|
/body onLoad="MM_preloadImages('../images/link_2_6_a.gif')">
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" page="dhamma_online";
/SCRIPT LANGUAGE="javascript1.1" src="http://truehits1.gits.net.th/data/e0008481.js">
|
|
|
ทรมานจิตทางลัด |
|
วันที่ 17 มกราคม 2545 เวลา 7:30 น. ความยาว 48.22 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด |
| | |
ค้นหา :
ทรมานจิตทางลัด
ทองคำเมื่อวานนี้ได้ ๔ บาท ๒๖ สตางค์ ดอลลาร์ได้ ๑๙ ดอลล์ วันเกิดของเรานี้ไม่เคยสนใจนะ มาเริ่มมีเอาตอนช่วยชาติว่าเป็นวันเกิดหลวงตาบัว สุดท้ายจะให้เป็นวันเกิดหลวงตาบัวทุกปีไปเลย แต่ก่อนไม่ค่อยมี เรื่องอรรถเรื่องธรรมที่เราหมุนอยู่ภายในมันหนักยิ่งกว่านี้ เกินกว่าที่จะมาคิดถึงเรื่องวันเกิดวันนั้นวันนี้ คืออันนี้มันหมุนติ้วอยู่ มันมีน้ำหนักมากกว่า มันไหลเข้ามานี้หมด เลยลืมวันเกิดวันตาย มันอยู่นี้ด้วยกัน ทั่ว ๆ ไปนั้นถูกต้องเหมาะสมแล้ววันเกิด ระลึกถึงชาติของตนที่เกิดมาด้วยบุญด้วยกุศล เมื่อเป็นเช่นนั้นเราระลึกถึงวันเกิดทำบุญวันเกิด เสริมบุญกุศลของเราที่หนุนมาให้เราเกิดเป็นมนุษย์ให้สูงยิ่งขึ้น ถูกต้อง ส่วนทางพระ เช่นอย่างพวกพระกรรมฐาน ท่านหมุนทางนี้มากกว่าสิ่งเหล่านี้ เลยไม่ได้ระลึกถึง หมุนติ้วอยู่ภายใน อันนี้มีน้ำหนักมาก หมุนลงจุดนี้ ๆ
เรื่องการเกิดนี้ไม่ว่าเกิดง่ายหรือเกิดยาก ก็อยู่ใต้อำนาจของกรรมด้วยกัน เกิดง่ายเกิดยากก็พอกัน คือคำว่ายากนี้มันก็หมุนไปทางดีเสีย ถ้าเกิดมาทางกำเนิดที่ดี ๆ ก็เกิดได้ยาก คือหาคุณธรรมความดีที่จะพาให้ตนไปเกิดในสถานที่เหมาะสมอย่างนั้นมันหายาก เพราะตัวเองไม่หา แล้วตัวเองไปเกิดก็เกิดยาก ถ้าตัวเองหาแล้วเกิดได้ง่ายทางดี ทางชั่วมันง่ายตลอด เพราะเป็นเครื่องกดถ่วงลง เหมือนน้ำไหลโจนลงจากภูเขา ตกปั๊บมันไหลลงง่าย ๆ นิดเดียว แต่ที่จะให้ขึ้นสูงนี้ต้องมีเครื่องดูดขึ้นไป เรื่องความดีก็เหมือนกัน ทำยาก ๆ
พอพูดถึงเรื่องนี้เราก็ระลึกถึงพระพุทธเจ้า ที่ทรงปลงธรรมสังเวชต่อพระเทวทัต พระเทวทัตแยกตนออกจากพระพุทธเจ้าเป็นสังฆเภท ยุยงส่งเสริมชักชวนพระทั้งหลายให้ไปด้วยตน ตำหนิพระพุทธเจ้าว่าไม่มีสารคุณอะไร ๆ พระเทวทัตยุยงส่งเสริมพระให้ไปตามตนเอง ๆ พระที่บวชใหม่ยังไม่รู้ภาษีภาษาอะไรก็ติดร่างแหไปเยอะ ฟังว่าถึง ๕๐๐ องค์ แต่ก็ไม่นาน พอไปแล้วพระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ก็ติดตามไปเกลี้ยกล่อม แนะนำสั่งสอน นั่นเห็นไหมล่ะ พอรู้โทษรู้ภัยถอนตัวออกมา พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ เป็นของเล่นเมื่อไร ช่วยฉุดลากผู้ลุ่มหลงมา
ทีนี้คำว่าระลึก วันนั้นวันที่พระเทวทัตบอกกับพระอานนท์ว่า วันนี้เรากับพระพุทธเจ้าจะได้แตกได้แยกจากกัน พระของเรามีเท่าไรก็ไปกับเรา อะไรที่เป็นฝ่ายพระพุทธเจ้าก็แล้วแต่จะไป เป็นอันว่าวันนี้แยกกันเรากับพระพุทธเจ้า เป็นสังฆเภท เหมือนแตกกระจายไปคนละฝั่ง พอพระอานนท์ทราบเรื่องราวดีแล้วก็มากราบทูลพระพุทธเจ้า ว่าเวลานี้พระเทวทัตได้ประกาศตนแล้วกับข้าพระองค์ว่า บัดนี้ต่อไปได้แยกจากพระพุทธเจ้า เป็นอันว่าพระเทวทัตได้แยกจากพระองค์แล้ว พร้อมกับพวกที่ติดตามพระเทวทัต เห็นด้วยกับพระเทวทัตก็แยกกันวันนี้ พระองค์พอทราบ เรียกว่าปลงธรรมสังเวชเลย ทรงสลดสังเวชมาก เออ ทีนี้ก็ขึ้นเป็นพุทธภาษิต
บาลีว่า สุกรานิ อสาธูนิ อตฺตโน อหิตานิ จ, ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ, ตํ เว ปรมทุกฺกรํ กรรมทั้งหลายที่ไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์แก่ตนด้วย ทำได้ง่าย แต่กรรมใดแลทั้งดีทั้งเป็นประโยชน์ กรรมนั้นแลสัตว์ทำได้ยากอย่างยิ่งทีเดียว จากนั้นก็ทรงแสดงถึงเรื่องความเดือดร้อนต่อไป จนกระทั่งถึงบอกว่าเดือดร้อนในโลกนี้แล้วก็ไปเดือดร้อนในโลกหน้าอีกไม่สิ้นไม่สุด นี่พูดถึงเรื่องว่า กรรมดีทำได้ยาก ที่ดีและเป็นประโยชน์แก่ตนทำได้ยาก ที่ไม่ดีไม่เป็นประโยชน์นั้นทำได้ง่ายมาก แต่อันไหนที่เป็นประโยชน์ทำได้ยากมาก อย่างที่ว่านี่ ยํ เว หิตญฺจ สาธุญฺจ, ตํ เว ปรมทุกฺกรํ กรรมใดที่ดีและเป็นประโยชน์ กรรมนั้นสัตว์ทำได้ยาก ไม่ใช่ยากธรรมดา ทำได้ยากอย่างยิ่ง กรรมที่ดีทำยาก แต่กรรมชั่วมันเหมือนน้ำไหลโจนลงจากภูเขา ไหลลง ๆ กรรมดีนี้ต้องหนุนขึ้น ๆ
ขั้นเริ่มแรกที่กิเลสฝังในหัวใจสัตว์ มันมีกำลังมากเป็นอย่างนั้นด้วยกัน เพราะฉะนั้นเราทุกคนจึงดูหัวใจตัวเองว่าเป็นอย่างที่ท่านพูดไว้ไหม พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ พระองค์ทรงพบทรงเห็นทรงเผชิญมาแล้วถึงขั้นสลบไสลที่ต่อสู้กัน ว่าทำยากอย่างยิ่ง ครั้นเวลาหมุนเข้ามาถูกทางก็คืนเดียวสำเร็จเลย ปุ๊บ ๆ เลย นี่ละเพราะผลของการต่อสู้ไม่ถอย ชัยชนะก็เลยเป็นของพระพุทธเจ้า พวกเราทั้งหลายถ้าต่อสู้ไม่ถอย ชัยชนะก็จะมีไปเป็นประจำวัน ๆ เก็บเล็กผสมน้อย หนึ่งเป็นสองเป็นสามเป็นสี่ มากขึ้นโดยลำดับ ถ้ามีแต่แพ้ มีแต่วิ่งตามกิเลส จมไปโดยลำดับ ๆ จนกระทั่งถึงจมมิด
เพราะคำว่ากิเลสแล้วไม่มีส่วนใดที่จะทำสัตวโลกให้มีความสุขความสบาย มันเอาเหยื่อล่อพอให้เพลินตาม เอาเหยื่อล่อให้มีความหวัง ๆ เพลินตาม หลังจากเพลิน ฉากหลังมันเผาไปเรื่อย ๆ แต่ส่วนธรรมนั้นเหมือนกับว่าฉากหน้า กิเลสหลอกว่าทำยาก ๆ ธรรมบุกเรื่อยเลย ยากตรงไหนบุกเข้าไป กิเลสปักขวากปักหนามไว้ว่ายากว่าลำบาก ทางนี้บุกเข้าไป ๆ ต่อไปก็ผ่านได้เลย จำข้อนี้ให้ดีทุกคน
มันมีอยู่กับทุกคน กิเลสมีอยู่ในหัวใจแล้วสิ่งเหล่านี้ต้องสร้างขวากสร้างหนามในการทำความดีของเราตลอดไป มีมากสร้างมาก มีน้อยสร้างน้อย จนกระทั่งไม่มีเลยนั่นละถึงจะไม่มีอะไรสร้าง กับที่จิตแก่กล้าสามารถที่จะหลุดพ้นแล้ว จวนจะหลุดพ้น หวุดหวิด ๆ นั้นก็เร่ง ไม่มีคำว่าขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ ไม่มีเลย แสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้คือกิเลสทั้งนั้น พอธรรมมีกำลังแล้วความท้อแท้อ่อนแอขี้เกียจขี้คร้านหายหน้าไปหมด มีแต่ต้องรั้งเอาไว้ ๆ มันรุนแรงที่จะข้าม ที่จะหลุดจะพ้น รุนแรงมาก เช่นเดียวกับกิเลสเคยรุนแรงแต่ก่อน เวลาธรรมมีกำลังก็รุนแรงมากเหมือนกัน พุ่ง ๆ นี่หมายถึงผู้ปฏิบัติจะหลุดพ้นให้เห็นประจักษ์กับใจของตัวเอง จึงว่านิพพานนี้เหมือนอยู่ชั่วเอื้อม ๆ คว้าหวุดหวิด ๆ คว้าผิดคว้าถูก เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็บืนล่ะซิ เป็นหลายขั้น
ไม่ใช่ว่ากิเลสจะบุกท่าเดียวนะ ธรรมบุกกิเลสก็มี ในเบื้องต้นนี้กิเลสบุกธรรม เราจะทำความดีอะไรกิเลสต้องบุก ต้องเข้ามาขวางทันทีๆ ขึ้นในใจนะไม่ขึ้นที่ไหน พอคิดว่าจะทำ เป็นความดีว่างั้นเถอะ มันจะขวางเข้ามาเลย บอกอยู่กับหัวใจทุกคน ทีนี้เราไม่ถอย ความดีมีเหตุผล ธรรมมีเหตุผล ถึงยากลำบากก็เป็นความดี ๆ เหตุผลจับเข้าแล้ว ถึงยากก็จะทำ ส่วนกิเลสเหตุผลไม่มี มีแต่บืนตลอด ขวางตลอด ๆ เพราะฉะนั้นจึงทำโลกให้อ่อนลงไปตามมัน เพราะมันดึงตลอด ถ้าว่าหนุนก็หนุนเพื่อจะให้ลง ดึงก็ดึงเพื่อลง คือกิเลสในหัวใจ เวลาธรรมมีมากขึ้นทางนั้นก็ค่อยอ่อนลง ๆ ทางนี้ก็ค่อยเขยิบขึ้น ๆ ต่อไปทางนี้คล่องตัว เวลาคล่องตัวแล้วก็พุ่งเลย ธรรมคล่องตัวก็พุ่ง ๆ เหมือนกับกิเลสคล่องตัวแต่ก่อนเอาลงหงายเลย ๆ
เวลาเข้าด้ายเข้าเข็มให้เห็นเหตุเห็นผลจริง ๆ ต้องเป็นจิตตภาวนาถึงได้สนุกดูกัน ฟัดกันเต็มเหนี่ยว ๆ ธรรมดานี้มักจะมีแต่แพ้ ๆ แพ้กิเลส แต่เวลาถึงขั้นขึ้นเวทีแล้วทีนี้เอาละ ฟัดใหญ่เลย มันถึงเห็นกัน เห็นโทษเห็นคุณ ทั้งทางด้านธรรมะทางด้านกิเลส เห็นไปพร้อม ๆ กัน เพราะอยู่ในใจดวงเดียวกัน แย็บทางนี้เป็นธรรม แย็บทางนี้เป็นกิเลส เห็นได้ด้วยกัน
เราก็เคยเล่าให้ฟังพระองค์นี้ แต่ก่อนท่านเคยเป็นนักเลงเป็นเสือตัวหนึ่งเหมือนกัน ทีนี้มาเห็นโทษเลยกลับเข้ามาบวช บวชก็ใจเด็ดใจนักเลงเหมือนกัน มาทางด้านธรรมะก็เป็นแบบนักเลงสู้ไม่ถอย ไปอยู่ในถ้ำไปเห็นรอยเสือมันเหยียบอยู่หน้าถ้ำ โอ๊ย กลัวรอยเสือเลยจะเป็นจะตายอยู่ในนั้น ภาวนาก็ไม่ลงยังไงก็ไม่ลง ไข้มาลาเรียก็ขึ้นสมองให้เป็นบ้า ท่านก็ฟัดใหญ่เลย เวลาจะเอากันจริง ๆ ไข้มาลาเรียก็เต็มเหนี่ยวเลย เหมือนหนึ่งว่าจะพร้อมกันมา ฝ่ายความดีกับฝ่ายความชั่วจะพร้อมกันมาประดังเลยเทียว ท่านก็เอา ตัดสิน ท่านว่าอย่างนั้นนะ วันนี้ตัดสินกัน เป็นกับตายก็ตัดสินกัน ให้รู้เหตุรู้ผลกันชัดเจนวันนี้ เป็นกับตาย ดีกับชั่ว ให้รู้กันวันนี้
ไข้ก็ตัวสั่นเลย ผ้าห่มเวลามันหนาวมาก ๆ อย่าเอามาห่มนะ ห่มก็หนักเฉย ๆ เราเคยแล้ว ไม่มีคำว่าอุ่น ไข้มาลาเรียเวลาได้หนาวถึงขนาดจับสั่น มันหนาวสะบั้นออกมาจากหัวใจ เอาอะไรมาห่มไม่มีคำว่าอุ่น มันหนักเฉย ๆ ทดลองมาได้เห็นทุกอย่างนะ ไม่ใช่เหงาหงอยไม่ใช่อ่อนแอแล้วหาผ้ามาห่มนะ เอ้า เอามาห่มลองดู ให้เห็นกันวันนี้ ดัดกัน เราเคยทดลองเราเคยสู้กันมาแล้ว พระองค์นั้นก็ตัดสิน หน้าถ้ำเป็นเหว ถ้าตกลงก็แหลกเลยไม่มีกระดูกต่อกัน มันลึก ทางนี้เสือก็มาขึ้นถ้ำของมัน ถ้ำเสืออยู่ข้างบน ถ้ำคนอยู่ข้างล่าง เวลามามันก็มาข้างหลังคน
ทีนี้รอยเสือก็เห็นอยู่นั่นละ เอ้า ลองดูจะเอาทางไหนตัดสินใจเดี๋ยวนี้ จะไปนั่งภาวนาอยู่ที่เหวนั้น หรือจะไปนั่งอยู่ทางเสือมานี้ เอาทางไหน เอาตัดสิน เลยตัดสินใจเอาทางหน้าผา คือถ้าเผลอก็ตูมเลยเสร็จ เอาตรงนี้แหละ เสือมันอาจจะไม่กัดก็ได้ว่างั้น ไปนั่งอยู่ทางมันมามันอาจจะหลีกก็ได้ อันนี้ไม่หลีก ถ้าเผลอตูมเลย เอ้า เอานี้ ปึ๊บเข้าไปนั่งเลยที่นี่ นั่งหมิ่น ๆ เสียด้วย เผลอไม่ได้ว่างั้นเถอะ ก็จะเอากันอย่างเด็ดนี่ เผลอก็ตูมเลย ทั้ง ๆ ที่ไข้จับสั่น ท่านว่านะ โอ๊ย ทีนี้เรื่องข้างหลังทางเสือมันไม่ได้สนใจเลย มันสนใจตั้งแต่ว่ามันจะลงนี่ตูม จิตมันก็ตั้งจ้อ ซัดกันเลยเทียว
ไม่นานนะล่ะ ท่านว่านะ คนเวลาจะตายจริง ๆ ความตายมาจ่ออยู่นี้หมด สติสตังดีหมด พอเผลอนี้ก็ลงทันที ตัดสินใจกันอย่างนี้ เอาเลย ซัดกันไม่นานจิตก็ลงผึงเลย นั่นเห็นไหมล่ะ นั่งอยู่นั้นจิตรวมนี่ไม่รู้นะ ไม่รู้ดินฟ้าอากาศ ไม่รู้แม้แต่ร่างกายของเจ้าของ เรียกว่าไม่รู้ทั้งนั้น มีแต่ความรู้ที่อัศจรรย์อันหนึ่งอยู่ภายในอยู่เท่านั้น ทีนี้แน่วอยู่นั้นเลย ตกก็ไม่ตก จิตรวมแล้วอยู่ที่หน้าผา ไม่ตก จนกระทั่งจิตถอนขึ้นมารวมแล้วตั้งสี่ห้าชั่วโมง มันรวมอยู่นั้นนะ พอถอนขึ้นมาไข้หายหมดอะไรหายหมดเลย นั่นเห็นไหมล่ะ ตั้งแต่บัดนั้นมาเลยได้ครูเอก ต้องไปหาที่จนตรอกจิตประเภทนี้ ไม่จนตรอกมันไม่ลง ต้องไปหาที่จนตรอก แต่ท่านก็ไม่เคยนั่งหน้าผาอีก นั่งหนเดียวเท่านั้น
จากนั้นทดลองด้วยวิธีอื่น ทดลองไปนั่งทางเสือมา เสือมาทางไหนไปนั่งอยู่ตรงนั้น ขวางหน้ามันเลย ฟังซิน่ะ แล้วกลางคืนดึก ๆ ขึ้นไปอยู่บนหลังเขา ตรงไหนทางเสือผ่านไปอยู่ที่นั่น องค์นี้เป็นอย่างนั้น ไปอยู่ที่อื่นไม่ได้มันภาวนายาก ถ้าเดินจงกรมอยู่ธรรมดานี้ไม่ได้เรื่อง ถ้ามีอันตรายปั๊บมันลงผึงเลย มันลงได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจึงต้องไปหาที่เช่นนั้น ทีนี้เวลานั่งภาวนามันลงอีกเหมือนกัน ประมาณตีสามท่านว่า นั่งกำหนดจิตยังไงมันก็ไม่ลง ไปนั่งอยู่บนแคร่ ข้างหลังก็ทางเสือมาขึ้นไปถ้ำของมันอยู่ข้างบน แต่เวลามันลงมาไม่ทราบมันลงมาทางไหน เวลามันขึ้นไปถ้ำของมันมันมักจะขึ้นทางนี้ทุกที เวลามันลงไปไม่เคยเห็น มันคงออกจากถ้ำแล้วไปทางอื่นก็ได้ แต่เวลามันมามันมาทางนี้ขึ้นทางนี้ เสือโคร่งใหญ่
ทีนี้กำลังนั่งภาวนา จิตจะทำยังไงให้มันลงให้สงบตามใจหวังมันก็ไม่ลง ท่านก็เลยกำหนดนึกในใจรำพึงในใจ เอ๊ เมื่อไรเสือจะมาน้า มันทรมานจิตยาก เมื่อไรเสือจะมาแถวนี้นา ทรมานจิตยากเหลือเกิน ไม่นานนักก็เป็นเวลาที่เสือจะขึ้นถ้ำไปนอนกลางวัน กลางคืนมันหากิน สักเดี๋ยวได้ยินเสียงเดินสวบ ๆ ทางขึ้นมานี้ ท่านกำหนด โอ๊ นี่เสือมาแล้ว เหมือนว่าคึกคักดีใจเสือมา แทนที่จะกลัวไม่กลัว โฮ้ นี่เสือมาแล้ว เอานะที่นี่นะเสือมาแล้ว ทีนี้ก็นั่งกำหนดดูเสือมันเดินสวบ ๆ ขึ้นมานี้ พอขึ้นมาประมาณสักห้าหกวาได้ยินเสียงมันขึ้นมา ก็กำหนดเอาเสือกำลังขึ้นมานั้นให้มันโดดมางับคอ เสือไม่ได้มางับนะ เจ้าของกำหนดเอาเสือโดดมางับคอ พอเสือคาบคอปั๊บจิตก็ลงผึงเลย อย่างนั้นนะพระองค์นี้ ลงตั้งแต่ตีสามมัง ๑๐ โมงเช้าถึงถอน ฟังซิกี่ชั่วโมง ตั้งแต่ตีสามหรือตีสามกว่าท่านว่า ในย่านนี้ละ จนกระทั่ง ๑๐ โมงเช้า พอถอนขึ้นมาแล้วดูตะวันขึ้น โถ เลยลุกขึ้นมาไปดูที่ได้ยินเสียงเสือมันมานั้นจะเป็นเสือจริงหรือไม่ ออกจากที่แล้วท่านก็ไปดูรอยมัน โอ๋ย มันมาข้างหลังจริง ๆ ท่านก็นั่งภาวนาอยู่ โอ๋ย เสือจริง ๆ ท่านว่า นั่นละท่านเป็นอย่างนั้นนิสัยท่าน
ถ้าหากว่าเจอเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วจะไม่ยากเลยท่านว่างั้น ลงทันทีเลย แต่ลำพังเจ้าของนี้นั่งภาวนาหลังก็จะหัก เดินจงกรมอ่อนเปียกไปหมดมันก็ไม่ยอมลง เพราะฉะนั้นจึงต้องหาเรียนลัด ไปที่ไหน ๆ สำคัญ ๆ ท่านไปหาเรียนลัดอยู่ตามนั้น หาเรียนลัดอยู่ตามทางเสือ ไอ้เราหาเรียนลัดไปตามหมอน มันต่างกันนะ คนหนึ่งเรียนลัดที่เสือเที่ยวหากินทางนั้นเที่ยวหากินทางนี้ พวกเราเรียนลัดเข้าหาเสื่อหาหมอน มันเรียนลัดต่างกัน นี่พวกกองรับเหมาเรียนลัดกันทั้งนั้น
นี่พูดถึงเรื่องจิตมีนิสัยต่างกัน มีหลายองค์อยู่นะแบบนี้ แต่สำหรับเราเองเราก็บอกเราไม่เคยเจอ มันจะเป็นแบบไหนก็ไม่รู้ ดัดเจ้าของก็ดัดจนกระทั่งมันกล้าหาญเต็มเหนี่ยว ทั้ง ๆ ที่ขณะแรกมันกลัวจนตัวสั่น ไปที่ไหนมีแต่เสือจะกินทั้งนั้น เดินจงกรมนี้เสือหมอบอยู่ข้างทาง ๆ จิตมันหลอกเราไม่ใช่เสือแหละ จะมีเสือที่ไหน เดินจงกรมอยู่เหมือนว่าเสือ มีแต่เสือโคร่งใหญ่ทั้งนั้นนะ หมอบอยู่สองฟากทาง หันหัวมาทางจงกรมนี้ จะมากินพระไม่เป็นท่าองค์เดียวนี่ เหมือนหนึ่งว่ามันหมอบอยู่เป็นแถวเลยคอยกินพระไม่เป็นท่าองค์เดียว
คือจิตของเรามันหลอกเรา ไม่มีเสือแหละมันหลอกเฉย ๆ ทีนี้เรากลัวก็วาดภาพของเราที่ไปหลอกตัวเองว่าเป็นเสือ มันเข้าใจว่าเป็นเสือจริง ๆ มันก็กลัวล่ะซี มันไม่ใช่เสือมันหลอกตัวเอง ทีนี้เอากันจริง ๆ ก็ ทีนี้จะเอากันละนะ มันไปคนละแบบ กำหนดดูเสียก่อนว่าเสือที่หมอบอยู่ตามนี้ ตัวไหนใหญ่ที่สุด จะไปให้ตัวนั้นกินก่อน ตัวเล็กตัวน้อยเขาจะแบ่งกันกิน ไม่แบ่งก็ช่างหัวเขาเถอะ แต่ยังไงต้องให้ตัวใหญ่กินก่อน เพราะมันกลัวตัวใหญ่เข้าใจไหม ตัวเล็กไม่กลัวมันกลัวตัวใหญ่ ทีนี้ก็ เอ้ากำหนดดูตัวไหนใหญ่กว่ากัน มันก็บอกว่าตัวนั้นหมอบอยู่ทางนั้น บึ่งเข้าไปเลยนะ เข้าไปตรงนั้น เข้าไปมันไม่มี
เอ้าตัวไหนอีก ตัวนั้นอีกไปอีก หนึ่งแล้วนะ สองแล้วนะ กำหนดเอาไว้ นี่โกหกกูหนึ่งแล้วนะ ไปอีกตัวนั้นอีกไปอีก แล้วตัวไหนก็เหลวไปหมด อู๋ย มึงโกหกกูขนาดนี้หรือ ซัดใหญ่เลย ถ้าจิตกูไม่กล้าหาญเต็มที่วันนี้กูจะไม่กลับมา ถึงกูเทียวนะ เวลาเด็ดมันขึ้นกูนะ กูจะไม่กลับมาวันนี้ เอาตายเลย ถ้าไม่กล้าหาญไม่กลับ บุกป่าเลยนะเหมือนบ้า บุกเข้าไปนั้นกำหนดดูเสือ คือเสือมันหมอบอยู่ตรงไหนบ้างไปหาที่ไหนมันไม่มีเสือนี่ มีแต่เรื่องเจ้าของหลอกเจ้าของ มันเหลวไหล ๆ จับเจ้าของได้ตลอด ๆ สุดท้าย โอ๋ย นี่เจ้าของหลอกเจ้าของ เสือไม่มีนี่นะ เดินไป ๆ สุดท้ายมันก็กล้าหาญชาญชัย โอ๋ย กล้าจริง ๆ บทเวลาได้กล้าแล้วไม่ได้มีอะไรในสามแดนโลกธาตุนี้ ฟังแต่ว่าสามแดนโลกธาตุว่าเราจะกลัวสิ่งใดไม่เคยมี
สมมุติว่าเสือมันเดินดุ่ม ๆ มานี้ จะเดินเข้าไปหามันเลย ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนกลัวจนตัวสั่น บทเวลาได้ที่แล้วจะเดินเข้าไปหาลูบหลังมันเลย เพื่อนไปไหนกัน ให้ระมัดระวังตัวให้ดีนะ มนุษย์มันฉลาด จะสอนมัน ดีไม่ดีมันฆ่าเอา ให้ระมัดระวังนะ จะไปลูบหลังมัน มันจะกินจะกัดเราหรือไม่เราไม่สนใจ ไม่ว่าอะไรขึ้นชื่อว่าเป็นภัยในโลกนี้ บอกว่าไม่มีในจิตดวงนั้นเลย นั่นเวลามันกล้าหาญ เมื่อกล้าหาญเต็มที่แล้วไปหาอะไร ตัวมันหลอกเรามันก็ดับลงไปแล้วไม่เห็นมีอะไร มาอย่างสบายสง่าผ่าเผย เดินจงกรมสบาย
ทีนี้มันจะวาดภาพขึ้นมาว่าเสือตัวไหน ตัวไหนอีก แน่ะเอาแล้วนะ ว่าตัวไหนอีกก็คือจะซัดกันนะ ไม่กลัว แต่มันเป็นระยะนะไม่ใช่ว่าไม่กลัวตลอดไป ในเวลานั้นมันกล้าเต็มที่ ครั้นเวลาหลังมันก็มีอีกเหมือนกัน มีก็ซัดกันอีก เลยเอาความกล้าหาญอันนี้เป็นแบบเป็นฉบับ ไปที่อื่น ๆ นอกจากนั้นแล้วมันก็มีกลัวเหมือนกัน แต่กลัวก็เอากันอย่างนั้น มันก็ชนะไปได้เรื่อย ๆ นี้เป็นปฐมฤกษ์ที่ซัดกัน แต่ถ้าไปเจอจริง ๆ มันจะเป็นยังไงไม่รู้ แต่อย่างที่พระท่านว่านั้น พอเกิดเหตุนี้จิตของท่านลงทันทีเลย เพราะฉะนั้นท่านถึงเที่ยวหาเรียนลัดไป ไปอยู่ตรงไหน ๆ นู่นน่ะบนภูเขา ตรงไหนที่เสือชุมเที่ยวมาก ท่านจะไปนั่งภาวนาอยู่นั้น ไม่คำนึงที่หลับที่นอนแหละ ภาวนาอยู่หลังเขา อยู่บนถ้ำแล้วยังปีนขึ้นไปหลังเขาอีกกลางคืน ไปอย่างสบาย ๆ
นี่ละมันมีอันหนึ่งอยู่ข้างใน เครื่องหลอกคือกิเลส หลอกให้กลัวนั้นกลัวนี้ ให้อ่อนเปียก ๆ นี้คือกิเลส แต่อันหนึ่งสู้ สู้จนกระทั่งเกิดความกล้าหาญ นี่คือธรรม สู้ก็คือวิริยธรรม ได้ผลขึ้นมาเป็นความกล้าหาญก็เป็นผลเกิดขึ้นจากอันนี้แหละ สำหรับเราไม่เคยเป็น ที่ว่าไปเจอเหตุอันตรายจิตของเราลงผึง เราไม่เคยมี ประการหนึ่งมันอาจไม่เคยเจอก็ได้ เพราะเราไม่เคยเจอ เสือเราก็ไม่เคยเจอทั้ง ๆ ที่อยู่ในป่าเสือ ดัดสันดานกับเสือนี้เท่าไรแล้ว แต่ก็ไม่เคยเจอเสืออย่างที่ว่านี่แหละ มันหมอบเป็นทางอยู่นี่ ไปให้ตัวนี้กินก่อนตัวนั้นกินก่อน ไปแล้วก็ไม่มีเสีย ก็มีแต่เจ้าของหลอกตื่นเงาเจ้าของ ถ้าไปเจอตัวจริงเข้าจะเป็นยังไงไม่ทราบ แต่ให้ถอยคงไม่ถอยแหละ ถ้าลงขนาดนั้นแล้วถอยไม่ได้เลย อะไรก็อะไรแหละหัวชนกันเลย แต่นี่มันก็ไม่เจอ
เราไม่เคยเจออันตรายอย่างนั้น หมู่เพื่อนมี มีอย่างว่านี่ ที่ชอบเรียนลัดอย่างนี้ก็มี เรามีแต่แทบเป็นแทบตายไม่ได้เรียนลัดแบบนั้นได้ ไปหาที่จะเอากันจัง ๆ มันก็ไม่เป็นเรียนลัด คือมันไม่ไปเจอของจัง ๆ ที่ต้องการนั่นเสีย มันก็เป็นภาวนาแบบหนึ่งสู้ลมสู้แล้งไปอย่างนั้น สู้เสือตัวนั้นเสือตัวนี้ เสือมีแต่เสือลม ๆ แล้ง ๆ ไปเสียอย่างนั้นแหละ
พูดถึงการฝึกทรมาน ให้พี่น้องทั้งหลายได้พิจารณา อุบายวิธีการต่าง ๆ ของแต่ละคน ๆ ไม่เหมือนกันนะการฝึกทรมาน หากออกเองในเวลาจนตรอกจนมุม มันหากมีทางของมันนั่นแหละ มีทางออกจนได้ คนเราจึงไม่โง่อยู่ตลอดเวลานะ เวลามันจนตรอกจนมุมจริง ๆ แล้วมันหาทางออก ก็ออกด้วยสติปัญญาละซี มันหมุนของมันติ้ว ๆ สักเดี๋ยวได้ช่องปั๊บก็พุ่งเลย สติปัญญาจะมาในเวลาจนตรอกจนมุม คนเราไม่ได้โง่อยู่ตลอดไปนะ ถึงเวลาจนตรอกจนมุมความฉลาดมันฟิตขึ้นมา ๆ จนได้ ปราบได้
มันเป็นขั้นเป็นตอน ๆ การภาวนา แต่พอถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติแล้ว มันไม่รู้จักกลัวจักอะไรนะ ไม่รู้ไม่สนใจ ว่ามันอยู่กับอันนี้ตัวนี้เป็นตัวหลอกต่างหาก มันจะหลอกอะไรออกมา ก็มันแย็บออกจากนี้แล้ว ๆ มันจับได้แล้วๆ ภาพเสือภาพอันตรายทั้งหลายจึงไม่ปรากฏตัวพอจะมาหลอกเราได้ พอมันแย็บออกนี้มันรู้แล้ว ตัวนี้ออกไปวาด รู้ตัวเคลื่อนนี้ก่อนแล้วมันก็ดับเสีย ๆ เป็นอย่างนั้นนะ ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติที่มันรวดเร็วแล้วเป็นอย่างนั้น พอกระดิกทางนี้ปั๊บรู้ตัวกระดิกแล้ว มันก็ยังไม่ได้ออกเป็นภาพได้เลย ที่เราไปรู้ว่าเรื่องนั้น ๆ เป็นอย่างนั้นเรื่องนี้เป็นอย่างนี้นั้น ภาพมันออกไปแล้วเข้าใจไหม เราไม่เห็นเวลามันออกไป ต่อเมื่อสติปัญญาเกรียงไกรทันกันแล้ว ขยับปั๊บ พอจะขยับไปเรื่องอะไรมันจะเข้าใจทันที ดับทันที ๆ ภาพใดก็ไม่ปรากฏ เพราะตัวนี้ยังออกไม่ได้ พอเคลื่อนปั๊บรู้แล้วมันก็ดับเสีย ถ้าไม่รู้มันออกวันยังค่ำ
สติปัญญาเป็นสำคัญ ออกเร็วมากทีเดียว พอแย็บเท่านั้นจะเป็นภาพนะนั่น แย็บออกเพื่อเป็นภาพ พอแย็บทางนี้รู้แล้วดับพร้อมเลย ไม่เป็น ความรวดเร็วของสติปัญญาเป็นอย่างนั้น เวลาเราฝึกได้จริง ๆ แล้วเป็นอย่างนั้น สุดท้ายก็เลยกลายเป็นเองไปของมันนะ ความคล่องแคล่วความชำนาญ ไม่ว่าจะวาดภาพใดขึ้นมาพับ ดับพร้อม ๆ ไปเลย แล้วก็มารู้ตัวนี้ว่าตัวนักหลอกลวง มันไม่ได้ว่าภาพนั้นหลอกลวง มันรู้ตัวนี้ไปวาดภาพหลอกลวงตัวเอง คือตัวนี้เอง แน่ะ มันก็จับตัวนี้ ๆ แย็บตรงไหนจับตัวนี้ ๆๆ มันใกล้เข้ามาแล้วนั่น ใกล้จะสังหารตัวใหญ่มันอยู่ในนั้นได้ เป็นอย่างนั้นแหละ
นี่เรื่องภาวนา เพียงแต่เรียนในคัมภีร์ใบลาน เรียนจนตายก็ไม่ได้เรื่อง ไปอ่านอยู่ในหนังสือ หนังสือไม่ใช่กิเลส คัมภีร์ไม่ใช่กิเลส กิเลสจริง ๆ คือเรา ธรรมจริง ๆ คือหัวใจเรา อ่านเพื่ออรรถเพื่อธรรมเป็นธรรมวันยังค่ำ อ่านเพื่อโลกแม้จะเป็นธรรมก็เป็นโลกไปวันยังค่ำเหมือนกัน มันเป็นอยู่ที่จิตของเรา ที่ไปเป็นโลกเป็นธรรมเป็นจากจิต ถ้าจิตพาเป็นโลก อ่านธรรมะก็เป็นโลกไปหมด ถ้าจิตเป็นธรรม อ่านธรรมะก็เป็นธรรม อ่านโลกก็เป็นธรรมไปหมด แน่ะ มันดึงเข้ามาเป็นธรรมหมดนั่นแหละ มันอยู่ที่ใจตัวหลอก พอตัวนี้ไม่มีอะไรจะหลอก ตัวนี้หมดแล้ว เรื่องทั้งหลายก็ไม่มี จะเอาอะไรมาหลอก ก็ตัวเองหลอกตัวเองต่างหาก เมื่อตัวเองสิ้นสุดลงไปแล้วในเรื่องหลอกตัวเอง ก็มีแต่ของจริงล้วน ๆ อยู่ไหนจริงตลอด ก็เป็นอย่างนั้นแหละ
เราก็พยายามฟื้นฟูจิตใจพี่น้องชาวพุทธเรา ด้วยกำลังด้านจิตตภาวนาของเราที่ดำเนินมานี้แหละ ได้เอามาพูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังนี้ เป็นผลแห่งการบึกบึนเต็มเม็ดเต็มหน่วย รอดเป็นรอดตายมานี้ นำมาก็ได้ผลเป็นที่พอใจดังที่พูดแล้ว เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการจึงไม่มีคำว่าสะทกสะท้าน จะกล้าจะหาญจะกลัวกับอะไรจึงไม่เคยมี มองดูปั๊บ พอแย็บออกนี้มันก็เหนือเสียทุกอย่าง มันเหนืออยู่แล้ว แย็บออกไปที่ไหนก็เหนือไปหมด แล้วก็จะไปกลัวกับอะไร ไปกล้ากับอะไร ธรรมมีอย่างไรมันก็ออกตามเรื่องของธรรมล้วน ๆ ไปเลย ควรจะไปธรรมะขั้นใด ๆ ไปเอง ๆ ธรรมะขั้นต่ำก็ไปตามนี้ขั้นสูงก็ไปตามนี้ ขั้นสูงพุ่งไปตามนั้นเลย ไม่มีอะไรมาขัดมาข้องหัวใจดวงนี้ เมื่อเจ้าของไม่ติดไม่ขัดไม่ข้องตัวเองเสียอย่างเดียว ไม่มีอะไรติดข้องในโลกนี้
เหตุที่เราติดข้องโลกนี้คือเราติดเรา เราจนตรอกจนมุม เราแพ้เราก็แพ้หมดทั้งโลก ถ้าเราชนะเรา คือกิเลสมันแข่งขันกันอยู่กับเรานั้น ชนะกิเลสแล้วมันก็หมด เมื่อชนะกิเลสแล้วไม่มีแพ้อะไรทั้งนั้น เพราะฉะนั้นถึงว่าเราไม่ติดเรา เราไปได้หมด ถ้าเราติดเราเสียอย่างเดียวติดหมด จะเป็นจอมปราชญ์จากโลกไหนก็มา ติดทั้งนั้นเพราะติดเจ้าของ ถ้าลงได้พุ่งไปหมดไม่มีอะไรติดแล้ว ปราชญ์หรือไม่ปราชญ์ท่านก็ไม่สนใจ คือมันเหนือเสียทุกอย่าง นั่น ธรรมะเป็นอย่างนั้นนะ มีหรือไม่มีธรรมที่พูดอยู่เวลานี้
ท่านทั้งหลายถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถือพุทธศาสนา ถือกันยังไง เอาไปพิจารณาซิ ทำไมจึงให้กิเลสมาลูบจมูกตลอดเวลา บาปบุญนรกสวรรค์ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ทุก ๆ พระองค์ว่ามี ๆ เรากลับลบไปหมดว่าไม่มี ๆ มีตั้งแต่สิ่งที่จะเป็นภัยต่อตัวเองเท่านั้นเต็มหัวใจของเรา เวลานี้เป็นยังไงโง่หรือฉลาดพวกเราน่ะ ธรรมก็มีอยู่ให้ยึดให้เกาะก็ไม่ยอมยึดยอมเกาะ ไปหายึดหาเกาะตั้งแต่ฟืนแต่ไฟที่จะเผาไหม้ตัวเองทั้งโลกนี้และโลกหน้า โลกไหน ๆ ก็คือไฟของกิเลสในหัวใจเรานี้แหละไปเผา ถ้าแก้ตรงนี้แล้วมันไม่ติดโลกไหนละน่ะ
จิตดวงนี้เป็นนักท่องเที่ยว เที่ยวไปไหนติดที่นั่น ถ้ามีสิ่งที่ให้ติด ถ้าไม่มีอะไรที่ให้ติดแล้วไม่เรียกนักท่องเที่ยว ธรรมธาตุ เท่านั้นพอ สนิทใจมากนะ หรือ มหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือ ธรรมธาตุ พอ เป็นไวพจน์ใช้แทนกันได้ทั้งสามนี้ เรียกว่ามหาวิมุตติ มหานิพพาน หรือ ธรรมธาตุ ใช้แทนกันได้ ไม่เคลื่อนไปไหน ไม่มี ธรรมชาตินี้ท่านจึงเรียกว่าเที่ยง ถ้ายังเคลื่อนโน้นเคลื่อนนี้อยู่จะว่าเที่ยงได้ยังไง ไม่เคลื่อน ท่านจึงเรียกว่า นิพพานเที่ยง ธรรมธาตุนี้ นี่แหละนักเกิดแก่เจ็บตายที่ว่า จิตคือนักท่องเที่ยว เวลามีกิเลสอยู่พาท่องเที่ยวตลอด ที่ไหนมันไปเห็นหมด กรรมพาไป
เพราะมันทำเองนี่ เขาไม่ทำมันก็ทำ ทีนี้เขาไม่เจอมันก็เจอละซิ เจ้าของเป็นผู้ทำเองเจ้าของก็เจอเอง ทำดีทำชั่วจะไปให้ใครเป็นคนเจอก็ต้องผู้ทำเจอ จะว่าบาปไม่มีก็ตาม เจ้าของทำบาปหยก ๆ อยู่นี่ ก็เจอบาป ทำบาปอยู่นั้นแล้วจะให้บาปหลีกตัวไปที่ไหน จะจับบาปไม่ถูก แล้วบาปจะไม่เผาหัวผู้สำคัญผิดนั้น มันเผาวันยังค่ำนั่นแหละ เจ้าของเป็นผู้รับรองในการกระทำอยู่ตลอดเวลา แล้วจะไปปัดผลไม่ให้มันเกิดดีชั่วได้ยังไง เพราะกรรมดีกรรมชั่วเราทำอยู่ตลอดเวลา ส่วนมากสัตวโลกทำแต่ชั่วกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นชั่วจึงมีเต็มไปหมดทั่วโลกทั่วสงสารนั่นแหละ ความดีไม่ค่อยมีเพราะไม่มีใครอยากทำ
พากันฝืน ไม่ฝืนไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าเป็นแบบฉบับของเราตั้งแต่การดำเนิน สลบไสล พระสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน เราเป็นลูกศิษย์ของท่าน เราต้องเอาตามตัวของเราเอง เราหนาต้องซัดกันหนัก ๆ ถ้ามันบางควรจะรู้เร็วก็เอา เร็ว ไม่ยาก รู้ได้เร็วก็ยิ่งดี ถ้ามันยาก ยากขนาดไหนก็จะเอาให้ได้ ฟาดกันเลย หนักขนาดไหนก็ซัดลงไป ๆ เราจะไปทำนาคนอื่นได้หรือ ทำยากก็ทำนาของเรา ทำง่ายก็ทำนาของเรา ทำสวนของเรา มันเป็นของเราไปทำของคนอื่นไม่ได้ ทำยากทำง่ายก็นิสัยวาสนาของเรา หนาบางก็อยู่กับเราเอง เราก็ต้องฟัดกันตรงนั้นละซี พากันจำเอานะ เอาเท่านั้นแหละวันนี้
(หลวงตาบอกว่าพระกรรมฐานบางองค์ก็จะเรียนทางลัดใช่ไหมคะ แต่หลวงตาจะไปเรียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ การปฏิบัติไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ จะมีผลต่อการสอนลูกศิษย์ได้อย่างแตกฉานหรือไม่ เพราะหลวงตามีความสามารถสอนลูกศิษย์ได้อย่างแตกฉาน)
ขึ้นอยู่กับเรียนลัดหรือไม่เรียนลัดอย่างนั้นหรือ ?
(ถ้าสมมุติว่าเรียนลัดนี่ อาจจะสอนลูกศิษย์ไม่ได้เก่งอย่างที่หลวงตาสอนอยู่นี้)
แล้วทำไมถึงชอบเรียนลัดนักล่ะ เรียนลัดเสื่อกับหมอนนั่นน่ะ ถ้าว่าสอนลูกศิษย์ไม่เก่ง ทำไมมันชอบเรียนลัดมากนักล่ะ หือ พวกนี้มีแต่พวกเรียนลัดทั้งนั้น
ก็ยังบอกแล้ว นิสัยวาสนาของใครของเรา ทีนี้การที่จะปฏิบัติจะเรียนลัดหรือไม่เรียนลัดนั้นก็เป็นนิสัยของท่านองค์นั้น ท่านก็ทำตามนิสัยของท่าน ของเราดูซิอย่างที่ว่า ว่าจะไม่เรียนลัดเหรอ มันก็ลัดอยู่ในตัวของมัน เช่นอย่างเสือมันหมอบอยู่ที่ไหน เอ้า เอาให้เสือตัวใหญ่ ๆ กินก่อน ไม่เรียนลัดจะเรียกว่าไง คือมันจะกินก็ให้กินจริง ๆ นี่เรียกว่าเรียนลัด แต่มันไม่เจอ เจอแต่สังขารหลอกเจ้าของ ไปกล้าไปกลัวกับสังขารหลอกเจ้าของ มารู้ตัวนี้มันก็กล้าหาญไปแล้ว
นี่เราพูดตามนิสัยวาสนา การที่จะนำธรรมมาสอนโลกก็เป็นสมบัติของท่านที่บำเพ็ญมาแล้ว ตามนิสัยเดิมของท่านวาสนาของท่านมาดั้งเดิมที่ทำความปรารถนาไว้แล้ว คือผู้ที่จะเด่นทางใด ท่านจะมีหลักความปรารถนาไว้ในเบื้องต้นของท่าน ครั้นเวลาสำเร็จแล้วก็เป็นไปตามนั้น ๆ ผู้ที่ท่านรู้แล้วนิสัยวาสนาของท่านไปทางใดท่านก็พอดีของท่านเอง ควรจะแนะนำสั่งสอนคนได้หนักเบามากน้อยเพียงไร ท่านก็รู้ตัวของท่านเอง ท่านก็สอนไปอย่างนั้น ทีนี้ผู้ที่จะแนะนำสั่งสอนได้ อย่างลึกซึ้งกว้างขวางก็เป็นเรื่องของท่านเอง แต่ที่จะให้ท่านพูดให้ใครฟัง ไม่ใช่เรื่อง แน่ะ หากเป็นเรื่องที่รู้อยู่กับเจ้าของเอง เข้าใจหรือเปล่า จะเอาแบบไหน เรียนลัดหรือเรียนไหน
(การตั้งความปรารถนานี่มันเป็นผลมาจากอดีตชาติด้วยใช่ไหมคะ)
ใช่ ต้องเป็นผลมาจากอดีตชาติ คือตั้งแต่เริ่มต้นมาที่บำเพ็ญยังไง ๆ เช่น ปรารถนาเป็นพระอรหันต์นี่ นี่เป็นรากใหญ่นะเป็นพระอรหันต์ พอแตกกิ่งก้านออกไปจากอรหันต์ นิสัยวาสนามีความลึกซึ้งกว้างขวางในทางใด ๆ ก็จะเป็นไปตามนั้น เช่น เตวิชโช ฉฬภิญโญ จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต อะไรอย่างนี้ ก็จะเป็นไปตามนั้น ตามที่ท่านปรารถนาเอาไว้นั้น
(แล้วอดีตหลวงตาตั้งว่ายังไงคะ ข้าน้อยเคยฟังอาจารย์สถาพรบอกว่า หลวงตาเคยตั้งความปรารถนาว่า ขอให้มีสติปัญญาพูดให้คนอื่นได้สัมมาทิฐิ อาจารย์สถาพรเคยเล่าให้ฟัง)
(หัวเราะ) เราขี้เกียจตอบ เวลาพูดอยู่นี้ เดี๋ยวมันจะเอาไปโกหกอาจารย์สถาพรอีก (หัวเราะ) นี่ที่คุณพูดอย่างนั้นไม่ถูกนะ นี่ฉันฟังมาจากท่านหยก ๆ นะ(หัวเราะ) เวลาจะต้มกันจะต้มอย่างนั้น เข้าใจไหม ทางนั้นก็หูผึ่ง ทางนี้ก็ตอบเขาไปเลย ๆ
(ไม่หรอกค่ะหลวงตา เผื่อเป็นแนวทางให้ลูกหลาน)
จะเป็นอะไรมันก็เป็นตามนิสัยวาสนาของใครของเรานั่นแหละ แต่เรื่องความปรารถนานี้มีด้วยกัน ถ้าจะแสดงผลออกมานี้ จะแสดงอย่างหาเหตุไม่ได้อย่างนี้ไม่มี มีต้นเหตุเป็นมาดั้งเดิม ยกตัวอย่างเช่น พระสีวลี พระสีวลีนี่เราไปเห็นสด ๆ ร้อน ๆ ดูซิ เวลาท่านไปที่ไหน แหม เครื่องสักการบูชา เกลื่อน ไม่ว่าเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม ไปที่ใดอดอยากไม่มี ถึงขนาดที่พระพุทธเจ้าทรงยกขึ้น พระพุทธเจ้าท่านรับสั่งว่าท่านจะไปเยี่ยมพระเรวัตตะ พระเรวัตตะนี้เป็นน้องชายของพระสารีบุตร เป็นพระอรหันต์ ชอบอยู่ในป่าในเขาทั้งนั้น ไม่ค่อยออกมานอก ๆ นานา อยู่ในป่าในเขาเป็นประจำ เพราะฉะนั้นเวลาตั้งเอตทัคคะจึงเรียกว่าพระเรวัตตะท่านชอบอยู่ในป่า
พระพุทธเจ้าท่านรับสั่งว่า เราจะไปเยี่ยมพระเรวัตตะ ทางพระอานนท์ก็ว่า โอ๊ย.ที่ท่านพระเรวัตตะอยู่นั้นอยู่ในป่าในเขา ไม่มีอาหารการขบการฉันแล้วพระองค์จะเสด็จไปได้ยังไง จะไม่ลำบากลำบนเหรอ อ้าว.เราก็เอาพระสีวลีไปด้วยละซิ ท่านว่า.นี่คือท่านจะยกสาวกของท่านใช่ไหม ความจริงแล้วใครจะเกินพระพุทธเจ้าแต่ท่านไม่ยกนะ ท่านเอาพระสีวลีขึ้นมา ต้องเอาพระสีวลีไปซิ ไปก็เป็นจริง ๆ อย่างว่า ทีนี้พระสีวลีไปไหนเป็นอย่างนั้น เกลื่อนไปเลยด้วยลาภสักการบูชา เราจะมาเห็นตั้งแต่ผลของท่านอย่างนี้ทางเดียวเหรอ.ลองรื้ออดีตของท่านดูซิ ใครจะเป็นนักเสียสละเก่งยิ่งกว่าพระสีวลี เอาจนหมดเนื้อหมดตัวฟาดเสียจน ขนาดไหนไม่มีคำว่าถอยเลยการทำบุญให้ทาน สละสิ่งของต่าง ๆ ช่วยโลกช่วยสงสาร ท่านเป็นเอกมาตลอด
แม้ที่สุดเวลาท่านเป็นฆราวาส มีงานใดเขาต้องไปเชิญท่านเป็นหัวหน้า พระสีวลีเวลาเป็นฆราวาสเป็นประชาชนธรรมดายังไม่ถึงขั้นเป็นพระสีวลีนะ เกิดในภพชาติใดเป็นหัวหน้าทั้งนั้น เขาเชิญไป ไปทำบุญให้ทานเขามาเชิญท่านไปเป็นหัวหน้าเพราะท่านเป็นนักเสียสละ ไม่มีคำว่ากลัวว่าหมดว่ายัง มีแต่ความเมตตาสงสารที่จะอยากทำบุญให้ทานอย่างกว้างอย่างขวางตลอดไป ทีนี้ผลอันนี้พอตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว ผลแห่งทานทั้งหลายนั้นขึ้นมาอุ้มชูท่าน มาสนองตอบแทนท่าน ไปที่ไหนจึงเกลื่อนไปด้วยเครื่องสักการบูชา เป็นอย่างนั้นนะ มันผิดกัน นี่ก็คือสาเหตุของท่านเป็นมาอย่างนั้น มันก็เป็นมาตามสาเหตุท่านดำเนินมาอย่างนั้นบำเพ็ญมาอย่างนั้น ไปที่ไหนก็มีแต่อย่างนั้น ความกว้างความขวางของท่าน
นี่เราพูดถึงเรื่องนิสัยวาสนา อย่างพระสารีบุตรก็ปรารถนาเป็นผู้เฉลียวฉลาด แน่ะก็อย่างนั้น ในสาวกของพระพุทธเจ้าก็พระสารีบุตรยกทางปัญญาใช่ไหม.ก็อย่างนั่นแล้ว เฉลียวฉลาด ฝนตก ๗ วัน ๗ คืน ทูลพระพุทธเจ้าว่าข้าพระองค์นับได้หมดทุกเม็ด มันจ้าอยู่ในนี้ ถ้าภาษาของเราทุกวันนี้เรียกว่า คอมพิวเตอร์ นับคอมพิวเตอร์กัน ทีนี้คอมพิวเตอร์ของธรรมมันเก่งกว่านั้นอีกละซิ ถึงขนาดนั้นยังถูกตำหนิจากพระพุทธเจ้า เธอ ฝนตก ๗ วัน ๗ คืนนับได้ทุกเม็ด เราตถาคตตกตั้งกัปตั้งกัลป์เรานับได้หมดเลย นั่นเห็นไหม ต่างกันไหม สาวกวิสัยกับพุทธวิสัย ความสามารถของพระพุทธเจ้ากับความสามารถของสาวก
แม้พระสารีบุตรจะยกขึ้นเป็นฐานผู้มีปัญญาก็ตาม ถ้าเทียบกับพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ฟังซิ.พระสารีบุตรฝนตก ๗ วัน ๗ คืน นับได้หมดทุกเม็ด นับโดยอัตโนมัติไม่คลาดเคลื่อนถูกต้องเป๋ง พระพุทธเจ้าก็ว่าให้ฝนตกลงมาตั้งกัปตั้งกัลป์ตถาคตนับได้หมดทุกเม็ด นี่ละความรวดเร็วความสามารถก็เป็นอย่างนั้น เอ้า.เรายกตัวอย่างนะ ไอ้พวกมดอย่างนี้นะ เอากล้วยหอมมาวางไว้สักลูกหนึ่ง ให้มดเขามาขนไปกินนี้ เขายกกันมาหมดทั้งประเทศเขาก็ไม่ได้กล้วยลูกนั้นไปกิน เราปั๊บเดียวเข้าไปนี้ดีไม่ดีกินทั้งเปลือกเลย ยกไม่หนักเลยใช่ไหม นี่กำลังของเรายกกล้วยหอม กับกำลังของมดมายกกล้วยหอมต่างกันอย่างนี้ เข้าใจหรือยัง
(อุปมาอุปมัยเป็น นิรุตติปฏิสัมภิทาใช่ไหมคะ)
ก็ไม่ทราบ ถามเจ้าของซิเป็นนิรุตติทางไหน นิรุตติมีหลายแบบ แตกฉานในการพูดการจาการโต้การตอบ วาทะคำพูดแหลมคม ทุกสิ่งทุกอย่างท่านเรียกว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา อย่างนั้นใช่ไหม ในวาทะคำพูดคำจาไปได้หมด ท่านเรียกว่า นิรุตติปฏิสัมภิทา ทุกวันเขาก็เรียนนิรุตติมาเยอะแล้ว ไปที่ไหนมีแต่ฟุดฟิด ๆ เป็นภาษาบ้าไปหมดเลย พวกนี้พวกเรียนภาษานิรุตติ แตกฉานในการพูด ฟุด ๆ ฟิด ๆ เหมือนงูเห่า งูจงอางไปอย่างนั้น ก็มีเท่านั้น พระอรหันต์ท่านก็บอกว่ามี ๔ ประเภท ฟังซิไม่ได้เหมือนกัน
สุกขวิปัสสโก เป็นผู้ที่รู้หรือฆ่ากิเลสไปด้วยความสุขุมละเอียดลออ อย่างเยือกเย็นสงบสุขเย็นไปเลย ไม่มีคลื่นเหมือนทะเลหลวงอย่างองค์อื่น ๆ แต่เขาแปลทางปริยัติว่า ความรู้อย่างแห้งแล้ง โอ๊ย.เราฟังไม่ได้นะ แห้งแล้ง โห.พระอรหันต์มาแห้งแล้ง พวกบ้า.แปลไม่ได้อย่าแปลเสียดีกว่า มันขายตัวนี่นะ ท่านรู้อย่างสุขุมละเอียดไปเลยเชียว เงียบไม่มีกระโตกกระตาก ละเอียดสุขุมเงียบไปเลย นี่สมนาม
เตวิชโช,ฉฬภิญโญ ก็มีเป็นขั้น ๆ ไป จตุปฏิสัมภิทัปปัตโต นี่ละ ๔ อย่าง ประเภทปฏิสัมภิทาญาณ ๔ นี้ละเป็นประเภทที่เยี่ยมกว่าเพื่อน แตกฉานทุกสิ่งทุกอย่าง อัตถะ ธัมมะ นิรุตติ ปฏิภาณ ปฏิสัมภิทานี้ครอบหมดเลย ครอบไปหมดเลย กระจายไปหมดเลย เอาละพอ.ให้พร.
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com |
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก
ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์
และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
|
|
|
|