื่อเชื้อไฟละเอียดลงไปสติปัญญาก็อ่อนตัวลงละเอียดลงไปโดยลำดับ แต่ไม่ใช่อ่อนแอ คืออ่อนเปลวลงไป มีแต่ความซาบซ่านมีแต่ความซึ้งภายในจิตใจ เห็นได้ประจักษ์กับตัวเองของผู้พิจารณา ของผู้รู้ผู้เห็นด้วยปัญญาของตัวเองนั้นแล นี่ท่านเรียกว่าธรรมจักรเริ่มทำงาน ธรรมจักรกำลังหมุนตัวเข้าไป วิวัฏจักรก็เป็นกระแสขึ้นมาแล้ว โสตะคือกระแสของวิวัฏจักรเริ่มหมุนตัวเข้ามาหากันแล้ว พิจารณาแยกแยะให้เห็นตามหลักความจริง
สิ่งเหล่านี้เมื่อเราไล่เข้าไปเสียจริง ๆ แล้ว รูปก็สักแต่ว่ารูปไม่เป็นกิเลส รูปไม่ได้เป็นกิเลส เวทนาไม่ได้เป็นกิเลส รูปทุกประเภทอาการของขันธ์อาการของธาตุคือรูปของเรานี้ ตั้งแต่ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อาการ ๓๒ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ตลอดตับไตไส้พุงมันไม่ใช่กิเลส ส่วนตัวกิเลสแท้ ๆ มันต่อเนื่องมาจากขันธ์คือความสำคัญมั่นหมายนี้ก็ไม่ใช่กิเลส ตัวที่บงการออกมาต่างหากมาบังคับสิ่งเหล่านี้ให้สำคัญมั่นหมายไปต่าง ๆ นั้นคือตัวกิเลส ที่นี่ไล่เข้าไป
ไล่ดูรูปหากิเลสก็ไม่มี ไล่ดูเวทนาหากิเลสก็ไม่มี ไล่ดูสัญญา สังขารตัวสำคัญมั่นหมาย ตัวปรุงตัวแต่งให้เป็นกิเลสวันยังค่ำ ๆ นั้นก็ไม่เป็นกิเลส ดูสัญญาก็ไม่เป็นกิเลส อะไรเป็นกิเลส จิตมันก็ไหลเข้าไปหาตัวที่เป็นกิเลสมันออกมาจากไหน นั่นละปัญญาฟังให้ดีนะไหลเข้าไป ตัวมันไสมันอยู่ข้างใน ตัวมันผลักมันดันมันอยู่ข้างในนั้น ดันออกมาให้รูปก็เป็นกิเลส เวทนาก็เป็นกิเลส สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นกิเลส รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างเป็นกิเลสไปตาม ๆ กันหมด เพราะจิตอวิชชาเป็นกิเลสอยู่ภายในมันผลักดันออกมาเราไม่เห็นมันนี่ซิ เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นกิเลสไปหมด
ทั่วแดนโลกธาตุนี้กลายเป็นกิเลสไปหมด เพราะอำนาจแห่งอวิชชาตัวเดียวนี้เท่านั้น เมื่อเรายังไม่รู้มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านถึงให้ไล่ต้อนเข้าไป กวาดต้อนเข้าไป พิจารณาครอบโลกธาตุ มันควรจะไหวทั้งโลกธาตุก็ให้เห็นด้วยการพิจารณาโดยทางปัญญาของเรา แยกเข้าไป ๆ จนกระทั่งหาอะไรเป็นกิเลสก็ไม่มี ไม่มีอะไรเป็นราคะเป็นโมหะเป็นโทสะ มีแต่ทางเดินของกิเลสเท่านั้น ๆ ไล่เข้าไปถึงรูปถึงเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่มีอะไรเป็นกิเลส
กิเลสที่แท้จริงอยู่ที่ไหน มันก็ไล่เข้าไปจนกระทั่งถึงจุดของธรรมชาติที่เป็นกิเลสเอง มันจะไปไหนมันก็อยู่ที่หัวใจนั้นแล หัวใจทั้งดวงคือจิตอวิชชาครอบไว้ทั้งดวง นั่นละไล่เข้าไปตรงนั้น เมื่อไล่เข้าไปตรงนั้นแล้ว สติปัญญาขั้นนี้ยิ่งเป็นขั้นละเอียดแหลมคมมากก็จะทนได้ยังไง เรื่องกิเลสทั้งหลายเคยทำลายมามากต่อมาก อวิชชาเป็นอะไรถ้าไม่เป็นกิเลส มันก็เป็นประเภทเดียวกันซึ่งควรแก่สติปัญญาที่จะต้องฟาดฟันหั่นแหลกกันให้แตกกระจายลงไปได้ เพราะฉะนั้นสติปัญญาจึงจ่อลงไปตรงนั้น นั่นละตัวกิเลสแท้อยู่ตรงนั้น
ฟาดลงไปหากิเลสแท้อยู่ตรงนั้น กิเลสตัวนั้นพังทลายแล้วอันใดไม่เป็นกิเลสทั้งนั้นในสามแดนโลกธาตุไม่มี กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลงไม่มี ไม่ว่ารูปว่าเสียงว่ากลิ่นว่ารสภายนอก ไม่ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณภายใน ไม่มีกิเลสไม่เป็นกิเลสทั้งนั้น มันเป็นกิเลสธรรมชาติอันเดียวนี่ เมื่อไล่เข้าไปตีเข้าไปด้วยอำนาจของธรรมจักร ตีเข้าไปจนกระทั่งถึงวิวัฏจักร เมื่ออวิชชาพังทลายลงไปแล้วก็เป็นวิวัฏจักร แตกกระจัดกระจายไม่มีอะไรเหลือภายในใจเลย นั้นแลท่านผู้หลุดพ้นท่านพ้นตรงนั้น พ้นจากวัฏจักรวัฏวนพาให้สัตว์ทั้งหลายหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลามานี้ พ้นที่หัวใจแต่ละดวง ๆ นั้น
นี่เราก็ผู้ปฏิบัติก็กำหนดพิจารณา เราก็เป็นนักโทษแห่งวัฏจักรเช่นเดียวกันกับโลกทั่ว ๆ ไป แต่มีโอกาสมากยิ่งกว่าบรรดาโลกทั้งหลาย เราเป็นพระเป็นนักปฏิบัติยังรู้ช่องทางแห่งการประพฤติปฏิบัติ การชำระสะสาง การแก้กิเลสการสังหารกิเลสมากยิ่งกว่าประชาชนญาติโยมทั้งหลาย ทำไมจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ล่ะ ต้องเอาให้จริงให้จังนักปฏิบัติ ฟาดลงไปอย่างที่ว่านี้ ให้แหลกแตกกระจายลงไป เมื่อเข้าถึงขั้นวิวัฏจักรได้แก่อวิชชาพังทลายลงไปแล้วเราไม่ต้องถามหาอะไรที่นี่ในโลกธาตุนี้ไม่มี นั่นฟังซิ
ผู้เดียวนี่เท่านั้นไปหมายว่าอันนั้นดีอย่างนั้นอันนี้ดีอย่างนี้ อันนั้นชั่วอย่างนั้น ดินฟ้าอากาศเขาไม่ได้ว่าอะไร ว่างหมดว่างจากสัตว์จากบุคคล ว่างจากทุกสิ่งทุกอย่าง ว่างจากสิ่งที่จะให้เป็นกิเลส ว่าเป็นหญิงเป็นชาย ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล ว่าเป็นเขาเป็นเรา ซึ่งเป็นทางเดินเข้ามาเพื่อความเป็นกิเลสนี้ว่างไปหมด ๆ จะว่ามีก็ได้ไม่ว่ามีก็ได้ ว่ามีก็ไม่หลงตัวเอง ไม่หลงสิ่งเหล่านั้น ว่าไม่มีก็ไม่หลงคำว่าไม่มี เมื่อรู้แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรเป็นกิเลส เมื่อจิตอวิชชาได้พังลงไปแล้วจิตจึงเป็นธรรมล้วน ๆ เมื่ออยู่ในขันธ์นี้ก็เรียกว่าจิตบริสุทธิ์ ออกจากขันธ์ไปแล้วท่านเรียกว่านิพพาน ก็มีเท่านั้น นี่ละวัฏจักรวิวัฏจักรอยู่ตรงนี้ ให้พิจารณาลงตรงนี้
อย่าไปตื่นลมตื่นแล้งแดดฝนฟ้าลมต่าง ๆ ต้นไม้ภูเขา หญิงชายทั่วโลกดินแดน ว่าที่นั่นเจริญที่นี่เจริญ มันเจริญด้วยวัฏจักรทำงานทั้งนั้น เวลานี้มันกำลังทำงานเร่งเต็มที่ ได้อันนี้แล้วไม่พอ ได้อันนั้นแล้วไม่พอ ๆ อยากได้นั้นอยากได้นี้ กิเลสมันผลักมันดันให้ดีดให้ดิ้นอยู่ไม่มีวันมีคืน มีมาแล้วมากเท่าไรความหมายไม่มีในความมีของตน ได้มากได้น้อยไม่มีความหมาย ความหมายไปอยู่กับของไม่มีโน่น จะเอาให้มีจะเอาให้ได้ ความหมายไปอยู่กับของไม่ได้ เพราะฉะนั้นโลกถึงร้อนมาก ความโลภนี้เป็นตัวสำคัญเป็นภัยอันสำคัญ
แล้วความโลภนี้มาจากไหน มาจากราคะตัณหาเป็นต้นเหตุอันสำคัญ อันนี้เป็นตัวหมุนเวียนอย่างหนักหน่วงถ่วงจิตใจมากที่สุด ฟ้าดินถล่มนั่นแหละ ธรรมชาตินี้ทำงานถึงขนาดฟ้าดินถล่ม ฟาดอันนี้พังลงไปก็ฟ้าดินถล่มเหมือนกัน เมื่ออันนี้ได้พังลงไปแล้ว ความโลภก็ไม่มี ความโกรธก็ไม่มี เบาลง ๆ จนกระทั่งถึงอวิชชาดับไปแล้วหมดไม่มีอะไรเหลือเลย นั้นละ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา กลายเป็น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ จนกระทั่งถึง นิโรโธ โหติ นี่ละเวลาดับ-ดับหมด ดับพร้อมกันหมดไม่มีอะไรเหลือ
แต่ท่านพูดเป็นแถวเป็นแนวไป เวลาปฏิบัติเราจะปฏิบัติเป็นแถวเป็นแนวไปอย่างนั้นไม่ได้ เหมือนกับเราไปนับกิ่งไม้นี่ ต้นไม้ต้นหนึ่งกิ่งก้านสาขาดอกใบมากขนาดไหน นับจนกระทั่งวันตายก็ไม่สิ้นไม่สุด ถ้าเราจะให้มันเสร็จสิ้นไปด้วยกันก็โค่นต้นไม้นั้นลง ถอนพรวดขึ้นมาทั้งรากแก้วรากฝอยพร้อมกันแล้ว ต้นไม้เหล่านั้นจะเป็นอันว่านับเรียบร้อยแล้วตายด้วยกันหมด นี่ อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ก็เหมือนกัน เมื่ออวิชชาดับแล้วเท่านั้น นี่ละรากแก้วคืออวิชชาดับลงไปแล้วอันนั้นก็ เตฺวว ไปเรื่อยเลย นิโรโธ โหติ ไปหมด
เมื่ออวิชชายังอยู่ก็ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ วิญฺญาณปจฺจยา นามรูปํ เรื่อยไป ถ้าธรรมชาตินี้ยังอยู่กิ่งก้านสาขาดอกใบก็มี อันนั้นก็มีอันนี้ก็มี ในอวัยวะของต้นไม้นั้นมีด้วยกันหมด เมื่อจิตอวิชชายังมีอยู่เท่ากับต้นไม้นั่นยังทรงต้นทรงลำอยู่ อะไรมันจะผลิดอกออกผลขึ้นมาเรื่อย ๆ ของมัน นั่นละมันต่อเนื่องกันไปอย่างนั้น
เวลาท่านอธิบายท่านแยกแยะไป เวลาปฏิบัติเราจะทำอย่างนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ฟังแต่ว่าเป็นอันขาด ต้องฟาดลงในวงปัจจุบันนี้เลย คือโค่นต้นมันนี่ เราอย่าไปมัวดูกิ่งนั้นกิ่งนี้ใบนั้นใบนี้ ให้ดูต้น ฟันลงไปที่ต้น หรือขุดลงไปที่รากเหง้านี้ พอรากเหง้านี้ถอนพรวดขึ้นมาแล้วนับไม่นับมันก็ตายด้วยกันหมด นี่ก็เหมือนกัน อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ไม่ต้องไปนับมัน ขุดค้นลงไปนี่ สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากคืออวิชชานี้ทิ้งหมดแล้ว นิจฺฉาโต ความหิวโหยดับสนิทไม่มีอะไรเหลือเลย หมด นี่ละเมื่อถอนรากมันแล้วเราไม่ต้องไปถอนละกิ่งก้านสาขาดอกใบ มันตายไปด้วยกันหมด นี่ละภพชาติดับที่จิตนี่นะไม่ดับที่ไหน วัฏจักรก็คือจิตของสัตว์โลกแต่ละดวง ๆ นี้
พิจารณาให้ชัด เอาให้เห็นจริงจัง พระพุทธเจ้าท่านสอนจริงเพราะท่านรู้จริงเห็นจริง ท่านรื้อวัฏฏะออกจากพระทัยท่านโดยสิ้นเชิงไม่มีเหลือ แล้วก็ประกาศกังวานให้แก่บรรดาสาวกตลอดบรรดาสัตว์ทั้งหลายมาถึงทุกวันนี้ ธรรมะเป็นโมฆะแล้วเหรอ จะมีราค่ำราคาหนาแน่นตั้งแต่กิเลสนั้นเหรอเราจึงไปสนใจแต่กิเลส เวลานี้โลกสนใจหันหน้าเข้ากิเลสนั่นซิ หันหลังให้ธรรมมันถึงเดือดร้อนมาก ใครอยู่ที่ไหนเดือดร้อนเต็มบ้านเต็มเมือง
แต่กิเลสมันให้มองข้ามนะ บ้านนั้นเจริญบ้านนี้เจริญ เมืองนั้นเจริญ เขาเจริญ คนนั้นเจริญ เขามียศถาบรรดาศักดิ์เขาเจริญ เขาน่าเคารพนับถือน่าอัศจรรย์น่าอิจฉา ว่าไป ๆ ความจริงไฟที่อยู่ในวัฏจักรคือหัวใจของแต่ละดวง ๆ นั้นเป็นอย่างไร นี่ถ้าดูอันนี้แล้วจะหงายทันทีเลย โลกไหนน่ะโลกที่มีความเจริญรุ่งเรือง มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ตลอดเวลาเอาความเจริญมาจากไหน นอกจากตื่นลมของกิเลสให้เป็นบ้าไปอีก แล้วยังจะตื่นต่อไปอีกนะ ถ้าไม่หันหน้าเข้าหาธรรมเสียเมื่อไรแล้วเป็นอันว่าจะนับวันเดือดร้อนวุ่นวาย มนุษย์มีมากเท่าไร มนุษย์นี้รู้ภาษีภาษา รู้ภาษีภาษาในการกว้านหากิเลสมาเผาตัวเองอีกด้วย นี่จึงเป็นทุกข์มากยิ่งกว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลาย
เราเป็นผู้มีธรรม กว้านเข้ามาธรรมะ ฟันลงไปกิเลสอย่าให้มันมีเหลือหลออยู่ภายในจิตใจนี้ เอาให้แหลกแตกกระจายแล้วไม่ต้องถามหาอะไรละที่นี่ คำว่าพออยู่กับความสิ้นกิเลสอย่างเดียวเท่านั้นพอหมด สิ้นกิเลสก็คือ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ กลายเป็น อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ ...นิโรโธ โหติ แล้วดับหมด ไม่ต้องการอะไรแล้ว นั่นท่านว่า นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต ดับความหิวความโหยความกระหายเสียโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว นั่นละบรมสุขอยู่ตรงนั้น ดับภพดับชาติดับตรงที่วัฏจิตวัฏจักรนี้ ให้เป็นวิวัฏจิตวิวัฏจักร
ธรรมะก็มีพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างถูกต้องแม่นยำ แต่เราไม่เห็นธรรมะเป็นสำคัญยิ่งกว่ากิเลสนั่นซีเวลานี้โลกถึงได้ร้อน ถ้าเชื่ออรรถเชื่อธรรม หมุนตัวเข้ามาสู่อรรถสู่ธรรม ไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระว่าเณร ฆราวาสก็ปฏิบัติตนตามหน้าที่ของฆราวาส มีศีลมีธรรม อย่างน้อยมีศีล ๕ เป็นเครื่องประกันตัว เป็นคุณสมบัติประจำตัว แล้วไปที่ไหนก็สงบร่มเย็น ๆ ประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี แก้ไขดัดแปลงสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายคือกิเลส มันอยากตรงไหนกิเลสอยู่ตรงนั้น มันอยากตรงไหนส่วนมากมีแต่กิเลสความชั่วช้าลามกอยู่ตรงนั้น ดับเข้ามา ๆ หักห้ามเข้ามาเรื่อย ๆ แล้วปฏิบัติธรรมเข้าไปโดยลำดับ จนกระทั่งมีความเคยชินต่อการประพฤติปฏิบัติตัวแล้วก็เป็นคนดีสงบร่มเย็น ๆ ตามฐานะตามเพศตามวัยของฆราวาส
ส่วนพระก็ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัวเอง กำจัดกิเลสให้มุดมอดออกไปจากจิตใจหมดแล้วเราจะหาความสุขที่ไหน บ่นก็ไม่บ่นไม่มีอะไรจะมาบ่นแล้ว นอกจากพูดเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เอ๊ วันนี้เหนื่อย ว่าไปตามกิริยาของขันธ์เท่านั้น ท่านไม่ได้ว่าอย่างถึงใจเหมือนกิเลสมีอยู่ในใจนะ ถ้ากิเลสมีอยู่ในใจอะไรถึงใจทั้งนั้น ๆ โลกจึงได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะความถึงใจทุกอย่าง เนื่องจากกิเลสมีอยู่ภายในจิตใจ ถอนกิเลสออกโดยสิ้นเชิงแล้วไม่มีอะไรเหลือไม่มีอะไรถึงใจ มีแต่ธรรมเท่านั้น ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ฉะนั้นขอให้ทุก ๆ ท่านตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ
ผมก็เป็นห่วงเป็นใย ปีนี้ตั้งแต่ปี ๓๘ เข้ามานี้ไม่เคยได้ประชุมเทศน์ให้หมู่เพื่อนฟังเลย ทั้ง ๆ ที่มีความเมตตาสงสารตลอดเวลา ครั้นมากำหนดดูธาตุดูขันธ์ อันนั้นก็อ่อนอันนี้ก็ยุบอันนี้ก็ยอบไป คิดอะไร ๆ ไม่ได้เรื่องได้ราว แล้วก็ปล่อยไปวันหนึ่ง ๆ ให้ผ่านไป ๆ สุดท้ายก็หดย่นเข้ามา ๆ ร่างกายสังขารนี้หดตัวเข้ามาเองนะค่อยเข้ามา ๆ ความรับผิดชอบทั้งหลายซึ่งเป็นสัญชาตญาณมันก็หดของมันเข้ามา ๆ สุดท้ายมาดูแต่เจ้าของ ดูเจ้าของจะดูเอาอะไรก็ไม่เห็นว่าจะเอาอะไร ดูสภาพของขันธ์อันนี้ขันธ์นอกขันธ์ใน ดูขันธ์เขาดูขันธ์เรา เมื่อมันหมดสภาพแล้วก็สลัดปัวะเดียวเท่านั้นไป เวลานี้ยังมีชีวิตอยู่มันก็อดห่วงเพื่อนฝูงไม่ได้จึงแนะนำสั่งสอน ให้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี
คำว่ากิเลสอย่าให้มันมาแหยมเป็นอันขาดนะ กิเลสนี่มันแฝงตัวขึ้นมากับพระกับเณรเรานี้รวดเร็วมากนะ กิเลสนี้จะมีคุณค่ามีราคาขึ้นมาทันทีธรรมตามไม่มัน เอะอะกิเลสออกก่อนแล้ว ๆ กิเลสอยู่ปากคอก ธรรมะอยู่ในคอกยังนอนไม่ตื่นเลย กิเลสเอาไปกินเสียก่อน ๆ อันนี้ละมันสำคัญที่ไม่ทันกิเลสนี่ เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรและธาตุขันธ์ก็อำนวยได้เพียงเท่านี้ ขอทุก ๆ ท่านตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยนี้หมดสิ้นไปจากจิตใจ คำว่าบรมสุขนั้นไม่ต้องถามกันแหละ เหมือนพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่าน ท่านไม่ได้ถามกันเลย สิ้นสุดวิมุตติหลุดพ้นพอแล้ว ๆ
เอาละพอ