นักบวชเราและเป็นนักปฏิบัติด้วย พึงทำความรู้สึกตัวอยู่ด้วยธรรมด้วยวินัย โดยทางสติและทางปัญญารับรู้และพินิจพิจารณาอยู่โดยสม่ำเสมอ ว่าทางที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ท่านดำเนินจนกระทั่งถึงความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง เป็นความอัศจรรย์ในจิตดวงที่หลุดพ้นจากทุกข์นั้นด้วย เป็นความอัศจรรย์ของจิตที่เป็นธรรมล้วน ๆ นั้นด้วย ว่าท่านดำเนินอย่างใดหลักการดำเนินของท่านท่านดำเนินอย่างไร ให้ยึดหลักนั้นมาไว้เป็นหลักใจของเรา ทะนุถนอมไว้ด้วยชีวิตจิตใจ มีสติปัญญาคอยรับทราบและพิจารณากลั่นกรองสิ่งที่จะเป็นภัยต่อจิตใจ ในอิริยาบถทั้งสี่ให้อยู่ด้วยสติความรับทราบรักษาอย่างใกล้ชิดจิตใจ ปัญญาพินิจพิจารณาใคร่ครวญในสิ่งที่เป็นธรรมและเป็นโทษอยู่โดยสม่ำเสมอ นี่ชื่อว่าผู้ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ท่านที่ดำเนินมาแล้วจนถึงความพ้นทุกข์
หลักธรรมท่านก็ประกาศไว้แล้วว่าสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบทุกแง่ทุกมุมไม่มีสิ่งที่น่าต้องติ ตั้งแต่พื้น ๆ แห่งธรรมจนกระทั่งถึงที่สุดหลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ด้วยธรรมเหล่านั้นที่ตรัสไว้เรียบร้อยแล้ว หลักวินัยได้แก่สองฟากทางที่เป็นรั้วขนาบเอาไว้ไม่ให้ปีนรั้วคือพระวินัยน้อยใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นสิกขาบทเล็กน้อยหรือสิกขาบทใหญ่โตคอขาดบาดตาย ให้พึงเห็นว่าเป็นรั้วกั้นความผิดไว้อย่างหนาแน่น อย่าฝ่าฝืนอย่าล่วงเกิน ให้ดำเนินตามหลักธรรมหลักวินัยที่ทรงแสดงไว้แล้วอย่างใด แม้จิตใจจะยังไม่เป็นไปในธรรมทั้งหลายมีสมาธิธรรมเป็นต้นก็ตาม แต่ใจของผู้มีธรรมมีวินัยที่รักษาไว้อย่างเข้มงวดกวดขันย่อมมีความอบอุ่นภายในตน ไม่มีความระแคะระคายระแวงแคลงใจว่าศีลของตนไม่บริสุทธิ์ การบำเพ็ญจิตตภาวนาก็เป็นไปได้ง่ายกว่าผู้ที่มีศีลไม่บริสุทธิ์ด้วยความระแคะระคายของตน แม้จะไม่มีเจตนาแต่เป็นความพลั้งเผลอได้ผิดพลาดในศีลนั้นก็ตาม ย่อมจะสร้างความกังวลประหนึ่งว่าตัดขวากตัดหนามไว้กั้นทางของตนโดยไม่อาจสงสัย เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจึงต้องถือหลักธรรมหลักวินัยเป็นชีวิตจิตใจ ฝากเป็นฝากตายไว้กับพระธรรมและพระวินัยนั้นตลอดไป
การแสดงทางออกจากทุกข์ ไม่มีใครที่จะฉลาดแหลมคมเกินพระพุทธเจ้า ความเมตตาสงสารโลกก็หาประมาณไม่ได้ ไม่มีความสงสารใดที่จะเกินพระพุทธเจ้าที่ทรงสงสารสัตว์โลกมาก เมตตาคือความรักในสัตว์ทั้งหลายมาก อยากให้ได้รับความสุขและพ้นจากทุกข์โดยทั่วหน้ากันก็ไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระโอวาทที่ทรงแนะนำสั่งสอนทุกแง่ทุกมุมตั้งแต่พื้น ๆ แห่งธรรมจนกระทั่งถึงที่สุดวิมุตติแห่งธรรม จึงเป็นไปด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์เต็มเม็ดเต็มหน่วยตลอดสาย ไม่มีที่ว่างเว้นว่าพระเมตตาได้ขาดวรรคขาดตอน และเจตนาของพระองค์ที่หวังรื้อขนสัตว์นั้นได้ขาดวรรคขาดตอนไป ทรงมีต่อสัตว์โลกอยู่โดยสม่ำเสมออย่างนี้
พระธรรมที่นำมาสั่งสอนสัตว์โลก มีภิกษุบริษัทผู้ประพฤติปฏิบัติตามศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็ไม่มีความรู้ในสถานที่ใดโลกใดทวีปใดที่เป็นความรู้ซึ่งผู้ปฏิบัติตามแล้วได้รับความร่มเย็นเป็นสุขเป็นภาคพื้น และได้รับความพ้นทุกข์โดยลำดับลำดา จนกระทั่งพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง ไม่มีใครเหมือน โอวาทใดก็ไม่เหมือนพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนสัตว์โลกนี้เลย ประมวลลงแล้วก็คือพระองค์ทรงรู้ทรงเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในบรรดาธรรมทั้งหลาย ที่นำมาสั่งสอนโลกมีภิกษุบริษัทเป็นต้น การสั่งสอนภิกษุบริษัทจึงเน้นหนักลงในธรรมที่มีพลังต่อสิ่งที่เป็นข้าศึกคือกิเลสเป็นอย่างมาก ถ้าพูดถึงเรื่องความเพียรก็เพียรอย่างถึงใจ ท่านว่าวิริยะ ผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ต้องเพียรอย่างถึงใจ ความอุตส่าห์พยายามความคิดความอ่าน สติปัญญาศรัทธาความเพียรทุกแง่ทุกมุม ทรงสอนทุ่มกันลงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย การสั่งสอนธรรมของพระพุทธเจ้าแก่ภิกษุบริษัทเป็นอย่างนั้นเรื่อยมา ผิดกับการสั่งสอนทั่ว ๆ ไปอยู่มาก
ที่นี่ผู้ปฏิบัติของเรา ที่เป็นภาชนะสำหรับรับรองพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่แสดงออกด้วยความเมตตาสงสารเต็มพระทัยนั้น เป็นภาชนะประเภทใด หรือเป็นภาชนะที่เลื่อนลอยเถลไถลอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นหม้อก็คว่ำเอาทางปากลงเอาทางก้นขึ้น เอาน้ำมหาสมุทรทะเลมาเทลงไปก็ไม่มีน้ำหยดใดตกค้างอยู่ในก้นหม้อนั่นเลย เพราะเป็นก้นหม้อที่คว่ำอยู่ ไม่ใช่ปากหม้อที่หงายไว้แล้วเพื่อรับน้ำ ส่วนมากผู้ปฏิบัติของเรามักเป็นเช่นนั้น คือเป็นความเถลไถลโดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทราบว่าตนได้เถลไถลออกนอกลู่นอกทางแห่งธรรมไป จึงขนตั้งแต่กองทุกข์เข้ามาสู่จิตใจ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มีแต่ทางไหลเข้ามาแห่งกิเลสทั้งหลาย เพื่อก่อความทุกข์บีบคั้นภายในจิตใจของเราไม่ขาดวรรคขาดตอน เพราะเหตุแห่งธรรมทั้งหลายที่ว่า ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อ่อนกำลังหรือไม่มีภายในจิตใจนั้นเอง จึงเปิดช่องเปิดโอกาสให้สิ่งที่เป็นข้าศึกไหลเข้ามาตามช่องทางของมันได้โดยสะดวก ไม่มีสิ่งคัดค้านต้านทานกันบ้างเลย เพราะธรรมเครื่องคัดค้านต้านทาน ๑) มีน้อย ๒) ไม่มี มีน้อยก็ไม่พอ จึงต้องได้พยายามทุกแง่ทุกมุมเพื่อให้มีมากทันกับเหตุการณ์
ตะกี้นี้ได้กล่าวถึงธรรมของพระพุทธเจ้า ที่แสดงต่อสัตว์ทั้งหลายมีภิกษุบริษัทเป็นต้น มีแต่ธรรมที่เด็ด ๆ เผ็ด ๆ ร้อน ๆ ธรรมที่ทันกาลทันสมัยทันกลมายาของกิเลสทุกแง่ทุกมุม เพราะพระองค์ทรงได้ดำเนินมาแล้ว ถ้ารบก็ได้รบมาแล้ว ต่อสู้มาแล้ว ขึ้นเวทีมาแล้ว ได้ชัยชนะ กิเลสบรรลัยลงจากเวทีมาแล้ว ไม่ใช่เพียงแต่กิเลสแพ้พระธรรมเท่านั้น ยังบรรลัยลงไปไม่มีอะไรเหลือบนเวทีคือพระจิตของพระพุทธเจ้านั่นเลย การดำเนินพระองค์ก็ทรงดำเนินมาแล้วโดยถูกต้องหาที่ตำหนิติเตียนในแง่ใดไม่ได้ จึงได้นำธรรมอันเป็นฝ่ายเหตุนั้นมาแนะนำสั่งสอน ด้วยความเมตตาสงสารสัตว์ทั้งหลายมีภิกษุบริษัทเป็นต้น พร้อมทั้งผลที่ทรงได้รับอย่างไร ตั้งแต่พื้น ๆ ดังที่วันท่านตรัสรู้ทีแรก ทรงได้รู้ธรรมเป็นพื้น ๆ ท่านก็ทรงแสดงเอาไว้ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นที่เรียกว่าตรัสรู้ ในวันคืนเดือน ๖ เพ็ญ นั้นคือผลของท่านที่ทรงได้รับ ก็แสดงไว้หมดทุกแง่ทุกมุมแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย
ฉะนั้นขอให้ทุก ๆ ท่านที่มาศึกษาอบรม ให้ศึกษาอบรมด้วยความตั้งอกตั้งใจจริง ๆ ด้วยความฝ่าฝืนสิ่งที่เคยเป็นภัยต่อจิตใจของเราอย่างแท้จริง อย่าสักแต่ว่ามา อย่าสักแต่ว่าฟัง สักแต่ว่าอยู่ ไปแล้วเหลว ๆ ไหล ๆ หาสาระอะไรไม่ได้นี้มีจำนวนมากต่อมาก เพราะฉะนั้นจึงทำให้เข็ดหลาบสำหรับผู้แสดง แม้อย่างผมเองไม่ได้มีความรู้ละเอียดลอออันใดก็ตาม ก็ยังอดความที่จะให้หนักใจไม่ได้ เพราะผู้ที่มาศึกษาไม่ตั้งอกตั้งใจตามเจตนาของเราที่แนะนำพร่ำสอนเรื่อยมา ตั้งแต่วันเริ่มแรกได้เกี่ยวข้องกับหมู่กับเพื่อน เป็นอย่างไรเหตุผลที่ได้ดำเนินมา เหตุคือการดำเนิน-ดำเนินมาอย่างไรก็ได้นำมาแสดงให้หมู่เพื่อนฟังจนหมดเปลือก ไม่มีอะไรเหลืออยู่ภายในจิตใจเลย แม้ว่าผลหากจะปรากฏมากน้อยเพียงไรก็แน่ใจว่า ได้นำมาแสดงแล้วโดยไม่มีสิ่งใดเหลือเช่นเดียวกัน
และธรรมที่กล่าวมาเหล่านี้เราแน่ใจ ถ้าเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ จะเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ก็เต็มเปอร์เซ็นต์นั้น ๆ ไม่มีบกพร่องเลย ได้นำมาแสดงและเป็นความเชื่อในปฏิปทาเครื่องดำเนินมาทั้งเหตุว่าดำเนินมาอย่างไร ถูกหรือผิดก็เป็นที่แน่ใจแล้ว ผลที่ปรากฏอย่างไรบ้างก็ได้นำมาแสดงแก่เพื่อนฝูงฟังด้วยความเมตตาสงสาร ไม่ใช่เพื่อโอ้เพื่ออวด เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่เต็มโลกเต็มสงสาร ใครก็อยากโอ้อยากอวด โง่แสนโง่ก็อยากให้เขาชมว่าตนฉลาด ชั่วแสนชั่วก็อยากให้เขาชมว่าดีเป็นต้น เรื่องของโลกเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องของธรรมพูดตามหลักความจริงที่มีที่เป็น ไม่มีคำว่าโอ้ว่าอวดเข้าเคลือบแฝงเลย และยังรู้จักการพูดในแง่หนักเบา การเก็บการรักษา การจับจ่ายการแสดงมากน้อยเพียงไรท่านก็รู้จักประมาณของท่าน นี่ละธรรมที่เป็นผล
ที่กล่าวมาเหล่านี้ก็แน่ใจว่าได้แนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนจนหมดเปลือกแล้ว ผลเป็นอย่างไรจึงทำให้หนักอกหนักใจอยู่เสมอ ไม่ว่าแต่คนใหม่ที่มายังไม่ได้เรื่องได้ราว แม้แต่คนเก่าที่อยู่ด้วยกันแล้วก็ไม่พ้นให้เป็นข้อหนักใจในแง่ต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกัน จึงน่าคิดมากสำหรับท่านผู้มาศึกษาอบรมทั้งหลายดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้ เกรงจะเหลวไหลไปเรื่อย ๆ
เพราะการแก้กิเลสเป็นของที่แก้ได้ยาก เพราะกิเลสเป็นตัวยุ่งยาก เป็นตัวเหนียวแน่นมั่นคงที่สุด ไม่มีสิ่งใดจะเหนียวแน่นมั่นคงและฉลาดแหลมคมยิ่งกว่ากิเลสที่ครอบอยู่บนหัวใจสัตว์หัวใจท่านหัวใจเรา การแก้จึงต้องได้ทุ่มลงอย่างเต็มที่เต็มฐานเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มกำลังความสามารถ แม้พระธรรมของพระพุทธเจ้าที่ได้ทรงแสดงแก่สัตว์โลก ก็ได้มาด้วยความยากลำบากก่อนจะได้ตรัสรู้ก็เคยผ่านความยากลำบากจนถึงความสลบไสลมาแล้ว หากไม่ฟื้นก็ต้องตายไม่ได้มาแสดงธรรมแก่โลกเลย นี่เฉพาะเรื่องของธรรมก็ต้องขวนขวายถึงขนาดนั้น จึงได้มา การรบกันกับกิเลสจนได้ชัยชนะเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาไม่ใช่ได้มาด้วยการล้างมือเปิบ สักแต่ว่าประพฤติปฏิบัติแล้วก็บรรลุเอา ๆ อย่างนั้น ท่านทรงทำแทบล้มแทบตาย
เป็นยังไงธรรมที่ทรงขวนขวายมาแทบล้มแทบตาย กว่าจะได้มาเป็นอาวุธที่ทันสมัย ประหัตประหารกิเลสให้หลุดลอยออกไปจากพระทัย ถึงกับได้นำอุบายวิธีการนั้น ๆ มาสั่งสอนสัตว์โลก หนักหรือไม่หนักเราทั้งหลายก็ได้อ่านแล้วในตำรับตำราและเคยได้ยินได้ฟังมาแล้วจากครูจากอาจารย์เป็นอย่างไร เป็นของเบาไหมธรรมะที่ได้มาและวิธีการต่อสู้กับกิเลสของท่าน ไม่มีประโยคใดที่จะเบา ๆ ง่าย ๆ ออมมือออมความพากความเพียร ออมสติปัญญาศรัทธาทุกด้านทุกทาง ขึ้นชื่อว่าขึ้นต่อกรกับกิเลสแล้วไม่มีสิ่งใดจะออมไว้เลยบรรดาธรรมเครื่องต่อสู้ มีมากน้อยเพียงไรก็ทุ่มกันลงนั่น ถ้ากิเลสไม่เป็นของยากไม่เป็นของเหนียวแน่นมั่นคงถึงขนาดนั้น จำเป็นอะไรจะต้องไปทุ่มลง ๆ ฟังซิ ตียุงตัวหนึ่งก็ต้องทุ่มลงจนหมดกำลังอย่างนั้นใครจะไปทำได้ลงคอ
นี่กิเลสไม่ใช่ยุงตัวหนึ่ง มีความหนาแน่นมั่นคงขนาดไหน ถ้าพูดถึงเรื่องความฉลาดก็เคยครองโลกมาตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดแล้วในจิตแต่ละดวง ๆ ให้พึงดูจิตของเรานี้เป็นสำคัญ ปิดไว้ไม่อยู่ ขอให้ดำเนินตามแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนนี้เถิด เริ่มตั้งแต่สมาธิคือความสงบเย็นใจ ด้วยความเอาจริงเอาจังของเรา เราจะปรากฏรู้เห็นสมาธิขึ้นมาที่ใจ ความสงบใจนั้นคือความหดตัวของจิตเข้าสู่จุดรวมเป็นอันเดียว เป็นความรู้ที่เด่นชัดอยู่ในจุดหนึ่งภายในหัวอกของเรานี้เอง เมื่อสร้างความสงบให้มากขึ้น ๆ ความสงบนั้นย่อมสามารถสร้างฐานแห่งความมั่นคงของตนขึ้นมาในระยะเดียวกัน ๆ จนกลายเป็นความมั่นคงของใจขึ้นมา แล้วเราก็จะเริ่มทราบเรื่องจิตกับเรื่องโลกเรื่องธาตุเรื่องขันธ์เข้าไปโดยลำดับ ตลอดถึงเรื่องภพเรื่องชาติ
ยิ่งมีสมาธิแน่นหนามั่นคง และสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ภายในจิตของตนในภูมิสมาธินี้ ก็ยิ่งจะชัดขึ้นไปโดยลำดับในระหว่างขันธ์กับจิตที่อยู่ด้วยกัน จิตเป็นอย่างหนึ่งขันธ์เป็นอย่างหนึ่ง ไม่ต้องมีใครบอกก็รู้ เพราะอยู่เป็นเอกเทศแห่งความรู้อันนั้นที่เรียกว่าจิต อาการเหล่านี้ก็เป็นอาการอันหนึ่ง ๆ ถ้าไม่แย็บจากความรู้นั้นออกมา ก็ไม่รับทราบกันว่าอาการนั้น ๆ เป็นอย่างไร เพียงเท่านี้เราก็พอทราบได้ ยิ่งใช้ปัญญาพินิจพิจารณาดังที่เคยอธิบายให้ฟังแล้วก็ยิ่งจะทราบได้โดยละเอียด การแยกแยะสกลกายนี้เป็นของสำคัญ เพราะเป็นงานที่ใหญ่โตมาก สัตว์โลกทั้งหลายติดธรรมชาตินี้ จึงต้องนำงานอันนี้มาสอนก่อนอื่นก่อนสิ่งใด
ดังพระพุทธเจ้าท่านสอนพระที่อุปสมบทใหม่บวชใหม่ ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่มีงานใดที่จะสอนก่อนงานนี้เลย คืองานพิจารณาคลี่คลายขุดค้นลงในสกลกายที่ใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกนี้ ให้แตกกระจัดกระจายออกไป จากความเป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชาย เป็นเขาเป็นเรา เป็นของน่ารักน่าชอบใจให้กระจายออกไปจากความเป็นเหล่านี้ จนกระทั่งกลายเป็นความจริงขึ้นมาแต่ละชิ้นละส่วน เรายิ่งจะเห็นได้ชัดจากการแยกธาตุแยกขันธ์นี้
จิตมีความละเอียดลออเพียงไร เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้จะถูกพิจารณาได้ละเอียดลงไปโดยลำดับ จนกระทั่งพอตัวของจิต เมื่อความพอตัวของจิตได้เต็มที่แล้วจากงานชิ้นสำคัญ ๆ งานใหญ่โตยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกนี้ แตกกระจัดกระจายออกไปจากความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นหญิงเป็นชายแล้ว กลายเป็นหลักธรรมชาติแห่งความจริงขึ้นมา ถ้าว่าธาตุก็สักแต่ว่าธาตุ ถ้าว่าขันธ์ก็สักแต่ว่าขันธ์ ต่างอันต่างสักแต่ว่า จิตก็หดตัวเข้าไปสู่ความเป็นตัวของตัว
เพียงเท่านี้เราก็ทราบได้ชัดตามกำลังแห่งปัญญาของเราในขั้นนี้ ว่าขันธ์กับจิตเป็นอันหนึ่งต่างหากจากกัน แล้วจิตนี้ยังมีความสืบต่อก่อแขนงอยู่กับสิ่งใดบ้าง นั้นแลคือเชื้อแห่งภพแห่งชาติ เป็นทางแห่งภพแห่งชาติที่จะก้าวเดินออกไปสู่ภพสู่ชาติโดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นท่านจึงให้พิจารณาเครื่องสืบต่อเหล่านั้นอย่างละเอียดลออ ก็เพื่อตัดภพตัดชาติตัดสายทางเดินของจิตที่จะออกสู่ภพสู่ชาติด้วยความชำนิชำนาญ โดยกิเลสมีอวิชชาเป็นต้นชักจูงไป ให้ได้หดได้ย่นเข้ามาโดยลำดับลำดา ท่านจึงต้องได้ใช้ปัญญาอย่างละเอียดลออ
ถ้าจะพูดเรื่องหนักก็หนักที่สุด เกี่ยวกับปัญญาที่พิจารณาในส่วนร่างกายนี้ เป็นปัญญาที่พิจารณาเหมือนกับน้ำที่ไหลโจนลงมาจากภูเขาสูงลงสู่พื้นดินที่ต่ำ ๆ นั่นแล น้ำจะเสียงดังมาก ปัญญาขั้นพิจารณาสกลกายเป็นปัญญาที่ผาดโผนโลดเต้น เป็นปัญญาที่ผาดโผนโจนทะยานมาก ถ้าเป็นม้าก็เป็นม้าแข่งประเภทที่หนึ่งนั่นแล ปัญญาขั้นนี้รุนแรงมาก เหตุที่จะเป็นปัญญาที่รุนแรงก็เพราะสิ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญญาที่จะให้รุนแรงอย่างนั้น มันพอเหมาะพอสมกันกับปัญญาประเภทนี้จะออกทำงาน จึงต้องเป็นเช่นนั้น ไม่มีใครบังคับไม่มีใครบอกเจ้าของก็รู้เจ้าของเอง
เมื่อปัญญาขั้นนี้กับร่างกายส่วนหยาบนี้ทำหน้าที่ต่อกัน จนเป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจนแล้วก็ปล่อยวางกันลงได้ตามเป็นจริง นี่ท่านเรียกว่าปล่อยวางกาย ด้วยความอิ่มพอแล้วจากความรู้แจ้งเห็นชัด ปัญญาขั้นนี้จะค่อยแปรสภาพตัวเองเข้าสู่ความละเอียดเป็นลำดับและแหลมคมเข้าไปเรื่อย ๆ ก้าวเข้าสู่การพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และค่อยกลายเป็นปัญญาที่เหมือนกับน้ำซับน้ำซึม ไหลรินอยู่ทั้งหน้าแล้งหน้าฝน ไม่เป็นเหมือนปัญญาที่ไหลโจนลงจากภูเขาดังแต่ก่อนที่พิจารณาร่างกายนั้นเลย
ขั้นนี้เราจะทราบแง่ทราบแขนง ทราบความกระดิกพลิกแพลงของจิตที่จะออกสู่อารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งในขณะเดียวกันก็เท่ากับจะออกสู่ภพสู่ชาติ เพราะความยึดความถือ ความรักความชังในอารมณ์ต่าง ๆ นั้นแล สติปัญญานี้จะตามต้อนให้รู้ไปโดยลำดับลำดา พอรู้สิ่งใดแล้วสิ่งนั้นจะขาดออกไป รู้สิ่งใดแล้วสิ่งนี้จะขาดออกไป ๆ นี่คือการค้นภพค้นชาติ ดูภพดูชาติภายในจิตใจของเราผู้ปฏิบัตินี้แล ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้า เพราะอุบายวิธีการต่าง ๆ พระองค์ได้ตรัสไว้แล้วด้วยความชอบธรรมไม่มีอะไรผิด ให้นำมาพิจารณาเถิดจะรู้จะเห็นดังที่กล่าวมานี้โดยไม่ต้องสงสัย
อาการของจิตส่วนหยาบที่ยังมีก็ยึดส่วนหยาบ เช่นอย่างยึดส่วนรูปส่วนกาย เมื่อพิจารณารอบแล้วก็ขาดจากความยึดถือในรูปในกาย ยังเหลืออยู่ในส่วนที่เป็นนามธรรม ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สติปัญญาในส่วนที่เหมาะสมกันกับอาการเหล่านี้ก็ทำงานต่อกันด้วยความพินิจพิจารณา เป็นเรื่องของปัญญาขั้นกลาง ขั้นละเอียดเข้าไปโดยลำดับ แล้วจิตไม่มีที่เกาะไม่มีที่ยึดไม่มีที่พิจารณา เพราะอิ่มตัวแล้วพอแล้วในอาการเหล่านี้ จิตยิ่งจะหดตัวเข้าไปสู่จุดรวมจากกระแสความรู้ทั้งหลาย จนกลายเป็นความรู้เด่นดวงอยู่เฉพาะจิตเท่านั้น
การพิจารณาเพื่อดูภพดูชาติของตนเอง อย่าไปดูต้นไม้ภูเขา อย่าไปดูดินฟ้าอากาศ ภพไหนชาติใดก็ตาม จะประมวลเข้ามาสู่ภพคือจิตดวงปัจจุบันที่บรรจุเชื้อแห่งภพไว้นี้แลจะไม่ไปที่ไหน ทีนี้เมื่อจิตพอในอาการทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ก็ถืออาการเหล่านี้เพียงเป็นหินลับปัญญาให้คมกล้าต่อการพิจารณาจุดอันสำคัญ ได้แก่จิตอวิชชานี้เท่านั้น แต่ต้องอาศัยอาการเหล่านี้มีสังขารและสัญญาเป็นสำคัญ ที่จะต้องซักต้องซ้อมต้องฝึกต้องฝน หรือว่าต้องตบต้องต่อยกันอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับการฝึกซ้อมมวยนั่นแล
ฝึกซ้อมเข้าไปเท่าไรสิ่งเหล่านี้ยิ่งเป็นความละเอียดเข้าไป ๆ ก็ยิ่งได้รู้ชัดเห็นชัดว่า ไม่ใช่อันหนึ่งอันเดียวกันกับจิต เวทนาถึงจะมีก็ละเอียดอยู่ภายในจิต สัญญาความจำได้หมายรู้ เกิดแล้วก็ดับ ๆ ดีเกิดแล้วก็ดับ ชั่วเกิดแล้วก็ดับ หมายอะไรมีแต่ความเกิดความดับเป็นประจำ ๆ ของตัวอยู่ด้วยปัญญาอันชอบธรรมและรวดเร็ว จนกระทั่งเข้าสู่จิต หาที่เกาะที่ยึดไม่ได้ เพราะอิ่มตัวแล้วรู้เอง ทีนี้ก็จะเข้าสู่จุดที่ยังไม่อิ่มตัวคือจุดแห่งภพแห่งชาติได้แก่จิตอวิชชา จิตจะเข้าพินิจพิจารณาในสิ่งนี้ เช่นเดียวกับพิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายไม่หยุดหย่อนผ่อนกำลังเลย
สรุปเอาเลยว่า สุดท้ายปัญญาขั้นละเอียดแหลมคมที่ได้สั่งสมตัวมาตั้งแต่เริ่มแรกของปัญญาก้าวเดิน จนกระทั่งถึงปัจจุบันจิตที่ควรแก่การทำลายภพชาติของตัวเอง ก็เด่นชัดขึ้น ๆ รวดเร็วขึ้น รู้ทันกลมายาแห่งอาการของอวิชชาที่แสดงออกทุกแง่ทุกมุม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางรูป ทางเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็ถอยเข้าไป จนกระทั่งถึงตัวอวิชชา เรียกว่ารากแก้วของภพของชาติ รากแก้วของกิเลสทั้งหลายรวมตัวอยู่นั้น ก็เข้าพังกันในสถานที่นั่น แตกกระจัดกระจายไปไม่มีอะไรเหลือเลย นั่นภพชาติจะมาจากไหนที่นี่หมดแล้ว
สายของภพชาติที่เกี่ยวโยงกันไปกว้างขวางมากมาย ก็ได้ตัดเข้ามาด้วยปัญญาประเภทหนึ่ง ๆ จนย่นเข้ามาถึงหัวตอคืออวิชชา ถอนพรวดขึ้นมาอีก นี่เป็นปัญญาประเภทหนึ่ง เมื่อหมดแล้วหาที่ไหน ไม่ต้องทูลถามพระพุทธเจ้า พูดแล้วสาธุ สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศไว้เพื่อผู้ปฏิบัติจะต้องรู้เองเห็นเอง เพราะอุบายที่ทรงสอนนั้นชอบธรรมแล้ว นี่ละการปฏิบัติ
การพูดทั้งนี้เราพูดย่นย่อเข้ามา เพื่อให้เหมาะสมกับเวล่ำเวลา แต่เวลาพิจารณาเราอย่าทำแบบสุกเอาเผากิน ให้ทำจริง ๆ การพิจารณาในธรรมแง่ใดต้องเอาความจริงเข้าว่ากันเลย ๆ ทุกอิริยาบถทุกขณะของจิตที่ออกในแง่ใด พิจารณาสิ่งใดให้เป็นไปอย่างนั้นด้วยความจงใจ นี่จึงเรียกว่าทุ่มลง ๆ เพราะกิเลสเป็นสิ่งที่หนาแน่นมาก ไม่ทุ่มลงขนาดนั้นไม่ทัน หนังไม่ถลอกปอกเปิกเลยถ้าพูดถึงหนังก็ดี ต้องทุ่มกันลงอย่างหนักทุ่มคราวนี้ทุ่มคราวนั้น หลายครั้งหลายหนก็ค่อยบอบช้ำไป สุดท้ายก็ตีถึงกระดูก ตีถึงตับปอดของอวิชชา พังทลายลงไปได้โดยไม่ต้องสงสัยเพราะความเพียร ฟังแต่ว่าความเพียร เพียรไม่ถอยทนไม่ถอยพิจารณาไม่ถอย สติตั้งไม่ถอย ยึดเข้าไป ๆ รุกหน้าเข้าไป จนกระทั่งถึงจุดที่เป็นบ่อเกิดบ่อตายมาตั้งกัปตั้งกัลป์กาลไหน ๆ เราจะเจอได้ที่จิตอวิชชานั้นแล พออวิชชาสิ้นซากไปแล้ว ก็เจอจิตที่บริสุทธิ์พุทธะแท้ในที่นั่นแล
เมื่อบริสุทธิ์แล้วทีนี้ติดต่อกับอะไร จิตดวงนี้ซึ่งเคยสืบต่อมาโดยลำดับลำดากับภพกับชาติโดยที่เราก็ไม่รู้ แล้วก็รู้มาโดยลำดับด้วยการพิจารณา จนกระทั่งเข้าถึงหัวตอ ถอนขึ้นมาพรวดไม่มีอะไรเหลือแล้ว เกิดที่ไหนที่นี่ เห็นอยู่ชัด ๆ บริสุทธิ์อยู่เต็มหัวอกนั้นแล้วเราสงสัยอะไร สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศเต็มภูมิแล้วในขณะที่อวิชชาพังลงไปเท่านั้น นั่นเรียกว่าจิตบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์สูญไหม สูญแล้วเอาอะไรมาบริสุทธิ์ สูญแล้วเอาอะไรมา ปรมํ สุขํ นี่ก็ไม่ถามใครอีกเหมือนกัน
พระพุทธเจ้าองค์เอก สอนธรรมขั้นเอกทั้งนั้น ๆ ให้เราประพฤติปฏิบัติ นำเข้าไปต่อกรกับกิเลส เมื่อถึงขั้นเอกจิตแห่งผู้ปฏิบัติแล้ว ทำไมจะไม่เป็นเอกธรรมสำหรับจิตดวงที่พ้นจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแล้ว ต้องเป็นเอกจิตเอกธรรมโดยไม่มีอะไรเป็นคู่แข่งเลย ธรรมเป็นจิต จิตเป็นธรรม นั่นละความเลิศความประเสริฐอยู่ตรงนั้น พระพุทธเจ้าพ้นจากทุกข์ก็พ้นที่ตรงนั้น เลิศก็เลิศที่ตรงนั้น ไม่มีใครบอกว่าเลิศก็เลิศที่ตรงนั้น เป็นของอัศจรรย์ที่ตรงนั้น นอกนั้นไม่ปรากฏว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่อัศจรรย์และเป็นคู่แข่งแห่งธรรมอันเอกของพระพุทธเจ้าที่หลุดพ้นแล้ว หรือบริสุทธิ์แล้วนั้นเลย
นี้เป็นอย่างไร มันถึงใจของพวกเราทั้งหลายบ้างหรือเปล่าที่เทศน์เหล่านี้น่ะ หรือมันถึงตั้งแต่รูป แต่เสียง แต่กลิ่น แต่รสเครื่องยุ่งเหยิงวุ่นวายก่อกวนบีบบังคับอยู่ตลอดเวลาจนหาทางออกไม่ได้นั้นหรือ นอนให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายขี้รดเยี่ยวรดอยู่ทั้งวันทั้งคืนนั้นเป็นของดีแล้วเหรอ ถ้าดี-โลกนี้ดีกันทั้งนั้น ไม่มีใครจะมาบ่นพึมพำ ๆ หรือบ่นอย่างลึกลับอยู่ภายในจิตใจของตน ๆ ให้เจ้าของได้เดือดร้อนเพิ่มเข้าไปอีกเลย อย่าว่าแต่มาบ่นให้เพื่อนฝูงฟังเลย ย่อมเป็นอยู่ภายในจิตของผู้มีความทุกข์มากเหมือนกันหมด
นี่ถ้าหากว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของวิเศษทำไมโลกจึงต้องบ่นกัน เราเคยมาแล้วมากมายขนาดไหน กัปใดกัลป์ใดก็คือจิตดวงนี้เป็นตัวทุกข์เป็นกัปเป็นกัลป์มาแล้ว ที่เกิดและแบกกองทุกข์มากับความเกิดมากน้อยเป็นอย่างไรบ้าง เราน่าจะนำมาคิดให้ถึงใจ การคิดให้ถึงใจแล้วการประกอบความเพียรก็ต้องถึงใจเช่นเดียวกัน เพราะความเข็ดหลาบในทุกข์อันเป็นสิ่งที่ใครจะกล้าหาญต่อมันไม่ได้ ลงได้เข็ดหลาบแล้วต้องยอมทั้งนั้น ถ้าเป็นนักมวยก็หาทางต่อสู้ไม่ได้แล้ว ถ้าฝืนสู้ไปต้องตาย ต้องยอม นั่น นี้เราเข็ดหลาบต่อกิเลสก็ต้องหาทางออก ทำไมเราจะถอยในการหาทางต่อสู้ เข็ดหลาบต่อกิเลสนั้นคืออะไร เข็ดหลาบในกองทุกข์ทั้งหลายไม่อยากแบกอยากหามทุกข์อีกต่อไป จึงต้องได้ตะเกียกตะกายทางความเพียรเต็มกำลังความสามารถ
ทุกข์ในชาตินี้ทุกข์เถอะ ทุกข์เพราะความเพียร ทุกข์อย่างอื่นเคยทุกข์มามากต่อมากแล้ว ทุกข์จนกระทั่งถึงตาย ลมหายใจขาดดิ้นก็ไม่รู้กี่ภพกี่ชาตินับไม่ได้แล้ว แต่จะทุกข์เพียงการประกอบความเพียรนี้ ทำไมเราถึงจะย่อหย่อนอ่อนกำลังโดยที่ให้กิเลสกล่อมไม่รู้สึกตัวเลย เป็นยังไงไม่โง่เกินไปแล้วหรือลูกศิษย์ตถาคตซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติเสียด้วย อย่างพวกเราเป็นพระกรรมฐานนี้ มีจุดไหนเป็นที่ภูมิใจของเราในการปฏิบัติเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ เราควรจะนำมาคิดมาอ่านไตร่ตรองพอให้รู้เหตุรู้ผลที่จะทำให้เราได้ตะเกียกตะกายสุดกำลังความสามารถของเรา
เพราะอุบายวิธีการต่าง ๆ ครูบาอาจารย์ก็ดี ตำรับตำราก็ดี ก็สอนไว้แล้ว เฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ก็แนะนำสั่งสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มภูมิเต็มกำลังความสามารถของท่านแล้ว หาอะไรที่จะปิดบังลี้ลับไม่มี เฉพาะอย่างผมเองนี้ไม่มี สอนเต็มภูมิแห่งความสามารถของตน สามารถมากน้อยเพียงไรก็สอนเต็มภูมิ เพราะความเมตตาสงสารนี้เท่านั้น ไม่ได้มีสิ่งอื่นสิ่งใดที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องในหัวใจดวงนี้เลย ถ้าหมู่เพื่อนจะเห็นว่าเป็นภาระสำคัญก็ควรจะขยับตัวเข้าไปทุกวันซิ อย่าอ่อนลงไปเรื่อย ๆ อ่อนเปียกจนใช้ไม่ได้เลยและจะนับวันเหลวไหล ๆ ไป
ครูบาอาจารย์เป็นยังไงทุกวันนี้เราก็เห็นด้วยตาของเราไม่ใช่เหรอ มีอาจารย์องค์ใดที่จะมอบชีวิตจิตใจให้ได้พอที่จะเป็นกำลังใจ อบอุ่นใจ ให้ได้ประกอบความพากเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วยเวลาท่านยังมีชีวิตอยู่นี้มีองค์ไหนบ้างล่ะพิจารณาซิ แล้วครูบาอาจารย์ที่ว่าเหล่านี้ท่านล่วงไปหมดแล้ว เราจะเกาะอะไร เหล่านี้เห็นโทษมาพอแล้ว ผมเองเป็นผู้เห็นโทษมาก่อนจึงได้พูดให้หมู่เพื่อนฟัง จนกระทั่งถึงน้ำตาร่วงเมื่อพ่อแม่ครูจารย์มั่นมรณภาพจากไป เพราะปัญหาของเรานั้นเองไม่ใช่เพราะอะไร อยู่กับท่านแม้ท่านจะทุกข์ลำบากขนาดไหนเพียบขนาดไหนในเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ ไอ้เราก็เพียบในทางด้านจิตใจ หัวใจอยู่กับท่าน เวลาเกิดข้อข้องใจที่ตรงไหน เจ้าของผ่านไปไม่ได้ก็ต้องวิ่งขึ้นไปหาท่านกราบเรียนท่าน ท่านแสดงมาผางเดียวเท่านั้นปัญหาพังทลายลงไป นั่นเห็นไหม
นี่ละคุณค่าแห่งครูบาอาจารย์ที่แสดงต่อเราด้วยความรู้จริงรู้จัง เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องหลายประโยค เพียงประโยคเดียวเท่านั้นปัญหาก็พังเลย เอ้า พิจารณาต่อไปอีก ทีนี้กิเลสมีอยู่มากน้อยเพียงไร เพราะการคุ้ยเขี่ยขุดค้นอยู่ตลอดเวลา ต้องเจอกันจนได้กับกิเลส เมื่อเจอกันแล้วต้องได้ฟัดได้เหวี่ยงกัน เมื่อมีครูบาอาจารย์อยู่เราจะไปฟัดไปเหวี่ยงให้เสียเวลาทำไม ให้ท่านช่วยอุบายเพื่อจะสกัดลัดกั้นกิเลสเข้าไปให้รวดเร็วยิ่งกว่านั้น จึงต้องเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ เช่นเดียวกับบรรดาพระสาวก เวลาเกิดข้อข้องใจขึ้นมาแล้วก็ไปทูลถามพระพุทธเจ้าให้ทรงแสดงให้ฟัง เมื่อหายข้องใจแล้วก็เข้าไปอยู่ในป่าในเขา บำเพ็ญอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งได้บรรลุธรรม ถึงวิมุตติหลุดพ้นและหายสงสัย
ที่นี่ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่จะตายอกตายใจทั้งข้อวัตรปฏิบัติ ทั้งความรู้ภายในใจ มีที่ตรงไหนบ้างเวลานี้ มีแต่ล่วงไป ๆ แล้วเป็นยังไงจิตใจของเรายังไม่ตื่นบ้างเหรอ เราจะอาศัยอะไร ถ้าหากว่าไม่เอาจริงเอาจังแต่บัดนี้แล้วจะนับวันเหลวแหลกแหวกแนวไปนะ
กิเลสไม่ได้อ่อนข้อให้พึงทราบไว้เสมอ เรื่องของกิเลส-ธรรมอ่อนเท่าไรกิเลสยิ่งแข็งตัวขึ้นมา ๆ นี่ละตอนสำคัญ ถ้าธรรมอ่อนที่จุดไหนกิเลสจะเข้าที่จุดนั้นแข็งตัวที่จุดนั้นแหละ และทำลายเราได้ทุกจุด ทำลายเราได้ทุกชนิดทุกประเภทของกิเลสที่เกิดขึ้นและมีกำลังมากน้อย ทำลายได้ทั้งนั้น ถ้าเราไม่รีบเร่งขวนขวายเสียตั้งแต่บัดนี้แล้วเราจะหาทางก้าวเดินไม่ได้นะ มาบวชในศาสนาก็มีแต่ผ้าเหลืองครอบหัวอยู่เท่านั้น คุณธรรมที่จะปรากฏขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติไม่มีเลยนี้เป็นยังไงพระเรา มีแต่ผ้าเหลืองพาไปสวรรค์นิพพานได้ไหม ถ้าไม่มีธรรมภายในใจแล้วไปไม่ได้หลุดพ้นไม่ได้ ถ้ามีวิริยธรรม สติธรรม สมาธิธรรม ปัญญาธรรมแล้วก็ก้าวขึ้นสู่วิมุตติธรรมได้ นั้นแหละหลุดพ้นที่ตรงนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจนะ
นี่นาน ๆ ถึงได้ประชุมทีหนึ่ง ก่อนจะประชุมแต่ละครั้งก็ต้องได้พินิจพิจารณาในเรื่องธาตุเรื่องขันธ์โอกาส เพราะความยุ่งก็ยุ่งมากดังที่หมู่เพื่อนเห็นนั่นแหละ และนอกจากนั้นยังธาตุยังขันธ์อีก เป็นยังไงต้องมาคำนึงคำนวณ ก่อนที่จะแสดงแต่ละครั้ง ๆ ต้องได้พิจารณาหลายเรื่องหลายราว ไม่เหมือนแต่ก่อนหมู่เพื่อนก็ควรจะเห็นใจ
สมัยนี้โลกนับวันวิจิตรพิสดารให้พึงทราบไว้นะ ให้ทราบไว้ตั้งแต่บัดนี้ถ้ายังไม่ทราบ ถ้ายังไม่เคยได้คิดไว้ก่อน เรื่องที่จะเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ศาสนา เผาไหม้พระเณรกรรมฐานเรา เฉพาะอย่างยิ่งผู้ปฏิบัติเราให้พินาศขาดสูญไป โดยไม่มีเงื่อนไขไม่มีเงื่อนต่อเลยคืออะไร ที่กำลังลุกลามเข้ามาเวลานี้ ดังที่เคยพูดแล้วว่าการนำไฟฟ้าเข้ามาในวัดพระกรรมฐานเรานี้ไม่ใช่ของดีเลย เพราะเท่ากับกว้านเอาข้าศึกอันใหญ่หลวงเข้ามาในวัดด้วยในเวลาเดียวกัน โดยข้ออ้างว่าไฟฟ้าเพื่อความสะดวก มันสะดวกอะไรถ้าหากว่าเราพิจารณาแล้ว ในวัดกรรมฐานของเรานี้สะดวกอะไร แสงสว่างแห่งไฟก็มีแล้ว แสงสว่างแห่งธรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติด้วยความสะดวก ไม่มีอะไรมาทำลายนั้นเป็นยังไง อะไรดีกว่ากัน แสงสว่างแห่งใจด้วยอำนาจแห่งธรรมกับแสงสว่างของไฟฟ้าต่างกันอย่างไรบ้าง เพียงเท่านี้ก็พอวัดพอเทียบกันแล้ว จำเป็นอะไรจะต้องไปหาฟืนหาไฟเข้ามาเผาไหม้วัดวาอาวาส ตลอดพระเณรเถรชีผู้บำเพ็ญในวัดให้เสียไป
เบื้องต้นก็ว่าเพื่อความสว่าง อันดับที่สองก็เพื่อความสะดวก เช่น ตู้เย็นก็ตามเข้ามา คนนั้นสะดวกตู้เย็น คนนี้สะดวกสิ่งนี้ คนนั้นสะดวกสิ่งนั้น นี่หลายเรื่องแล้วเริ่มตามเข้ามา อย่างน้อยพระกรรมฐานก็ต้องอ่อนแอลงไป ๆ อะไรถ้าไม่ได้ใส่ตู้เย็นตู้ร้อนแล้วกินไม่ได้ฉันไม่ได้ กลายเป็นกรรมฐานตู้เย็นตู้ร้อนไปแล้วจากไฟฟ้าเป็นยังไงบ้างเราได้คิดพิจารณาหรือยัง พระพุทธเจ้ามีตู้เย็นไหม พระสาวกอรหัตอรหันต์ท่านมีตู้เย็นไหม ท่านมีสิ่งเพื่ออำนวยความสะดวกต่าง ๆ ให้ท่านไหม ดูซีในตำรับตำราอ่านมาด้วยกันทุกคนทำไมจะไม่เห็น โกหกกันได้ยังไง คัมภีร์มีไว้เพื่อให้ดูให้คิดให้อ่านให้ไตร่ตรอง ทำไมจะไม่คิดไม่อ่านถ้าเราดูเพื่ออรรถเพื่อธรรมจริง ๆ แล้ว ต้องพิจารณาคิดอ่านไตร่ตรองซิ
อันดับต่อไปที่สำคัญมากคืออะไร เทวทัต โทรทัศน์ วิดีโอจะตามเข้ามา นี่ละถ้าอันนี้ได้เข้ามาแล้วยังไงก็พังหมดวัดวาอาวาสศาสนาไม่มีอะไรเหลือ ทำลายกันตรงนี้พระเราทำลายศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งพระปฏิบัติของเราเป็นผู้ทำลายศาสนา เมื่อนำอันนี้เข้ามาก็เท่ากับมาทำลายศาสนา ทำลายวัดวาอาวาส ทำลายพระเณรให้ฉิบหายอย่างสด ๆ ร้อน ๆ หาทางหลีกเลี่ยงไม่ได้ หาทางออกตัว หาทางแก้ตัวไม่ได้ หลีกไปเท่าไรก็ยิ่งจม ๆ ยิ่งขายความเลวทรามของตนไปโดยลำดับ ถ้าว่ายอมรับก็ยอมรับแบบคนตาย ยอมรับเอาแบบดื้อด้านนั่นแล การไม่นำสิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟเหล่านี้เข้ามาเผาวัด นั่นแลเป็นความชอบธรรมเป็นความถูกต้องดีงาม เพราะสิ่งที่เป็นภัยก็รู้อยู่ด้วยกันทุกคน อันนี้เป็นของดิบของดีอะไร เป็นเรื่องของโลกของสงสารเขาที่เคยใช้กันเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของพระของเณรผู้ต้องการอรรถต้องการธรรมครองใจจะนำเข้ามาทำลายตนและวงพระศาสนา
สถานที่อยู่ที่บำเพ็ญพระพุทธเจ้าก็บอกไว้แล้วตั้งแต่ต้นมา คือ รุกฺขมูลเสนาสนํฯ ไล่เข้าป่าเข้าเขาเพราะสถานที่นั้นเป็นสถานที่ปลอดภัยไร้กังวล ไม่มีสิ่งอันตรายจาก รูป เสียง กลิ่น รส สมบัติบริวารหญิงชายเข้าไปเกี่ยวข้องรบกวน ไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นสะดวกสบาย การบำเพ็ญสมณธรรมก็สะดวกสบายไม่มีอะไรเป็นภัย ต้นไม้ไม่ได้เป็นภัย ดูต้นไม้ก็ดูได้ ดูใบไม้ก็ดูได้ ใบไม้ร่วงลงมาเป็นอรรถเป็นธรรมเสียอีกถ้าผู้มีสติปัญญาพิจารณา ธรรมชาติของสิ่งเหล่านั้นเป็นหลักธรรมชาติของตน ผู้พิจารณาธรรมต้องพิจารณาโดยหลักธรรมชาติของตน ผู้พิจารณาธรรมต้องพิจารณาโดยหลักธรรมชาติ เอ้า มันเกิดมันแก่มันแตกสลายทำลาย มันมีเหมือนกันทั่วโลกดินแดน อยู่ในป่าก็ยิ่งได้พิจารณาให้เห็นชัดลงไป ว่าใบไม้ร่วงใบหนึ่งนี้เป็นยังไงมันถึงร่วง แน่ะ มันหมดกำลังของมันมันก็ร่วง ธาตุขันธ์ของเราหมดกำลังแล้วจะไปไหน อายุจะอยู่ค้ำฟ้าได้หรือมนุษย์เรา นั่นมันเป็นเครื่องสั่งสอนอยู่ในตัวของมันอย่างนั้น
ไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้นมีแต่ความปลอดภัยไร้กังวล เสริมอรรถเสริมธรรมขึ้น สติก็ดี ปัญญาก็รวดเร็ว ความเพียรก็ดี ไปอยู่ในสถานที่กลัว ๆ เท่าไรความเพียรยิ่งดีด ตั้งอยู่ได้ทั้งกลางวันกลางคืน การตั้งสติตั้งปัญญาตั้งความเพียรตั้งทั้งกลางวันกลางคืนก็คือการเสริมจิตใจของเราให้มีความแน่นหนามั่นคงเข้าไป จิตใจที่ได้รับการอารักขาคือการระมัดระวังการบำรุงรักษาจากเจ้าของ ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองเข้าไปเป็นลำดับ ๆ สถานที่เช่นนั้นดังที่กล่าวมานี้เป็นที่เหมาะสมกับการอยู่ การประกอบความเพียรเป็นอย่างดี
แล้วสถานที่เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้เช่น เทวทัต โทรทัศน์ เป็นยังไงเราก็เห็นกันทุก ๆ คน มีกี่เรื่องกี่ราวพรรณนาไม่จบ เฉพาะอย่างยิ่งวิดีโอนี้เป็นเครื่องทำลายอันสำคัญมากนะ หลายเล่ห์หลายเหลี่ยมหลายสันพันคม จะว่าเครื่องทำลายประเภทปรมาณูก็ไม่ผิด จะว่าประเภทนิวเคลียร์นิวตรอนก็ไม่ผิด นี่คือระเบิดทำลายหัวใจพระ ทำลายพระศาสนา ทำลายพระเณรให้แหลกเหลวไปหมดชนิดไม่มีอะไรเกินอันนี้ ต้องการชนิดใดจะไปค้นไปคว้าหามาจนได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ประเภทนรกจกเปรตมีอยู่กับสิ่งเหล่านี้แหละ ผู้มีจิตเลวทรามชนิดนรกจกเปรตขนาดนั้นแล้ว ทำไมจะไม่ไปเสาะแสวงหามาทำลายเจ้าของและผู้เกี่ยวข้องให้แหลกเหลวไปได้ล่ะ ถ้าลงถึงขนาดที่ว่านี้แล้วหมดศาสนา ไม่มีอะไรเหลือเลย
หากว่าพระเณรกรรมฐานของเราเป็นอย่างนั้น ให้เผาทิ้งเสียวัดอย่าเอาไว้เลย ให้โลกเขาได้สะดุดตาสะดุดใจ ว่า อ๋อ วัดนี้เป็นวัดของพวกวิดีโอ เป็นวัดของพวกเทวทัต โทรทัศน์ ที่เอามาเผาวัดนี้ เห็นวัดทีไรเขาจะสะดุดใจตรงนั้น ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องสังหารพระหน้าด้าน แล้วให้เผาทิ้งเสียทั้งวัดเลย พระก็อย่าให้มีเหลืออยู่ในวัด จะรกหูรกตาประชาชนไปนาน และเป็นการทรมานหัวใจของผู้มีธรรมจะทนดูทนฟังต่อไป
สิ่งเหล่านี้เป็นข้าศึก เป็นภัย หรือเป็นคุณต่อศาสนา ดูเอาซีหาเรื่องหาราวอะไรมาพูด เห็นกันอยู่ชัด ๆ อย่างนี้ เฉพาะวิดีโอนี้สำคัญมากนะ ไฟบรรลัยกัลป์สู้ไม่ได้เลย ถ้าว่าเป็นศาสตราอาวุธทำลายศาสนาก็นิวเคลียร์นิวตรอนนั้นแหละไม่ใช่สิ่งอื่นสิ่งใดเลย เอาให้แหลกได้หมดไม่มีเหลือเลย พระเณรในวัดถ้าลงได้มีอันนี้เข้าวัดแล้วหมดจริง ๆ เรื่องสมาธิเรื่องภาวนาเรื่องอะไร ๆ ก็ตาม ขึ้นชื่อว่าธรรมทั้งหลายไม่ได้มีอะไรมีความหมายเลย
เหมือนกันกับการเผาบ้านเผาเรือนให้ฉิบหายวายปวงไปหมดแล้ว เอาฟักแฟงแตงโมมาปลูกนั่นละ ใครจะหวังเอาผลกำไรจากฟักแฟงแตงโมที่นำมาปลูกนั้น กับบ้านเรือนถูกเผาหมดไปทั้งหลัง และบ้านเรือนหลังหนึ่งราคาเท่าไร สมบัติเงินทองที่อยู่ในบ้านในเรือนมีมากขนาดไหนที่ถูกไฟไหม้ไปหมดนั้น แล้วใครจะมาปลูกฟักแฟงแตงโมขาย เอาเงินมาอวดมาแข่งสมบัติทั้งหลายที่ถูกไฟไหม้ฉิบหายไปแล้วนั้น มันสมเหตุสมผลกันไหมพิจารณาซิ นี้ละเรื่องนรกจกเปรตเหล่านี้ถ้าลงได้เข้าในวัดในวาแล้ว ต้องเป็นเหมือนกันกับเอาฟืนเอาไฟมาเผาวัดเผาวาเผาศาสนาเผาพระเผาเณรให้ฉิบหายป่นปี้ แล้วจะหวังเอาความสุขความเจริญจากฟักแฟงแตงโมที่ตรงไหน พิจารณาซิผู้ปฏิบัติทั้งหลายนี่จะเป็นได้แน่ ๆ ไม่อาจสงสัย
จึงได้วิตกวิจารณ์อยู่เสมอเกี่ยวกับวงคณะปฏิบัติของเรา ถ้าลงอันนี้ได้เข้าวัดแล้วหมด ๆ คำว่ากรรมฐานอย่าถามถึงเลย นอกจากเอาไฟเผาเสียทั้งหมดวัด อย่าให้มันมีสะดุดตาประชาชนญาติโยมให้เขาได้สลดสังเวชไปนานเลย เพราะมองเห็นแล้วก็ โห นี่วัด เป็นวัดของพวกเทวทัต เป็นวัดของพวกวิดีโอ ที่ทำลายศาสนาอย่างฉิบหายป่นปี้หน้าด้าน ๆ นั้นแหละ เขาจะได้คิดอยู่เรื่อยไปและกวนใจไม่หยุด ทั้งเป็นความทุกข์ความทรมาน ความสลดสังเวชแก่ประชาชนญาติโยมที่เขามีศีลมีธรรม เขามีสมบัติผู้ดี อย่าให้เขาได้เห็นไปนานเลย เผาทิ้งเสียให้หมดอย่าให้มีเหลือเลยพอเหมาะพอดีกัน
ท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นี่เข้าใจแล้วยังที่ผมเทศน์อย่างนี้ ผมหาเรื่องอุตริให้ท่านทั้งหลายฟังเหรอพิจารณาซิ เรื่องเหล่านี้เป็นภัยหรือเป็นคุณต่อศาสนธรรมต่อผู้ปฏิบัติ เฉพาะอย่างยิ่งนักบวชกรรมฐานของเรานี่มันเป็นขนาดไหนพิจารณาซิ เราไม่ต้องไปหาหลีกแพ่งหลีกอาญาอะไรแหละ หลีกไปเท่าไรยิ่งจม ๆ เพราะสิ่งเหล่านี้รู้กันอยู่ชัด ๆ แม้แต่เด็กก็รู้อย่าว่าแต่ผู้ใหญ่เลย และพระจะไม่รู้มีอย่างเหรอ ถ้าไม่ใช่พระหน้าด้านจริง ๆ จะทำไม่ลง จะไม่นำเข้ามา จะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งดังกล่าวนี้เลย
พระพุทธเจ้าท่านสอนว่ายังไง เรื่องธรรมเห็นกันอยู่ทุกผู้ทุกคน วินัยเห็นอยู่ทุกคน แล้วเอาอะไรมาอวดมาอ้างว่าตัวฉลาดยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า นอกจากฉลาดแบบเทวทัตทำลายศาสนาให้ล่มจมทั้งตัวเองไปด้วยเท่านั้นเอง จึงจะเป็นไปได้ จึงจะเป็นความจริงได้ นอกจากนั้นหาความจริงไม่ได้ แล้วเป็นยังไงพวกเราที่อยู่ที่นี่ ได้พากันสะดุดหัวใจบ้างหรือเปล่า เป็นยังไงนักปฏิบัติเรา นี่จะเป็นไปไม่นานนะเพราะมันด้านเข้าไป ๆ สิ่งที่เป็นโทษก็เห็นว่าเป็นคุณ สิ่งที่เป็นคุณก็กลายมาเป็นโทษหรือเห็นว่าไม่จำเป็นไปเสีย จะมีแต่สิ่งเหล่านี้ทำลายจิตใจทำลายพระเณรของเราให้หมดไป ๆ ศาสนาจะจม ถ้าลงอันนี้ได้เข้าในวัดในวาแล้วหมดไม่มีอะไรเหลือเลย พูดได้คำเดียวว่าหมดเท่านั้นเอง ตายทั้งเป็นก็คืออันนี้เอง ยังเหลือตั้งแต่ผ้าเหลืองเป็นประโยชน์อะไร ผ้าเหลืองในร้านตลาดอดอยากอะไร
การปฏิบัติธรรมนี้เป็นของปฏิบัติง่าย ๆ เมื่อไร พระพุทธเจ้าผู้เป็นศาสดาที่ได้ขวนขวายมาแสดงธรรมด้วยพระเมตตาแก่พวกเรานี้ยากขนาดไหน ลำบากขนาดไหนในตำรามีอยู่ ทำไมพวกเราถึงต้องเป็นอย่างนั้นได้นี่ มันเข้ากันได้หรือกับพระเมตตาและเจตนาของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนโลก กับหัวใจของเราที่กำลังจะล่มจมอยู่ด้วยสิ่งฉิบหายทั้งเป็นอย่างนี้น่ะ เอ้า พิจารณาให้ดีนะ เรื่องเหล่านี้มันจะเป็นแน่ ๆ ในวงกรรมฐานเรานี้ ไม่ต้องพูดที่อื่นแหละ จะเป็นโดยไม่อาจสงสัย ถ้าลงเป็นแล้วก็หมดจริง ๆ นี่ให้ท่านทั้งหลายได้คิดเป็นข้อฝังใจเอาไว้ และให้พากันระมัดระวังอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดไป
เราเป็นผู้ต้องการอรรถต้องการธรรม ธรรมไม่อยู่ในสถานที่เช่นนั้น เราอย่าอวดรู้อวดฉลาดว่าจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นอรรถเป็นธรรมได้ พระพุทธเจ้ายังไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นอรรถเป็นธรรม พระพุทธเจ้ายังกลัว ยังสอนให้กลัวอีก แล้วทำไมพวกเราจะกล้าเก่งกว่าศาสดาไปที่ตรงไหนอีก ถ้าไม่ขายตัวเสียจนเกินโลกเกินสงสารจนมนุษย์มีสมบัติผู้ดีฟังไม่ได้เลย โลกอันนี้ถ้าเป็นหูมนุษย์เรานี้ฟังไม่ได้เลย จะออกตัวแบบไหนก็ออกเถอะ ไม่มีหูใดที่จะฟังได้ถ้าเป็นหูมนุษย์แล้ว นอกจากหู......มันจะฟังได้เพราะมันไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร มนุษย์นี้รู้นะ เราจะหาวิธีออกตัวไปทางไหน หลักธรรมวินัยท่านสอนว่ายังไง ใครจะเก่งกว่าศาสดาในโลกนี้ เราจะไปอวดเก่งกว่าศาสดาได้หรือ ถ้าไม่ใช่ผู้ตั้งหน้าเป็นเทวทัตเต็มตัวแล้วอวดแข่งพระพุทธเจ้าโดยถ่ายเดียวเท่านั้น เราต้องพากันระมัดระวังสิ่งเหล่านี้ให้มากเพราะมันเป็นภัยโดยไม่มีแง่สงสัยเลย
จะโง่จะฉลาดก็ขอให้อยู่ในหลักธรรมหลักวินัย หลักพระหลักเณรของเราเถิด หลักปฏิบัติกรรมฐานของเรานี้เถิด ครูบาอาจารย์พาดำเนินมายังไง เอ้า ตะเกียกตะกายตามนี้ อย่าอวดดีเอาเข้ามาฟืนไฟนั้นอย่าเอามายุ่งในวงพระเณรเราเป็นอันขาด ตั้งแต่อยู่ในหัวใจของเรานี้ก็มีมากต่อมากแล้วนะ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา เผาไหม้ทั้งเป็นตลอดเวลาอยู่แล้ว เรายังกำจัดปัดเป่ามันออกไปอยู่ทุกเวลาอยู่แล้ว ยังจะไปหาเอาฟืนเอาไฟนอกลู่นอกทางของศาสดาที่ไหนเข้ามาเผาเพิ่มอีก ฉะนั้นจึงกล้าพูดว่าหมดไม่มีอะไรเหลือเลย ว่าอย่างนี้ เราพูดอย่างนี้ได้เต็มปากเลยใครจะว่าบ้าก็ว่าไป ความจริงมีอย่างนี้จะให้ว่ายังไง
ให้พากันระมัดระวังให้มากนะ โอ้โห เราสลดสังเวชมากนะกับเรื่องเหล่านี้ นี่แลเรื่องที่จะตามมา เรื่องของกิเลสไม่อ่อนข้อ มาหลายแบบหลายวิธีการดังที่ว่านี้ หลายเล่ห์หลายเหลี่ยมหลายสันหลายคม ถ้าเราผู้ปฏิบัติธรรมไม่ได้ใช้สติปัญญาพินิจพิจารณากลั่นกรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วยังไงก็ต้องจมไป เพราะกลมายาของกิเลสที่มาในประเภทต่าง ๆ โดยไม่ต้องสงสัย ฉะนั้น ให้ตั้งใจพากันพิจารณาให้มาก ๆ ไม่งั้นเสียท่าให้มันจริง ๆ ไม่มีข้อยกเว้น
อย่างหนึ่งก็ยังดีอยู่ ผมก็ยังได้แนะนำตักเตือนสั่งสอนหมู่เพื่อนเวลายังมีชีวิตอยู่ ผมตายไปแล้วเรื่องจะพลอยเสียหายไปด้วยมีอยู่ในวงกรรมฐานเรา ไม่ใช่อวด การพูดนี้พูดเพื่อผู้ที่ยังไม่รู้ไม่เข้าใจได้เข้าใจกัน เดี๋ยวจะติดร่างแหไปเสียโดยไม่รู้สึกตัว จึงแนะนำสั่งสอนเตือนไว้ให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัยมหาภัย ไม่ใช่ภัยธรรมดา ภัยมหาภัย ภัยอย่างล่มจม ในวงศาสนาพระพุทธเจ้าของเราจะเสียไปฉิบหายไปก็เพราะสิ่งเหล่านี้แลเป็นสำคัญ สำหรับนักบวชเราพระเป็นอันดับหนึ่ง เป็นหัวหน้าเขา ถ้าล่มจมก็พวกนี้เป็นผู้ล่มจมก่อน แล้วจะให้ญาติโยมเขาพึ่งอะไร ญาติโยมเขาก็พึ่งพระ พระประเภทไหนที่ควรจะอบอุ่นตายใจมันก็รู้นี่คนเรา มันควรอบอุ่นเขาก็อบอุ่น ควรเย็นใจเขาก็เย็นใจ ควรกราบควรไหว้เขาก็กราบไหว้ ความอบอุ่นนี่เป็นของสำคัญมากที่เป็นเกาะอันสำคัญให้ประชาชนญาติโยมทั้งหลายได้ยึด เราเป็นที่แน่ใจของเราเอง ประพฤติปฏิบัติ เอ้าจะทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตะเกียกตะกาย เพื่อความแก้ไขและถอดถอนสิ่งที่เป็นภัยทั้งหลาย อย่างนั้นเจ้าของก็ยังเย็นยังอบอุ่น แล้วคนอื่นเขาก็ยังพลอยอนุโมทนาด้วย
ให้พากันพินิจพิจารณานะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ผมนี่วิตกวิจารณ์เอามากจริง ๆ เพราะพระประเภทจรวดดาวเทียมมันกำลังแซงศาสนาขึ้นไปนี้มีมากนะเวลานี้ ประเภททันสมัยมีเยอะ แล้วเราจะเป็นประเภทไหนให้ตั้งปัญหาถามเรานั่นแหละดี ดีกว่าคนอื่นว่าให้ ครูบาอาจารย์พูดอย่างนี้ก็เพียงแต่ให้แง่ให้นัยให้อุบายเพื่อนำไปพินิจพิจารณาปฏิบัติต่อตัวเองให้เหมาะสมเท่านั้น การพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้พูดเพื่อจะดูถูกเหยียดหยามเพื่อจะทำลายหมู่เพื่อน แต่พูดเพื่อเป็นอรรถเป็นธรรมต่อหมู่เพื่อนเต็มหัวใจ แล้วความเสียหายจะเอามาจากช่องไหนในการแนะนำสั่งสอนอย่างนี้ ถ้าเรื่องเป็นอย่างนี้ก็ต้องฉิบหายจริงๆ จะไปไหนถ้าไม่ไปสู่ความฉิบหาย จึงต้องฉุดเอาไว้
พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนในอรรถในธรรมไล่เข้าป่าเข้าเขาเป็นที่บำเพ็ญ ที่ไหนที่สงบงบเงียบสะดวกแก่การบำเพ็ญ เพื่ออรรถเพื่อธรรมจะได้เข้าครองหัวใจ ท่านไล่เข้าไปในสถานที่นั้น ท่านไม่ได้ไล่เข้าไปหาสิ่งเหล่านี้นี่นะ เช่นตลาดเทศบาล ๑ เทศบาล ๒ เข้าไปหาเทวทัต วิดีโอ ท่านไล่เข้าไปเมื่อไร ท่านไล่หนีนี่ สถานที่ใดไม่น่าอยู่ท่านก็บอก ๆ วิธีการบำเพ็ญสมณธรรมบอกไว้หมดในธรรมทั้งหลาย เราจะไปอวดรู้อวดฉลาดแข่งพระพุทธเจ้าก็ยิ่งเลวลงไปโดยลำดับลำดาซิ
นี่ทางจงกรมสำหรับทำความเพียรก็จะไม่มีละนะในวัดต่าง ๆ น่ะเดี๋ยวนี้ ผมก็สลดสังเวชเหมือนกันนะ แล้วนานไป ๆ ทางจงกรมของพระกรรมฐานจะไม่มี จะมีแต่ชื่อว่ากรรมฐานนะ อันใดที่สอนให้กลัวมันกลับกล้าแล้วเดี๋ยวนี้ อันใดที่สอนให้กล้ามันกลับกลัวท้อถอยด้อยลง ถ้าสิ่งใดที่จะเป็นไปเพื่อฟืนเพื่อไฟเผาตัวเอง และผู้เกี่ยวข้องแล้วมันรวดเร็วไม่มีอะไรสู้แหละ อันนี้กำลังเริ่มก่อตัว นี่จึงได้พิจารณาว่า อ๋อ ศาสนาเสื่อม เสื่อมอย่างนี้เอง มันอดคิดไม่ได้เพราะรู้อยู่นี่เรื่องจะทำให้ศาสนาเสื่อม มีแต่ผลลบ ๆ อากัปกิริยาใครแสดงออกยังไง ๆ ส่วนมากมีแต่ผลลบ ๆ ผลบวกไม่ค่อยมี นั่นละผลลบนั่นคือศาสนาเสื่อม เสื่อมไปวันละเล็กละน้อยสุดท้ายก็หน้าด้าน ตัดขาดสะบั้นลงไปหมดเลยไม่มีอะไรเป็นชิ้นต่อเหลือพอเป็นดอกเป็นผลให้ได้กราบไหว้บูชาเลย นั่นเป็นอย่างนั้นนะ
เอาละเทศน์เท่านี้พอ