ผู้มาศึกษาให้ได้หลักเกณฑ์นำไปฝึกตน
วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2532 เวลา 19:00 น. ความยาว 86.37 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๒

ผู้มาศึกษาให้ได้หลักเกณฑ์นำไปฝึกตน

พระเณรที่มาจากที่ต่าง ๆ ซึ่งมารวมกันอยู่ในสถานที่นี่ หลักใหญ่ของธรรมก็คือตั้งใจมาศึกษาอบรม นี่เรียกว่าหลักธรรมประจำใจของพระผู้เข้าไปสู่สำนักนั้น ๆ อันเป็นภาคปฏิบัติ ย่อมจะมีความมุ่งหวังที่จะได้รับการศึกษาอบรมกับครูกับอาจารย์ ที่ท่านพาดำเนินโดยถูกต้องตามหลักธรรมหลักวินัย ในครั้งพุทธกาลในสำนักต่าง ๆ ส่วนมากมักจะมีท่านผู้บริสุทธิ์พุทธะโดยสิ้นเชิงภายในจิตใจ ที่เรียกว่าพระอรหันต์ เป็นหัวหน้าในการอบรมสั่งสอนและในการประพฤติปฏิบัติ

ทั้งอรรถทั้งธรรมทั้งพระวินัย เป็นไปโดยอรรถโดยธรรมล้วน ๆ เพราะออกมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นที่บรรจุแห่งธรรมทั้งหลายอยู่แล้ว กระแสของกิเลสอาสวะประเภทต่าง ๆ แม้น้อยจึงไม่มีในใจของท่าน พอที่จะให้แสลงหูแสลงตาของผู้ไปอบรมศึกษากับท่าน เพราะท่านไม่มีอะไรแล้วในภายในจิตใจ มีแต่ธรรมล้วน ๆ การแสดงออกทุกแง่ทุกมุม เราจึงสามารถที่จะยึดได้เป็นหลักใจ เพื่อการประพฤติปฏิบัติต่อไปได้เป็นอย่างดี ตามตำรับตำราท่านมีไว้อย่างนั้น

บรรดาท่านผู้มาศึกษาอาจจะไม่ได้พบได้เห็นในตำรับตำรา บางแง่บางแขนงของพระในครั้งพุทธกาลที่ท่านดำเนินกัน ท่านดำเนินอย่างใด พระพุทธเจ้าท่านสอนพระสาวกหรือพระทั้งหลายของท่าน เรียกว่าภิกษุบริษัท ท่านสอนอย่างไร เหล่านี้บางท่านก็จะไม่ได้พบได้เห็นในตำรับตำรา นี่เท่าที่ได้เคยผ่านมาตามสติกำลังความสามารถของตน ที่เกี่ยวกับการศึกษามาพอประมาณ จึงได้นำร่องรอยของท่านมาชี้แจงให้เพื่อนฝูงได้ยินได้ฟัง พอยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไว้ได้ด้วยความจริงใจ ไม่ใช่มาฟังแบบเหลาะ ๆ แหละ ๆ มาอยู่แบบไม่จริงไม่จัง สักแต่ว่ามาอย่างนั้น

ผู้มาต้องนำธรรมหรือเอาธรรมเป็นเข็มทิศทางเดิน พาให้มา พาให้อยู่ พาให้ศึกษาสำเหนียกทุกแง่ทุกมุมในบรรดาสิ่งที่จะสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อันใดก็ตาม ให้มีธรรมเป็นหลักเป็นเกณฑ์อยู่ภายในตัวนั้น

คำว่าธรรมจะหนีจากสติธรรมไปไม่ได้ ถ้าไม่มีสติธรรมย่อมขาดความจงใจ ขาดความรู้สึกในสิ่งสัมผัสทั้งหลายที่มาเกี่ยวข้องกับตน เพราะฉะนั้นสติธรรมจึงเป็นเครื่องสะกิด คือสะกิดใจของเราให้มีความรู้ในสิ่งสัมผัส คือรับรู้ในสิ่งสัมผัส จะทางตาที่ได้เห็นครูเห็นอาจารย์เพื่อนฝูงประพฤติปฏิบัติ แสดงกิริยามารยาทอย่างไร สตินั้นจะสะกิดใจของเราให้มีความรับทราบ จากนั้นปัญญาก็ตามมา ไตร่ตรองเหตุผลด้วยการประพฤติปฏิบัติตามที่ได้พิจารณาเห็นแล้วนั้น สติจึงเป็นของสำคัญ

นี่ละการอยู่จึงอยู่ด้วยธรรม มีธรรมเป็นแกน ได้แก่สติเป็นแกนอันสำคัญ ในการอยู่การไป การศึกษาอบรม ทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับสิ่งที่มาสัมผัสกับตน จะเว้นจากสตินี้ไปไม่ได้ เว้นสติหรือขาดสติเมื่อไร ก็ขาดความสืบต่อแห่งอรรถแห่งธรรมภายในจิตใจ ที่จะพึงได้รับผลรับประโยชน์ ในขณะเดียวกันสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาก็แทรกเข้ามา พวกเราส่วนมากมีแต่เรื่องแทรกเข้ามา หนุนเข้ามาของข้าศึกทั้งหลาย ทั้งมาจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางใดก็ตาม เมื่อขาดสติแล้วย่อมเป็นที่ไหลมาแห่งสิ่งไม่พึงปรารถนาทั้งหลายทั้งนั้น

เพราะภายในจิตใจของเรานี้ถ้าเป็นน้ำก็เต็มด้วยน้ำ แต่เป็นน้ำที่สกปรกอัดแน่นอยู่ภายในจิตใจ เวลาซึมซาบออกไปไหลไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็ซึมซาบออกไปด้วยน้ำที่สกปรก ถ้าเผลอมาก ๆ เข้าไปก็ไหลไปได้เลย คือความอยากของจิต ซึ่งเป็นพื้นฐานอยู่ภายในจิตใจเป็นปกติอยู่แล้ว ย่อมเตรียมที่จะไหลออกตามทวารต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่นตาได้เห็น ถ้าไม่มีสติแล้วกิเลสภายในนี้ ออกไปกว้านเอาสิ่งที่เป็นคู่เคียงของกันและกันเข้ามาสู่ภายในใจของตน ให้เพิ่มความมีอยู่ของกิเลสนั้นเข้าไปอีกเรื่อย ๆ ไม่ว่าทางหู ทางตา ทางจมูก ในการสัมผัสสัมพันธ์สิ่งต่าง ๆ

น้ำสกปรกที่อยู่ภายในนี้จะไหลซึม ออกไปสู่สิ่งภายนอกซึ่งเป็นคู่เคียงของกัน เช่น ตาเห็นรูปเป็นอย่างไร ความหมายจะขึ้นทันทีจากรูปนั้นอันเป็นต้นเหตุให้เห็น แล้วก็ตีความหมายขึ้นมาอันเป็นทางของกิเลสความสกปรกนั้นแล ว่ารูปสวยรูปงาม เสียงไพเราะเพราะพริ้ง เรื่องราวอันใดก็ตามโดยหลักธรรมชาติจะเป็นเรื่องของกิเลส ไปจับจองไว้ก่อนเสียทั้งนั้น โดยที่เราก็ไม่รู้สึกตัวเลยว่ากิเลสออกไปจับจองไว้แล้ว ๆ เพราะมันอัดแน่นอยู่ภายในจิตใจหาทางออกอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อหาทางออกกับการกว้านเข้ามาแห่งสิ่งที่เป็นข้าศึกด้วยกันก็เข้ากันได้ง่าย เข้ามาได้อย่างง่ายดาย นี่ถ้าขาดสติเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นการมาศึกษาต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณา ถ้าต้องการจะได้อรรถได้ธรรมได้วินัย ได้ข้อคิดที่เป็นอรรถเป็นธรรม ไปเป็นคติเครื่องเตือนใจสอนใจตนเองไปในวันข้างหน้า นับแต่ปัจจุบันนี้เป็นต้นไป ให้ได้หลักได้เกณฑ์ ก็ต้องเป็นผู้มาศึกษาด้วยความจริงจัง คือความมีสติจดจ่อต่อเนื่องกันอยู่โดยสม่ำเสมอ นี้แลชื่อว่าการมาศึกษา

อันเรื่องการมาศึกษานี้มีอยู่มากมาย ครูบาอาจารย์องค์ใดที่ปรากฏชื่อลือนาม มักจะมีพระเณรมากมายก่ายกองหลั่งไหลเข้าไปหาท่าน แต่การศึกษานั้นไม่ทราบว่าตั้งใจศึกษามากน้อยเพียงไร อันนี้เป็นสิ่งที่สังเกตได้ยาก

สิ่งที่จะพอสังเกตได้ในวาระต่อไปก็คือ ถ้าการไปศึกษาอบรมกับท่านด้วยความจงใจตั้งใจ เพื่อเอาหลักธรรมหลักวินัยมาเป็นเครื่องดำเนินของตนเป็นหลักใจของตนจริง ๆ แล้ว ผู้ไปศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์องค์นั้น ๆ มีจำนวนไม่น้อยเลย แต่ไม่ค่อยปรากฏความดี ดังที่ครูบาอาจารย์ประสิทธิ์ประสาทธรรมทั้งหลายให้มาประพฤติปฏิบัติ เพื่อเป็นเครื่องประดับกายวาจาใจความประพฤติของตน ให้ดีและดีเด่นเป็นลำดับลำดา ถึงกับการทรงตัวได้ และสามารถที่จะทำประโยชน์ ให้โลกได้รับความเชื่อความเลื่อมใส ให้โลกได้รับความร่มเย็น เพราะการศึกษามาแล้วปฏิบัติตาม ถึงกับเป็นสมบัติของตนแล้วแจกจ่ายแก่ประชาชนทั้งหลาย ส่วนมากไม่ค่อยปรากฏ

นี่ก็พอมองเห็นกันได้ชัด ๆ ว่าการไปศึกษาอบรมกับท่านนั้น ไม่เป็นไปเท่าที่ควรและไม่เป็นไปตามนั้น ให้ท่านทั้งหลายทราบเอาไว้ในข้อเหล่านี้ ย่อมมาพาดพิงกับเราทั้งหลาย ที่มาฟังการอบรมอยู่เวลานี้ด้วยกันทุกรูปทุกนาม นับแต่ผมลงไปก็เคยได้รับการศึกษาอย่างนี้กับครูบาอาจารย์เช่นเดียวกัน จึงไม่มีข้อยกเว้นในสังฆมณฑลของเราเวลานี้ ให้ท่านทั้งหลายได้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์

เท่าที่ให้โอวาทสั่งสอนเพื่อนฝูงมานี้ ก็นับว่าได้ถอดออกมาด้วยความจงใจ ที่เต็มไปด้วยเมตตาความสงสารต่อหมู่ต่อเพื่อน เพราะเห็นแก่ใจของเราเป็นพื้นฐานอันสำคัญ ที่ได้เสาะแสวงหาครูหาอาจารย์มาก่อนเพื่อนฝูงแล้ว เป็นอย่างไรการเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์นี้ยากนักยากหนา ยิ่งกว่าการเสาะแสวงหาเงินหาทองเพชรนิลจินดาเป็นไหน ๆ ที่ว่าสมบัติของโลกมีอันใดที่มีคุณค่ามาก ที่โลกนิยมกันว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าน่ายินดี ก็ไม่เสาะแสวงหายากเหมือนเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ ผู้ทรงอรรถทรงธรรมตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ และเป็นเจ้าของแห่งธรรมทั้งหลายเหล่านั้น แล้วมาสอนลูกศิษย์ลูกหาด้วยความถูกต้องแม่นยำ

ครูบาอาจารย์ประเภทนี้เป็นครูบาอาจารย์ที่หายากมากเรื่อยมา ยิ่งสมัยปัจจุบันนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งจะหายากเข้าไปโดยลำดับ ถ้าเราไม่รีบเร่งขวนขวายอุตส่าห์พยายามประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นหลักเกณฑ์ของตัวเป็นลำดับไป ในขณะที่ได้รับการอบรมศึกษาจากครูอาจารย์เวลานี้แล้ว จะหาหลักหาเกณฑ์ยึดไม่ได้

เมื่อเราก็ไม่มีหลักเกณฑ์ เพื่อนฝูงที่มาศึกษาอบรมด้วยกันก็ไม่มีหลักเกณฑ์ ต่างคนต่างไม่มีหลัก ไม่สมกับเจตนาที่เข้ามาศึกษาอบรมกับครูบาอาจารย์ เมื่อแยกย้ายไปสู่สถานที่ของตน ๆ แล้วก็ต่างคนต่างไปอยู่สถานที่ไม่มีหลักของพระของเราไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์แล้ว จะให้เป็นที่อบอุ่นเย็นใจของตัวและประชาชนญาติโยมที่มาเกี่ยวข้องหวังพึ่งพิงได้อย่างไร นี่เป็นข้อที่พวกเราทั้งหลายควรคิดให้มาก

ความทุกข์ความยากความลำบากในการศึกษาอบรมนั้น ทราบแล้วว่ากิเลสเป็นสิ่งที่บีบบังคับหัวใจของเราอยู่ทุกเวล่ำเวลา การดีดการดิ้นการฝืนที่จะหลุดลอยออกจากอำนาจของมันนั้น จะให้เป็นของง่ายของธรรมดานั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักธรรมชาติคือกิเลสนี้เคยครองอำนาจ เรืองอำนาจ เป็นมหาอำนาจภายในจิตใจของสัตว์โลกมีเราเป็นสำคัญ มานานสักเท่าไรแล้ว เหตุใดจึงต้องมาหลุดลอยจากใจเอาอย่างง่ายดาย พอหลับไปเท่านั้นก็เผลอตัว แล้วให้ธรรมะเข้าไปตีแหลกแตกกระจายพังลงจากจิตใจ กลายเป็นพระอรหันต์ผู้บริสุทธิ์ขึ้นมาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ไม่เคยมีมาตั้งแต่กาลไหน ๆ

เพราะกิเลสเป็นเจ้าอำนาจ กิเลสเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดแหลมคมมาก เกินกว่าโลกทั้งหลายจะรู้เท่าทันและดิ้นหลุดลอยออกไปจากมันได้ ถ้าไม่มีอุบายวิธีการจากท่านจอมปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ตลอดถึงครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ได้ผ่านพ้นเรื่องเหล่านี้ไปแล้ว ด้วยความฉลาดแหลมคมในปฏิปทาของท่าน มาแนะนำสั่งสอนเรา ให้ได้ยึดหลักเกณฑ์อันนี้ไปปฏิบัติ ต่อสิ่งที่แหลมคมอันนี้ ที่เป็นมหาอำนาจนี้ จะไม่มีวันหลุดลอยไปได้เลย ขอให้ท่านทั้งหลายจำไว้อย่างถึงใจ

พอเอะอะที่จะประกอบความพากเพียร ความเห็นว่ายากว่าลำบากอันเป็นกลอุบายของกิเลสนั้นแทรกเข้ามาแล้ว เราไม่รู้ว่าเป็นกลอุบายของกิเลส ที่แทรกเข้ามาจากความฉลาดแหลมคมของมัน เป็นอย่างนี้สำหรับปุถุชนเรา ต้องเสียเปรียบให้กิเลสเรื่อยไปโดยไม่รู้สึกตัว

ฟังซิว่าจิตดวงใดวิญญาณดวงใดในสามแดนโลกธาตุนี้ ได้เหนืออำนาจหรือหลุดลอยสลัดตัวออกไปจากมัน โดยไม่ต้องอาศัยอรรถธรรมของจอมปราชญ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น มาเป็นเครื่องบุกเบิกฟาดฟันสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ให้แตกกระจายไปก่อนแล้วถึงหลุดลอยไปได้อย่างนั้นไม่มี จะต้องเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป แม้แต่เราได้เครื่องมือที่สำคัญจากธรรมของพระพุทธเจ้าแล้วเอามาปฏิบัติ ยังไม่รู้จักวิธีที่จะสับจะฟันจะตบจะต่อย ด้วยเครื่องมืออันนั้นให้กิเลสแตกกระจายไป ยังต้องอาศัยครูอาศัยอาจารย์เป็นผู้พาดำเนิน

นอกจากอาศัยครูอาศัยอาจารย์คอยแนะนำพร่ำสอนเราให้รู้อุบายต่างๆ แล้ว เวลาเรานำไปปฏิบัติโดยลำพังเราเอง ยังต้องเสียท่าเสียทีให้กิเลสอยู่ในอิริยาบถต่าง ๆ ในความคิดในความเคลื่อนไหวของใจแง่ต่าง ๆ โดยไม่อาจสงสัย มีอยู่ตลอดเวลา เราไม่พ้นที่มันจะไม่ครอบหัวใจของเรา

ไปเดินจงกรมก็ไปเผลอให้มันสับมันฟันอยู่ในทางจงกรมเสีย ด้วยความไม่มีสติไม่มีปัญญา นั่งสมาธิก็เผลออยู่ในการนั่งนั้นเสีย ให้มันตบมันต่อยมันทุบมันตีเอาด้วยความฉลาดแหลมคมของมัน ถึงกับหลับในขณะที่นั่งภาวนามีเยอะนักปฏิบัติของเรา นั่นเป็นยังไงความเสียท่าให้กิเลสของเรา เอาให้เห็นอย่างเด่นชัด ๆ อย่างเด่น ๆ ชัด ๆ นี้แหละ ไม่ว่าจะยืน ไม่ว่าจะเดิน ไม่ว่าจะนอนภาวนา มีแต่ท่ากิเลสสับฟันจากความไม่มีสติของตัวเป็นพื้นฐานสำคัญทั้งนั้น

นี่ละที่ว่าเราเรียนก็เรียน ฟังก็ฟังจากครูจากอาจารย์ บรรดาอุบายต่าง ๆ ที่จะนำมาปฏิบัติต่อกิเลสทั้งหลาย แต่เวลาไปปฏิบัตินั้นไม่ทันมันนั่นซิ คว้าไม่ทัน อาวุธที่ท่านเคยสังหารกิเลสให้หมอบราบมามากต่อมากแล้ว ไม่มีอะไรเกินธรรมาวุธ เวลาเรานำมาใช้ก็เป็นอาหารว่างของมันไปเสีย อาวุธของเราที่ว่าเด่น ๆ นั้นแหละ มันนำไปเป็นอาหารว่างจิ้มน้ำพริกไปหมด ถือเราเป็นอาหารไปเสียทั้งสิ้น แล้วเราจะหวังเอามรรคผลนิพพานที่ไหน ถ้าไม่ได้พยายามตั้งใจของตนไว้ตลอดเวลา

ไม่ว่าอิริยาบถใด ยืน เดิน นั่ง นอน อย่างน้อยให้มีสติประจำหน้าที่ของตน หรือมีสติประจำตัวที่เรียกว่าสัมปชัญญะ เฉพาะอย่างยิ่งมีสติประจำความรู้สึกนั้นละสำคัญมาก จะปรุงออกจากใจนั้นแล เพราะกิเลสอยู่ที่ใจ ร่างกายนี้เป็นเรือนร่างของใจเท่านั้น ไม่ใช่เป็นสถานที่อยู่ของกิเลสโดยตรง แต่เป็นธรรมชาติที่เสริมกิเลสได้ ในบรรดาขันธ์ของเรานี้เป็นเครื่องมือเสริมกิเลสได้แต่ไม่ใช่เป็นกิเลส กิเลสจริง ๆ อยู่ที่ใจ กระดิกพลิกแพลงในแง่ใดมุมใดจะปรากฏขึ้นที่ใจ ถ้ามีสติเราก็ทราบ

การมีสติ ฝึกหัดตนให้มีสตินี้มีหลายแง่หลายทาง ดังที่ผมได้เคยอธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังแล้ว และในสำนักนี้ได้ปฏิบัติกันเรื่อยมามิได้ขาด ก็คือการผ่อนอาหาร เป็นสิ่งที่เด่นชัดอยู่มากในการฝึกการทรมาน เพื่อสติสตังของตนจะได้ปรากฏขึ้นในหัวใจของเรา และเป็นเจ้าของรักษาใจได้พอประมาณและรักษาใจได้ดี ก็คือวิธีการอย่างนี้เป็นส่วนมาก

ท่านจึงสอนไว้หลายวิธี เช่น เนสัชชิ การอดนอนก็อดนอนเพื่อความเพียร เพียรในท่าอิริยาบถทั้งสามคือ ยืน เดิน นั่ง ทั้ง ๆ ที่เราตั้งสติสตังที่เรียกว่าความเพียรอยู่นั่นแล แล้วผลเป็นอย่างไรบ้างนี่เรามาทดสอบเรา ผ่อนอาหารด้วยความเพียรของเราเป็นยังไง ผลปรากฏอย่างไรบ้าง อดอาหารมากน้อยคือหลายวันหรือน้อยวัน เป็นอย่างไรบ้างในวงความเพียรของเรา เฉพาะอย่างยิ่งสติจะเด่นกว่าเพื่อน ก่อนอื่นสติจะเด่น เมื่อสติเด่นแล้วความเคลื่อนไหวของใจก็จะทราบ ว่าเคลื่อนไหวไปในทางใดถ้ามีสติ นี่เป็นหลักสำคัญ

นี่ได้เคยฟัดเคยเหวี่ยงกันมาแล้ว จนถึงกับว่าลืมไม่ได้เลย ในบรรดาความเพียรทั้งหลายที่ทุกข์ยากลำบากเพราะการฝึกทรมานตน ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากทำก็ต้องได้ทำ ไม่อยากทุกข์ ถ้าพูดถึงว่าเข็ดหลาบมันน่าเข็ดที่สุดแล้ว เข็ดแบบใจหายเลย

แต่ความที่ว่าจะเอา รกก็รก ทางไปตรงนี้ก็ต้องไป เป็นหลุมเป็นบ่อก็ต้องผ่านไปตรงนั้น ขรุขระก็ต้องผ่านไป คดโค้งก็ต้องผ่านไป ตรงก็ต้องผ่านไป ยากลำบากอะไรก็ตามต้องผ่านไปด้วยความเพียรประเภทนั้น ๆ เมื่อถึงคราวที่จะต่อสู้กันแล้ว จึงเอาความเข็ดหลาบเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ได้ เพราะนั้นเป็นเรื่องกลมายาของกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ต้องทุกข์

เราพยายามตั้งสติอยู่ ไม่ได้หน้าได้หลังอะไรเลย พอตั้งพับล้มผล็อย ๆ ไม่ทันการณ์ กิเลสออกเพ่นพ่านตีตลาดต่อหน้าต่อตาเราให้เห็นอยู่อย่างชัด ๆ ทำไมผู้ตั้งใจจะฆ่ากิเลสจะไม่เคียดไม่แค้นมีอย่างเหรอ ความเคียดแค้นประเภทนี้เป็นความเคียดแค้นของมรรค ที่จะต่อสู้กับกิเลสให้หนักมือยิ่งกว่านี้ขึ้นไป ให้พากันจำเอาไว้

ด้วยเหตุนี้แหละการฝึกการทรมานตนจึงต้องได้ใช้หลายวิธี เราอย่าไปคิดว่าเราได้ทำมามากมานานแล้ว มันจะประมวลเอาความเข็ดหลาบเข้ามาปิดกั้นหัวใจให้ก้าวเดินไม่ได้ ปิดกั้นปฏิปทาที่เคยได้ผลให้ก้าวเดินไม่ได้ แล้วไม่เกิดผลอะไรเลย จะล้มเหลวไปได้ให้ระมัดระวัง

มันจะยากขนาดไหนก็ตามให้พึงคิดว่า กิเลสอยู่บนหัวใจนี้ทุกข์มากขนาดไหนนานขนาดไหนไม่มีประมาณเลย กับที่เราทุกข์ลำบากในเวลาต่อสู้กับกิเลสนี้ ซึ่งมีขอบมีเขตมีเวล่ำเวลา อันไหนมีน้ำหนัก อันไหนหนักมากกว่ากัน เอามาเทียบกันแล้ว ก็ต้องทางการต่อสู้กับกิเลสนี้แลเบากว่ากันอยู่มากมาย

เอ้า ทุกข์เพราะการต่อสู้กิเลสยอมทุกข์ ดีกว่าที่เราจะทนแบกหามกองทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติอันหาประมาณไม่ได้นี้ คือไม่มีเวล่ำเวลา ไม่มีกาลสถานที่ หมุนตัวไปอยู่ด้วยความทุกข์ ๆ เพราะความเกิดแก่เจ็บตาย ๆ อยู่อย่างนี้มาตั้งแต่เมื่อไร แล้วยังจะต้องทนหมุนไปอีก เพราะความกลัวทุกข์ในการประกอบความพากเพียรนี้ ให้ยกเข้ามาเทียบกัน

ผู้ปฏิบัติจะต้องได้ใช้ความพินิจพิจารณา เพราะกิเลสนี่ไม่มีอะไรจะละเอียดแหลมคมเกิน ในสามแดนโลกธาตุนี้ยกให้กิเลสเป็นเจ้าอำนาจบาตรหลวงที่สุด สัตว์ทั้งหลายจึงได้ยอมจำนน ทุกแง่ทุกมุมของกิเลสที่แสดงตัวออกไปไม่ให้สัตว์ทั้งหลายได้รู้เลยว่า เป็นกลของมันอุบายของมันให้ได้รับความทุกข์ แล้วเป็นความเข็ดหลาบต่อกิเลสประเภทนั้น ๆ อย่างนี้ไม่มี

เพราะมันละเอียดแหลมคมเข้าไปทุกอนุกระเบียด ก็ยังว่ามันยังไม่ละเอียด มันยิ่งเข้าไปกว่านั้นอีก ความฝังจมอยู่ในนั้นก็คือกิเลส ไม่แสดงก็คือกิเลส เมื่อมีอยู่แล้วก็คือกิเลส อยู่ภายในจิตใจมันจะต้องสุมหัวใจของเราเหมือนไฟไหม้กองแกลบนี้แล ไม่มากก็น้อยต้องเป็นอยู่นั้น นี่คือความทุกข์เพราะกิเลส

การต่อสู้กับกิเลสหนักเบามากน้อย เป็นแนวทางของผู้ที่จะดีดจะดิ้นให้หลุดพ้นจากกิเลส จึงไม่ถือว่าเป็นความทุกข์ความลำบากอันใด นอกจากว่าจะเอากิเลสให้บรรลัยลงไปเสียได้ครองบรมสุขนี้เท่านั้น เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ทั้งหลายต้องการอย่างถึงใจ ให้ท่านทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติอย่างนี้

การรบกับกิเลสจะทำเป็นเล่น ๆ เหมือนสิ่งทั้งหลายไม่ได้นะ เพราะกิเลสนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดมาก ไม่มีอะไรจะคาดจะคิดได้เลย คาดไม่ได้คาดเรื่องกิเลส จะเป็นเรื่องใดก็ตาม อยู่เฉย ๆ เราก็ยังไม่รู้ว่าเรามีกิเลสฟังซิ แสดงออกมาก็ยังไม่รู้ว่ากิเลสของตัวแสดง จะแสดงออกมาแง่ใดมุมใดเราไม่เคยทราบเลยว่ากิเลสของเราแสดง ถ้าเรามีทางทราบบ้างว่ากิเลสของเราแสดงแล้ว ทำไมจะไม่เห็นโทษของมัน ๆ ทำไมจะไม่แก้มัน แก้ไม้นี้แก้ไม้นั้น แก้เพลงนี้แก้เพลงนั้น แก้อุบายนี้แก้อุบายนั้นอยู่โดยลำดับลำดา มันก็ต้องอ่อนข้อลงไปทุกวัน ๆ แต่นี้มันไม่ทราบนั่นซีเป็นของสำคัญ

ขอให้ได้ดำเนินไปสู่ธรรมที่เหนือกิเลสเถอะยังไงก็ปิดไม่อยู่ จะทราบหมดความละเอียดแหลมคมของกิเลส ในขณะเดียวกันก็จะได้เทิดทูนธรรมทั้งหลาย มีสติธรรมปัญญาธรรมเป็นสำคัญมากในวงความเพียรว่าเป็นเลิศ อันนี้แลสามารถที่จะหยั่งทราบในความเคลื่อนไหว หรือแม้แต่ฝังอยู่ภายในจิตใจไม่แสดงตัวออกมาเลย สติปัญญาประเภทนี้ก็ทราบ เป็นแต่เพียงว่ายังฆ่ากันไม่หมดพูดง่าย ๆ ว่างั้น เหมือนว่าไฟไหม้ลงไป เชื้อนั้นยังไม่ถูกไฟไหม้ก็ตาม แต่ยังไงก็จะไหม้ ก็ทราบอยู่แล้วว่านั่นคือเชื้อไฟ ไฟก็จะต้องเผาไปตรงนั้น ๆ เป็นแน่นอน

นี่ก็เหมือนกันปัญญาก็ทราบอยู่ว่านี้ก็คือกิเลส ที่นิ่งอยู่ภายในจิตนี้ก็คือกิเลส จมอยู่ภายในจิตนี้ก็คือกิเลส นอกจากกิเลสประเภทต่าง ๆ ที่ถูกทำลายไปแล้ว ที่ยังไม่ถูกทำลายก็คือกิเลส รู้ด้วยปัญญาอยู่เช่นนั้น นั่นจึงเรียกว่าธรรมที่เหนือกิเลส เมื่อถึงขั้นธรรมที่เหนือกิเลสแล้วอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าพระสาวกอรหัตอรหันต์ท่าน จะโค่นกิเลสลงจากพระทัยและลงจากใจไม่ได้เลย

เพราะธรรมชาตินี้เหนียวที่สุด ไม่มีอันใดที่จะนำมาแก้อันนี้ได้นอกจากธรรมอย่างเดียวเท่านั้น อันเรื่องของโลกนี้เอามาอุบายใดก็เอามาเถอะ เป็นอุบายที่ผลิตขึ้นมาจากกิเลสหรือกิเลสผลิตให้ทั้งนั้น ๆ แล้วจะเอามาฆ่ากิเลสได้ลงคอแล้วหรือ กิเลสมันจะยอมให้ฆ่าหรือ นอกจากมันจะเอาเครื่องมือที่มันผลิตขึ้นมานั้น ฆ่าเรามาโดยลำดับดังที่เป็นมาอยู่แล้วนี้

ท่านผู้มาศึกษาให้ยึดในหลักธรรมทั้งหลายไว้ การไปการมาการสัมผัสสัมพันธ์ซึ่งกันและกันก็ให้ดู ดูตลอดเวลาเพื่อเป็นคติ และที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ให้รู้กิเลสของตัวเองด้วยสติของเราเองนั่นแหละ มันแสดงออกในอากัปกิริยาใด ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นออกแซงหน้า ๆ ธรรมไม่ทันแหละ ให้รู้อันนี้เอาไว้

ส่วนอุบายวิธีการฝึกทรมานก็ดังที่อธิบายมาแล้วนี้ อันใดที่เห็นว่าได้ผลได้ประโยชน์มันหากเป็นเครื่องบังคับอยู่ในตัว ทั้ง ๆ ที่เราไม่อยากทำก็จำต้องทำ เพราะทางเดินไปแถวนี้ เพราะทางฆ่ากิเลสไปทางสายนี้ เครื่องสังหารกิเลสคือเครื่องนี้ ได้แก่สติปัญญานี้ อุบายนี้ วิธีการนี้ ต้องได้นำมาใช้ ทุกข์ยากลำบากก็ต้องได้นำมาใช้อยู่นั้นแล นี่ละผู้ปฏิบัติจึงต้องได้สังเกตตัวเอง

การปฏิบัติหนักเบามากน้อยนั้น เป็นเรื่องปฏิปทาของแต่ละนิสัย คือแต่ละจริตนิสัยที่มีความหนาบางต่างกัน หรือมีความแปลกต่างกันไปในจริตนิสัย แล้วแต่ผู้ที่จะนำมาใช้ได้ผลประการใด นั้นแลคือปฏิปทาที่ชอบธรรมของเรา เรียกว่ามัชฌิมาคือความพอเหมาะพอดี ในการชำระกิเลสหรือการฆ่ากิเลส การสังหารกิเลสของเราด้วยวิธีการอันนั้น แม้จะเผ็ดร้อนขนาดไหนนั้นก็คือมัชฌิมา พอเหมาะพอดีกับกิเลสของเราประเภทนั้น ๆ อย่างนี้ผู้ปฏิบัติจึงจะทราบ ว่ามัชฌิมาปฏิปทาท่านดำเนินอย่างไรในครั้งพุทธกาล เพราะมีหลายประเภท หลายจริตนิสัยของคนเราหรือของพระของเณรเรา

อย่างครั้งพุทธกาล ส่วนมากที่เป็นผู้มีอุปนิสัย สามารถที่จะบรรลุธรรมได้อย่างรวดเร็วนั้น ท่านพิจารณาแย็บเดียว เช่นเพียงจรดมีดโกนลงบนศีรษะ โกนผม-ผมร่วงลงมาเท่านั้น ท่านพิจารณาก็ได้บรรลุอรหัตธรรมแล้ว นี่ก็คือมัชฌิมาของท่าน ผู้มีอุปนิสัยสามารถขนาดนี้ มัชฌิมาของท่านก็ใช้อย่างนั้น แล้วสำเร็จไปได้ทันท่วงที นี่ไม่เรียกว่ามัชฌิมาจะเรียกว่ายังไง กิเลสพังลงไปในขณะนั้น ได้สำเร็จเป็นอรหัตบุคคลขึ้นมาในเวลานั้น ก็เป็นมัชฌิมาของท่าน

แต่เราจะนำเอามัชฌิมาของท่านมาใช้เป็นมัชฌิมาของเรา ซึ่งมีความหนาแน่นด้วยกิเลสมากกว่าท่าน ก็ใช้ไม่ได้ ไม่ถูก เราต้องแยกต้องแยะเอามาใช้

ผู้ที่หนักว่านั้นก็ต้องมีมัชฌิมาหนักกว่านั้น ผู้กิเลสหนากว่านั้นก็ต้องเอาหนักกว่านั้น อย่างพวกเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ไม่ทราบว่าหนาหรือบาง เพราะหมดหัวใจเรามีแต่กิเลส ยืนเดินนั่งนอนมีแต่กิเลสเต็มหัวใจ ๆ กิริยาท่าทางแสดงออกในแง่ใดมุมใดมีแต่กิเลสเต็มหัวใจ ๆ สติปัญญาไม่มีเลยนี้ เราจะเอาแบบไหนมาเป็นมัชฌิมาของเรา

แบบให้มันลากไปแบบถลอกปอกเปิก จนจะไม่มีเนื้อมีหนังติดตัวนั้นหรือเป็นมัชฌิมาของเรา นั้นเป็นมัชฌิมาของกิเลสเหมาะแล้วกับสัตว์ประเภทนี้ คนประเภทนี้ พระประเภทนี้ ต้องลากต้องถูต้องเข็นต้องทรมานกันอย่างนี้ถึงจะได้รู้สึกตัวบ้าง เวลานี้สติมีหรือยัง มันอยากจะถามอย่างนั้นอีกทีหนึ่ง หนังของเธอไม่มีแล้วนะเวลานี้ถูกถลอกปอกเปิก เพราะได้ลากได้ถูไปลากไป ตื่นแล้วยังมันอยากถามว่าอย่างนั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเราจะเอามัชฌิมาข้อไหนมาใช้ เมื่อกิเลสมันถูมันไถไปต่อหน้าต่อตา เราต้องเอามัชฌิมาที่เด็ดซิ ต้องเด็ดต้องเฉียบขาด วิธีการใดที่จะทันกิเลสมันลากมันถูเอาไปนี้ วิธีนั้นต้องนำมาทันที นั้นแลคือมัชฌิมาเพื่อฆ่ากิเลสประเภทนี้ ที่จะสังหารกันได้ลง เอาประเภทอื่นมาใช้ไม่ได้ เราต้องรู้อย่างนั้นซิ

คำว่ามัชฌิมาในตัวของเราคนเดียวนั้นแหละ ในขณะนี้ที่จะควรใช้ความเพียรเผ็ดร้อนประการใด ความเพียรที่เผ็ดร้อนประการนั้นได้ผลเพราะกิเลสยุบยอบลงไป นี้ก็เป็นมัชฌิมาของเราได้ผลเช่นนี้ เราก็ต้องพยายามทำลงไปให้หนักมือ ๆ นี่เรียกว่าเป็นความเหมาะสมสำหรับจริตนิสัยของตน และรู้นิสัยของตนที่จะฝึกจะทรมานอย่างไรกับกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่ในหัวใจของตน เราก็ต้องได้ปฏิบัติอย่างนั้น ปฏิบัติอย่างอื่นไม่ได้

ที่นี่ถึงขั้นที่จิตมีความสงบเยือกเย็น เราก็ใช้วิธีหนึ่งอีก จิตเป็นสมาธิมีความเยือกเย็น ทีแรกไม่เป็นสมาธิ บีบบังคับเข้าใส่ เช่นยกตัวอย่าง คำบริกรรมให้เผลอไม่ได้ ว่าอย่างนั้น ตายก็ตาย โลกอันนี้เหมือนไม่มีอะไรเลย มีแต่คำบริกรรมกับความรู้ที่เด่นชัดอยู่กับกันเท่านั้น เอ้า เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางคำบริกรรมอันนี้ จะให้รู้อยู่นี้ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย นี่ก็เป็นมัชฌิมาอันหนึ่งในธรรมขั้นนี้ จนกระทั่งจิตสงบได้

หรือมันยังจะชอบคิดไปในทางไหนอีก เอ้า ตาม-ตามด้วยปัญญาที่เรียกว่าปัญญาอบรมสมาธิ ตีต้อนเข้ามาจนกระทั่งมันจนตรอกจนมุมแล้วเข้าสู่ความสงบ นี้ก็เป็นมัชฌิมาประเภทหนึ่งที่เราจะใช้กับตัวของเราเป็นขั้น ๆ

เมื่อจิตมีความสงบเยือกเย็นแล้วเห็นผลแล้วเวลานี้ แล้วเราจะนำธรรมประเภทใดที่จะทำจิตหรือเสริมจิตของเราให้มีความสงบมากยิ่งกว่านี้ขึ้นไป นอกจากนั้นก็จะใช้ปัญญาที่จะให้เหมาะสมกับคำว่ามัชฌิมาของปัญญาอีกขั้นหนึ่ง เรื่องสตินั้นเป็นพื้นฐานปล่อยไม่ได้เลย เป็นพื้นฐานอยู่เช่นนั้น นี่เราก็ต้องนำมาใช้ นี่ละท่านว่ามัชฌิมา ให้เป็นผู้ปฏิบัตินั้นแลเราปฏิบัติเองนั้นแล เราจะทราบคำว่ามัชฌิมาปฏิปทาของพระพุทธเจ้า ว่าเดินทางสายกลางมันกลางยังไง มัชฌิมาปฏิปทาคือทางสายกลาง เดินทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก แล้วกิเลสมันเป็นทางสายกลางของมันอยู่อย่างนั้นแล้ว กลางของกิเลสนั้นเป็นกิเลสวันยังค่ำคืนยังรุ่งก็เรียกว่ากลางอันหนึ่ง

ความหนักความแน่นของกิเลสประเภทต่าง ๆ ก็เหมือนคลื่นในทะเล มันไม่ได้เรียบได้ราบอยู่ตลอดเวลาที่ไม่มีลมแตะต้องผิวน้ำทะเล เวลามีลมมามากขนาดไหน คลื่นมันจะขึ้นท่วมเมฆนั่นว่าไง นี่เวลากิเลสมันกระทบคลื่นเข้ามามีอาหารเข้ามาอยู่มากิน ได้กระทบทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส หรือเรื่องราวต่าง ๆ แล้ว อารมณ์ของกิเลสมันจะขึ้น นี่เรียกว่าลม เมื่อคลื่นกระทบก็กระทบหัวใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะใช้มัชฌิมาแบบไหนบังคับจิตใจที่เป็นคลื่นใหญ่ ๆ อย่างนี้ นี่ก็ต้องมีมัชฌิมาของธรรมเข้าอีก

นี่ละกิเลสมันมีหลายคลื่นหลายประเภทหลายอย่างหลายประการ เราจะนำแต่มัชฌิมาปฏิปทาเดินทางสายกลาง ๆ มาใช้ไม่ได้ เราต้องรู้ว่าชนิดไหนที่เหมาะ ธรรมประเภทใดเหมาะกับการชำระหรือเหมาะกับการสังหารกิเลส เราต้องได้นำมาใช้ นี่ละผู้ปฏิบัติจะเป็นการศึกษาเล่าเรียนความผิดถูกชั่วดีไปในตัว จะเป็นครูเป็นอาจารย์ไปในตัวของเราเอง ถ้าเป็นนักสังเกตสอดรู้ในปฏิปทาเครื่องดำเนินของตนแล้วจะต้องทราบ นอกจากกินไปนอนไปทำไปหลับไปเคลิ้มไปฝันไปละเมอไปทั้งที่นั่งภาวนาอยู่นั้น อย่างนั้นกระทั่งวันตายก็ไม่ได้ผลได้ประโยชน์อะไรเลย

เราอย่าไปคาดไปคิดเอามรรคผลนิพพาน นอกจากเหตุที่แม่นยำในการทำความเพียรของเรานี้เท่านั้น นั่นละเหตุ ต้นเหตุคือความเพียรแม่นยำ มีสติสตังเป็นเครื่องกำกับรักษาตน นี่แหละเรียกว่าเป็นธรรมประกันที่จะให้เข้าสู่ อย่างน้อยแดนแห่งความสงบคือสมาธิ จากนั้นก็ให้ใช้ปัญญา เรื่องความสงบมีสงบในขั้นใดแล้ว พอจิตอิ่มอารมณ์พอประมาณ ไม่เถลไถลเร่ร่อนด้วยความหิวความโหยกับอารมณ์ต่าง ๆ แล้ว ให้นำจิตนี้ออกสู่ปัญญา พินิจพิจารณาใคร่ครวญในร่างกายของเรา ร่างกายอันใดก็ตาม สิ่งใดก็ตาม ให้พิจารณาแยกแยะเป็นเรื่องของปัญญาคือความแยบคาย

พิจารณาค้นดูสกลกาย มันก็เป็นกองวิปัสสนาอยู่แล้วในหลักธรรมชาติของสิ่งนี้ตามความเป็นจริงของมัน มีสิ่งใดที่เราจะควรยึดควรถือว่าเป็นสาระแก่นสาร เป็นที่สดสวยงดงาม มันเต็มไปหมดด้วยของปฏิกูลโสโครก เมื่อพิจารณาเข้าไปอย่างนี้ทำไมจะไม่เป็นวิปัสสนา แยกแยะเข้าไปเรื่อย ๆ หลายครั้งหลายหน มันก็แย้มความจริงออกมาให้ปรากฏประจักษ์กับปัญญาของเรา แล้วเกิดความเชื่อความเลื่อมใส ความดูดดื่มในอุบายปัญญาของตนและก้าวเดินเรื่อย นี่เรียกว่าปัญญา ให้ก้าวเดินอย่างนั้น

ผู้ที่จะปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่ต้องมาเกิดมาตายแบกกองทุกข์อยู่ทุกภพทุกชาติ ทั้งมหันตทุกข์ก็เราเป็นผู้รับเหมาไปหมด ไม่ว่าทุกข์ประเภทใดความเกิดนี้จะต้องไปรับเหมาเอาหมด ในนรกก็ไปเกิด คือไปเกิดเป็นสัตว์นรก มันออกจากความเกิด ๆ นี้ทั้งนั้น ถ้าไม่มีความเกิดเสียอย่างเดียว ทุกฺขํ นตฺถิ อชาตสฺส ทุกข์จะมีมาจากไหน ถ้าไม่มีความเกิดเสียอย่างเดียวเท่านั้น ท่านจึงได้ตัดเชื้อความเกิดนั้นคืออะไร คืออวิชชา

แต่เวลานี้เราไม่สามารถที่จะถอนรากแก้วคืออวิชชานี้ได้ เราต้องโค่นเข้าไป ๆ ขุดเข้าไปรอบตัวของมันเข้าไป ฟันรากแก้วรากฝอยชนิดต่าง ๆ ของมันเข้าไป มีมากมีน้อยฟันเข้าไป ขุดลงไปจนกระทั่งถึงรากแก้วแล้วถอนพรวดขึ้นมา ไม่ต้องบอกให้ตายมันก็ตายไม้ต้นนั้น เรื่องของภพของชาติภายในจิตใจนี้ก็เหมือนกัน ไม่ต้องบอกก็ฉิบหายไป ถ้า อวิชฺชาปจฺจยา ถูกถอดถอนออกมาด้วยปัญญาที่ทันเหตุทันการณ์แล้ว

แต่การที่จะทำให้ถึงขั้นนั้นเราก็ต้องฝึกฝนอยู่ตลอดเวลา เหมือนกับการรับประทาน เช่นอย่างช้อนแรกอิ่มเมื่อไร คำแรกอิ่มเมื่อไร สองคำเข้าไปสามคำเข้าไปแล้วก็หนุนกันขึ้นเราก็รู้นี่ เผ็ดเค็มเปรี้ยวหวานก็รู้อยู่ในการสัมผัสสัมพันธ์เพราะการรับประทานนั้นเอง และอิ่มมากอิ่มน้อยเราก็รู้ สุดท้ายอิ่มเต็มที่ก็รู้ นี่ก็เหมือนกัน การบำรุงจิตใจของเราเพื่อถึงความอิ่มพอในสิ่งทั้งหลายก็ต้องทำอย่างนั้น

เวลานี้มันมีแต่ความหิวความโหยเต็มหัวใจ อะไร ๆ หิวโหยไปหมด เพราะใจดวงนี้ครอบอยู่ด้วยความหิวความโหย คือตัวกิเลส อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา แล้วก็ขึ้นตัณหานั่น อวิชชาจะไม่ให้อยากจะให้อะไร เราไปว่าแต่ตัณหา ๆ ตัณหาก็ออกมาจากอวิชชา เป็นแขนงเดียวกันของอวิชชาต่อเนื่องมาจากกัน แต่ฟันลงไป ๆ ก็เหมือนกับต้นไม้ ถากเปลือกออกแล้วก็ถากกระพี้แล้วเข้าถึงแก่น แน่ะ ก็เอามาใช้ได้ นี่ก็เหมือนกัน แก่นของกิเลสทั้งหลายก็คืออวิชชา กระพี้ของมันก็กระจายออกมา กิ่งแขนงของมันออกมาทุกแง่ทุกมุม มีแต่กิ่งแขนงของอวิชชานี้ทั้งนั้น

ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกิ่งเป็นแขนงทางเดินของอวิชชากิเลสตัณหาทั้งนั้น มันออกมาได้ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน แม้แต่หลับยังละเมอเพ้อฝันไปได้ นั่นมันออกหากินเหมือนกันแต่เราไม่ทราบ เมื่อคืนนี้ฝันอย่างนั้นฝันอย่างนี้ เป็นบ้าไปตามลมฝันอีก เวลาตื่นอยู่ก็ฝันอีกแบบหนึ่ง เวลาหลับไปก็ฝันอีกแบบหนึ่ง ตื่นทั้งหลับทั้งตื่นนั่นแหละ ฝันสดฝันแห้งตื่นไปหมด เมื่อยังไม่รู้สึกตัวแล้วต้องตื่นอย่างนั้นตลอด

นี่เราจะทำอย่างไรเวลานี้ เราแบกอะไรอยู่เวลานี้ ไม่เรียกว่าแบกกิเลสจะว่าแบกอะไร หัวใจของเรานี้คือคลังกิเลส เมื่อคลังกิเลสก็คือแบกกองทุกข์ เรายังจะพอใจอย่างนี้ตลอดไปอยู่เหรอ อยากจะแบกกองทุกข์น่ะ ถ้าอยากแบกกองทุกข์ก็ให้แบกกิเลสนี้ ไม่ต้องมีแก่จิตแก่ใจที่จะต้องชำระกันในแง่หนักเบามากน้อย ที่จะสลัดปัดทิ้งออกมาจากหัวใจ ซึ่งเป็นการโยนทุกข์ออกจากหัวใจ หรือเปลื้องทุกข์ออกจากหัวใจโดยสิ้นเชิงในขณะเดียวกัน ถ้าเราไม่อยากทำอย่างนั้นเราก็ต้องทนอยู่อย่างนี้

เราอย่าบ่น ทุกข์ก็เรื่องของเราก็ต้องแบกอยู่นั้น ยกตัวอย่างใกล้ ๆ เอาไฟมาจี้ลองดูซี เป็นยังไง ร้อนไหมไฟ ไฟไม่ร้อนเรามันจะตายนั่นซี นี่ทุกข์มันไม่รู้ แต่เราผู้รับทุกข์มันจะตายจะว่าไง มันเคยเป็นมาสักเท่าไรแล้วเรื่องความทุกข์เรื่องกิเลสนี้มันให้ดีแก่ผู้ใด พอที่จะเทิดจะทูนเอานักหนาไม่รู้สึกตัวเลย นั่นก็เป็นเรื่องของมันกล่อมเรารู้ไหมล่ะ ไม่รู้ จะทำยังไง พวกเรามันเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นการเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์ ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำหลักเกณฑ์ของครูของอาจารย์ ที่ท่านอธิบายด้วยความถูกต้องเป็นเหตุเป็นผล เป็นแนวทางอันดีงามแล้ว นำไปประพฤติปฏิบัติ อย่าไปแบบเหลว ๆ ไหล ๆ ไปอยู่ก็อยู่แบบเหลว ๆ ไหล ๆ ไปก็เป็นแบบนั้นแหละ

ดีไม่ดีเอาท่านไปเป็นเครื่องจับจ่ายขายกิน ว่าอยู่กับครูบาอาจารย์องค์นั้นมาแล้ว อยู่กับครูบาอาจารย์องค์นี้มาแล้ว เคยอยู่กับอาจารย์องค์นั้นมาแล้วเท่านั้นปีเท่านี้ปี แล้วประกาศความโง่ของตน ประกาศความเลวทรามของตนให้โลกเขาเห็น โดยเอาครูบาอาจารย์ไปจับจ่ายขายกิน มันเป็นอย่างนั้นนะถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจ

ถ้าตั้งอกตั้งใจแล้ว เอาเถอะครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าอย่างไร แม้จากท่านไปแล้วธรรมะนั้นก็สด ๆ ร้อน ๆ กังวานอยู่ในหัวใจของเราที่เราจำมาได้จากท่าน ท่านว่าอย่างนั้น ธรรมะอยู่ที่หัวใจ ไม่ได้อยู่ที่การพลัดพรากจากไประหว่างอาจารย์กับเรา ระหว่างท่านกับเรา แต่ธรรมะอยู่กับหัวใจ ความจำลงในหัวใจก็เป็นความจริงขึ้นมาจากหัวใจนั้นแล ให้ตั้งใจพากันประพฤติปฏิบัติ

นี่ก็นับวันมากขึ้นทุกวัน ๆ จะว่าไง ๔๙ แล้วดูซิ มากไหม ๔๙ แล้วจะหาความสงบสงัดมาจากไหน มาก็มีหลายแบบหลายฉบับ ตลอดสีผ้าดูไม่ได้เลยนะพิจารณาซิ อย่าว่าผมตำหนิติเตียนหมู่เพื่อนนะ ถ้ามาในนามว่าผมเป็นครูเป็นอาจารย์ก็ต้องแนะนำสั่งสอน อันใดที่แสลงหูแสลงตาก็ต้องสอน นั้นคือกิเลส นั้นคือความผิด ไม่ใช่ธรรม ก็ต้องบอกให้รู้เรื่องรู้ราว

ดูให้ดีเป็นยังไง กาสาวพัสตร์แปลว่าผ้าย้อมฝาด มันสียักษ์สีผีอย่างนั้นมันย้อมอะไรกัน เราก็ต้องพิจารณาซิ ให้ยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ทุกสิ่งทุกอย่าง เราอย่าเอาทิฐิมานะมาใช้ว่าเราเคยใช้อย่างนี้ นี่ก็เป็นทิฐิอันหนึ่งที่แน่นหนามากอยู่ในหัวใจ นี่ไม่เรียกว่ามาแก้กิเลส แต่มาสั่งสมกิเลสมาอวดทิฐิมานะ ไม่สมกับว่ามาศึกษาอบรม ถ้าว่ามาศึกษาอบรมเห็นว่าถูกต้องแล้วก็ต้องก้าวเดินตามนั้นเท่านั้น เปลื้องทันทีอันใดที่ไม่ดี

เพราะสิ่งจอมปลอมเป็นของดีเมื่อไร เมื่อทราบว่าเป็นของจอมปลอมแล้วก็ต้องสลัดปัดทิ้งทันที นอกจากไม่ทราบก็สุดวิสัย ก็ทำตามที่เห็นครูเห็นอาจารย์เห็นเพื่อนฝูงทำมาก็ทำตาม แต่เวลาเราทราบชัดเจนว่าเป็นยังไง ผิดถูกดีชั่วประการใดแล้วเราก็แก้ไขดัดแปลงได้ เพราะเรามาศึกษาเพื่อการแก้ไขดัดแปลงในสิ่งที่ไม่ถูก ให้เป็นความถูกต้องดีงามขึ้นไปโดยลำดับ เราจึงไม่ควรเสียดายทิฐิมานะอันเป็นเรื่องของกิเลสโดยตรง ไม่มีคำว่าอ้อม ตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เห็นเหตุเห็นผล

ธรรมะพระพุทธเจ้าประกาศกังวานช่วยโลกดินแดนอยู่นะ ฟังซิว่าช่วยโลกดินแดนอยู่ตลอดเวลา แต่โลกไม่สนใจในอรรถในธรรมที่จะนำมาช่วยตัวเองนั่นซี ให้แต่กิเลสย่ำยีอยู่ทั้งวันทั้งคืน ทั้งพระทั้งเณรทั้งท่านทั้งเรา ไม่ว่าใครต่อใคร มีแต่กิเลสย่ำยีตีแหลกอยู่ตลอดเวลา ตีตลาดตีหัวใจของเรานักปฏิบัตินี่ละสำคัญมาก มันตีอยู่ในหัวใจนี่ ดีดดิ้นอะไรมีแต่เรื่องของกิเลส ไม่ใช่เรื่องของธรรมฟัดกับกิเลสเลย นี่ซิเราจะหวังเอาความบริสุทธิ์พุทโธมาจากไหน เมื่อเจ้าของยังเชื่อตัวเองไม่ได้แล้ว ยังไม่มีแก่ใจที่จะทำความเชื่อมั่นตัวเองได้ด้วยการปฏิบัติ แก้ไขตนเองให้ถูกต้องแม่นยำ เอาให้เน้นหนักลงไปซีผู้ปฏิบัติ

แบบแผนตำรับตำราท่านก็แสดงไว้ ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่ตามตำรับตำรา เราท่องบ่นสังวัธยายก็ประกาศกังวานอยู่ในปากในหัวใจของเรานี่ สด ๆ ร้อน ๆ อยู่นี่แล ธรรมเครื่องฆ่ากิเลส สด ๆ ร้อน ๆ อยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับกิเลสมันมีอยู่สด ๆ ร้อน ๆ ภายในหัวใจของเรานั่นแล ถ้านำมาแก้ แก้ตรงนี้ ไม่มีกาลสมัยที่ไหนแหละ อันนั้นเป็นเรื่องของกิเลสมันหลอก ปัดธรรมาวุธทั้งหลายออกไปจากหัวใจนี้เสีย ให้มีแต่กิเลสเหยียบย่ำทำลาย เผาหัวใจคืนยังรุ่งวันยังค่ำตั้งกัปตั้งกัลป์มาไม่มีวันอิ่มพอ ไม่มีวันจืดจางก็คือกิเลสเผาหัวใจสัตว์โลกนั่นเอง

ธรรมเข้ามาแก้ไม่ได้ พอเข้ามามันก็บอกว่าธรรมนี้หมดเขตหมดสมัย หมดเวล่ำเวลาแล้ว พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานแล้ว ปฏิบัติเท่าไรก็ไม่ได้มรรคได้ผล ความจริงมันไม่ได้ปฏิบัติผู้พูดเช่นนั้น มันปล่อยให้กิเลสเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลา ออกมาจากลมปากของผู้ที่กิเลสเหยียบหัวอย่างหาที่ค้านไม่ได้เลยนั่นเอง ผู้นี้ผู้แพ้กิเลสอย่างราบเลยผู้ที่พูดออกมาแบบนี้ แล้วประกาศความเลวทรามของตน เพราะกิเลสเหยียบอย่างราบนั่น ให้มนุษย์ทั้งหลายผู้มีสมบัติผู้ดีฟัง ใครจะอยากฟัง

หัวใจคนไม่ใช่หัวใจแบบนั้นอย่างเดียวกันนี่นะ ไม่ใช่หัวใจคนคนนั้น ไม่ใช่หัวใจแบบเดียวกัน หัวใจที่ต่างนั้นยังมี หัวใจที่ดีกว่านั้นยังมี หัวใจที่ฉลาดแหลมคมกว่านั้นยังมี แล้วจะเอาแบบกิเลสเหยียบลงไปจนขี้ทะลักออกมา ประกาศโลกว่าตัวเป็นของดียังไง แพ้ถึงขนาดว่าขี้ทะลักแล้วมาประกาศโลกว่าตัวดียังไง ผู้นั้นคือผู้ไม่สนใจมรรคผลนิพพาน เท่ากันกับสัตว์ตัวหนึ่งนั่นเอง

ถ้าผู้สนใจมรรคผลนิพพาน ธรรมนี้เป็นธรรมของใคร ธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นผู้เช่นไร พระพุทธเจ้าโง่หรือฉลาด ถึงขนาดที่บริสุทธิ์พุทโธนำธรรมมาสอนโลก แล้วจะเอาธรรมโง่ ๆ มาสอนโลกอยู่เหรอ ก็ธรรม ๆ ฉลาดทั้งนั้น ผู้โง่ก็คือพวกเรานี่ ยิ่งผู้ประกาศธรรมว่ามรรคผลนิพพานไม่มี นั่นละตัวจอมโง่ที่สุด ยังเหลือแต่ลมหายใจเท่านั้น ให้พิจารณานะ ถ้าอยู่ในหัวใจเราให้รีบขับ ไม่ขับก็ยังเหลือแต่ลมหายใจ จะไม่มีอะไรเหลือติดตัวนะ

อย่าเข้าใจว่าเพศของพระเป็นเพศที่เลิศแล้วนะ กิเลสมันไม่ได้เห็นว่าพระว่าโยมว่าใครต่อใครแหละ มันไม่ได้เห็นว่าหัวโล้น ๆ ละ พอได้ช่องไหนมันเอาทั้งนั้น กิเลสมันเคยเหยียบอยู่บนหัวคนมา ตั้งแต่เรายังไม่บวชมันก็เหยียบหัวเราอยู่แล้ว บวชแล้วมันก็เหยียบอยู่บนหัว บีบอยู่บนหัวใจเรานั้น เราบวชแล้วมีไหม ความโลภความโกรธความหลงราคะตัณหามีไหม ถ้ามีอยู่ก็แสดงว่ามันเหยียบอยู่บนหัวใจ มันไม่ได้กลัวผ้าเหลือง ถ้าเราไม่นำธรรมะเข้าไปเหยียบย่ำทำลายมันแล้ว ยังไงมันก็อยู่นี้ตลอดไป

เพราะฉะนั้น จึงไม่มีสิ่งใดที่จะเหนือธรรมของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์พุทโธ เอกในโลกก็คือพระพุทธเจ้า ไม่มีคู่แข่ง นี่ละธรรมของท่านผู้ไม่มีคู่แข่งมาสอนโลกจะเป็นโมฆะไปที่ไหน นอกจากตัวของเราสร้างตัวทำตัวให้เป็นโมฆะเสียเอง อะไรมาแก้ก็ไม่ตก ถ้าคนได้เป็นโมฆะก็เช่นเดียวกับคนที่ยังเหลือแต่ลมหายใจเข้าห้อง ไอ.ซี.ยู. แล้วเท่านั้น เอาอะไรมาแก้ก็ไม่มีความหมาย อันนี้ทำอะไรก็ไม่มีความหมายคนถึงขนาดนั้นแล้ว

เราเป็นคนประเภทไหนเวลานี้ เราไม่ใช่เป็นคนประเภทนั้นทำไมจึงต้องยอมตนให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลา มันน่าสลดสังเวชเอามากนะ เฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิบัติเราเป็นยังไง ที่พูดเวลานี้ทราบไหมว่ากิเลสมันฟังอยู่ด้วยในหัวใจเรา ๆ ท่าน ๆ ไม่ฟังแต่ธรรม เอาให้จริงให้จังซิผู้ปฏิบัติ

นี่กำลังเหลวแหลกไปทุกวันทุกเวล่ำเวลาละนะกรรมฐานเรา ไปไหนเดี๋ยวนี้จะถือโลกามิสเป็นสิ่งที่เลิศเลอยิ่งกว่ามรรคผลนิพพาน ยิ่งกว่าการประพฤติปฏิบัติ ความตั้งอกตั้งใจที่ได้ตั้งมา ตะเกียกตะกายมานั้น เดี๋ยวนี้มันทุ่มลงไปให้กิเลสขึ้นเหยียบย่ำทำลายไปหมดแล้วนะ

โลกามิสฟังซิ สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ ลาภสักการะมันฆ่าคนโง่ พูดง่าย ๆ แปลออกให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ซิ ปลาตายเพราะเหยื่อล่อ ปลาโง่ตายเพราะเหยื่อล่อ ภิกษุเราก็ตายเพราะความโง่ เพราะความเห็นแก่โลกามิสดีกว่ามรรคผลนิพพานนั่นเองถึงเป็นอย่างนั้น ถ้าลงเห็นมรรคผลนิพพานดีกว่าสิ่งเหล่านี้แล้ว เหตุใดสิ่งนี้จะมาเหยียบย่ำทำลายหัวใจได้

อันนี้เป็นแต่เพียงเครื่องอาศัย ท่านถึงเรียกว่าปัจจัย ๆ เครื่องอาศัยไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น สิ่งที่เลิศเลอที่สุดที่มุ่งอยู่อย่างแรงกล้า พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนลงก็สอนลงเรื่องธรรมเรื่องหัวใจ ให้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งหลาย ที่เหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลานี้เท่านั้น แล้วสิ่งเหล่านี้ไม่เป็นกิเลสจะเป็นอะไรไป หลงไปนิดหนึ่งก็เป็นแล้ว พากันจำนะ

จะหมดแล้วนะวงกรรมฐานเวลานี้ จะเป็นกรรมฐานหากินไปแล้ว เป็นแล้วนะเวลานี้เป็นกรรมฐานหากิน หาซุ่มหาซ่อนกินนั้นกินนี้อยู่งั้น นอกจากนั้นก็เอาครูอาจารย์ไปประกาศขายกินอีก ช่วยขายกิน หากินได้ง่าย เอาครูอาจารย์ไปขาย พากันจำ หลั่งไหลลงไปกรุงเทพโน่นแหละ ไปก็ไม่อะไร สะพายย่าม ดีไม่ดีเงินจะเต็มย่ามนะ มันจะเป็นแล้วนะเดี๋ยวนี้ หรือเป็นแล้วเราก็ไม่ทราบได้

นี่เลวขนาดนั้นนะกรรมฐานเรา มันจะเลวลงขนาดนั้นนะ มันน่าทุเรศจริง ๆ แล้วคำว่าสายพ่อแม่ครูจารย์มั่น ๆ นี้จะต้องออกหน้า ๆ ตลอดเวลา เพราะเป็นการเบิกทางหากินได้ง่าย ๆ กว้างขวางออกไป อันนี้อันหนึ่งนะ ให้พากันจำเอาไว้

การพูดทั้งนี้พูดเพื่อผู้เป็นเช่นนั้น และผู้จะเป็นเช่นนั้นโดยไม่รู้สึกตัวก็ให้แก้ตัวเอง ถ้ารู้สึกตัวยังขืนทำมันก็ด้านยิ่งกว่าส้นเท้าก็หมดทางที่จะสอนกัน ธรรมะอันใดก็สอนเถอะ ถ้าลงได้ด้านขนาดนั้นแล้วหมด ไม่มีทางแหละ

พวกเราจะเป็นประเภทไหน ถ้าเป็นประเภทของพระผู้ต้องการมรรคผลนิพพาน เชื่อพระพุทธเจ้าว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ อยู่ในหัวใจนี้แล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นของเลิศประเสริฐยิ่งกว่ามรรคผลนิพพาน เป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัย หนุนกันไปวันหนึ่ง ๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปนี้เท่านั้น ไม่เป็นของสำคัญอะไรเลย

เพราะฉะนั้นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ผู้มุ่งต่อมรรคผลนิพพาน ท่านจึงไม่ได้กังวลกับสถานที่อยู่ที่อาศัยปัจจัยทั้งหลายยิ่งกว่ามรรคผลนิพพาน นี้ท่านจะเอาให้ได้เต็มหัวใจ นี้เราเป็นคนประเภทไหน พระประเภทไหน เอ้าฟังซิ ก็เทศน์มาให้ท่านทั้งหลายฟังแล้วร่วม ๔๐ ปีแล้วนะนี่ ผมจะเอาอะไรมาเทศน์นักหนา

ทนเอา อยู่กับหมู่กับเพื่อนผมก็ทน เวลานี้เป็นแล้วนะ เป็นมา ๆ โดยลำดับ หดเข้าย่นเข้าหัวใจนี่ ไม่อยากจะเล่นกับอะไร เพียงครองธาตุครองขันธ์ครองขันธ์เจ้าของอยู่ก็พอเท่านั้นแหละทุกวันนี้ มองเห็นอะไร ๆ ไม่อยากเล่นด้วยเลย มันถอยขนาดนั้น เพียงธาตุขันธ์นี้ก็แบกกันพอแล้ว จะเอาอะไรมาเพิ่มเข้าอีก

เรื่องภาระนั้นภาระนี้ในการแนะนำสั่งสอนอุบายต่าง ๆ อะไรเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม มันเป็นภาระที่จะเพิ่มขึ้น ๆ ให้หนักมากเข้า ๆ ทั้งนั้น ในขณะที่หนักเข้ามากเข้า ๆ มันก็ย่นชีวิตจิตใจความเป็นอยู่เข้ามา หดสั้นเข้ามาอีกเหมือนกัน จึงขอให้ท่านทั้งหลายได้เห็นใจตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

เอาละ การเทศน์ก็เห็นว่าสมควร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก