นี่เป็นกาลเข้าพรรษาซึ่งเป็นเวลาว่างในกิจการหรือเครื่องกังวลใด ๆ เกี่ยวกับการไปทางโน้นทางนี้ มีอยู่กับที่และประกอบความพากเพียรโดยถ่ายเดียว เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านจงตั้งใจตั้งหน้าตั้งตาประกอบความพากเพียรของตนอย่าให้ด้อย หลักพุทธศาสนาทรงเน้นหนักลงทางด้านจิตตภาวนานี้เป็นอย่างมาก เราอยากจะพูดว่า ๙๕% เวลาท่านสั่งสอนภิกษุทั้งหลายนี้มีแต่เรื่องจิตตภาวนาล้วน ๆ แม้ที่สุดพระที่สนทนากันก็เหมือนกัน ไม่ปรากฏว่ามีเรื่องมีราวเรื่องกิเลสตัณหาประเภทต่าง ๆ เข้าไปเกี่ยวข้องยุ่งกวนในการพูดการสนทนาเลย
พูดออกคำใดมีแต่เรื่องจิตตภาวนาทั้งนั้น แล้วก็พูดเรื่องมรรคเรื่องผล เรื่องสถานที่เป็นที่บำเพ็ญในที่ต่าง ๆ พูดเรื่องประกอบความเพียรในสถานที่นั่นที่นี่เป็นความสะดวกสบาย ไม่ได้มายุ่งเหยิงวุ่นวายกับการบ้านการเรือน การซื้อการขายการได้การเสียนี้เลย อันนี้เป็นเรื่องของโลกเป็นเรื่องของวัฏจักรเป็นเรื่องของวัฏวนเขาหากหมุนหากเวียนของเขาอยู่อย่างนั้น ที่ใดมีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ก็คือใจนั้นแล โลกก็มีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องอยู่ ไม่มีอะไรเป็นที่อยู่ก็อยู่กับกิเลส อยู่กับเรื่องที่กล่าวนี้
เพราะฉะนั้นมนุษย์จึงไม่สงบในเรื่องราวต่าง ๆ เพราะกิเลสไม่เคยทำความสงบแก่ผู้ใด และไม่เคยทำให้ผู้ใดสงบได้แม้น้อยหนึ่ง นอกจากก่อเรื่องก่อราวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หัวใจแต่ละดวง ๆ จึงเป็นเหมือนฟืนเหมือนไฟเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา นอกจากเหลือทนเท่านั้นจึงจะมาระบายออก ส่วนที่สุมอยู่ภายในจิตใจนั้นเป็นไปได้ทุกดวง เว้นจิตของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านที่สิ้นกิเลสแล้วเท่านั้นจึงไม่มีสิ่งเหล่านี้เข้าไปยุ่งกวน นอกนั้นแล้วมีแต่สิ่งเหล่านี้ยุ่งกวนตลอดเวลา โลกจึงหาความสงบเย็นใจไม่ได้ ใครจะไปอยู่ในสถานที่ใด ว่าที่นั่นดีที่นี่เจริญ มันก็เจริญด้วยสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ไม่ได้เจริญด้วยความสงบเย็นใจ เจริญด้วยการวิ่งเต้นขวนขวายดีดดิ้นต่าง ๆ ด้วยอำนาจของสิ่งเหล่านี้มันผลักดันอยู่ตลอดเวลา ให้อยู่ด้วยความสงบเย็นใจไม่ได้
นี่เรามาบวชในพระพุทธศาสนา อย่านำเรื่องนี้มาครุ่นมาคิดให้เสียเวล่ำเวลาของการบำเพ็ญ เพราะสิ่งเหล่านี้เคยฝังอยู่ในหัวใจ หมุนหัวใจให้เป็นเหมือนฟุตบอลอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ควรจะอิ่มพอควรจะเข็ดจะหลาบกับความหมุนของธรรมชาตินี้ ที่ทำจิตใจให้เดือดร้อนวุ่นวายเพราะมันบีบบังคับ มันผลักดันให้คิดให้ปรุงนั้นแล เพียงเรานั่งสงบสักครู่หนึ่งเราก็จะทราบว่า ธรรมชาตินี้ผลักดันออกมาอย่างไรบ้าง อันดับแรกก็คือสังขารความคิดความปรุง มีธรรมชาตินี้แล ท่านว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ตัวหนุนให้คิดให้ปรุงตลอดเวลา เพราะหาผลประโยชน์แก่ตัวเอง
เราบวชมาในพุทธศาสนาและตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ โดยเป็นพระกรรมฐานด้วยแล้ว ยังจะติดจะพันจะคุ้นกับสิ่งเหล่านี้อยู่ไม่สมควรอย่างยิ่ง จงพากันเร่งความพากความเพียร ตัดสิ่งเหล่านี้ออกให้หมด ในวันเวลาหนึ่ง ๆ อย่าให้สิ่งเหล่านี้เข้ามาเกี่ยวข้อง ให้มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม คิดปรุงเรื่องใดให้เป็นเรื่องอรรถเรื่องธรรม อย่าให้มีสิ่งเหล่านี้เข้ามากวนใจจะหาความสงบเย็นใจไม่ได้
วันหนึ่ง ๆ ไม่มีธุระหน้าที่อะไร มีแต่การประกอบความพากเพียรอย่างเดียว ทำไมจิตจึงจะหาความสงบไม่ได้ หาความแยบคายไม่ได้มีอย่างเหรอ ถ้าธรรมเข้าตรงไหนแล้วความสงบร่มเย็นจะมีในตรงนั้น ขณะเดียวกันถ้ากิเลสไปตรงไหนแล้ว ความวุ่นวายส่ายแส่ ความทุกข์ความทรมานจะเป็นทางเดินของมันอย่างโล่งไปหมดเลย เวลานี้เรามักจะเปิดทางให้กิเลสเหล่านี้เดินอย่างสะดวกสบายตลอดเวลาหาการหักห้ามไม่ได้
นี่ก็ไม่ได้ประชุมมานานตั้งแต่วันเข้าพรรษา ปกติก็อยู่ตามเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ กิจการงานเราก็มากวันหนึ่ง ๆ หมู่เพื่อนก็มีเทปควรจะเปิดฟัง ฟังธรรมในเทปประกอบความเพียรไปในนั้นก็ยังได้ สมัยก่อนไม่มีเทป แม้สมัยพระพุทธเจ้าก็ไม่มี มาสมัยนี้มีเทปการเปิดฟังก็สะดวก ควรจะประกอบความเพียรด้วยการฟังเทป และให้สังเกตด้วยดีการฝึกทรมานตนเอง เรื่องอาหารปัจจัยต่าง ๆ ปัจจัยแปลว่าเครื่องอาศัย ดินฟ้าอากาศสถานที่นี่ก็พออยู่พอเป็นพอไป อาหารการบริโภคการขบฉันให้เป็นเรื่องของเจ้าของเป็นผู้สังเกตปฏิบัติต่อตัวเองโดยเฉพาะ คนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ถูก เป็นเรื่องของตัวเองที่จะสังเกต ในการประกอบความเพียรมันเกี่ยวกับธาตุขันธ์ คือธาตุขันธ์ทับ ธาตุขันธ์มีกำลังมักจะหนุนตัวราคะตัณหาออกมาเสมอ
ไม่เอาจริงเอาจังไม่ได้นะกิเลส อย่าชินกับกิเลสเป็นอันขาด เรื่องกิเลสนี้คือวัฏวน ถ้าจะเทียบแล้วก็เหมือนกระทะทอดสัตว์โลกให้หมุนอยู่ในวงนี้ ได้รับความทุกข์ความทรมานอยู่ตลอดเวลา เราไม่เห็นสิ่งที่เลิศเลอกว่านี้ เราก็เห็นกระทะกับน้ำร้อนนั้นว่าเป็นของเพลิดของเพลินไปเสีย โดยมีเหยื่อล่อสักนิดหนึ่ง ๆ พอให้ตกหลุมพรางของกิเลส แล้วก็ดีดกันไปดิ้นกันไปวันหนึ่ง ๆ
ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งวันตายไม่มีสาระอะไรติดเนื้อติดตัวเลยนั้นมีมากมนุษย์เรา เราเป็นคนประเภทไหนเป็นพระประเภทใด ขอให้นำมาทดสอบตัวเอง วันหนึ่ง ๆ มืดแจ้ง ๆ ผ่านไป ๆ คุณธรรมคือความสงบร่มเย็นและความแยบคายทางด้านปัญญา ได้เกิดขึ้นอย่างไรกับเราหรือไม่ ควรคิดให้มาก อย่าเคยชินกับกิเลส เคยผูกพันหัวใจเรามามากต่อมากนานแสนนาน และคอยทรมานเราให้ได้รับความทุกข์มามากแล้ว เวลานี้เป็นเวลาที่จะตัดสิ่งเหล่านี้ด้วยอรรถด้วยธรรม อย่าเสียดาย
ความอยากนี้เต็มอยู่ภายในจิตใจ อยากดูอยากรู้อยากเห็นอยากฟังอยากคิดอยากอ่าน มีแต่ความอยากอันเป็นเรื่องของกิเลสตกแต่งให้ทั้งนั้น แล้วเราก็เคยกับสิ่งเหล่านี้มาแล้วเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับความสงบร่มเย็นอย่างไรหรือไม่ ร้อยทั้งร้อยมีแต่ฟืนแต่ไฟเราก็ทราบอยู่แล้ว ความทุกข์ความฝืนความดีดความดิ้นทางความพากเพียรเป็นเรื่องธรรม เป็นทางเดินของธรรมเพื่อจะระงับดับสิ่งเหล่านี้ลงไป เราควรจะเข้มแข็งในความเพียรเหล่านี้ให้มาก
อย่าเสียดายอะไร ตาเคยดูมาแล้วตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งป่านนี้ หูจมูกลิ้นกายนี้เคยสัมผัสสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา เรียกว่าเราอยู่ด้วยความสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งภายนอกตลอดมา ผลประโยชน์ได้อะไร ก็มีแต่ผลประโยชน์ของกิเลสทั้งนั้นเราไม่เห็นได้อะไร ถ้าไม่ใช้ความระมัดระวังความกำจัดปัดเป่ามันออกไปจากจิตเสียเท่านั้นจะไม่เกิดผลเกิดประโยชน์อะไร นี่มาอยู่นี้ก็นานประกอบความพากเพียรได้เรื่องได้ราวอะไรบ้าง
มีแต่มืดกับแจ้ง ๆ เท่านั้นแหละโลกอันนี้ เราอย่าเข้าใจว่ายืดยาวนานหรือว่าสั้น มันมีมืดกับแจ้งนี้ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว มืดแจ้ง ๆ วันคืนปีเดือนก็ตั้งชื่อตั้งนามไปตามความมืดความแจ้งนี่เท่านั้น แต่เราก็ตื่นวันปีเดือน ไม่ตื่นเนื้อตื่นตัวในการที่จะสร้างคุณงามความดี จึงเป็นการลำบากในการตะเกียกตะกายที่จะให้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะทั้งปวง
ถ้านักบวชเราปฏิบัติตนไปไม่ได้แล้ว ไม่มีใครจะไปได้อย่างง่ายดาย เพราะนักบวชนี้โอกาสอำนวยทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างโลกเขายอมรับหมด ยังถือเป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่ยึดที่เกาะอีกด้วย ถ้าใครมีความเพียรมากมีความเด็ดเดี่ยวอาจหาญทางหลักธรรมหลักวินัยเท่าไร ก็ยิ่งเป็นที่เคารพเลื่อมใสของประชาชน ถ้าเราปฏิบัติต่อธรรมเหล่านี้ไม่ได้แล้ว มันก็หมดหนทางที่จะก้าวออกจากกองทุกข์ทั้งหลายได้
เพราะมาบวชนี้ เรียกว่ามาเว้นแล้วในกิจการงานทางโลกทุกด้านทุกทาง มีแต่การบำเพ็ญสมณธรรมอย่างเดียวเท่านั้น หากไม่ตั้งใจจริง ๆ แล้วก็จะจมอยู่นี้ตลอดไป ฟังว่าตลอดไป.....มีกาลยืดยาวนานเท่าไร เป็นอนันตกาลหากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ที่กิเลสจะอิ่มพอในการฉุดลากสัตว์ทั้งหลายให้จมอยู่ในวัฏฏะนี้ไม่มีทาง ฟังแต่ว่าตัณหา ๆ หิวโหยตลอดเวลา ความอิ่มพอของกิเลสไม่เคยมี นอกจากความอิ่มพอในธรรมเท่านั้นมี เมื่อพอแล้วมี เหมือนน้ำเต็มแก้ว เมื่อเต็มแล้วเอาน้ำที่ไหนมาเทก็ไม่ค้าง ธรรมเมื่อพอในหัวใจแล้วก็เป็นอย่างนั้น แต่กิเลสไม่เคยพอในหัวใจ มีเท่าไรยิ่งดีดยิ่งดิ้นยิ่งกระวนกระวาย ยิ่งกระเสือกกระสน ยิ่งหิวยิ่งโหยไปไม่หยุดไม่ยั้งก็คือเรื่องของกิเลส ท่านจึงเรียกตัณหาว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำเสมอด้วยตัณหานี้ไม่มี แม่น้ำก็หมายถึงแม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวง ให้เสมอตัณหานี้ไม่มี
เรื่องการเป็นห่วงหมู่เพื่อนนี่ผมเป็นห่วงมากเข้าทุกที ๆ นะ เพราะโลกนี้มันหมุนเป็นกงจักรเลยเดี๋ยวนี้.ไม่ใช่ธรรมดา มีแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้กันอยู่ทุกแห่งทุกหน เขาว่าโลกเจริญ ๆ ถ้าว่าโลกกิเลสนั้นยกให้ว่ามันเจริญจริง ๆ และนับวันจะเจริญขึ้นไปเรื่อย ๆ แผดเผาไปเรื่อย ๆ ที่คำว่าโลกเจริญนั้นเป็นความมุ่งหมายในทางที่ดีต่างหากนี่นะว่าโลกเจริญ ๆ มันเจริญอะไรถ้าไม่ใช่หลับตาดูกัน ๆ ปิดหูฟังกันอย่างนั้นจึงด้นเดาออกมาได้ว่าโลกมันเจริญ มันร้อนเป็นฟืนเป็นไฟไปหมดเพราะอำนาจของกิเลสตัณหา ไม่มีใครที่จะหันหน้าเข้าสู่อรรถสู่ธรรมเลย นี่ซิที่วิตกวิจารณ์มากนะ หันหน้าไปตามกิเลสทั้งนั้น กิเลสตีตลาดแหลกหมด ๆ โอ๊ย พูดแล้วสลดสังเวชนะ ก็มันเห็นอยู่จริง ๆ รู้อยู่จริง ๆ นี่จะให้ว่ายังไง พระพุทธเจ้านำอะไรมาสอนโลกไม่นำสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วเอาอะไรมาสอนโลก ก็นำสิ่งที่รู้ที่เห็นมาสอนโลกคือความจริง นี่เวลามันรู้มันเห็นมันเป็นอยู่ให้เห็นประจักษ์อยู่ในหัวใจ ๆ นี้แล้วจะให้ว่ายังไง จะไม่ให้พูดเหรอ
ฟืนไฟมันเผาไหม้อยู่เพราะอะไรเป็นต้นเหตุ มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้น ๆ เลยนะ มันไม่ใช่เรื่องอะไร มีแต่เรื่องของกิเลสทั้งนั้นประเภทต่าง ๆ มันแสดงออกมา ไม่ทราบว่ากี่ลวดกี่ลายหมุนติ้วในหัวใจของสัตว์โลก สัตว์โลกก็เหมือนควายตัวหนึ่ง ๆ ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยว่ากิเลสเป็นภัยนะ เพราะฉะนั้นมันถึงได้สนุกขยี้ขยำเอาสัตว์โลกให้แหลกแตกกระจายไปทั่วทิศดินแดนเวลานี้ มันไม่รู้กันนี่จะทำยังไง
จิตใจของเรานี้เวลาไม่รู้มันก็ไม่รู้จริง ๆ ถ้ารู้แล้วมันจะยอมให้เขามาตีหัวอยู่เหรอ รู้ว่าเขาตีหัวรู้ว่าเขาเป็นภัยต่อเราแล้ว มันก็ต้องสู้กันสุดเหวี่ยง อันนี้ถ้ารู้ว่ากิเลสเป็นภัยแล้วมันก็ซัดกันสุดเหวี่ยง แต่นี้มันไม่รู้ เหมือนควายตัวหนึ่งอย่างว่านั่นแหละ จะให้ทำยังไง คนเราโง่ต่อกิเลสเป็นอย่างนั้นแล ไม่ผิดกันอะไรกับควายตัวหนึ่ง มันกล่อมได้ขนาดนั้นละ ไม่มีใครถือว่ากิเลสเป็นภัยในโลกอันนี้เลย เราพูดหมดโลกเอาโลกมนุษย์นี่ เพราะรู้ภาษีภาษาบ้างพอจะรู้ได้ว่ากิเลสเป็นภัย แต่นี้มันไม่รู้เลยจะทำยังไง
ทั้ง ๆ ที่มนุษย์รู้ภาษีภาษาแต่ไม่รู้ว่ากิเลสเป็นภัย กิเลสคืออะไร สิ่งที่เป็นภัยต่อหัวใจให้ดีดให้ดิ้นอยู่เวลานี้ อะไรพาให้หมุนอยู่ภายในนั้นคืออะไร นี่มันไม่เห็นมันไม่รู้ มีแต่บืนตายไปตามที่มันลากมันเข็นไปนั่นซิ นี่ซิที่มันน่าทุเรศเอามาก ๆ นะ เราอย่าไปดูนะดูว่าคนมีคนจน คนชั้นนั้นชั้นนี้ ว่ามีความสุขความเจริญมียศถาบรรดาศักดิ์ มันตื่นลมปากกันเฉย ๆ หลักธรรมชาติไม่ได้เป็นไปตามนั้นนะ ไหนก็ไหนเถอะว่างั้นถ้าลงกิเลสนี้ได้บีบอยู่ในหัวใจแล้วจะเอาความสุขมาจากไหน
เศรษฐีก็ดิ้นอยู่กับความทุกข์ คนทุกข์คนจนก็ดิ้นอยู่กับความทุกข์ความทรมานใจ ชาติชั้นวรรณะใดก็ดิ้น ต่างคนต่างดิ้น เพราะถูกกิเลสบีบบังคับอยู่ด้วยกันหมด ใครจะเป็นคนพิเศษมาจากไหนในโลกอันนี้ไม่มี ถ้าไม่ฟาดกิเลสอย่างน้อยให้สงบตัวลงไป และให้รู้ว่ามันเป็นภัยบ้างพอประมาณนี้ก็พอหลบหลีกปลีกตัวกันได้ แล้วฟาดให้มันม้วนเสื่อลงไปเสียหมดแล้วสนุกดูถ้าว่าสนุกนะ แต่ท่านไม่สนุกน่ะซี เห็นความเป็นอยู่ของสัตว์มีแต่ปลงธรรมสังเวชเท่านั้นละ เห็นอยู่รู้อยู่แต่แก้ไม่ได้มันเป็นกรรมของสัตว์ ๆ นี่ซิที่สลดสังเวช
คำว่าดูก็คือว่าไม่มีอะไรปิด จึงว่าสนุกดู ปิดท่านได้ยังไงท่านเปิดหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างเปิดหมดเรื่องของกิเลสทำลายสัตว์โลก ทำลายมากน้อยกว้างแคบขนาดไหน สามไตรโลกธาตุนี้มีแต่กิเลสขยี้ขยำอยู่ตลอดเวลาทุกประเภทของสัตว์ แล้วที่เสวยกรรมอยู่ก็เสวยกันอยู่อย่างนั้นละ กรรมหนักกรรมเบากรรมมหันตโทษมหันตทุกข์ก็เสวยกันอยู่อย่างนั้น ก็เพราะอำนาจของกิเลสนี่เองเป็นผู้พาให้เป็น ไม่ใช่อะไรพาให้เป็น
สิ่งที่เป็นผลไปแล้วมันก็เป็นผล สิ่งที่กำลังสร้างอยู่ที่มันผลักดันที่มันบีบบังคับให้สร้างอยู่นี้ก็มีอยู่นี่ อยากอันนั้นอยากอันนี้ นั่นละเราไม่รู้ว่าความอยากนั้นมันคืออะไร มันคือตัวเป็นภัยหรือไม่ไม่ได้คิดได้อ่านซี อยากอะไรอยากดูก็ดู อยากฟังก็ฟัง อยากทำอะไรก็ทำ มีแต่ความอยาก ๆ ไม่เห็นพิษของความอยากนี้มันมาจากอะไร อะไรหนุนมันให้อยาก นี่ฉากหลังมันมีอยู่อย่างนั้น เมื่อรู้แล้วเห็นทั้งฉากหน้าฉากหลังจะว่ายังไง ตัวไหนเป็นตัวหนุนตัวไหนไม่หนุน
เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้วเอาไหนมาหนุน เอาอะไรมาอยากมันไม่มีนี่ ไม่มีอะไรจะอยากแล้วก็ไม่มีอะไรกวนใจ ว่างหมดแดนโลกธาตุนี่ ว่ามีหรือไม่มีก็ตามมันว่างไปหมดจะว่ายังไง ก็มีกิเลสเท่านั้นปิดบังหรือกีดขวางไว้ไม่ให้ว่าง ให้ดีดดิ้นอยู่นี่ แต่โลกไม่เห็นจะว่ายังไง นี่ซิจึงได้อัศจรรย์พระพุทธเจ้าว่าอุบัติขึ้นมาได้ยังไง ๆ บรรดาสาวกทั้งหลายเรา ๆ ท่าน ๆ นี่ก็ยังได้ยินได้ฟังอุบายวิธีการที่ท่านแนะนำสั่งสอนก็พอได้รู้เรื่องรู้ราวบ้าง นั่นไม่มีใครสอนเลยนี่
เราก็ทราบอยู่ว่าเป็นวิสัยของสยัมภูของพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์เป็นอย่างนั้น มันก็อดอัศจรรย์ไม่ได้นะ โห มันสลับซับซ้อนเอาจริง ๆ ไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวเลย ไม่ว่าประเภทใดของกิเลสจะไม่ให้สัตว์โลกรู้เลยแหละ เก่งขนาดนั้นแหละ คิดดูซิความโกรธตาดำตาแดง เราโกรธเขาโกรธได้ เขาโกรธเราโกรธไม่ได้ นั่นฟังซิ แต่เราโกรธเขานี่เอาตาดำตาแดงก็ได้ ฆ่าเขาก็ได้แต่เขาฆ่าเราไม่ได้เป็นยังไงกิเลส มันก็รู้กันอยู่ความลำเอียงของกิเลส ความเห็นแก่ตัวของกิเลส มันก็เห็นกันอยู่รู้กันอยู่ แต่มันไม่เห็นจะว่ายังไงจิต
การฆ่าเขาฆ่าได้แต่เขาฆ่าเราไม่ได้ การฉกการลักปล้นจี้ทุกประเภทที่จะควรได้มายังไง ทำได้ทำเขาแต่เขาทำเราไม่ได้ เป็นยังไงเรื่องของกิเลสเห็นแก่ตัวมากไหม เห็นแก่ได้มากไหม มันก็ไม่เห็นโทษของมันจะว่าไง ครั้นเห็นโทษแล้วมันก็มีเรามีท่าน มีของเขาของเราเป็นสัดเป็นส่วนละซี แต่นี้มันไม่เห็นนั่นซีจะว่าไง ไม่งั้นจะว่ามันโง่หรือมนุษย์เรา เราพูดมานี้เขาก็จะว่าเราเป็นบ้าอีกแหละ มันก็ยิ่งสองชั้นสามชั้น
เรื่องของกิเลสไม่ยอมใครง่าย ๆ นะ มันก็มีท่าต่อสู้ นี่หลวงตาองค์นี้พูดบ้าอะไรก็ไม่รู้ นั่นมันก็ไปอีก แล้วคนทั้งโลกมาว่าให้เราคนเดียวนี่ แล้วน้ำหนักจะไปทางไหน ก็ไปทางกิเลส กิเลสก็ได้เปรียบอีก พูดไม่ได้เสียดีกิเลสจะสนุก นั่น ถ้าพูดกิเลสก็โจมตีเอา ๆ ถ้าไม่พูดเสียกิเลสก็ได้เปรียบสนุกเพ่นพ่าน พูดเรื่องโทษของมันตรงไหน ๆ มันก็หาว่าเป็นบ้าไปเสียนี่จะว่ายังไง เพราะมันมากต่อมากนี่รุมเอา ๆ นี่ซีที่น่าสลดสังเวช มองดูตาปริบ ๆ ละพูดง่าย ๆ นะ โห ทุกฺขํ อนิจฺจํ
ทางออกของวัฏจักรนี้คืออะไร ก็พิจารณาหมดเต็มภูมิเต็มกำลังความสามารถ ยิ่งแก่มาเท่าไรจวนจะเป็นจะตายเท่าไรมันยิ่งหมุนหัวใจ มันเปิดออก ๆ มีแต่ความสลดสังเวช โถ ๆ แหละ ขึ้นอุทานในหัวใจ ทางออกจากวัฏจักรนี้คืออะไร กำแพงเรือนจำมี ออกจากกำแพงเรือนจำได้ยังไง มันก็สิ้นกรรมถึงออกได้ ไม่สิ้นกรรมออกไม่ได้ กำแพงของวัฏจักรนี้คืออะไร แล้วออกวิธีไหนกำแพงวัฏจักร
ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลงไปหาอวิชชาอันเดียวนั่นละ นี่ละกำแพงของวัฏจักร คือกิเลสนั่นเองพูดง่าย ๆ มันครอบไว้หมดสามแดนโลกธาตุนี่ มันเป็นกำแพงครอบไว้หมดแล้ว เราจะทำลายกำแพงนี้ออกได้ยังไง เราจะเอาตัวเราเล็ดลอดออกไปได้ยังไง มองหาอะไรมันก็ไม่มีที่จะออกได้เพราะเป็นเรื่องของมันหมด ที่จะให้อยู่ ๆ ให้จมอยู่กับมัน ไม่มีอะไรที่จะออกนอกจากธรรมอย่างเดียวเท่านั้น นี่ชี้นิ้วเลย มีธรรมอย่างเดียวเท่านั้น
เอา จะทำบุญให้ทานแบบไหนเอา ไม่ว่าจะให้ทานมากทานน้อย นี้ละทางออก นี้ละเครื่องทำลายกำแพงวัฏจักร ศีล ภาวนาคือคุณงามความดีทั้งหลายนี่มีเท่านั้น หมดแดนโลกธาตุนี่ไม่มีอะไรทำลายกำแพงของวัฏจักรนี้ได้ มีธรรมเท่านั้น เพราะฉะนั้นกิเลสกับธรรมจึงเป็นข้าศึกกัน กิเลสเป็นข้าศึกของธรรมอย่างยิ่ง มันไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวนี่ เราจะสร้างคุณงามความดีมันจะสร้างอุปสรรคขึ้นมาทันที ๆ ดูเอาในหัวใจใครก็รู้นี่ มันไม่ให้สร้าง หนาเท่าไรมันยิ่งดี มันมีหนาเท่าไรมันยิ่งไม่ให้ยินดีในศีลในธรรมเลย เห็นว่างมงายไปหมดเลย นั่นเห็นไหม เก่งไหมกิเลส
คนเสาะแสวงหาคุณงามความดี เข้าวัดเข้าวาจำศีลฟังธรรมเจริญเมตตาภาวนา กลายเป็นคนงมงายไปหมด เพราะกิเลสมันเฉียบขาดของมัน มันแหลมคมของมันพอแล้ว มันก็สนุกตำหนิติเตียนหรือเหยียบย่ำทำลายธรรมว่างมงายได้สบายปากสบายคอของมัน เป็นอย่างนั้นนะเวลานี้กำลังเริ่มแล้ว ท่านทั้งหลายฟังหรือยังเป็นอย่างนั้นแหละเวลานี้
ทั้ง ๆ ที่เรื่องธรรมนี่แหละที่จะทำลายเอาให้มันม้วนเสื่อลงได้ คือธรรมนี่ มันก็หาว่างมงายเห็นไหม มันมาลบคมเสียแล้ว ลบคมของธรรม ลบเหลี่ยมของธรรมไปแล้ว ผู้บำเพ็ญธรรมนั่นซีที่อ่อนแอท้อแท้ไปตามคำเขาตำหนิติเตียน จะไปวัดไปวาจะไปฟังธรรมจำศีลก็ลอบ ๆ มอง ๆ แอบ ๆ ซ่อน ๆ ไปละซี ออกไปแบบสง่าผ่าเผยไม่ได้ เพราะกิเลสมันหัวเราะเยาะเย้ย มันเป็นอย่างนั้นนะเดี๋ยวนี้น่ะ ไม่น่าทุเรศจะว่ายังไง มันสลดสังเวชจริง ๆ นี่
มันหนาแน่นขนาดนั้นละกิเลสของสัตว์โลก กำแพงของสัตว์โลกนี้หนา ต่างคนต่างสร้างกำแพงขึ้นกีดกันตัวเองไม่ให้ออกได้ ให้เป็นบ้าอยู่ในนั้นหมดเลย ต่างคนต่างสร้างเองนะกำแพงวัฏจักร ไม่มีอะไรมาสร้าง กิเลสอยู่กับหัวใจของทุกคน ต่างคนก็ต่างสร้างกำแพงอันหนาแน่นขึ้นภายในตัวเอง หาทางออกไม่ได้ก็ตายกองกันอยู่ ๆ ในวัฏจักรนี้กี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ ก็ตายกองกันอยู่นี้ไม่มีทางออก
ถ้าไม่มีธรรมเป็นเครื่องพานำออกแล้วยังไงก็หมดทางตลอดเวลา จะให้กิเลสอิ่มพอนี้ไม่มีทาง อยู่ในวัฏจักรนี้อิ่มพอแล้วเต็มตัวแล้ว สัตว์โลกออกไปได้แล้วไม่มีทาง ไม่ได้เหมือนนักโทษที่อยู่ในเรือนจำ ที่สิ้นกรรมของเขาแล้ว สิ้นกำหนดแล้วก็ออกได้ อันนี้ไม่มีคำว่าสิ้นกำหนด หมุนเรื่อยไปอย่างนั้นตลอดเลย นี้ซิที่น่าทุเรศเอามากนะ ต่างคนต่างสร้าง ๆ
เห็นศีลเห็นธรรมนี้เป็นของเหลว ๆ ไหล ๆ ไปแล้ว ของไม่มีสาระแก่นสาร เป็นเศษเป็นเดนไปหมด กิเลสเป็นตัวจริงขึ้นมา เราจะเห็นได้อย่างชัด ๆ อะไร ๆ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วจิตใจจะจดจ่อต่อเนื่องกันเป็นลำดับลำดา เอาจริงเอาจังทุกด้านทุกทางถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้ว เรื่องของธรรมนั้นไม่เอาไหน นี่ดูเอาในหัวใจของเราแต่ละคน ๆ ยิ่งกว้างขวางออกไปซึ่งคนไม่มีศาสนาเลยนั้นเป็นยังไง แม้แต่คนมีศาสนายังไม่อยากเอาเรื่องกับศาสนา จะเป็นจะตายจริง ๆ แล้วมาหลับครอก ๆ มาไหว้พระ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ก็ไม่จบแล้วหลับครอก ๆ ไปแล้ว ตื่นขึ้นมาก็วิ่งเป็นบ้าไปจนกระทั่งหลับ ๆ อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ไม่จบ ๆ เป็นยังไง
ถ้าหากว่าเป็นความจริงจังจริง ๆ ต่ออรรถต่อธรรมแล้ว ทำไม อรหํ ยาวขนาดไหนจึงไม่จบ มันจะจบไม่ได้เหรอ มันสวดมนต์ก็ไม่จบนี่เวลานี้ ถ้าเป็นเรื่องของกิเลส เอ้า หมุนกันทั้งวันทั้งคืนเอาเป็นเอาตายเข้าว่า นี่โลกกำลังเป็นอย่างนั้นเวลานี้ แล้วมีใครมาพูดวอก ๆ อยู่คนเดียวนี่ เขาก็หาว่าบ้าอีกหาว่างมงายอีก เดี๋ยวหาว่าตำหนิโลกอีก เราไม่ได้ตำหนิโลกเราตำหนิเรื่องความเป็นจริงของกิเลสที่มันทำลายโลกต่างหาก โลกเดือดร้อนเพราะสิ่งเหล่านี้ เราตำหนิตรงนี้เอง
โลกไม่ได้ชุ่มเย็นเพราะสิ่งเหล่านี้นะ..ความเดือดร้อน ใครก็ตามเข้ามาหามีแต่เรื่องกองทุกข์ทั้งนั้น ว่าข้ามีความสุขความสบายอย่างนั้นอย่างนี้ไม่เห็นมี รายไหนก็ดี มามีแต่เรื่องกองทุกข์ ๆ กองทุกข์มาจากไหนก็มาจากกิเลสอันนี้ ๆ จะไม่ให้พูดบ้างได้เหรอ ก็เราเป็นคนแนะนำสั่งสอนเพื่อเปลื้องทุกข์ให้คนจะไม่พูดบ้างเหรอ มันก็ต้องพูดละซิ โลกมันเป็นอย่างนั้น มันเพียบด้วยกองทุกข์นี่ เวลานี้โลกเราว่ามันมีความสุขความเจริญที่ตรงไหน มันเพียบด้วยกองทุกข์ ต่างคนต่างดีดต่างดิ้นอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสาร เรายังไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่เหรอว่าโลกมันตกนรกทั้งเป็น ในแดนมนุษย์เรานี้ก็ตกนรกแบบนี้ ลงไปเมืองผียิ่งจมไปอีกหาประมาณไม่ได้เลย นี่ซิมันน่าสลดสังเวชจริง ๆ
เรื่องของกิเลสมันจริงเอาเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เวลานี้จริงมากนะ จริงเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลยถ้าเป็นเรื่องของกิเลส แต่เรื่องของธรรมนี้เหยาะ ๆ แหยะ ๆ ทำบ้างไม่ทำบ้าง สุดท้ายก็ไม่ทำถ้าเรื่องของธรรม สิ่งที่จะฉุดลากเจ้าของออกจากแดนนรกหรือแดนวัฏจักรมันไม่สนใจเสีย มันไม่เห็นเป็นของสำคัญเสีย แต่สิ่งที่จะพาหมุนให้จมอยู่ในวัฏจักรนี้ตลอดไปนั้นมันถึงใจ มันหมุนติ้ว ๆ เลยจะทำยังไงพิจารณาซิ
ย่นเข้ามาถึงหัวใจของผู้ปฏิบัติอีก ถ้ามันหมุนไปตามรูปตามเสียงตามกลิ่นตามรสเรื่องกิเลสตัณหา มันก็เป็นบ้าไปอีกเหมือนกันนักปฏิบัติเราก็ดี ถ้าหมุนเข้ามาทางสมาธิทางปัญญาเพื่อความหลุดพ้นนี้ มันก็จะสลบไปแล้วละ มันไม่มีกำลังวังชามันอ่อนเปียกไปหมดจะว่ายังไง ดูเอาหัวใจเจ้าของนั่นซี เทียบข้างหน้าข้างหลังย้อนหน้าย้อนหลังซินักปฏิบัติ ไม่พิจารณาบ้างได้เรื่องอะไร หรือเห็นว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของเล่นไปแล้วหรือเวลานี้
นี่ละเครื่องทำลายวัฏจักรคือธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมนั้นแล เป็นเครื่องทำลายกงจักรของวัฏจักร ให้แตกกระเด็นออกไปจากหัวใจดวงนี้พอแล้ว ไม่ต้องไปทำลายที่ไหนทำลายที่หัวใจ มันมัดอยู่ที่หัวใจ มันหมุนอยู่ที่หัวใจ มันเผาอยู่ที่หัวใจ เมื่อธรรมโอสถได้ผ่านเข้าไปตรงนั้นฟาดแตกกระจัดกระจายไปแล้วม้วนเสื่อหมด กิเลสตัวไหนวัฏจักรไหนมาหมุนในหัวใจอีกไม่มี โล่งไปหมดถ้าว่าโล่งก็ดี ว่าเวิ้งว้างก็เวิ้งว้างไปหมดไม่มีอะไร เหมือนหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มี ไม่มีกิเลสเสียอย่างเดียวเท่านั้นเหมือนโลกไม่มี ก็เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมจะไม่ชี้นิ้วลงได้ว่า มีกิเลสอย่างเดียวเท่านั้นเป็นภัยต่อหัวใจของโลก
เมื่อกิเลสได้ม้วนเสื่อลงไปแล้วตัวไหนมาเป็นภัยไม่เห็นมี เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ก็รู้ เจ็บไข้ได้ป่วยก็รู้ แต่มันเป็นคนละฝั่งละฝามันเข้ากันไม่ได้ระหว่างจิตบริสุทธิ์แล้วกับธาตุขันธ์ที่มีความเจ็บแสบปวดร้อน เพราะมันเป็นเรื่องของสมมุติ รูปเป็นสมมุติ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เป็นสมมุติ เมื่อเป็นสมมุติแล้ว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ก็ไปตามกัน ๆ จิตที่บริสุทธิ์แล้วไปตามขันธ์ได้ยังไง มันเป็นคนละฝั่งละฝาอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ตาย จะตายแบบไหนก็ตาม พูดยันได้เลยจะไม่มีเสียท่าเสียทีเพราะกิริยาแห่งการตายนั้น เพราะการตายนี้เป็นไปตามวิบากขันธ์ บางองค์ก็จะตายด้วยความสงบของธาตุขันธ์ บางองค์ก็จะไม่สงบจะดีดจะดิ้นเป็นประเภทต่าง ๆ ตามวิบากกรรมที่เป็นมาต่าง ๆ กัน แต่จิตนั้นบริสุทธิ์แล้วจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้อง ขันธ์จะตายแบบไหนก็ตาม จะตายดิ้นเหมือนหมาบ้าก็ตาม เรื่องขันธ์มันดิ้นของมันต่างหากจิตที่บริสุทธิ์แล้วไปดิ้นหาอะไร นั่นมันเป็นคนละฝั่งละฝาอยู่นั่น เห็นกันชัด ๆ อย่างนั้น
แล้วมีอะไรมาเป็นข้าศึกสำหรับพระอรหันต์ล่ะ ไม่มี ท่านจะตายแบบไหนท่านตายได้อย่างสบาย ๆ ก็คือพระอรหันต์ตายนั่นเองจะเป็นอะไรไป เพราะมันเป็นคนละส่วนแล้วนี่ในธาตุในขันธ์อันนี้ นี่สมมุติ คือธาตุขันธ์อันนี้เป็นสมมุติ รูปกายนี้ก็เป็นสมมุติ เวทนา ความสุข ทุกข์ เฉย ๆ ซึ่งมีเกี่ยวพันกันกับร่างกายนี้ก็เป็นสมมุติ เพราะอันนี้มันเข้าไปหาใจไม่ได้ เวทนา ๓ นี่ สุข ทุกข์ เฉย ๆ นี่จะมีได้แต่ภายในกายของพระอรหันต์เท่านั้น ส่วนจิตพระอรหันต์เข้าไม่ได้ไม่มี ขาดสะบั้นไปหมดแล้ว เพราะอันนี้เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เป็นสมมุติ จิตนั้นเป็นจิตวิมุตติ เข้ากันไม่ได้ไม่ใช่ฐานะที่จะเข้ากันได้
สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็มุดมอดของมันไปตามสภาพของมันเท่านั้นเอง จิตที่บริสุทธิ์แล้วไปเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งเหล่านี้ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ตายแบบไหนก็ตาย ก็คือพระอรหันต์ตายนั้นแล ไม่เหมือนผู้อื่นผู้ใดตาย จะเอากิริยามารยาทมาเป็นเครื่องวัดเครื่องตวงกันอย่างนั้นไม่ได้ เพราะอาการของขันธ์มีต่าง ๆ กัน แม้แต่เราไสไฟเข้าสู่ฟืน กองฟืนมีประเภทต่าง ๆ กัน กิริยาแห่งการไหม้ฟืนไหม้กอไผ่อย่างนี้เป็นต้นนะ มันจะแสดงอาการต่าง ๆ กัน ว่าฟืนกองนี้เป็นยังไง มันจะแสดงแบบเดียวกันไหม ไม่ได้แสดงแบบเดียวกันถึงจะเป็นเปลวเหมือนกันก็ตาม กิริยาอาการของมันจะต่างกัน ๆ เพราะเชื้อไฟไม่เหมือนกัน
อำนาจแห่งวิบากกรรมมีมาอย่างไรที่เคยสร้างเคยเป็นมาแล้ว บางท่านบางองค์ก็สงบไปธรรมดา ๆ บางท่านบางองค์ก็มีดีดมีดิ้นเป็นไปธรรมดา เพราะวิบากกรรมอันนี้แก้ไม่ตกในเรื่องกรรม เกี่ยวกับเรื่องวิบากขันธ์สมมุติอันนี้ แล้วสิ่งเหล่านี้มันก็ตามได้แค่ขันธ์เท่านั้น ไม่ตามไปในหัวใจที่บริสุทธิ์ได้นี่นะ เพราะฉะนั้นท่านจึงไม่มีได้มีเสียกับสิ่งเหล่านี้
นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่ในหัวใจของผู้เป็นของผู้บริสุทธิ์ อริยสัจ ๔ นี้เป็นโรงงานอันใหญ่โตมากที่สุด ในแดนแห่งพุทธศาสนาเราก็คืออริยสัจ ๔ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค นี้เป็นโรงงานผลิตท่านผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาตรงนั้น ๆ ด้วยกันทั้งนั้น เวลานี้หายไปไหนหมดอริยสัจไม่มีเหรอ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรคไม่มีหรือในหัวใจของเรา ไม่นำมาใช้บ้างหรือมรรคสัจความคิดความดำรินี่ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป จนกระทั่งสัมมาสมาธิ ไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับหัวใจเราบ้างหรือ หรือมีตั้งแต่ นนฺทิราคสหคตา ตตฺร ตตฺราภินนฺทินี นั่นเหรอ เสยฺยถีทํ กามตณฺหา ภวตณฺหา วิภวตณฺหา นั่นเหรอที่มาพัวพันและบีบบังคับหัวใจเราทุกวันนี้
ธรรมไปไหนหมด ผู้ปฏิบัติธรรมทำไมจึงหลวมเอาอย่างจะเป็นจะตาย จนไม่มีราค่ำราคาแล้วเป็นยังไง หรือเห็นว่าศาสนาเป็นของเล่นไปแล้วหรือเวลานี้ เห็นเป็นของจริงแต่กิเลสนั้นเหรอ มันก็จริง เคยจริงมาตั้งแต่ไหนแต่ไรเหมือนกันแล้วกิเลสก็ดีธรรมก็ดี จึงเรียกว่าอริยสัจ ๆ ธรรมของจริง ๆ จริงด้วยกันแต่จริงไปคนละทาง
เราไม่ตั้งใจปฏิบัติเวลานี้จะเอาเวลาไหน โลกมันยิ่งรุ่มยิ่งร้อนยังจะเป็นบ้ากับเขาอยู่เหรอ ถ้าเราจะเอาตัวรอดก็เอาซี ธรรมะเครื่องดับไฟมีอยู่นี่ ถ้าไม่เอาเสียตั้งแต่บัดนี้จะเอาอะไร สิ่งเหล่านั้นเราเคยคลุกเคล้ากับมันมานานแสนนานแล้วได้ผลได้ประโยชน์อะไร ทำไมไม่เข็ดไม่หลาบ อันนี้ถ้าไม่ใช่กิเลสตัวหนึ่งจะเป็นอะไรไป ความเข็ดหลาบไม่มีนี่ มีแต่ความติดพันไปเรื่อย ๆ นี้ก็คือกิเลสตัวหนึ่ง จะให้เป็นตัวมาเหมือนช้างนั้นเหรอ นั่นละกิเลสเป็นอย่างนั้นแหละดูเอา
ความไม่อิ่มไม่พอในกิเลส ความจืดจางในศีลในธรรม มีแต่เรื่องของกิเลสตีเข้าไป ๆ ทั้งนั้น ความติดพันในกิเลสก็เป็นเรื่องของกิเลสอีกทีหนึ่ง ๆ เห็นไหมมันซ้อนกันเข้าไปอย่างนั้น พูดแล้วมันสลดสังเวชจริง ๆ นะนี่ ไม่ได้พูดธรรมดานะ เพราะไม่ได้พูดแบบอุตรินี่นะ พูดอย่างจริงอย่างจัง มันรู้จริง ๆ จะให้ว่ายังไง เวลาไม่รู้ก็บอกไม่รู้ แล้วเวลารู้แล้วจะให้ว่ายังไง ก็นำมาสอนอย่างนี้ให้รู้เรื่องตามแถวแนวที่สอนไปนี้ก็แล้วกัน
เอ้า เราตายไปแล้วคำพูดเหล่านี้จะปลอมหรือจะจริงจะกังวานขึ้นในหัวใจนั่นจะไปไหน ขึ้นในหัวใจของเรานั่นแหละ เรื่องกลมายาของกิเลสมันละเอียดแหลมคมขนาดไหนนี้ แหม พรรณนาไม่จบนะ โน่น เวลามันเข้าวงในกันโน่นมันยิ่งชัดเข้าไป ตั้งแต่สติปัญญาอัตโนมัติไป ภาวนามยปัญญาพูดง่าย ๆ พอขั้นภาวนามยปัญญา อาศัยสิ่งสัมผัสก็ตามไม่สัมผัสก็ตาม เรื่องภาวนามยปัญญาจะสร้างตัวเองขึ้นเอง เป็นขึ้นเอง ๆ จนกระทั่งกลายเป็นมหาสติมหาปัญญา นั่นละที่นี่จึงได้ดูวงของกิเลสระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันเป็นยังไง เอามาพูดเป็นภาษาเราไม่ได้ เป็นได้เฉพาะภาษาของกิเลสกับธรรมในหัวใจของผู้เป็นนี่เท่านั้น อันนี้เคยเป็นไหมเคยมีไหม มันอยู่ในหัวใจดวงใดบ้าง ถ้ามันเป็นก็รู้เองถ้าไม่เป็นไม่รู้ คาดไม่ถูกด้นเดาไม่ได้ธรรมชาติอันนี้
นี่ละพระพุทธเจ้าท่านทรงรู้ทรงเห็นธรรมรู้เห็นด้วยวิธีรบ ด้วยวิธีต่อสู้กันแบบนี้เอง กิเลสเวลาเข้าไปละเอียดเท่าไรมันยิ่งละเอียด ๆ สติปัญญาก็ยิ่งละเอียดยิ่งตามกัน ๆ จึงได้เห็นความสลับซับซ้อนของกิเลสว่าเก่งขนาดไหนนี่ซิ แล้วมาดูกับพวกเราเซ่อ ๆ ซ่า ๆ อย่างนี้มันเข้ากันได้ไหมล่ะ ไปที่ไหนก็ได้เตือนอยู่เสมอ กิริยามองเห็นพับสะดุดตาแล้ว ฟังพับสะดุดหูแล้ว มันขัดมันแย้งกับอรรถกับธรรม เป็นฝ่ายของกิเลสเสียทั้งหมด ๆ นี่มีแต่เรื่องเซ่อ ๆ ซ่า ๆ มันไม่ทันกันซิ
ธรรมพระพุทธเจ้านี้สด ๆ ร้อน ๆ นะ เรียกว่าตลาดแห่งมรรคผลนิพพานคือศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า เอ้า ก้าวไปตามนี้เถอะไม่เป็นอย่างอื่น เราอย่าเชื่อใครเชื่อพระพุทธเจ้าศาสดาองค์เอกนี่ เชื่อธรรมที่ท่านสอนไว้นี้ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เราจะเป็นผู้ทรง ได้ยินแต่ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ แต่ก่อนว่าเป็นสรณะของเรา ให้เราเห็นเป็นสรณะของตัวเองนี่ซิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ คือใคร คือเราเป็นผู้ทรงเสียเอง ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ เมื่อปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วไม่เป็นอย่างอื่น ถึงขั้นหมุนนี่ติ้วเลย
เวลาล้มลุกคลุกคลานอย่างนี้ก็มีแต่กิเลสตีเอา ๆ มีแต่แพ้ ๆ ๆ หมุนเรื่อยไม่ถอย ไม่ได้แบบนี้เอาแบบนั้น ไม่ได้วิธีนี้เอาวิธีนั้น พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมซิจึงเรียกว่านักรบ จึงเรียกว่านักสู้ จึงเรียกว่าปัญญา จะเอาแบบทื่อ ๆ เซ่อ ๆ ไม่ได้นะ ไม่ทันกับกิเลสนะ เวลาพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมหลายหนหลายครั้งเข้า มันก็มีบทกิเลสเผลอจนได้นั่นแหละ
เพราะธรรมะผลิตขึ้นมาเรื่อย ๆ สักเดี๋ยวก็เป็นหมัดขึ้นมาแหละต่อยกิเลสหงายลงไป ๆ เมื่อเห็นกิเลสหงายหนหนึ่งแล้วก็ได้หลักได้เกณฑ์แล้วที่นี่ หือ กิเลสมันก็หงายได้เหมือนกันเหรอ นึกว่ามีแต่มันเอาเราหงาย เราก็เอามันหงายได้เหมือนกัน ขึ้นแล้วที่นี่ต่อสู้กัน หมุนติ้ว ๆ เข้าไป จนกระทั่งถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ นี่เป็นหลักธรรมชาติเองนะนี่ ใครเข้ามายุ่งไม่ได้เลย เป็นหลักธรรมชาติของผู้ปฏิบัติธรรมจะเป็นขึ้นในตัวเอง หมุนติ้ว ๆ ๆ แล้วเร่งเข้าด้วยนะ นี่ละเรียกว่าคลี่คลายวัฏจักรวัฏจิตออกจากใจ
แต่ก่อนมันเป็นวัฏจิตกิเลสผูกมัดจิตใจของเราไว้อย่างแน่นปึ๋งเลย ทีนี้พอถึงขั้นนี้แล้วเป็นขั้นที่คลี่คลายออกละที่นี่ หมุนออก ๆ กิเลสหมุนเข้าไปฉันใดธรรมะประเภทนี้ก็หมุนออกฉันนั้น เป็นอัตโนมัติอยู่บนหัวใจดวงเดียวกันนั้นแหละ หมุนเข้าเรื่อยเร่งเข้าเรื่อย หมุนเรื่อยเร่งเข้าเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาเป็นธรรมจักรไปเลย เราจะมาพูดว่าวิธีต่อสู้กับกิเลสประเภทนี้ประเภทนั้นต่อสู้ยังไงวิธีไหน พูดไม่ถูกพูดไม่ได้ แต่เป็นอยู่ในกับหัวใจของผู้รบกับกิเลสประเภทนี้ ประเภทละเอียด หมุนติ้ว ๆ ๆ
เมื่อขาดสะบั้นออกหมดแล้วเป็นยังไงที่นี่ นั่นละพระพุทธเจ้าทรงอุทาน พระสาวกทั้งหลายอุทาน เช่น สุขํ วต สุขํ วต พระพุทธเจ้าอุทานก็เหมือนกัน อย่างแสดงให้เบญจวัคคีย์ทั้งห้าฟัง ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ, อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ญาณความรู้แจ้งเห็นจริงและความรู้ความเห็นอันอัศจรรย์ของเราได้เกิดขึ้นแล้ว อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเรานี้ไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ นี่เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว การเกิดอีกเป็นอีกเป็นภพเป็นชาติอย่างนี้อีกไม่มีแล้ว นั่นอุทานสอนเบญจวัคคีย์ทั้งห้าจะว่ายังไง
นั่นละพระพุทธเจ้าเห็นเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นประกาศป้าง ๆ ขึ้นได้เลย เป็นของจริง ให้มันได้เห็นในหัวใจเจ้าของบ้างซิการปฏิบัติธรรม เพราะธรรมสด ๆ ร้อน ๆ จริง ๆ เหมือนกับกิเลสสด ๆ ร้อน ๆ นี่นะ กิเลสความโลภ ความโกรธ ความหลง สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าครึว่าล้าสมัยกาลนั้นสมัยนี้ คิดเมื่อไรได้เมื่อนั้นเพราะมันมีอยู่ในหัวใจแล้ว
เรื่องธรรมก็เหมือนกันคิดเมื่อไรได้เมื่อนั้นเพราะมีอยู่ในหัวใจเช่นเดียวกัน เป็นแต่เพียงว่าสู้อำนาจของกิเลสไม่ได้เท่านั้น เพราะฉะนั้นเราจึงต้องผลิตขึ้นมา ๆ ดีดขึ้นมาดิ้นขึ้นมาสู้กันเรื่อย ๆ ระหว่างธรรมกับกิเลสซึ่งอยู่ในหัวใจดวงเดียวกัน ต่อไปก็สู้กันได้ซิ เมื่อสู้กันได้แล้วทีนี้เขียนใบตายให้กิเลสเป็นลำดับลำดาเลย กิเลสประเภทนี้จะตายระยะนั้น ๆ เรื่อย ๆ เขียนใบตายให้มันเหมือนกับมันเขียนใบตายให้เราแต่ก่อน ความเพียรก็ตาย สมาธิก็ตาย ปัญญาก็ตาย ความอุตส่าห์พยายามทุกด้านทุกทางตายหมด มีแต่กิเลสฟัดเอา ๆ เผาเราด้วย กุสลา ธมฺมา ด้วยความฉลาดของมัน เราตายไปเรื่อยด้วยความโง่ของเรา
ทีนี้เวลาถึงกาลของเราแล้วก็ กุสลา ธมฺมา ให้กิเลสละที่นี่ เอากิเลสให้มันอยู่ อยู่ในเงื้อมมือ ๆ เขียนใบตายให้มันเรื่อย ถึงวิมุตติหลุดพ้นได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา ดับพึ่บหมด เป็นยังไงที่นี่....จ้า นั่นละซากของกิเลสซากสุดท้าย อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ เป็นชาติสุดท้าย เอวเมตสฺส เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ ดับหมดถึงเวลาดับแล้ว
เอานะเอาให้จริงให้จังนะ สด ๆ ร้อน ๆ แท้ ๆ ธรรมะนี่นะ อยู่ที่หัวใจเหมือนอย่างที่พูดนั่นน่ะ เหมือนน้ำในบึงในบ่อจอกแหนมันปกคลุมอยู่บาง ๆ เท่านั้น แล้วน้ำอยู่ในนั้นมีมากเท่าไรก็มองไม่เห็น ก็มีแต่กิเลสออกหน้าออกตาออกตลาดตเลเวลานี้...จอกแหนมันอยู่ข้างบนซี นี่กิเลสมันอยู่ข้างบนหัวใจอยู่ข้างบนธรรม จึงว่าเปิดออก ๆ ด้วยความเพียรมีวิธีการต่าง ๆ ฟาดมันลงไป จนกระทั่งมันหมดจอกหมดแหนแล้วไม่ต้องถามหาละน้ำจ้าขึ้นเลยทีเดียว นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
มันกุดมันด้วนเข้าเรื่อย ๆ ละนะกรรมฐานเรา ผมก็พยายามที่สุดที่จะให้หมู่เพื่อนได้ปฏิบัติตัว ได้รับความสะดวก แต่ในขณะเดียวกันก็จะทำยังไงมันเป็นเอง เกี่ยวข้องกับประชาชนญาติโยมพระเณรทั้งใกล้ทั้งไกลเข้ามาเกี่ยวข้องกับผม ก็เกี่ยวข้องกับหมู่จนได้ ต้องได้ต้อนรับปฏิสันถารกันแล้วก็ทำให้เสียเวล่ำเวลาไป นี่ผมคิดจนเต็มหัวอกเหมือนกันแต่มันแก้ไม่ตกจะทำยังไง เพราะฉะนั้นเราจึงต้องให้มีแยกมีแยะของเรา เวลาทำอันนั้นก็ทำ หัวใจกับธรรมนี้ก็ไม่ถอย ให้มีฝั่งมีฝาเอาไว้เสมออย่าเหลว ๆ ไหล ๆ ให้มีเขตมีแดน นั่นเขตเขานี่เขตเรา นั่นเรื่องนอกนี่เรื่องในให้มีข้อบังคับกันไว้เสมอ
อยากให้หมู่เพื่อนได้รู้นั่นซี ดังเคยพูดให้ประชาชนญาติโยมฟังก็เคยพูดแล้ว เรื่องความเป็นของจิตที่เวลาได้รู้แล้วมันเป็นอย่างนั้นนะ ดังยกตัวอย่างขึ้นมา คือให้เห็นทางชั่วอย่างเปิดเผยตามหลักความจริงที่มี อะไร ๆ มียังไงเอาให้เห็นให้หมด เปิด ๕ นาทีเอ้าให้ดู.....จ้าเวลานั้นในทางชั่วทั้งหลาย ตั้งแต่นรกอเวจีขึ้นมาจนกระทั่งถึงสัตว์ทั่ว ๆ ไปที่เสวยกรรมอยู่ตามสภาพของตนในที่ทุกแห่งทุกหนไม่มีว่างนะ นี่ให้เห็นหมด จากนั้นก็ปิดกึ๊บอันนี้ก็เปิดทางด้านความดี เอ้า ที่นี่ความดีตั้งแต่พื้น ๆ ไปเรื่อย ๆ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติเรื่อยถึงนิพพานสมบัติ..จ้าอีกเหมือนกันอีก ๕ นาที พอปิดกึ๊บเท่านั้นละ หมดเวลาแล้วปิดกึ๊บเท่านั้น ทีนี้ยังไงก็เรื่องความเพียรนี้เอาตายว่าเลย
ได้เห็นชัดเจนแล้วประจักษ์ตาทั้งสองอย่าง ถึงใจทั้งสองอย่างแล้ว ฝ่ายชั่วก็นรกอเวจีเป็นสำคัญ ฝ่ายดีก็นิพพานเป็นสำคัญได้เห็นประจักษ์หัวใจแล้ว จากนั้นแล้วดีไม่ดีจะสลบเป็นไรไปไปเห็นมาจัง ๆ นี่ แล้วความเพียรนี่ เอ้า เป็นก็เป็นตายก็ตายถอยไม่ได้แล้วเท่านั้นละ เราจะไปจมอยู่อย่างนี้จมได้ยังไง เพราะสิ่งที่กระหยิ่มยิ้มย่องให้เห็นอยู่ก็คือนิพพาน เห็นชัด ๆ อยู่นี้เป็นยังไง แล้วเราจะถอยได้ยังไง นี่ละที่ว่าความเพียรเอาตายว่าเลย นอกนั้นไม่มีความหมาย อะไรไม่มีความหมาย นอกจากกิเลสพัง ๆ กิเลสไม่พังเอาตายเข้าว่าเลย นั่นละเมื่อธรรมถึงใจเป็นอย่างนั้น
ผู้ปฏิบัติบำเพ็ญก็เหมือนกันเมื่อธรรมเข้าถึงใจแล้วดังที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ได้หมุนตัวติ้ว ๆ เป็นอัตโนมัติเป็นหลักธรรมชาติแล้วยังไงก็ถอยไม่ได้ มีแต่ตายเท่านั้นละ ท่านประเภทเหล่านี้ประเภทถอยไม่ได้นะที่กล่าวเหล่านี้ เมื่อก้าวเข้าไปสู่ขั้นอนาคาซิถอยไม่ได้แล้วนี่ หมุนติ้ว ๆ มีแต่พุ่ง ๆ ๆ ทะลุปึ๋ง ทีนี้มองย้อนหลังเรื่องความเป็นของเจ้าของก็ดูแล้วรู้แล้ว เรื่องแต่ก่อนเป็นยังไงล้มลุกคลุกคลานมืดดำกำตา ทำความเพียรก็งุ่มง่ามต้วมเตี้ยม แล้วกับเวลานี้เป็นยังไง ทีนี้มองดูโลกอีกเป็นยังไงผู้ไม่เคยสนใจกับอรรถกับธรรมเลยก็มีมากต่อมาก ยิ่งเลวยิ่งกว่าสัตว์อีก เลยงุ่มง่ามต้วมเตี้ยมไปเป็นอะไรก็ไม่รู้ มันก็เห็นหมดละซีเมื่อมันกระจ่างออกไปแล้ว
ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมมืดบอดนี่นะ ธรรมกระจ่าง จึงเรียกว่าโลกวิทูธรรม สว่างจ้า อาโลโก อุทปาทิ สว่างจ้าอยู่อย่างนั้น ไม่ใช่ธรรมมืดบอดมาสอนโลกนี่นะ เราจะไปทำแบบมืด ๆ บอด ๆ มืดดำกำตาอยู่เฉย ๆ ได้เหรอ มันต้องจริงต้องจังเอาให้เด็ดซิ เป็นยังไงก็เป็นกันเถอะเรื่องความทุกข์ความทรมานในการต่อสู้กับกิเลส กิเลสนั่นแหละทำให้เราทุกข์น่ะ ธรรมท่านไม่ได้มาทำให้เราทุกข์
ทำความเพียรมันลำบาก ลำบากซิกิเลสมันกีดมันขวาง ฟาดมันลงไปตรงนั้น นั่นละกิเลสมันแทรกอยู่นั้นเราไม่เห็นนั่นซี ทำอะไร ๆ ก็ลำบากลำบน ๆ ตัวลำบากลำบนมันคืออะไร คือกิเลส....เราไม่รู้จะว่าไง เมื่อเวลาจิตเปิดแล้วมันรู้กันไปหมดละซี มันไม่มีความขี้เกียจอ่อนแอนี่เมื่อถึงขั้นแล้ว เพราะฆ่ามันแหลกไปหมดแล้ว ตัวขี้เกียจอ่อนแอหมดไปแล้ว ก็มีแต่จะเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเท่านั้น
เอาละพอ
พูดท้ายเทศน์
แต่ก่อนป่าหาที่ไหนก็ได้ ๆ มาทุกวันนี้ป่าหาที่จะภาวนาก็จะไม่มี ตัดเข้ามา ๆ ไปที่ไหนก็ต้องได้มีจุดมีดอน แต่ก่อนไม่มีจุดหมายปลายทางที่ไหนอยู่ได้ทั้งนั้น ทุกวันนี้ต้องไปหาจุดนั้นตรงนั้นตรงนี้ ก็ดีอยู่ที่เขาเปิดโอกาสให้พระอยู่ในป่าในเขา ถวายที่ให้พระอยู่ในป่าในเขาให้พระรักษาป่า ก็ดีซิพระรักษาป่า ผมยังวิตกคราวที่แล้วนี้สัก ๒ - ๓ ปีย้อนหลังที่เขาไล่พระออกมาจากป่า หือ จะเอาให้หมดจริง ๆ เหรอศาสนาจะหมดแล้วเหรอ ถ้าลงไล่พระออกมาจากป่าแล้วศาสนาหมด มีแต่ตำราเท่านั้นละ ศาสนามรรคผลนิพพานหมดความหมาย จะทำลายศาสนาพุทธเราเดี๋ยวนี้เทียวเหรอ แผดบ้างละผมใส่ผู้ใหญ่ ๆ ในกรุงเทพ คงจะไปเตือนกันถึงได้เปลี่ยนภาพพจน์กันใหม่ ความจริงแล้วศาสนาพุทธกับป่าเป็นคู่เคียงกัน แยกกันไม่ออก เพราะพระครั้งโน้นกับครั้งไหนก็อยู่ป่าตามพระโอวาทสอนไว้ทั้งนั้น
ผมเอาจริง ๆ นี่ เหมือนกับว่าเสร็จ ๆ สิ้น ๆ จะไม่มีอะไรเหลือแล้ว มรรคผลนิพพานผู้ทรงมรรคทรงผลจะหมดไปพร้อม ๆ กันเลยถ้าลงไล่พระออกจากป่าแล้ว เทวทัตมาจากไหนมาขับไล่พระออกจากป่าจากเขาน่ะว่างั้นนะเรา เพราะมันผิดนี่ ใครผิดก็ขับไล่ออกเป็นรายบุคคลซิ จะขับไล่ออกหมดมันผิดนี่ นี่ละความโลภเห็นไหมล่ะ ไม่ใช่กิเลสจะเป็นอะไรไป จนมองไม่เห็นศาสนาเลย ไล่พระออกจากป่าแล้วก็ไปขนไม้จากป่า พระเห็นกลัวพระจะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ซิ
ที่น่าวิตกอยู่มากเวลานี้ก็คือเกลือ ผมน่ะวิตกมากจริง ๆ ถ้าป่าหมดเมื่อไรเกลือขึ้นละ เมืองไทยเรานี่ขึ้นได้ทุกแห่ง ๆ ถ้าเว้นก็เว้นทางภาคกลางเพราะเป็นพื้นที่ของทะเลอยู่แล้ว อันนี้ยังไงก็ขึ้นได้เกลือ มันอยู่ใต้ พอแห้งข้างบนนี้เกลือก็ขึ้น ๆ พอเกลือขึ้นทีนี้ทำอะไรไม่ได้นะ ที่ทุ่งไร่ทุ่งนาเรามีก็เพราะมีน้ำไหลผ่านมาอยู่เรื่อย น้ำก็เพราะมีป่านั่นซิ ไม่มีป่าน้ำก็ไม่มีแหละ ไม่มีน้ำไหลผ่านมันก็กลายเป็นทุ่งเกลือไปหมดแหละจะว่าไง เขาทำนาเกลือ ๆ ที่ไหนเขาทำได้หมดเพราะไม่อดนี่เกลือ
ถ้าหากไม่สงวนป่าเอาไว้เพื่อเป็นที่ชุ่มเย็นให้น้ำได้มีแล้วก็ไหลผ่านมาหล่อเลี้ยงแผ่นดินไว้ เกลือก็จะขึ้น เพราะเกลือมันกลัวน้ำเท่านั้นแหละ เห็นไหมเจาะในวัดเรานี่ไปโดนภูเขาเกลืออยู่ใต้ดิน ที่ซื้อป่าไว้มาก ๆ ก็เพื่อความสะดวกของพระเราจะทำกรรมฐานทางโน้นได้มาก ทางนี้ต่อไปถ้ามีเงินเขาจะขายเราก็จะซื้อไว้หมดนั่นแหละ ให้เป็นป่าตามเดิม ซื้อไว้ให้เป็นป่าตามเดิม นี่เห็นไหมน้ำจนจะไม่มีทำไร่ทำนา แต่ก่อนไม่เคยมีนะ เห็นแล้วนี่ แต่ดงหนาแน่นอยู่นี่มันท่วม ๆ มองไปทุ่งนานี้ขาวเปรี๊ยะ ๆ ทีนี้พอป่าหมดแล้วเป็นยังไง ก็อย่างนี้แล้วให้เห็นประจักษ์อยู่นี้จะว่าไง จะทำไร่ทำนาก็จะไม่ได้ทำ แห้งผาก ๆ
นี่เขาได้เห็นชัดเจน พวกที่อยู่ทางฝั่งแม่น้ำโขงเขาเชื่ออย่างฝังใจเลยเขาเห็นประจักษ์ ฝนตกมองเห็นเม็ดฝนอยู่ทางฝั่งนั้นแต่ไม่มาทางฝั่งเรา ตกเห็นเม็ดฝนอยู่ซ่า ๆ ๆ ก็มันเป็นดงทั้งหมดนี่ทางนั้น ฝนตกดีเหลือเกินทางโน้น ที่อยู่ใกล้พอลมพัดมาก็พอได้อาศัยบ้าง มันต่างกันอย่างนั้นนะมีป่ากับไม่มีป่า หมดเข้า ๆ เมืองไทยเราจะไม่มีป่าเหลือ จะเป็นทะเลเกลือแล้ว โห ถ้าเป็นทะเลเกลือเก่งกว่าทะเลทรายอีกนะ นี่ว่ากันว่าจะเป็นทะเลทราย ทะเลทรายตายอะไรมันจะเป็นทะเลเกลือเราค้านได้จัง ๆ เกลือจะขึ้นอย่างทันทีเลย มันมีอยู่ทุกแห่งทุกหน
เห็นไหมต้นไม้อยู่ตามท้องนาปลายกุดปลายด้วนเข้ามาแล้วเห็นไหม นั่นละเกลือข้างล่างมันขึ้นแล้วนะนั่น รากไม้ที่มันหยั่งลงไปข้างล่างไปโดนเกลือแล้วตายจากข้างบนก็เห็นได้ชัดอย่างนั้น ตามท้องนาของเขาที่ยังมีอยู่เป็นต้นสองต้นสามต้นปลายกุดปลายด้วนไปหมดแล้วนะ มันไม่ได้ขึ้นแหละมีแต่จะตายเรื่อย ๆ ตามท้องนา อย่างต้นยางอยู่ฝั่งนี้ก็เหมือนกันฝั่งห้วยเรานี่ ขนาดนี้มันจะอยู่อะไรมันจะใหญ่ยิ่งกว่านี้ต้นยางเหล่านี้ แล้วเห็นไหมปลายกุดปลายด้วนเข้ามาแล้วมันใหญ่ไม่ได้ ข้างล่างน่ะซิเกลือขึ้นแล้ว รากไม้ไปโดนเกลือเข้าตายแล้ว
ถ้าไม่รีบตื่นตัวเสียตั้งแต่บัดนี้เมืองไทยจะไม่มีที่อยู่นะ จะไม่มีที่ทำกินแหละ เกลือนี่ตัวสำคัญมากกว่า จะว่าทะเลทรายอะไร จะเอาทรายมาจากไหนมาเป็นทะเล ถ้าว่าเกลือนั้นเห็นด้วยขึ้นขาวเปรี๊ยะเลย อยู่ใต้ดินเรานี่เจาะที่ไหนน้ำเรานี้กินไม่ได้เพราะอะไร ก็เพราะเกลือนั่นเอง เจาะที่ไหนก็กินไม่ได้ ๆ ก็รู้กันอยู่แล้วนี่เกลือเต็มแผ่นดิน ยังจะปล่อยให้น้ำหมดไปก็เสร็จกันเท่านั้นเอง
วิตกมากจริง ๆ เรื่องเกลือ นี่ก็พูดฝากพวกลูกศิษย์เขาไปแล้ววันนี้ ให้เขาไปโฆษณากันในเมืองในกรุงเทพให้ได้ตื่นตัวกันเรื่องเกลือ ให้สงวนป่า ให้ต่างคนต่างสงวนป่า ตรงไหนที่เคยมีป่าอยู่แล้วให้มี ๆ ภูเขาใครอย่าไปแตะต้อง ที่เขาทำอยู่ทำกินแล้วก็ให้เขาทำไป ส่วนไหนที่พอเป็นป่าก็ให้มีอยู่ มันจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันไป ถ้าไม่มีป่าจริง ๆ แล้วหมดจริง ๆ แหละ
เลิกกันละเหนื่อยแล้ว