ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ
วันที่ 6 พฤศจิกายน 2536 เวลา 19:00 น. ความยาว 77.49 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๖

ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ

วันนี้บรรยากาศรู้สึกว่าเพียบพร้อมเหมาะสม เพราะพอเหมาะพอดีกับเพื่อนฝูงที่เคยอยู่ด้วยกันมาก่อนเพื่อศึกษาอบรม แล้วจากไปเที่ยวบำเพ็ญโดยลำพังในที่นั้น ๆ วันนี้ได้มาร่วมงานกฐินที่วัดนี้ จึงมีพระจำนวนมาก รวมทั้งพระทั้งเณรด้วยก็ ๕๐ องค์พอดี การที่ท่านทั้งหลายมาเยี่ยมในสถานที่นี่ ผมไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นข้อหนักแน่นยิ่งกว่ามาเสาะแสวงอรรถแสวงธรรมของเพื่อนฝูงทั้งหลาย เพื่อได้ข้อคิดเป็นคติสอนใจนำไปประพฤติปฏิบัติตนในวาระต่อไปไม่มีสิ้นสุด จนกระทั่งชีวิตหาไม่โน้น ไม่อยากได้ยินได้เห็นในการหลบหลีกปลีกตัวออกจากแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เช่นเรื่องก่อนั้นสร้างนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้เหมือนโลกเขาจัดเขาทำกันนั้น เป็นเรื่องของทางโลกเขาโดยตรง ไม่ใช่เรื่องของทางธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เพื่อความพ้นทุกข์ของพระของผู้ปฏิบัติได้ดำเนินตาม

การดำเนินปลีกแวะจากลู่จากทางออกไปมากน้อย แสดงให้เห็นเป็นความผิดของตนเป็นลำดับลำดา ทีละก้าวสองก้าวทีละวันสองวัน หลายครั้งหลายหนหลายวันหลายคืน ก็ไกลจากมรรคจากผลจากอรรถจากธรรมอย่างลิบลับมองไม่เห็นเลย สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลวไปด้วยกัน ทั้ง ๆ ที่เคยได้ยินได้ฟังอรรถธรรมที่ท่านชี้แจงแสดงไว้จากครูอาจารย์เป็นสำคัญ แต่แล้วก็ไม่ได้ผลประโยชน์อะไรเท่าที่ควรเลยอย่างนี้ ไม่อยากเห็นไม่อยากได้ยินสำหรับผมเองที่เคยแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนเรื่อยมา จึงขอให้เพื่อนฝูงทั้งหลายตระหนักในข้อนี้ให้มาก

อย่าตื่นเต้นกับโลกกับสงสารซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ โลกทั้งหลายเขาชุลมุนวุ่นวายกันอยู่แล้ว อย่าไปแย่งโลกเขาเอากิเลสมาบีบบังคับหัวใจตนเอง สิ่งที่ดีดที่ดิ้นนี้อยู่ในสถานที่ใดบุคคลใด ย่อมจะทำสถานที่และบุคคลนั้น ๆ ให้ได้รับความทุกข์ไปมากน้อยโดยไม่ต้องสงสัย ความสงบร่มเย็นเพราะการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าซึ่งปราศจากภัยทั้งหลายนี้เท่านั้น เป็นทางดำเนินเพื่อความราบรื่นแก่ผู้ปฏิบัติตามดังที่เคยสอนท่านทั้งหลายเรื่อยมา

แม้ผมเองที่สั่งสอนท่านทั้งหลายก็ไม่เคยเป็นผู้เที่ยวก่อเที่ยวสร้าง แต่ไม่ได้ยกตนข่มท่านผู้หนึ่งผู้ใด พูดมาเพื่อเป็นเครื่องยืนยันให้ท่านทั้งหลายที่มาศึกษาอบรมกับผมได้ยึดไปประพฤติปฏิบัติ เป็นอีกแนวหนึ่งจากครูจากอาจารย์นั้น ๆ เช่น ในสถานที่นี่ก็คือจากผมไป ไม่เคยเที่ยวก่อเที่ยวสร้างยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ นอกจากฟัดกับกิเลสตลอดเวลาตั้งแต่วันออกปฏิบัติมา คือออกมาจากการศึกษาเล่าเรียนแล้วก็ก้าวขึ้นสู่เวทีคือภาคปฏิบัติ

ฟัดกับกิเลสไม่มีวันมีคืนมีปีมีเดือนหามรุ่งหามค่ำ ตาหูจมูกลิ้นกายมีประหนึ่งว่าไม่ได้ใช้ไปทางอื่น นอกจากจดจ้องมองดูเพลงของกิเลสที่จะตบจะต่อยมาในแง่ใดมุมใดเท่านั้น แม้เช่นนั้นก็แทบเป็นแทบตาย บางครั้งยังหงายสู้มันไม่ได้จนน้ำตาร่วงไม่ได้ลืมจนกระทั่งบัดนี้ นี่เป็นคติอันหนึ่งที่เป็นเครื่องพร่ำสอนตนเอง และได้นำมาพร่ำสอนเพื่อนฝูงให้ยึดเป็นหลักอันสำคัญ

ทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้มีหน้าที่การงานอันใดเลย จดจ้องต่อข้าศึกคือกิเลสความโลภความโกรธราคะตัณหา ที่เป็นตัวสำคัญ ๆ ก็คือตัวราคะตัณหานี้สำคัญมากที่สุดในวงของกิเลสทั้งหลายซึ่งอยู่ในหัวใจของผู้ปฏิบัติเรา อันนี้เด่นมาก ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติเราก็ไม่รู้ เมื่อปฏิบัติลงไปนั้นแลตัวนี้จะแสดงความเด่นชัดยิ่งกว่าบรรดากิเลสทั้งหลายเห็นได้อย่างชัดเจน เท่าที่ไม่ลืมหูลืมตามองดูโลกดูสงสารอันเป็นเรื่องของโลกเขานั้น ก็เพราะการตบต่อยหรือการต่อสู้การระมัดระวังกิเลสเหล่านี้ ซึ่งเป็นข้าศึกอันสำคัญที่จะคอยเผาผลาญเราหรือซ้ำเติมเราลงไปโดยลำดับนั้นแล จึงได้ตั้งหน้าตั้งตาต่อสู้กันเต็มสติกำลังความสามารถเรื่อยมา

งานใดก็ตามในโลกเท่าที่เราเคยผ่านมาแล้วด้วยสติกำลังความสามารถของเรา ว่าหนักก็หนัก ก็ยอมรับว่าหนัก แต่ยังไม่เคยเห็นงานใดที่ผ่านมาทางฆราวาสทางโลกทางสงสารนั้น ว่าเป็นงานที่หนักหน่วงถ่วงจิตใจถึงกับต้องสละเป็นสละตายต่อกันเหมือนงานฆ่ากิเลสนี้เลย งานนี้ได้ทุ่มลงทุกสิ่งทุกอย่าง วิถีชีวิตมอบไว้หมดเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หากตายเพราะกิเลสสังหารเรา เราสู้กิเลสไม่ได้ หากเรามีความสามารถสู้กิเลสได้แล้ว เราก็ขอเอาธัมมานุธัมมปฏิปัตตินี้ คือการปฏิบัติธรรมสมควรที่จะฆ่ากิเลสได้นี้ บูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ต่อไป งานนี้จึงหนักมากในการปฏิบัติตัว แม้ไม่มีงานอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้อง

เรื่องการนิมนต์ไปฉันที่นั่นที่นี่นั้นไม่ต้องพูดเลย นี่ไม่รับที่ไหนทั้งนั้น เพราะมันเป็นช่องว่างที่จะให้ข้าศึกติดตามแทรกแซงในกิจการงานนั้น ๆ อย่างน้อยให้ล่าช้าและหยุดชะงักในความเพียร มากกว่านั้นมันก็รุมเราโดยไม่รู้สึกตัว สุดท้ายจนอ่อนตัวไปเพราะสิ่งเหล่านี้ แล้วไปพอใจกับโลกามิสเสียโดยไม่รู้สึกตัว นั้นชื่อว่ากิเลสได้ที่แล้ว และจะสังหารเราในวาระต่อไปให้ล่มจมโดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นจึงไม่รับนิมนต์ที่ไหน

เข้าอยู่แต่ในป่าในเขาลึก ๆ ลับ ๆ ที่ควรเป็นควรตายอยู่ทั้งนั้น เพื่อจะทดสอบ เพื่อจะห้ำหั่นกับกิเลสตัวไหนที่มันกลัวตาย ไปอยู่สถานที่ใดกลัวตายนั่นคือเรื่องของกิเลสประเภทหนึ่ง ชอบไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น อยากจะรู้ฤทธิ์เดชหรืออำนาจวาสนาของตัวเองว่ามีกำลังวังชาขนาดไหน จะพอต่อต้านกันได้หรือไม่กับกิเลส และให้เห็นความจริงขึ้นมาในการต่อสู้กับสถานที่น่ากลัวเช่นนั้น จนปรากฏผลขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจน ได้จับมาวัดมาเทียบกันอย่างถึงใจ

สถานที่ไปอยู่ที่เช่นนั้น มิหนำซ้ำบางครั้งเสือกระหึ่ม ๆ ขึ้นลืมเมื่อไร ไม่ลืม ขึ้นข้างทางจงกรม ตัวสั่นขึ้นทางนี้ พอจิตเกิดความกลัวสะดุ้งจากเสียงของเสือคำรามตามภาษาของมันนะ ไม่ใช่มันมาคำรามใส่เรา มันร้องมันครางด้วยความคึกความคะนองของมันตามภาษีภาษาของสัตว์ แต่เราก็เป็นบ้าไปกลัวเสียงของมันทั้ง ๆ ที่เสียงก็มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเต็มโลกเต็มสงสารไม่กลัว ไปกลัวเสียงเสือ ความกลัวนั้นก็ได้สติหักกลับเข้ามาสู่จิตใจ ห้ามไม่ให้ส่งจิตออกไปสู่เสียงสู่ตัวเสือก็ตาม เสียงก็ตาม กลิ่น รส เครื่องสัมผัสเสือใด ๆ ก็ตาม ไม่ให้ส่งออกไปเป็นอันขาด

ดักจิตใจไว้ให้อยู่กับที่ด้วยสติมัดให้แน่น เป็นกับตายเสือจะเอาไปกินก็ขอให้ตายอยู่กับความรู้อันนี้ เช่นอย่างบริกรรมพุทโธก็ให้อยู่กับพุทโธ อยู่ในวงสมาธิคือความสงบใจก็ให้จิตแนบแน่นอยู่กับความสงบ ไม่ให้ขยับเขยื้อนออกไปในกิริยาต่าง ๆ ของใจนั้นเลย เอาจนอยู่หมัด ฟังให้ดีท่านผู้ฟังทั้งหลาย นี่เวลาเข้าหัวเลี้ยวหัวต่อซึ่งเป็นสถานที่จำเป็นมันเป็นได้อย่างนั้นจริง ๆ ไม่สงสัย นำความจริงออกมาประกาศให้ท่านทั้งหลายได้ทราบเพื่อเป็นคติเครื่องเตือนใจว่า สถานที่กลัวนั้นนำผลประโยชน์มาให้เราอย่างไรบ้าง นี่ได้เป็นแบบอัศจรรย์จึงได้นำมา

เมื่อเป็นเช่นนั้นสถานที่ใดน่ากลัวมากเท่าไร ยิ่งขยับเข้าไปในสถานที่นั่น เพื่อจะได้เห็นเหตุเห็นผลกันในเวลาระหว่างความกลัวกับความกล้า หรือระหว่างกิเลสกับธรรมรบต่อสู้หรือต่อกรกันเวลานั้น สุดท้ายเรียกว่าได้ที่ทุกที ไม่เคยแพ้จากความกลัวนั้นเลย กลัวมากเท่าไรจิตยิ่งบีบบังคับเจ้าของเข้าไป ไม่ให้คิดให้แย็บออกไป แม้คำว่าเสือเท่านี้ไม่ให้มีในใจในความคิด เสียงเสือไม่ให้มี อันตรายที่เกิดจากเสือจากสัตว์ร้ายที่เราคิดอย่างเต็มใจเวลานั้น ให้สงบตัวเข้าสู่ความรู้อันเดียวนี้หมด ถ้าความรู้ในบริกรรมก็ให้อยู่ในคำบริกรรมติดแนบไม่ให้เคลื่อนที่เป็นสองกับอันใด ให้สองกับคำบริกรรมนี้เท่านั้น ถ้าจิตอยู่ในวงสมาธิก็ให้ติดแนบอยู่กับความสงบนี่เท่านั้น ที่ได้เคยใช้มามากก็คือความสงบในเบื้องต้นกับความสงบที่เป็นสมาธิได้ต่อสู้กับเรื่องความกลัวทั้งหลาย

เมื่อก้าวเข้าสู่วิปัสสนาแล้วส่วนมากมักกระจายไปหมด เรื่องเสือเรื่องสัตว์เรื่องอะไรก็ดังที่เคยเขียนไว้แล้วในปฏิปทา คือมันกระจายไปเป็นวิปัสสนาไปหมด ถ้าว่าเสืออะไรเป็นเสือ จะไล่เบี้ยกันไปตามเรื่องของสติปัญญาไปเสีย จนกระจายลงไปหาสัตว์หาเสือหาที่น่ากลัวน่ากล้าที่ไหนไม่ได้ไม่มีแล้ว มีแต่หลักธรรมชาติแห่งความเป็นจริงของเขา แล้วก็กลับมาเป็นความเป็นจริงของสติปัญญาของตน มันก็ผ่านของมันไปได้

ที่มันรู้กันอย่างชัด ๆ ก็คือในเวลาจิตกำลังฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม หรือกำลังคึกคะนองไม่ได้หน้าได้หลังไม่ได้หลักเกณฑ์นี้ซิ ตอนนี้สำคัญมากและเข้าสู่สงครามประเภทนั้นด้วย ถ้าธรรมดามันจะต้องวิ่งเต้นเผ่นกระโดดเป็นบ้าไปสด ๆ ร้อน ๆ นั่นแล เพราะความกลัวบีบบังคับมันให้เป็นบ้าได้โดยไม่ต้องสงสัย แต่แล้วไม่เป็นเช่นนั้น อำนาจของสติบีบบังคับ กลัวเท่าไรสติยิ่งเน้นหนักลงไป เอ้า เป็นกับตายอยู่กับสติไม่ให้นอกเหนือไปจากนี้เลย

สุดท้ายเมื่อสติได้บีบบังคับไว้ไม่ให้จิตคิดด้วยเรื่องของสมุทัย คือคิดว่าเสือก็เป็นสมุทัย คิดว่าเสียงเสือก็เป็นสมุทัย คือเป็นกิเลส ๆ คิดว่าเสือจะมากินมากัดอะไรก็แล้วแต่ จะมาคำรามมาทำท่าทำทางอะไร เป็นกิริยามารยาทของเสือ อันเป็นเรื่องของกิเลสที่ออกจากกิริยาของจิตคิดไปนี้ ดับให้หมดไม่ให้มีเหลือเลย ให้เหลือแต่คำว่าพุทโธ ๆ มีเท่านั้น นี้เป็นประเภทหนึ่ง ก็ได้เห็นความสัตย์ความจริงจนเกิดความกล้าหาญชาญชัยตัวสั่นได้เหมือนกัน

มันกล้าหาญจนขนาดนั้น ถึงกับว่าขณะก่อนนั้นกลัวจนตัวสั่น แล้วขยับเข้ามาอยู่ในวงบริกรรมกับสติติดแนบกันไม่ให้มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วเกิดความกล้าหาญขึ้นมา ขณะก่อนตัวสั่นด้วยความกลัว ขณะหลังนี้ตัวสั่นด้วยความกล้าหาญชาญชัย เป็นความคิดจะว่าคึกคะนองก็ไม่มีเจตนา แต่มันมีความรู้สึกที่เกิดขึ้นเพราะความกล้าหาญนั้นแลว่าอยากพบเสือ อยากให้เสือเดินเข้ามาหา ทั้ง ๆ ที่เวลาเรากล้าอยู่นี้เมื่อเห็นเสือแล้วจะกลัวไหม ไม่มีเลยคำว่ากลัว เดินเข้ามาก็จะเดินเข้าไปหาได้อย่างจัง ๆ ไม่สงสัยเลย

นี่เป็นยังไงประจักษ์ไหม เวลากลัวก็ประจักษ์ในหัวใจจนจะเป็นบ้าเป็นบอไม่ได้หน้าได้หลัง เวลากล้าก็กล้าอย่างนี้แหละ ถ้าเสือเดินเข้ามาก็จะเดินเข้าไปหาเสือลูบคลำหลังมันได้สบาย อ๋อ เพื่อนเอ๋ยเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตายมาเยี่ยมกันเหรอ เราต่างคนต่างอยู่ในแหล่งแห่งกองทุกข์ อยู่ในเรือนจำคือวัฏจักรนี้ด้วยกันหนาเพื่อน เอ้า ทำตนรักษาตนไปให้ดีนะ เดี๋ยวถูกเขาฆ่าเขายิงแล้วตายเสีย ซึ่งยังไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลยในกำเนิดอันนี้ มันจะพูดจะจาหรือว่าจะมีคำรำพึงอะไรกับสัตว์เสือไปอย่างนั้น ที่จะรำพึงหรือกลัวว่าเสือจะกัดนี้ไม่มีในหัวใจ นี่ได้ประจักษ์แล้วในใจตัวเองซึ่งได้บำเพ็ญมา

ในขั้นที่ ๒ คือจิตเป็นสมาธิ จิตมีสมาธิ เพื่อจะให้ความเด็ดของจิตนี้เด็ดเดี่ยวเข้าไปยิ่งกว่านั้น ก็ไปที่เช่นเดียวกัน เพราะเรานิสัยหยาบ อยู่ธรรมดาภาวนาไม่ค่อยได้เรื่อง ถ้าไปหาที่ดัดสันดานอย่างนั้นมันได้ขึ้นทันทีทันใดโดยไม่คาดคิดแหละ เป็นขึ้นให้เห็นประจักษ์ภายในจิตใจ ในเวลาจิตเป็นสมาธิ เอ้า พอเข้าไปหาดงเสือที่เสือชุม ๆ นั้นแหละ และเสือมีจริง ๆ ด้วย ชุม-ชุมจริง ๆ ด้วย ไปหาสถานที่เช่นนั้นจริง ๆ ด้วย ความกลัวมันมีทั้งวันทั้งคืน ทีนี้ความระมัดระวังตัวมันก็มีตลอดเวลา นั่นคือสติ มรรคปฏิปทา ความกลัวเลยเป็นเรื่องเตือนสติให้มีความระวังตัวตลอดเวลา พอก้าวเข้าสู่ทางจงกรมทีนี้ความรู้กับสตินี้เป็นอันเดียวกันแน่วเลย คำว่าสัตว์ว่าเสือหายหน้าไปหมด ประหนึ่งว่าโลกนี้ไม่มีอะไร เหลือแต่ความรู้ล้วน ๆ ที่อยู่ในขั้นแห่งสมาธินี้อย่างเต็มภูมิ นี่ก็แน่นปึ๋ง ไม่มีคำว่ากลัวอะไร ให้เห็นอย่างนั้นท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรม

ธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศท้าทายอยู่ด้วยความจริงมาได้ ๒,๕๐๐ ปีมีแต่ความจริง ทุกฺขํ ก็ อริยสจฺจํ คือความจริงเหมือนกัน สมุทัยก็เป็นความจริงอันหนึ่งเหมือนกัน มรรคก็เป็นธรรมชาติที่จะแก้สิ่งที่เป็นความจริงอันหนึ่งให้ต่างอันต่างจริงด้วยกันเช่นเดียวกัน นิโรธ ความดับความกังวลวุ่นวายเพราะเรื่องสมุทัยก่อขึ้นมานั้นก็ดับไปพร้อม ๆ กันให้เห็นประจักษ์กับหัวใจของเรานี่ จึงชื่อว่าธรรมของจริงไม่จืดจาง

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีจืดมีจาง มันจืดจางสำหรับหัวใจเราผู้มีกิเลสถลุงอยู่ตลอดเวลานี้แล จึงเป็นที่น่าสังเวชสลดใจมากนักสำหรับผู้ปฏิบัติเรา แม้สมาธิคือความสงบใจก็ไม่ปรากฏเลยนี้ มันพิลึกกึกกือเกินไปนะท่านทั้งหลาย ขอให้เอาไปคิดให้ดี ผมสั่งสอนท่านทั้งหลายมานานแสนนานแล้ว ไม่ได้เอาความแปลกปลอมมาสอน ดังที่สอนเดี๋ยวนี้ก็สด ๆ ร้อน ๆ ได้เป็นมาอย่างนี้ ได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ ทั้งเหตุเป็นมายังไงทั้งผลปรากฏยังไง ก็ได้นำมาสอนเพื่อเป็นคติอันดีงามแก่ท่านทั้งหลายให้นำไปฝึกหัดดัดแปลงตน แม้จะไม่ได้แบบนี้ทุกฉบับตามนิสัยของคนต่างกัน ก็ให้นำไปปฏิบัติให้เป็นประโยชน์อย่างนี้ด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามนิสัยของตน ก็เป็นอันว่าถูกต้องดีงามไม่ผิดพลาดไปไหน

เราไม่อยากพบอยากเห็นที่พระกรรมฐานเราเสาะโน้นแสวงหานี้ซึ่งไม่ใช่อรรถใช่ธรรม เรื่องก่อเรื่องสร้างเรื่องยุ่งเหยิงกับญาติกับโยม เรื่องอามิสสินจ้างรางวัลต่าง ๆ ทางตรงทางอ้อมเหล่านี้มาได้ทั้งนั้นแหละกิเลส มาได้ทุกแง่ทุกมุม ขอแต่เผลอตัวเท่านั้นมันจะมาทันที ขอให้ระมัดระวังให้ดี

เรื่องมรรคผลนิพพานนั้นคงเส้นคงวาหนาแน่นตลอดเวลา แต่การประพฤติปฏิบัติตัวของเราเพื่อมรรคผลนิพพานนี้หนาแน่นขนาดไหน หรือมีแต่โยกเยกคลอนแคลน หรือมีแต่ล้มเหลว ๆ ไปอย่างนั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็เข้ากันไม่ได้กับศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้นั้น จะเหลือแต่ผ้าเหลืองเท่านั้นครองหัวโล้น ๆ อยู่นี้เกิดประโยชน์อะไร ขอให้พากันนำไปคิดให้ดี นี่ยิ่งเฒ่าแก่ลงไปทุกวัน ๆ ความห่วงใยเพื่อนฝูงนี้ยิ่งมีมากขึ้น แต่ก่อนก็มี เรื่องความสงสารนั้นคงเส้นคงวา แต่ทีนี้มันก็เพิ่มขึ้นอีกเพราะอำนาจแห่งความห่วงใย

อยากให้รู้ให้เห็นธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้สด ๆ ร้อน ๆ มีตนมีตัว สัจธรรมนั้นแลคือเป็นองค์แทนศาสดาอันหนึ่ง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ใครผ่านเข้าไปตรงนั้นจะไม่เห็นศาสดาไม่มี ขอให้ผ่านเป็นสัจธรรมในความจริงเถิด อย่าผ่านเพียงความจำเฉย ๆ ความจำใครเรียนก็เรียนได้จำได้แต่กิเลสเต็มหัวใจ ไม่มีความจริงอะไรในหัวใจเลยใช้ไม่ได้ ความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นเป็นศาสดา โผล่ขึ้นมาในระหว่างแห่งสัจธรรมทั้งสี่นี้นั้นเป็นความจริงล้วน ๆ ปรากฏในพระทัยจากภาคปฏิบัติ

ขอให้ปฏิบัติตนให้รู้เห็นตามนี้เถิด ยังไงก็ไม่พ้นจากคำว่า “ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต” จะเห็นในจุดนี้ นี่ละธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ มีตนมีตัว คือองค์อริยสัจเป็นสักขีพยานเป็นเครื่องยืนยันกลั่นกรอง เรื่องกิเลสจะมีหนาแน่นขนาดไหนก็ตาม พังหมดไม่มีอะไรเหลือ ด้วยอำนาจแห่งมรรคปฏิปทา อริยสัจเป็นเครื่องกลั่นกรอง จนกระทั่งอริยสัจนี้เป็นของจริงแต่ละส่วนแต่ละอย่าง ๆ ไม่มีอะไรเป็นข้าศึกกันเลย จิตที่ได้ผ่านจากธรรมชาตินี้กลั่นกรองหรือขัดเกลาเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านพ้นไปเป็นจิตที่บริสุทธิ์ นั้นไม่ใช่อริยสัจ คือธรรมชาติที่บริสุทธิ์ พระพุทธเจ้าเลิศเลอก็เลิศเลอเพราะพุทธะอันนั้น จากอริยสัจที่เป็นโรงงานอันใหญ่โตนี้ เป็นเครื่องกลั่นกรองพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์และสาวกทุก ๆ องค์ให้พ้นจากทุกข์ พ้นจากโลก เป็นศาสดาเอกของโลก เอกขึ้นมาจากนี้ไม่เอกขึ้นมาจากไหน

ศาสนาพุทธจึงเป็นเครื่องยืนยันได้ในอริยสัจ พระพุทธเจ้ากี่พระองค์ไม่สงสัย เพราะอริยสัจนี้ถ้าใครผ่านเข้าไปตรงนี้ เอาอริยสัจฝ่ายทุกข์กับสมุทัยเป็นหินลับสติปัญญาแล้ว ยังไงก็ผ่านพ้นไปได้ไม่สงสัย พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ผ่านขึ้นจากนี้ พระสาวกของพระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์ก็ผ่านขึ้นจากนี้ เราผ่านแหวกแนวไปไหนมันถึงไม่รู้ไม่เห็นในธรรมทั้งหลายที่เป็นความจริง ๔ อย่างหรือ ๔ ประการนี้ มันจึงโลเลโลกเลกหาเรื่องหาราวใส่เจ้าของตลอดไป ซึ่งเป็นเรื่องของสมุทัย แต่มันไม่เป็นอริยสัจให้ เรื่องสมุทัยเครื่องหนุนทุกข์ เครื่องผลิตทุกข์ขึ้นมาเผาเรื่อย ๆ มันไม่เป็นของจริงให้ละซิ ถ้าเป็นของจริงก็พิจารณาสมุทัยลงจนกระทั่งถึงเป็นความจริงด้วยอำนาจแห่งมรรคสัจซึ่งเป็นของจริงด้วยกันแล้ว นั้นจึงเรียกว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นของจริง ๆ อย่างนั้น

นี่อยากให้หมู่เพื่อนได้รู้ได้เห็นในธรรมทั้งหลายสด ๆ ร้อน ๆ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปกี่ปีกี่เดือนก็ตาม อันนั้นเป็นกาลเป็นเวล่ำเวลาต่างหาก ไม่ใช่อริยสัจที่กลั่นกรองสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์ อยู่ตรงนี้ต่างหาก ให้ปฏิบัติตนให้ถึงในจุดนี้เถิด

เวลานี้ศาสนาก็ยิ่ง...เราไม่อยากว่าเรียวว่าแหลม ถ้าว่าเลวลงไป ๆ นั้นจะเหมาะสมกว่า เลวที่ไหนเราอย่าไปดูคนอื่นคนใด เป็นการตำหนิติเตียนยกโทษยกกรณ์กัน ดูถูกเหยียดหยามกัน..ไม่ถูก ให้ดูตัวของเราใจของเรา มาประพฤติปฏิบัติตัวทีแรกเป็นยังไง มันเลื่อนชั้นเลื่อนภูมิขึ้นไปในทางที่ถูกที่ดีอย่างไรหรือไม่ หรือยิ่งจะเลื่อนลงโดยลำดับลำดาแล้วกลายเป็นความล้มเหลวไป นั้นเป็นของดีเป็นของถูกต้องแล้วเหรอ นี้ละศาสนาเลว-เลวอย่างนี้ เรียวแหลมไปอย่างนี้ เลวไปอย่างนี้เหลวไปอย่างนี้แหละ มันเหลวที่หัวใจผู้ปฏิบัติไม่ได้เหลวที่ไหน ถ้าไม่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัตินี้กิเลสจะเอาไปถลุงหมดนะ กิเลสไม่เลือกหน้าว่าเป็นพระเป็นเณร ว่าหัวโล้นโกนคิ้วห่มผ้าเหลือง ใครโกนก็ได้ใครเอามาครองก็ได้ผ้าเหลือง กิเลสกลัวแต่ข้อปฏิบัติเท่านั้นเอง

ให้ฝืน.ความอยากเป็นเรื่องของกิเลส เราอยากจะพูดว่าทั้งมวล ในเมื่อจิตยังไม่ได้หลักได้เกณฑ์ในธรรมทั้งหลายแล้วเราอยากจะว่าทั้งมวล เป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นเปิดทางให้สัตว์โลกทั้งหลายวิ่งลง ๆ ไหลลงไปจนลื่นไปเลยทีเดียว ความอยากอันนี้นะ อยากเห็นอยากดูอยากได้ยินได้ฟัง อยากคิดอยากอ่านอยากปรุงอยากแต่ง แล้วเสียดายเรื่องนั้นเสียดายเรื่องนี้ยุ่งไปหมด มีแต่เรื่องของกิเลสทำงานบนหัวใจ ธรรมะทำไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะทำ แล้วเอามรรคผลนิพพานมาจากที่ไหน ไม่มีทางที่จะได้นะถ้ามีแต่เรื่องของกิเลสไสลงไปลงเหวลงบ่อตลอดเวลา ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอยากได้ยินได้ฟังในสิ่งที่เป็นกิเลส พอกพูนกิเลสขึ้นมาเต็มหัวใจอย่างนี้

ไม่มีเรื่องการขัดการขืนกันการฝืนกันบ้างเลยแล้วไม่มีธรรม เดินจงกรมอยู่จิตก็ไป ๕ ทวีป มีแต่กิเลสเอาไปถลุงทั้งนั้น นั่งภาวนาก็ไม่ได้เรื่องได้ราวเพราะสติสตังไม่มี พอจะตั้งสติเสียก็ถือว่าเป็นความลำบาก กิเลสเอาไปกินอีกแล้ว นั่น จะฝืนจิตใจก็ถือเป็นความลำบาก อะไรมีแต่ความลำบาก ๆ กิเลสปักเสียบขวากหนามไว้เต็มรอบเลย ก้าวไปตรงไหนเหยียบแต่ขวากหนามของกิเลส เลยล้มระนาวไปหมด ไม่มีใครก้าวเดินเหยียบหัวหนามไปผ่านหัวกิเลสไปได้เลย ก็เพราะไม่ฝืน ต้องฝืนนักปฏิบัติ

ถ้านักปฏิบัติที่อยู่ในป่าในเขาลำเนาไพรเพื่อการบำเพ็ญนี้ เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลไม่ได้แล้ว ที่อื่นไม่ต้องถาม สถานที่นี่เป็นสถานที่เหมาะสมอย่างยิ่งแล้ว องค์ศาสดาก็อุบัติขึ้นมาจากสถานที่เช่นนี้ สาวกทั้งหลายอุบัติขึ้นมาจากสถานที่เช่นนี้ทั้งนั้น ๆ ไม่ได้เข้าไปสำเร็จมรรคผลนิพพานอยู่ในตลาดลาดเลที่ตรงไหน ท่านจึงไม่สอนให้เข้าไปอยู่ในที่เช่นนั้นมากยิ่งกว่าการสอนให้อยู่ในป่าในเขา

แล้วพวกเราอยู่ยังไงเวลานี้ มันถึงไม่ได้ปรากฏในเรื่องมรรคเรื่องผล ปรากฏแต่ความโลภก็มากขึ้นทุกวัน ความโกรธมากขึ้นทุกวัน ราคะตัณหามากขึ้นทุกวัน ความลุ่มหลงมากขึ้นทุกวัน ๆ จนลืมเนื้อลืมตัวไปหมด จะเรียกว่าอะไร ลุ่มหลงมากกว่านี้เขาก็ว่าบ้าเท่านั้น เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นบ้า มันมีแต่ความลุ่มหลง ๆ อยู่มันยังไม่เต็มภูมิของมัน หรือเราจะสร้างแต่ความลุ่มหลงนี้ให้เต็มภูมิของเรา จนกลายเป็นยอดบ้านั่นเหรอมันถึงจะดี ให้ท่านทั้งหลายนำไปพินิจพิจารณา ธรรมะพระพุทธเจ้านี่เป็นธรรมชาติที่เลิศเลอที่สุดแล้วกับกิเลสมันเข้ากันได้ยังไง เราก็ชอบแต่เรื่องกิเลสซึ่งเป็นของเลวที่สุด ธรรมะที่ว่าเป็นของเลิศของประเสริฐที่สุดไม่สนใจเกี่ยวข้องมันเป็นเพราะอะไร เราต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

นี่เพื่อนฝูงก็มาหาวันนี้ จึงให้นำไปประพฤติปฏิบัติ เอาให้แน่วให้แน่ให้แม่นยำภายในจิตใจ เรื่องความพากความเพียรเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ให้ถือเป็นหน้าที่การงานบนหัวใจเราตลอดชีวิตจิตใจ มอบไว้กับความพากความเพียรที่จะฆ่ากิเลส นี้จึงเป็นความถูกต้องเหมาะสมกับทางของศาสดาที่ทรงสั่งสอนไว้ ความพ้นทุกข์ก็ไปในทางแถวเดียวกันนี้ ถ้านอกจากนี้แล้วจะไม่มีอะไรเหลือติดตัวเลย เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน เลยไม่มีอะไรดีกว่าใคร โลเลโลกเลก ทั้ง ๆ ที่ศาสนาเป็นของจริงเวลามาปฏิบัติแล้วหาความจริงไม่ได้ ใครก็เป็นแบบเดียวกัน ๆ เลยเป็นศาสนาคว้าน้ำเหลวไปเสียแล้ว อันนี้ที่น่าวิตกวิจารณ์มากเวลานี้

จึงขอให้ทุกท่านฟื้นจิตฟื้นใจ กลับตัวให้ดี ในการประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นก็ให้เป็น ตายก็ให้ตาย ฝากไว้กับพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ชีวิตจิตใจนี้บูชาพระพุทธเจ้าด้วยการฝืนต่อสู้กับกิเลสอย่าถอยหลัง อันเรื่องที่กิเลสเอาไปถลุงนี้มันพอแล้วแหละ การเกิดแก่เจ็บตายนี้ไม่สงสัย แม้ตัวเท่าอึ่งก็ตามนี้ไม่สงสัย เอาปัจจุบันนี้สะท้อนย้อนไปในอดีตสักเท่าไรก็ได้ อนาคตสักเท่าไรก็ไม่มีสิ้นสุด ถ้าหากว่ากิเลสตัณหาอวิชชานี้ไม่สิ้นสุดลงจากจิตใจนี้แล้ว ยังไงก็ต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไปตลอดมา ไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลาย

ถ้าเราได้ปักความเพียรลงไปตรงนี้แล้ว ชื่อว่าย่นวัฏฏะเข้ามาเรื่อย ๆ ฆ่ากิเลสไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความสามารถแก่กล้า ฟาดให้มันแหลกหมดไม่มีอะไรเหลือเลย อยู่ไหนก็แสนสบายเท่านั้นแหละที่นี่ หมดเรื่องภพเรื่องชาติที่เคยเป็นมากี่กัปกี่กัลป์ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว หมดปัญหากันแล้ว ข้างหน้าก็ไม่มีอะไรเป็นเงื่อนต่อประจักษ์อยู่ในปัจจุบัน สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศกังวานขึ้นในวาระสุดท้าย บริสุทธิ์พุทโธ นี่จึงเรียกว่าเลิศ ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ

พระพุทธเจ้าว่าเลิศ ๆ เราไปเสกสรรปั้นยอต่างหากทั้ง ๆ ที่เรามันเลว ให้มันเห็นความเลิศของเจ้าของเป็นลำดับลำดามาตั้งแต่ขั้นสมาธิ ปัญญา ขึ้นถึงวิมุตติหลุดพ้น เลิศในเจ้าของนั้นแล้วกราบเองกราบพระพุทธเจ้า จะว่าเลิศหรือไม่เลิศ ใครจะชมหรือไม่ชมก็ตาม ขอให้เลิศภายในจิตใจของเรานี้พอ ๆ เท่านั้นแหละ

การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรเพียงเท่านี้ เหนื่อย

พูดท้ายเทศน์

ไปอยู่ไหนอย่าไปโลเลโลกเลกนะ มันจะเป็นบ้ากันหมดแล้วเดี๋ยวนี้ เรื่องการก่อการสร้างนี่แหละมันหนักมาก มันไม่มีในธรรมของพระพุทธเจ้าจะให้ผมว่ายังไง ผมถอดคัมภีร์ออกมาสอนพวกท่านทั้งหลายทุกคน ๆ ยังไม่รู้อยู่เหรอ หรือว่าพูดเล่นหรือเวลานี้ มันมีแต่เรื่องอุตริทำขึ้นทั้งนั้นแหละ คนนั้นสร้างนั้นคนนี้สร้างนี้ สร้างอะไรที่อัศจรรย์ มีแต่กิเลสมันหัวเราะเท่านั้นแหละ อย่าอวดกันอวดกิเลสนี่

พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไงเห็นไหม เทศน์อยู่ตลอดเวลามานี่ใครก็ได้อ่านได้ดู ทำไมจะไม่ได้อ่านคัมภีร์มีอยู่ พระพุทธเจ้าชมเชยที่ตรงไหนไม่เห็นมีชมเชย ว่าภิกษุทั้งหลาย ๆ มีตั้งแต่เรื่องนี้ทั้งนั้น เรื่องจิตกับภาวนา สถานที่นั่นที่นี่เป็นยังไง ๆ จี้เข้าจุด ๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่ได้มาโลเลโลกเลกแบบโลกสงสารเขาอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้พระเรามันเป็นอย่างนั้นละเขาถึงเอือมระอา ๆ พวกเราเองดูกัน ผู้ที่ดีกว่ากันบ้างดูกันก็จะดูไม่ได้ เลยรังเกียจกันไปละนะมันโลเลโลกเลก มันจะไม่ได้หน้าได้หลังอะไรแล้วนี่เวลานี้

การฝึกทรมานตนก็ดู สังเกตจิตนั่นแหละสำคัญมากกว่าสิ่งอื่น ๆ จริง ๆ เรื่องฆ่ากิเลสสำหรับผมนี่พูดจริง ๆ มันไม่ลืมนะ สด ๆ ร้อน ๆ มันหนักจริง ๆ นึกว่าจะเป็นจะตายจะไม่มีเหลือซากมาให้หมู่เพื่อนเห็นเลยนั่นแหละ แต่ก็น่าชมอันหนึ่งคือจิตไม่เด็ดมันก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ มันเด็ดจริง ๆ นะ เป็นกับตายไม่เห็นมีความหมายอะไรเลย โน่นน่ะฟังซิ เวลามันเด็ดของมัน เพราะฉะนั้นมันถึงซัดได้ทุกอย่างเลยนะ เอ้า ว่างั้น ขาดสะบั้นไปเลย ไม่มีความหมายเรื่องตาย โลกเขาตายกันทั้งนั้นละทำไมเราจะอยู่ค้ำฟ้า นี่เข้าต่อสู้กับกิเลสนี้เราทำไมกลัวตาย ทั้ง ๆ ที่โลกเขาก็ตายเราก็จะตาย นั่นมันเอากันขนาดนั้นละ กว่าจะผ่านไปได้แต่ละเปลาะ ๆ นี้ โถ ไม่ใช่เล่น ๆ นะ

เรื่องวกเวียนตายเกิด ๆ นี้มันประจักษ์จริง ๆ นะไม่ใช่พูดเล่น ๆ แต่ไม่ทราบจะพูดอะไรให้ใครฟังได้ถ้าไม่เป็นขึ้นในเจ้าของ พูดให้ฟังได้เฉพาะแง่ที่ควรพูด อย่างพระพุทธเจ้าว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ ให้มันเจออวิชชาจริง ๆ เข้าไปดูซี เรื่องวัฏจักรวัฏจิตที่มันหมุนมันเวียนของมัน มันเข้าถึงจุดของมันจริง ๆ ทำไมจะไม่รู้ ก็มันเป็นเองนี่เมื่อเข้าถึงกันแล้วทำไมจะไม่รู้ นี่เราไม่เข้าถึงมันน่ะซี มีแต่มันพาเป็นพาไปพาลากพาถูถึงไม่รู้

เกิดมากี่กัปกี่กัลป์ก็ไม่รู้ว่าตัวเกิดตัวตาย ทุกข์ยากลำบากมาขนาดไหนก็ไม่รู้ เมื่อเข้าไปถึงตัวมันแล้วทำไมจะไม่รู้ตัวมันเองเป็นผู้เป็น เอาตรงนั้นซี มันจะเป็นไปข้างหน้าก็ตัวนี้ เป็นมาแล้วก็ตัวนี้ มันเป็นเพราะสาเหตุอะไรก็อยู่ในนั้น เห็นประจักษ์อยู่นั้นแล้วจะสงสัยอะไร ศาสดาองค์เดียวประกาศลั่นโลกเห็นไหม พระองค์ไปหาใครมาเป็นสักขีพยาน ประกาศธรรมสอนโลกก็เพราะ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศป้าง รู้เองเห็นเองไม่ต้องไปหาใครมาเพิ่มเติมส่งเสริม

ป่าเขาลำเนาไพรก็หมดไป ๆ ศาสนาก็เป็นอย่างนี้แหละดูเอาทุกท่าน หมดความหมายไป ๆ เพราะอำนาจของกิเลสมันทับมันถม อะไรที่เป็นของไม่ดีนี้มันยกยอปอปั้นขึ้นมาเป็นของดิบของดี โอ้โห จิตใจต่ำถึงขนาดนี้เทียวเหรอ ๆ มันสลดสังเวชนะ ถึงได้ว่าเทียวเหรอ ๆ ได้อุทานในใจ สลดสังเวชในใจ ของที่ต่ำช้าเลวทรามเท่าไรยิ่งขุดยิ่งคุ้ยขึ้นมา เหมือนพวกมูตรพวกคูถลากขึ้นมา เอาทองทั้งแท่งมาประดับตบแต่งมันมูตรคูถนั่น เอามาปอมาปั้นให้เป็นของดิบของดีของวิเศษวิโส วิเศษวิโสอะไร....ก็ขี้ นั่น ก็รู้ว่าขี้อยู่แล้วใครก็รู้ อันนี้เป็นยังไงใครจะไม่รู้

สิ่งที่โลกเป็นบ้ากันอยู่เวลานี้ เราก็เป็นโลกคนหนึ่งเราก็เป็นบ้าอยู่กับเราอีก จะไปตำหนิใคร ถ้าไม่ดูหัวใจเจ้าของให้ชัดเจนลงไป แล้วจะได้เห็นหมดทุกอย่าง ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ตรงไหน ผิดตรงไหนได้ค้านพระพุทธเจ้าไม่เห็นมีนี่ แต่เรื่องกับกิเลสนี้ค้านทุกระยะ อะไรแย็บออกมาเป็นเรื่องค้านกันทั้งนั้นเพราะมันปลอม เรื่องของกิเลสนี่มันปลอม ต้องได้ค้านกันทุกระยะ ๆ ทุกขณะ ๆ ที่มันแสดงออกมา ถ้าเรื่องของธรรมหาที่ค้านไม่ได้นะ เพราะจริงทุกอย่าง ๆ ขนาดนั้นมันก็ยังไม่ยอมเชื่อ อำนาจของกิเลสมันรุนแรงขนาดนั้นละ ไม่ใช่เราไม่ยอมเชื่อนะ กิเลสนั่นละพาให้ไม่เชื่อ เราอยู่ใต้อำนาจของเขาก็ต้องเป็นไปตามเขา อยากเชื่อแต่มันเชื่อไม่ได้เพราะอำนาจของกิเลสมันรุนแรงมากกว่า

โถ เหมือนลิบลับนะเรื่องของศาสนา ลิบลับ ๆ มรสุมของมหาสมมุติมหานิยมมันท่วมมันท้นจนมองไม่เห็น คนคนหนึ่งมองไม่เห็นตัวเลยจะว่าไง จิตดวงหนึ่งมองไม่เห็นตัวจิตเลย มีแต่อันเดียวนี้ทั้งนั้น ๆ ธรรมะเข้าไปผ่านไม่ได้เลยถูกปัดออกตก ๕ ทวีปโน่น ธรรมะผ่านเข้าไปนี้ตก ๕ ทวีป ๆ อำนาจของกิเลสมันรุนแรงขนาดนั้น เวลานี้กำลัง..เพียง ๒,๕๐๐ กว่าปีเท่านี้ก็พอแล้ว ดูแล้วมันน่าดูนะถ้าจะว่าแบบโลกว่าน่าดู มันไม่ปิดบังลี้ลับ มันเปิดมันเผยให้เห็นตามหลักความจริงของมัน ทางนี้ก็เปิดรับกันดูซิน่ะมันจะไปไหนว่างั้นเลย ของจริงมีอยู่มันจะลี้ลับไปไหนว่างั้นเลย เมื่อได้เปิดให้เห็นแล้วมันเปิดหมดทั้งนั้นละ เวลามันปิดยังไงก็ไม่เห็น

จิตของพวกเราเวลานี้กำลังถูกปิด ทำยังไงมันก็ไม่เห็น ๆ ทำให้ขยันเท่าไรมันก็ยิ่งเกียจคร้านเข้าไป ทำให้ฉลาดเท่าไรมันยิ่งโง่ แน่ะ อำนาจของกิเลสมันรุนแรง-รุนแรงทุกด้านถ้าขึ้นชื่อว่าเรื่องของกิเลสแล้ว เมื่อเปิดออกหมดแล้วมันถึงได้เห็นโทษกัน เมื่อเห็นโทษกันแล้วสุดเหวี่ยงละที่นี่ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ถอยไม่ได้ว่างั้นเลย เมื่อถึงขั้นธรรมมีกำลังเป็นอย่างนั้นนะ เช่นเดียวกับกิเลสมีกำลังไม่มีอะไรผิดกัน เวลากิเลสมีกำลังนี้ธรรมะผ่านเข้าไปไม่ได้ ปัดตก ๕ ทวีปโน่น ทีนี้เวลาธรรมมีกำลังสติปัญญามีกำลังทุกด้านทุกทางแหลมคมพอแล้วนี้ กิเลสผ่านเข้ามาว่างั้นเลย ตก ๕ ทวีปเหมือนกัน ผ่านเข้ามาตก ๕ ทวีปเหมือนกัน ทีนี้ธรรมทำงานแล้วละที่นี่ สติธรรม ปัญญาธรรมเป็นสำคัญ ทำงานบนหัวใจแทนกิเลสวัฏฏ์แต่ก่อน เดี๋ยวนี้เป็นวิวัฏจิตวิวัฏจักรกำลังหมุนย้อนกลับ ๆ กิเลสผ่านมาได้ยังไงตก ๕ ทวีปเหมือนกัน เมื่อถึงขั้นแล้วเป็นไม่ถอยเหมือนกันกับกิเลสมันไม่ถอยนั่นแล

กิเลสไม่มีคำว่าอ่อนตัว เราจะแก่คร่ำคร่าชราขนาดไหนกิเลสไม่มีคำว่าอ่อนตัว มีกำลังวังชาตลอด ๆ ๆ กิเลสจึงไม่ตายด้วยหลักธรรมชาติ ไม่ตายด้วยความแก่เฒ่าชราเหมือนสิ่งทั้งหลายแก่เฒ่าชราตายไป กิเลสไม่มีตาย ถ้าไม่มีธรรมเข้าไปสังหารมันเท่านั้นมันไม่ตาย เพราะฉะนั้นจึงต้องมีธรรม เมื่อธรรมเข้าไปสังหาร ธรรมได้ที่แล้วก็เอาละที่นี่นะ กิเลสพังลง ๆ ธรรมก็ยิ่งหมุนติ้ว ๆ บนหัวใจนั่นแหละแทนกิเลส แต่ก่อนกิเลสอยู่บนหัวใจธรรมะเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้....พังเลย ทีนี้เมื่อธรรมเข้าได้ที่แล้วพังกิเลสก็เหมือนกันอีก แย็บพับขาดสะบั้นแล้ว ๆ มีแต่เรื่องขาดสะบั้น ๆ ไม่มีเวลาที่มันจะก่อตัวขึ้นมาเป็นลูกเป็นหลานกันเป็นโคตรเป็นแซ่กันได้เหมือนแต่ก่อนแล้วมันจะเอาอะไรมาเหลือ มันก็ต้องพัง

นี่เรียกว่าอัตโนมัติเป็นหลักธรรมชาติ เหมือนกันกับกิเลสมันหมุนจิตของสัตว์โลกให้เป็นตามหลักธรรมชาติของมันฉันใด วิวัฏจิตวิวัฏจักรก็หมุนโดยหลักธรรมชาติเหมือนกัน จนกระทั่งให้อยู่ในหลักธรรมชาติดั้งเดิม คืออะไร ความบริสุทธิ์พุทโธ ลงถึงจุดเต็มที่แล้วอยู่ ธรรมกับใจเป็นอันเดียวกัน ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกันเราจะพูดอะไรพูดไม่ได้ที่นี่นะ หากไม่สงสัย เพราะไม่ใช่วิสัยที่จะนำมาพูดให้โลกเข้าใจได้เห็นได้ยินได้ฟังได้คาดเดาถูกต้องตามนั้น นอกจากเป็นเสียเองแล้วไม่ต้องคาดก็รู้เอง นี่ที่ว่าความรู้ของพระพุทธเจ้าของพระสาวกทั้งหลายไม่ได้เหมือนความรู้ของพวกเราหนา เพราะธรรมชาติที่เป็นเจ้าของแห่งความรู้ทั้งหลายนั้นเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนใครเหมือนอะไรเมื่อไร ไม่เหมือน อากัปกิริยาที่แสดงออกมาจากนั้นจึงไม่ได้เหมือนอะไร เพราะออกมาจากความบริสุทธิ์จึงไม่เหมือนอะไร ๆ

เงินกฐินที่ถวายไปนี่ไม่ใช่เพื่อเป็นการเสริมบ้าของพระนะ อยู่ ๆ หาแต่เรื่องก่อเรื่องสร้างขึ้นไม่ได้หน้าได้หลังอะไร เรื่องกังวลวุ่นวาย เรื่องฆ่ากิเลสอะไรอย่างงั้น มันกิเลสฆ่าคน เขาจะว่าสัมมาทิฏฐิอะไรก็ว่าไปเถอะ สำหรับพระแล้วตัวมิจฉาทิฏฐินี่แหละ นี่ละที่ว่ามรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด ก็ว่าเป็นสัมมาทิฏฐินั่นแล้ว ทำงานชอบ ไม่ได้โกหกพกลมใครทำงานชอบ แต่หัวใจมันไม่ชอบนั่นซี หัวใจมันยุ่งเหยิงวุ่นวาย นั่นเวลาแก้- แก้หัวใจนะ จึงว่างานสมุทัยเราว่างั้นแหละ

เพราะเราเห็นประจักษ์เวลาปฏิบัติซิ เวลาปฏิบัติงานเหล่านี้ยุ่งไม่ได้ ยุ่งเมื่อไรเป็นเกิดยุ่งขึ้น มาวุ่นเมื่อไรเป็นเกิดยุ่งในใจทันที นั่นไม่เป็นสมุทัยจะเป็นอะไรไป ให้มันเห็นอย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ เอาปฏิบัติยันกันซิ นี่เคยอย่างนั้นนี่นะ เพราะฉะนั้นผมถึงไม่ยุ่งกับงานอะไร งานอะไรมายุ่งผมไม่ได้ ตั้งแต่วันออกปฏิบัติมาเลยไม่ยุ่งจริง ๆ มีแต่อันเดียว ฟัดกันตลอดเวลา จึงว่ามันหนักมากละซี ไม่มีเวลาลืมหูลืมตานี่ที่เต็มที่อย่างนี้ ๙ ปีว่างั้นเลย บางทีจนได้รำพึง อะไรมายุ่งไม่ได้จริง ๆ เพราะจะฆ่ามันจริง ๆ ไม่ให้มันเหลือในหัวใจเลยนี่ ความมุ่งมั่นถึงขนาดนั้นแล้วจะเอาอะไรมายุ่งให้เสียเวล่ำเวลาไปได้ล่ะ

อยู่ที่ไหนก็อย่างนั้น คนเดียว ๆ ๆ ไม่เอาใครไปด้วยแล้วผม นิสัยผมอย่างว่านี่แหละ มันเป็นเหมือนน้ำไหลบ่า ให้ใครไปด้วย ๆ ความรับผิดชอบตามสัญชาตญาณมันก็มีอยู่ทุกคน จะปล่อยปละละเลยกันยังไง เวลาไปก็ต้องมีความรับผิดชอบกันอยู่ลึก ๆ ภายในใจนั้น เป็นสัญชาตญาณอันหนึ่ง แต่สัตว์ไปด้วยกันเขายังมีรับผิดชอบกัน ทีนี้มันก็เป็นน้ำไหลบ่าละซี ไปคนเดียวนี้เดินทั้งวันเป็นความเพียรทั้งวันนี่ นั่นฟังซิ เราจะได้คิดตำหนิเจ้าของ เอ๊ วันนี้ขาดความเพียรเพราะเดินทางนี่ไม่มี มันเป็นความเพียรตลอดไปเลย เดินจากที่นี่ไปถึงที่นั่นก็เป็นความเพียรตลอด เดินจงกรมทั้งนั้น อยู่คนเดียวไม่ได้คุยกับใครนะ นี่ซิมันเหมาะเจาะดีนะ

ความเพียรของเรา ๙ ปีนี้ผมไม่ยุ่งกับใครจริง ๆ นะ เอากันอย่างหนักอย่างไม่มองฟ้ามองเมฆมองหมอกอะไรเลย ตามีก็มีแต่ไม่ให้มันมองในสิ่งที่เป็นภัย สกัดลัดกั้นบังคับกันอย่างรุนแรง มันอยากดูไม่ให้ดู บังคับเอาไว้เลย ดูจะดูอะไร มันก็ดูที่มันเคยเป็นข้าศึก ตัวข้าศึกใหญ่ ๆ นั่นแหละ กิเลสมันกล้าหาญขนาดไหนว่ะเรื่องของกิเลส แต่เรื่องธรรมนั้นฉิบหายปุ๊บ ๆ น่ะซี ไม่มีเวลาว่างจึงว่า โห มันเป็นทุกข์จริง ๆ นะ มันรำพึงในเจ้าของรำพึงชั่วขณะนะไม่ใช่รำพึงอยู่เรื่อย ๆ รำพึงชั่วขณะ โอ้โห งานการเราก็ได้ทำเหมือนโลกเหมือนสงสารเขา แต่งานภายในใจของเรานี้ไม่มีเวลาปล่อยวางเลยมันหนักเอาจริง ๆ นะ

เวลาเข้าอยู่ในป่าในเขาอย่างนั้นมันช่วยนะเรื่องวิสภาค ช่วยได้เยอะนะ สิ่งเหล่านี้ไม่ค่อยกวน มันก็ยิ่งสนุกทำความเพียร เรื่องราคะมันเป็นในหัวใจของเราคนเดียวถ้าใจยังไม่สงบ ไม่มีสิ่งเหล่านี้ไปเกี่ยวกวนมันก็เกี่ยวกวนตัวเองของมันอยู่นั่นแหละ อยู่ในนั้นแหละ ถ้ามันยังไม่สงบอันนี้ก็จะไปเป็นอยู่ในป่าในเขานั่นน่ะ เวลาสงบแล้วอยู่สบาย จิตเป็นสมาธิ..สบาย อยู่ในป่าในเขาก็สบาย คือมันไม่ยุ่งกับเรื่องเหล่านี้แหละไม่ใช่อะไรนะ คำว่าไม่สบายก็คือเรื่องเหล่านี้แหละเรื่องวิสภาคนี่มันยังมีอยู่ในใจ ทีนี้พอจิตสงบมันก็อิ่มตัวของมัน ไม่ยุ่งรูป รส กลิ่น เสียง เครื่องสัมผัสอะไร

เพลินอยู่กับความสงบ อยู่สบาย มันก็ทำให้เพลินได้นะ เพราะฉะนั้นถึงติดสมาธิซิคนเรา คือมันสบายไม่ยุ่งกับอะไร แต่มันก็ไม่ได้อะไรมากกว่านั้นนะ นู่นเวลาก้าวออกทางด้านปัญญามันถึงคืบของมันออก ๆ เหมือนออกมาดูมองดูเมฆดูหมอก อ๋อ นั่นเป็นอย่างนั้น นี่เป็นอย่างนี้ นั่นละพอปัญญาออกนะ ทีนี้เปิดออก ๆ พอเปิดออกมันเห็นซิ เมื่อเห็นและรู้แล้วก็ทำให้ดูดดื่มซิ ออกทางด้านปัญญาออกไปเสียจนพุ่ง ๆ ๆ ทีนี้ไม่ต้องได้บังคับแล้วปัญญาเมื่อเห็นผลแล้วนะ มีแต่รั้งเอาไว้เท่านั้นแหละมันเลยเถิด ลืมหลับลืมนอนลืมทุกอย่าง

เดินจงกรมนี้ฟาดตั้งแต่ฉันจังหันแล้วจนถึงปัดกวาดไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยนะ ไม่สนใจเลย มันเดินของมันได้สบาย ขนาดนั้นละ จนฝ่าเท้านี้ออกร้อนนะ ฝ่าเท้าออกร้อนแต่ไม่เคยแตกนะ บางทีได้เอามาดู เอ๊ ฝ่าเท้าแตกหรือไง ดูก็ไม่เห็นแตก ที่ว่าพระโสณะท่านเดินจงกรมจนฝ่าเท้าแตกแต่ก่อนผมก็ไม่ได้เงื่อนพอที่จะมาพิจารณา แต่ไม่ใช่เป็นการอาจเอื้อมนะ คือเอาเหตุผลมาเทียบเคียง เดินจงกรมธรรมดานี้ขนาดถึงฝ่าเท้าแตกด้วยการบังคับบัญชาเดินนี้เป็นไปไม่ได้ แน่ะ ถ้าอันนี้เป็นไปได้เลยไม่สงสัย เพราะมันเพลินมันลืมเนื้อลืมตัวลืมเวล่ำเวลานี่ มันฟัดกับกิเลสอยู่ตลอดเวลา เดินอยู่ไม่หยุด....เป็นได้ว่างั้นเลย มันมีเครื่องยันกันอย่างนั้นซิ

พวกน้ำพวกอะไรนี้ไม่สนใจนะ เหมือนไม่มีอะไร ไม่กินอะไรทั้งนั้นแหละ ลืมไปหมดทุกอย่าง บทเวลามาเข้าแคร่ที่พัก โถ มองเห็นน้ำนี่โดดใส่ผึง ๆ ๆ มันจะตายนะ กลืนน้ำกลืนไม่ทันใจจนสำลักกั๊ก ๆ ๆ มันจะตายจริง ๆ มันหิวน้ำ เวลามาเห็นน้ำมันถึงคิดใส่น้ำปุ๊บใส่กันเลย ขนาดนั้นนะ เวลาเดินจงกรมไม่เห็นมีอะไร ก็มีแต่อันเดียวฟัดกันอยู่นี้

พูดถึงเรื่องปัญญาก้าวแล้วมีแต่เพลินท่าเดียว ท่านว่าอุทธัจจะเราก็ไม่เข้าใจ เวลาผ่านเข้าไปแล้วก็รู้เอง สังโยชน์เบื้องบนอุทธัจจะ ๆ คือมันเพลินเกินตัว มันฟุ้ง ๆ ๆ เพลินเกินตัวไม่เข้าพักผ่อนในสมาธิ มีแต่จะเอาให้รู้ให้เห็น ๆ จนเจ้าของจะตายก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ท่านว่าอุทธัจจะ ไม่พอดีอันหนึ่ง เวลาผ่านไปแล้วก็รู้เอง อ๋อ ตรงนั้นเป็นอย่างนั้น ตรงนี้เป็นอย่างนี้ เวลาจะตายจริง ๆ จิตเข้ามาพัก พักสมาธิ แต่ไม่เอาจริง ๆ ไม่เข้านะ มันเพลินกับงานนั่น เพลินก็เพลินอยู่ในหัวใจนะไม่ใช่เพลินภายนอกนะ

งานนี้งานในหัวใจทั้งนั้นแหละไม่ได้ออกนอกนี้เลย งานปัญญาขั้นนี้ไม่มีออกนอก เพราะนอกมันปล่อยหมดแล้วจะเอาอะไรมายุ่งวะ มีแต่พวก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ฟัดกันอยู่นี่ เรื่องรูปก็หมดปัญหาไปตั้งแต่กามกิเลส

ให้มันเห็นอย่างนั้นซิการปฏิบัติ ใครไม่บอกก็ตามมันรู้ของมันนี่จะว่าไง แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้าก็ไม่ทูลถามท่าน ทูลหาอะไรความรู้เหมือนกัน เหมือนกับเรารับประทาน ใครอิ่ม ๆ ใครก็รู้ เผ็ดร้อนเผ็ดเค็มใครก็รู้ด้วยกันด้วยลิ้น ๆ อิ่มก็รู้ด้วยกันแล้วจะถามหาอะไร นี่ก็แบบเดียวกัน มันหมดปัญหาไปตั้งแต่กามราคะ พออันนี้หมดปัญหาไปแล้ว.ร่างกาย จิตก็พอแล้ว เมื่อพอแล้วมันไม่ยอมพิจารณานะ นั่นเห็นไหมเวลามันพิจารณามันถอยเมื่อไร พันอยู่ทั้งวันทั้งคืนกับอันนี้ แต่เวลาอิ่มตัวแล้วมันก็พอ ปล่อย ปล่อยอย่างนั้นซิให้เห็นชัด ๆ อย่างนั้นซิ บังคับให้พิจารณาก็ไม่ยอมพิจารณา พิจารณาหาอะไร แน่ะ ถ้าจะพูดแบบโลก ๆ นะ แต่มันไม่ถึงอย่างนั้น มันรู้ของมันแล้วนี่ ก็หมุนตั้งแต่พวกนามธรรม ติ้ว ๆ ๆ หมุนเข้าไป ๆ ก็เข้าไปหาจุดนั้นแหละ ที่ว่าอวิชชา ๆ

โถ เวลาอวิชชาแผ่อำนาจ อวิชชามันอยู่ฉากหลัง ตัวราคะตัณหาอยู่ฉากหน้า ตัวนี้ตัวรุนแรงมากนะ ผาดโผนโจนทะยานมากที่สุดตัวนี้ เรื่องสติปัญญามาทุ่มตรงนี้เหมือนน้ำไหลโจนมาจากภูเขานู่น เป็นสติปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานที่สุดก็คือสติปัญญาขั้นราคะนี่ มันหากเป็นของมันเอง พุ่ง ๆ ๆ รุนแรงมากนะ นี่มันเป็นอัตโนมัติมาแล้ว ขั้นนี้ก็เป็นแล้วนะ กามราคะนี่เป็นอัตโนมัติแล้วพุ่ง ๆ แล้ว พอผ่านจากนี้ไปแล้วเรื่องรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส หมดปัญหาไปพร้อมกันกับร่างกายหมดปัญหาราคะหมดปัญหา ให้เห็นอย่างนั้นซิ ตัดหมดแล้วไม่มีอะไรเหลือแล้ว ร่างกายเจ้าของอยู่กับเจ้าของก็รู้หมดก็ไม่เล่นเสีย อันนี้ก็เกี่ยวกับเรื่องร่างกายภายนอกที่ว่าเป็นรูปภายนอกก็หมดปัญหาไปตาม ๆ กัน มันเสมอกัน

ออกจากนั้นก็ละเอียดเข้าไป ปัญญาละเอียดเข้าไป ๆ มีแต่เรื่องสัญญา สังขารนี่ สัญญาสังขาร ๆ ที่มันปรุงมันแต่ง ฝึกซ้อมกันอยู่นี่ เอานี้ละฝึกซ้อม สติปัญญาขั้นละเอียดเป็นน้ำซับน้ำซึมละที่นี่นะ ไหลรินทั้งวันทั้งคืนแต่ไม่รุนแรงหากไม่หยุด อยู่ไหนก็หมุนกันอยู่อย่างนั้นติ้ว ๆ ๆ ละเอียดเข้าไป ๆ พูดยากนะ จนกระทั่งถึงจะว่าอาจเอื้อมก็ตามเมื่อสุดตรงนี้ แล้วตรงนี้เราก็เห็น ละเอียดเข้าไป ละเอียดยิ่งกว่านั้นคืออะไร เห็นอยู่รู้อยู่นี่แต่ไม่เห็นมีชื่อว่ายังไง

คำว่ามหาสติมหาปัญญาก็เด่นอยู่แล้วในหัวใจของเรา มันเผลออะไรที่ไหนเมื่อไรวะ ทีนี้พอเข้าถึงอันซึมซาบมันคืออะไร ถ้าไม่เป็นการอาจเอื้อมเราก็อยากว่าญาณเสีย ซึมเข้าไปญาณหยั่งทราบเข้าไป ๆ อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง ๆ เป็นขึ้นในหัวใจเจ้าของ ไม่ได้ไปเรียนจากผู้ใดเรียนจากหลักธรรมชาติที่เป็นอยู่ในเจ้าของนี่ ละเอียดลออก็ละเอียดลออสุดขีดที่จะพูด นำมาพูดได้เพียงบางอย่างเท่านั้น ไม่เป็นในเจ้าของเองแล้วพูดไม่ได้นะ จะพูดให้ได้ทุกอย่างไม่ได้ บางอย่างไม่ใช่วิสัยที่จะนำมาพูดก็ไม่ทราบจะพูดหาอะไร เหมือนไม่รู้อย่างนั้นแหละ

พอตะล่อมเข้าไป ๆ อวิชชาหมดทางเดินซิ ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ราคะตัณหานี่สุดเหวี่ยงนะ มันออกเล่นละครนี้สุดเหวี่ยงโลกธาตุไหวโน่น อวิชชาเป็นเพียงพื้นเฉย ๆ นะ ตัวราคะตัณหานี้ตัวรุนแรงตัวทำงานที่หนักมากที่สุดแก่จิตใจของโลก ชอบก็ชอบมากที่สุด ทุกข์ก็ทุกข์มากที่สุด ไม่รู้..มันไปตามกัน เปลวไฟสว่างจ้าก็จริง แต่ความร้อนมันก็แผดไปตามกัน อันนี้ก็เหมือนกันความเพลิดความเพลินก็เพลินจริง แต่ความทุกข์มันไปด้วยกัน ๆ มันไม่ให้รู้นี่นะ จึงเรียกว่ามันเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ถึงได้ โอ้โห ๆ เวลาผ่านไปแล้ว ทีนี้จะไปสอนใครให้รู้ ๆ เหมือนหนึ่งว่าสุดวิสัยที่จะสอน แล้วจะสอนหาอะไร โถ ๆ อยู่งั้นแหละ โอ้โหกับโถอันเดียวกันแหละมันอุทานนะ สุดเหวี่ยงกันแล้ว ให้เป็นในเจ้าของเองมันถึงชัด

พอเข้าถึงขั้นละเอียดแล้ว เมื่อราคะตัณหามอดลงไม่มีเหลือแล้ว ทีนี้รูปเสียงกลิ่นรสไม่เห็นมีความหมายอะไรนี่ ตัวนี้ดับก็เห็นอยู่ชัด ๆ ขนาดนั้นซิตัวเก่ง ๆ แล้วทีนี้จะมีอะไรเป็นภาระ ความดึงความดูดที่สุดที่หนักที่สุด ตัวนี้ตัวดึงดูดที่สุดตัวกดตัวถ่วงที่สุดคือตัวราคะนี้ แหม หนักมากนะ เวลามันฟัดกันเพราะฉะนั้นสติปัญญาถึงได้ผาดโผนโจนทะยานละซิ ไม่อย่างนั้นไม่ทันกันนี่ พุ่ง ๆ ๆ พอตัวนี้ดับลงไปแล้วอะไรก็หมดความหมายลงไปตาม ๆ กัน

อู๋ย ตัวราคะนี่เองตัวสร้างความหมายให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายจนถึงขั้นมหันตทุกข์ มีราคะนี้ตัวสำคัญ นั่นขั้นมันจับได้เลยซี พออันนี้ดับลงไปแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรทั้ง ๆ ที่กิเลสก็ยังมี ก็รู้อยู่ว่ามีอยู่นะ แต่ไม่เห็นมีอะไรที่จะมากวนใจ มันมีอันนี้เท่านั้น ๆ นั่นเห็นไหม เข้าไปถึงอวิชชาแล้วก็ไม่ได้สร้างความทุกข์ลำบากอะไร ๆ ให้เรามาก พอถึงขั้นอวิชชาล้วน ๆ แล้วนะ มีแต่ความอัศจรรย์ ความองอาจกล้าหาญ ความผ่องใส ความอ้อยอิ่ง มันติดของมันอยู่นั้น ทุกข์อย่างละเอียดไม่ได้ทำความกระเทือนให้เรานี่นะ มันเห็นชัด ๆ อย่างนั้น พอถึงขั้นจะม้วนเสื่อกันแล้ว อันนี้ม้วนเสื่อไปแล้วมันก็หมดปัญหาไปเลย

ในขั้นที่ว่าราคะตัณหาหมดมันเหมือนกับว่าบ้านร้างแต่มีคนอยู่ เทียบบ้านร้างคืออะไร ตัวใหญ่มันพังลงหมดแล้ว ราคะตัณหานี่พังหมดแล้ว ตัวคึกตัวคะนองตัวนักเลงโตตัวอันธพาลเป็นตัวนี้ทั้งนั้นว่างั้นเลยนะ เที่ยวกินเหล้าเมายาเที่ยวปล้นเที่ยวจี้สะดมอะไร ๆ ทำบ้านเมืองให้แหลกเหลวไปไม่มีประมาณก็ตัวนี้ทั้งนั้น ๆ พอตัวนี้พังไปแล้วไม่เห็นมีอะไรมาแสดงอย่างนี้ ก็เหมือนกับว่ามีแต่สมบัติผู้ดีอยู่ในบ้านในเรือน ก็ไม่มีใครมาก่อเรื่องก่อราวขึ้นในบ้านในเรือนพอเกิดความโกลาหลอลหม่านขึ้นมานี่ จึงได้เทียบเหมือนกับว่าบ้านร้างแต่มีคนอยู่ คือคนดีอยู่ คนชั่วตายไปแล้วมีแต่คนดีอยู่ มีแต่กิริยาของจิตที่พอเหมาะพอดีธรรมด๊าธรรมดา ไม่มีอะไรพาผาดโผนนี่ มันก็เข้าหาจุดนั้นละซี

มีคนอยู่คือยังมีอวิชชาอยู่ยังมีสมมุติอยู่นั่น บ้านร้างก็คือตัวราคะตัณหาพัง ตัวคึกตัวคะนองตัวนักเลงโตพัง เรียกว่านักเลงโตถึงจะถึงเหตุถึงผลกับเรื่องตัวนี้ ตัวอันธพาลตัวนักเลงโต ไม่ฟังเหตุฟังผลนะตัวอันธพาลตัวนี้ ไม่ฟังเหตุฟังผลอะไรทั้งนั้นแหละ ฟาดมันพังลงไปแล้วทีนี้ก็มีแต่อาการของจิตที่ละเอียด ๆ จึงเทียบเหมือนกับว่าคนดีครองบ้านครองเมืองไม่เห็นก่อเรื่องก่อราวอะไร นี่ละที่ว่าบ้านร้างแต่มีคนอยู่ พอตัวนั้นม้วนเสื่อลงไปแล้วไม่มีอะไรเลย จึงมาเทียบกันเรื่องอวิชชากับธรรมชาติที่บริสุทธิ์นั้นเทียบได้อย่างนั้นแล้ว อวิชชาที่ว่าอ้อยอิ่งที่สุด ที่อัศจรรย์ที่สุดเกินคาด ไม่มีอะไรที่จะอัศจรรย์ยิ่งกว่าอันนี้ นู่นน่ะเวลานั้นนะ

โอ้โห ๆ จนอุทานนี่นะ ทำไมจิตของเราถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้ ๆ ถ้าว่าผ่องใสก็พิลึกพิลั่นจนอัศจรรย์เหมือนกันนั่นแหละ ผ่องใส องอาจกล้าหาญอะไรก็อยู่ในนั้นหมด อัศจรรย์ไปด้วยกันตาม ๆ กันหมด เวลาอันนี้ดับลงไปแล้ว ดับอันนี้แล้วคืออะไรอยู่ข้างล่างนั่นน่ะถ้าเทียบนะ อันนี้ปิดไว้ไม่ให้เห็น พออันนี้ดับพรึบลงไปแล้วนั้นคืออะไร นั่นละที่นี่จึงเทียบได้อันนี้เหมือนกองขี้ควาย ที่ว่าอัศจรรย์นักอัศจรรย์หนาจนออกอุทานในตัวนั่นน่ะกับอันนั้นต่างกันยังไง มันกลายเป็นกองขี้ควายแล้วนี่ เป็นยังไงธรรมชาตินั้นต่างกันขนาดไหน ถึงได้เทียบอวิชชาเหมือนกองขี้ควาย

นั่นละที่ว่าโลกคาดไม่ถึงโลกคิดไม่ได้ถ้าไม่เป็นเสียอย่างเดียวนี้ คาดจนวันตายก็ไม่ได้เรื่อง พอเป็นเข้าเท่านั้น อ๋อทันทีเลย กราบพระพุทธเจ้าราบเลย พุทธะคืออะไรไม่ต้องถาม มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับธรรมชาตินี้ได้ยังไง นั่นละลงจุดนั้นกราบราบละที่นี่ ศาสดามีตนมีตัวอยู่นี่น่ะ ตัวที่เห็นอยู่นี้รู้อยู่นี้รู้ประจักษ์อยู่นี้ ธรรมคืออันนี้ พระสงฆ์สาวกคืออันนี้ ลงนั้นหมดแล้วมาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง นี่ละธรรมชาตินั้นแท้ ๆ เป็นอย่างนั้น

ให้เป็นในเจ้าของซี นี่พูดพอเป็นปากเป็นทางให้คิดให้พิจารณาเท่านั้นละ เดี๋ยวจะไปหลงกองขี้ควายอยู่นั่น เวลาเข้าไปมันหลงได้นะ สติปัญญาขนาดไหนก็อย่างที่ว่าเกรียงไกรสุดยอดเลย ยังไปเป็นองครักษ์ของมันได้นี่ เก่งไหมอวิชชาว่างั้น แต่มันไม่ทำความกระทบกระเทือนให้เหมือนตัวอันธพาลนี้ อันนี้พิลึกจริง ๆ นะ ทำให้โลกธาตุหวั่นไหวได้จริง ๆ ธรรมชาตินี้ มันทำงานของมันเหมือนฟ้าดินถล่มเชียวนะ เวลาพิจารณาเข้าเหมือนฟ้าดินถล่ม นี่ละธรรมะสด ๆ ร้อน ๆ อย่างนี้ละ อยากให้หมู่เพื่อนได้ปฏิบัติและได้รู้ได้เห็นเองแล้วหายสงสัยทันที

อย่าไปสนใจกับสิ่งภายนอกซึ่งพาให้เกิดแก่เจ็บตาย มันเป็นเชื้ออันหนึ่งที่จะหลอกเราให้ไปจมกับมัน ๆ อย่างน้อยก็ล่าช้า วัฏวนหดเข้ามาย่นเข้ามาด้วยภาคปฏิบัติ ภาคปฏิบัตินี้ย่นเข้ามาให้เห็นชัด ๆ ลงไปนี่ ตั้งแต่ได้หลักเกณฑ์แล้ว เอ้อ ทีนี้ได้หลักแล้ว เริ่มได้หลักเกณฑ์ของการตัดวัฏวนแล้วนะ ยิ่งเข้าไปถึงขั้นนี้ยิ่งเห็นชัดเข้าไป ขั้นกามราคะขาดสะบั้นลงไปแล้วยิ่งชัด ยิ่งชัดละเอียดเข้าไปโดยลำดับลำดา

นี่ที่ว่าพระอนาคามีท่านไม่มาเกิด ท่านจะเอาอะไรมาเกิด อะไรจะมาดึงดูดท่าน มีกามราคะอันเดียวเท่านี้ดึงดูด ลากไว้ดึงไว้ มันเหมือนกับโลกนี้ดึงดูดวัตถุต่าง ๆ ให้ตกลงมา กามราคะดึงดูดใจสัตว์โลกก็เหมือนกันนั่นแหละ พอพ้นอันนี้ไปแล้วเป็นอวกาศแล้วมันก็ไม่ดูด จิตพ้นนี้แล้วก็ไม่ดูด นั่นละพระอนาคามีท่านพ้นนี่แล้วไม่มีอะไรดึงดูด ทีนี้เป็นอัตโนมัติของตัวเองเรื่อย ๆ ๆ หมุนเรื่อย คำว่าหมุนก็ไม่ถูกแหละแต่ไม่ทราบจะเอาอะไรมาพูด มันหากรู้อยู่ในตัวเอง ถ้ามีชีวิตอยู่นี้ก็เร่ง ๆ ๆ พิจารณาเข้าไปเรื่อยไปได้เร็ว ถ้าสิ้นชีวิตไปแล้วธรรมชาตินั้นก็เป็นตัวของตัว ธรรมชาติของตัวเองหมุนตัวเอง จะว่าหมุนหรือว่าอะไรเป็นอัตโนมัติของตัวเองที่จะทำให้ละเอียดเข้าไปจนกระทั่งอวิชชาหมด เป็นไปเอง ๆ ถึงสุดยอดไปเลย แต่ช้าต่างกันกับที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น

อย่างที่ว่าเกิด ท่านก็ใช้ตามสมมุติเฉย ๆ นะ ไปเกิดชั้นอวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี ท่านใช้ตามสมมุติ ให้เห็นในปัจจุบันจิตซิเกิดหรือไม่เกิดก็รู้เอง จิตค่อยเคลื่อนย้ายตัวเองโดยลำดับลำดา ๆ โดยหลักธรรมชาติ ๆ มันรู้ในนั้นแล้วว่าเกิดที่ไหนตายที่ไหน ให้เห็นอย่างนั้นซิเห็นชัด ๆ อย่างนั้น แต่เมื่อเวลาท่านแสดงกับโลกที่หูหนวกตาบอดอย่างเรานี้ท่านก็ต้องพูดอย่างนั้นไว้ ว่าไปเกิดในชั้นนั้นชั้นนี้ พอถึงจิตขั้นนั้นแล้วเรื่องความเกิดความตายที่ไหนไม่คำนึงคำนวณแล้ว มีแต่อันเดียวนี่ ๆ ที่จะค่อยหมดปัญหาไป ๆ หมดเรื่อยไปเลย เป็นอย่างนั้นนะ

สิ่งเหล่านี้ผมพูดเฉพาะที่ควรจะพูดนะ โลกสมมุติอันนี้มันแย้งได้ทุกแง่ทุกมุมนั่นแล กิเลสมันไม่ถอยแหละ เวลาเป็นเข้าแล้วก็ยอมกันเอง ที่ว่าไปเกิดในชั้นนั้นชั้นนี้ตรงนี้ละ มันไม่ได้สนใจในภพในชาติอะไร ๆ นี่เวลาจิตไปของจิตแล้วนะ ไม่ได้สนใจในภพในชาติอะไร มีแต่อันเดียวนี่เป็นตัวของตัว ๆ หมุนแล้วผ่านไป ๆ ถึงจุดที่หมดสมมุติแล้วเหรอผ่านออกเท่านั้นเอง สมมุติถึงขั้นอกนิฏฐา นั่นละสมมุติถึงขั้นนั้น อวิชชาไปดับขั้นนั้นสมมุติหมดตรงนั้น

จึงว่าเกิดที่ตรงไหนตายที่ตรงไหนมันพูดยากอยู่นะ ก็ต้องพูดไว้ใครจะฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ไปเกิดในชั้นนั้นชั้นนี้ก็บอกไว้ ผู้ที่จะออกจากภพชาตินี้เพราะเป็นอนาคามีแล้วไปเกิดในชาตินั้น ๆ คือไปอยู่ในชั้นนั้นก็ได้ ผ่านจากนี้ก็ไปนั้นเลย ทิ้งร่างอันนี้เสีย ธรรมชาติอันนี้ที่เป็นภูมิของตัวเองก็ไปแล้ว นี่ภูมิของตัวเองนะเป็นตัวของตัวนี่ไป ว่าเกิด ก็จะขัดแย้งท่านยังไง ว่าเกิดว่าตายเหมือนภพทั้งหลายซิ ถ้าว่าเกิดก็ต้องมีตายนี่ อันนั้นไม่มีอะไรไปให้เกิดให้ตาย มีแต่ลอกอวิชชาออก ๆ มีอะไรเกิดอะไรตายอยู่ในนั้นเห็นได้ชัด ๆ อยู่นั้น แต่ธรรมดาเรานี้มันเกิดมันตายจริง ๆ นี่ชัดเจน เมื่ออันนี้ชัดเจนแล้วอันนั้นก็ชัดเจนเหมือนกันแล้วจะเอาอะไรมาค้านกัน ให้เห็นอย่างนั้นซิการปฏิบัติ

อ๋อ ภพนี้เป็นภพเกิดภพตาย ในขั้นเหล่านี้เป็นขั้นเกิดขั้นตายมันก็รู้ชัด ๆ ของมัน พอถึงขั้นนี้แล้วจะไปเกิดตรงไหนไปตายตรงไหนจิตก็เห็นของจิต จับติดกันไปเรื่อย ๆ นี่ว่าไง เหมือนกับว่ามีแต่ลอกออกปอกออก ๆ อวิชชาลอกออกเรื่อย ๆ หมุนไปเรื่อยลอกไปเรื่อยจนหมด เกิดที่ตรงไหนตายที่ตรงไหน เกิดที่ชั้นอวิหาพอตายที่อวิหาแล้วไปเกิดอตัปปาเหรอ ตายจากอตัปปาไปเกิดสุทัสสาเหรอ ตายจากสุทัสสาแล้วไปเกิดอกนิฏฐาเหรอ ตายจากอกนิฏฐาแล้วจึงไปเกิดในนิพพานอย่างนั้นเหรอ พูดไปก็ยืดยาว ให้ผู้ปฏิบัตินั่นแหละรู้เองเห็นเองถึงชัดประจักษ์ใจ

แล้วคำนี้อย่าลืมนะผมตายไปแล้วจะกังวานในหัวใจของผู้เป็นนั่นแหละ เป็นยังไงผมพูดนี้เรื่องอุตริไหมให้เห็นในตัวเองแล้วมันยอมกันเองแหละน่ะ ถึงขั้นยอมรับว่าเกิดว่าตายก็มีพูดอยู่แล้วนี่ ตรงนั้นเกิดหรือไม่เกิดตายหรือไม่ตาย ให้เห็นอย่างนั้นซิมันถึงชัด โห ชัดจริง ๆ นะธรรมพระพุทธเจ้าประกาศไว้ไม่มีเล่ห์มีเหลี่ยมอะไรเลย ไม่มีร้อยสันพันคมเหมือนกิเลสนะ ตรงแน่วต่อความจริงเลย จึงว่าสด ๆ ร้อน ๆ ละซีพระพุทธเจ้านิพพานไปก็ตามเถอะ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี่เพราะความจริงอริยสัจเป็นตัวของตัวประกาศกังวานอยู่ นี่โรงกลั่นผู้บริสุทธิ์ ชี้เข้าไปตรงนั้นเลย

พุทธศาสนาเราจึงเป็นศาสนาที่เอกสมบูรณ์เต็มที่ อริยสัจเป็นแก่นของศาสนาบริสุทธิ์ได้ทั้งนั้นถ้าลงก้าวเข้าตรงนั้นนะว่างั้นเลย พระพุทธเจ้าจะไม่มีเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ ล้าน ๆ ๆ ๆ ได้ยังไง เมื่อมีโรงงานเครื่องกลั่นกรองคืออริยสัจ ๔ พระสาวกก็ดี พระปัจเจกก็ดีไม่พ้นอันนี้นะ ต้องออกจากนี้ด้วยกันทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่าพระปัจเจกท่านเป็นโดยหลักธรรมชาติของท่านเอง หากเป็นในวงอริยสัจไม่เป็นที่อื่น เป็นที่อื่นไปไม่ได้ อริยสัจนี้เท่านั้นเป็นเครื่องยืนยัน ต้องผ่านนี้ไม่ผ่านนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้ว่างั้นเลย ยันคำเดียวนี้เลยชี้นิ้วเลย เพราะฉะนั้นจึงว่าอริยสัจนี่เป็นรากแก้วของศาสนาพุทธเรา

พราหมณ์แก่สุภัททะได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่าศาสนามีเยอะแล้วศาสนาใดจริงศาสนาใดเท็จ โอ๊ย อย่าถามเราไปมาก ถ้าศาสนาใดมีมรรค ๘ ศาสนานั้นเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เกิดขึ้นจากศาสนานี้ ท่านว่าอย่างนั้นนะเวลาท่านจะปรินิพพาน มันก็ชัด ๆ อยู่นั่น ท่านย่นเข้ามาอย่าถามเราตถาคตมากเพราะมีเวลาน้อย ผู้นั้นก็พร้อมที่จะบรรลุธรรมอยู่แล้ว เอ้า ให้สำเร็จในคืนวันนี้นะ เอาก็สำเร็จเลย เพราะท่านจ่อเข้าไปอริยสัจแล้วนี่ ท่านจะพุ่งแล้ว

คนข้างในครัวก็ยังมีอยู่เยอะ อู๊ย สงสาร ทางใกล้ทางไกลอยู่ที่ไหน บ้าน ๔ ชั้น ๕ ชั้นก็ไม่ยอมอยู่ มาอยู่กระต๊อบกระแต๊บในแคร่ในร้านทำไง จึงได้ปลูกกุฏิให้อีกเพื่อให้ได้อยู่กัน อย่างนั้นแหละต้องแยกแยะอย่างงั้นซิไม่ใช่เป็นเถรตรงนี่ ปลูกหลังนี้ให้อยู่พอได้อาศัยบ้าง เพราะยังไงก็ไม่ถอยนี่มาเรื่อย ๆ จะว่าไง ตกลงก็ต้องทำให้ ดีไม่ดีอาจจะได้ปลูกอีกก็ได้นี่

คนมีราคาเท่าไรเวลาแยก คนมีคุณค่าขนาดไหน มีคุณค่าเท่าไร แล้วไม้เหล่านี้มีคุณค่าเท่าไร แยกปั๊บเดียว แยกด้วยเหตุด้วยผล จะทำอะไรขอให้มีเหตุมีผล เมื่อถึงกาลเวลาที่ควรจะพิจารณาเปลี่ยนแปลงในสิ่งเหล่านี้ให้มันเป็นยังไงให้พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล แต่อย่าเป็นแบบสร้างงุ่ม ๆ ง่าม ๆ หาเหตุหาผลไม่ได้นั้นอย่านะ อะไรก็มีแต่สร้าง ๆ หาเหตุผลไม่ได้อันนี้ใช้ไม่ได้เลย คนไม่มีเหตุผลแก้กิเลสไม่ได้นะเอาลงตรงจุดนี้นะ

เอาละนะเลิกกัน


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก