สัตว์โลกผู้ท่องโอฆสงสาร
วันที่ 10 สิงหาคม 2532 เวลา 19:00 น. ความยาว 112.03 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๓๒

สัตว์โลกผู้ท่องโอฆสงสาร

 

เรื่องของโลกล้วนๆ ถ้าไม่มีศาสนาเป็นเครื่องวัดเครื่องตวง เครื่องยึดเครื่องเกาะ เครื่องเทียบเคียงความดีชั่วหยาบละเอียดแล้ว จะเป็นเหมือนกับท้องฟ้ามหาสมุทร ไม่มีจุดมีดอน ไม่มีฝั่งมีฝา ไม่มีเขตมีแดน ไม่มีที่สิ้นสุดยุติเลย สัตว์โลกทั้งหลายจึงเป็นเหมือนกับว่ายน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงอยู่ด้วยความทุกข์ความลำบากทรมาน ไม่มีจุดที่หมาย มองหาที่เกาะที่ยึดไม่มีเลยทั่วดินแดนของโลกธาตุนี้ ศาสนาจึงเป็นเหมือนเกาะเหมือนดอนเหมือนฝั่ง เป็นจุดที่หมายเป็นที่หลบภัย เป็นที่พักผ่อน บรรเทาความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นจากการแหวกว่ายน้ำมหาสมุทรทะเลหลวงคือ กามโอฆะ ภวโอฆะ อวิชชาโอฆะ เป็นสำคัญ นี่เป็นเหมือนกับน้ำมหาสมุทรทะเล ซึ่งไม่มีเกาะมีดอนมีฝั่งมีฝามีเงื่อนต้นเงื่อนปลายเลย ที่สัตว์ทั้งหลายจำต้องแหวกว่ายอยู่ตลอดไป ถ้าไม่มีศาสนธรรมอันเป็นความดีงามเป็นเบรกห้ามล้อไว้ พอให้กระแสแห่งโอฆะภายในใจของสัตว์หมุนช้าลง และถึงฝั่งแห่งความปลอดภัย

สัตว์ทั้งหลายต่างตัวต่างแหวกต่างว่ายกันอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ทราบว่าจะว่ายไปเพื่ออะไร ว่ายไปจุดใดว่ายไปสู่ที่ใดเพราะหาจุดที่หมายไม่ได้ หากว่ายกันอยู่ด้วยความจำเป็น ถ้าไม่ว่ายก็จะจมน้ำตาย ความว่ายเป็นความทุกข์พอประมาณ ถึงจะมากก็ไม่มากเท่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากการไม่ว่าย ปล่อยให้จมน้ำตายไปเสีย นั้นทุกข์มากก่อนจะตาย

นี่เรื่องของสัตว์โลกหมายเอาดวงวิญญาณ หรือภพชาติของโลกที่มีวิญญาณมีใจครองนั้นแล จึงเรียกว่าโลกว่าสัตว์ได้ ไม่มีใจครองเรียกไม่ได้ สัตว์ทุกตัวต้องมีใจครอง ความมีใจครองแต่ละภพละชาตินั้นเรียกว่าสัตว์ แต่ละตัวๆ รวมแล้วเรียกว่าสัตว์โลก ต่างตัวต่างว่ายต่างตัวต่างบึกบึนฝืนความทุกข์ทรมาน เพื่อหาที่หลบภัยหรือที่พักผ่อน พอได้บรรเทาทุกข์ จากความแหวกว่ายอยู่ตลอดเวลาด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่ก็ไม่เห็นจุดใดดอนใด พอที่จะว่ายเข้าไปพักผ่อนหย่อนกายหย่อนใจพอบรรเทาทุกข์ได้เลย เพราะมองหาฝั่งหาแดนไม่เห็นไม่เจอ

สัตว์โลกแต่ละรายๆ นั้นเกิดมา ไม่มีรายใดที่จะสามารถรู้ความเป็นมาของตน ตั้งแต่ต้นคือฝั่งที่ผ่านมาแล้ว และมาถึงท่ามกลางคือในขณะที่กำลังเกิดตายหมุนเวียนอยู่เวลานี้ และฝั่งข้างหน้าโน้นคือความพ้นไปเสียอย่างนี้ไม่มี มีแต่ความเวิ้งว้างไปหมดแห่งฝั่งแห่งแดนทั้งหลาย แต่ไม่ได้เวิ้งว้างออกจากทุกข์ในหัวใจของสัตว์  นี่ถ้าไม่มีศาสนามาเป็นเครื่องวัดเครื่องเทียบเครื่องยึดเครื่องเกาะแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายแม้จะเคยผ่านความทุกข์มามากน้อยและนานขนาดไหนก็ตาม จะไม่มีความหมายในตัวเองเลย แต่จะต้องแหวกต้องว่าย ต้องทนทุกข์ทรมานไปกับความเกิดความตายในภพน้อยภพใหญ่อย่างนั้นตลอดไป ไม่มีคำว่ากาลสถานที่เวล่ำเวลาจะเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือตัดขาดจากการท่องเที่ยวนี้ได้เลย

ที่พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์ๆ จึงพอเป็นฝั่งเป็นฝาเป็นเกาะเป็นดอน ให้สัตว์ทั้งหลายได้เกี่ยวได้เกาะได้ยึดได้เหนี่ยว ด้วยการได้สดับตรับฟังพระสัทธรรมตามภูมิแห่งกรรมแห่งภพชาติของตน แล้วได้พ้นจากการแหวกว่ายไปโดยลำดับลำดา และพ้นไปอย่างมากมาย เพราะการได้รับการศึกษาอบรมสั่งสอนจากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ๆ นี่แลที่พอจะทราบเรื่องฝั่งเรื่องแดนเรื่องเกาะเรื่องดอนเรื่องที่ยึดที่เหนี่ยวของมวลสัตว์ จะพอทราบได้ในเมื่อมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง

ถ้าเป็นโรคก็พอมียามีหมอบ้าง ไม่ใช่โลกที่เต็มไปด้วยสัตว์บุคคลหญิงชายซึ่งทานแต่ของแสลงกัน ไม่มีหมอไม่มียาเลย ทั้งที่สัตว์โลกทั้งหลายเต็มไปด้วยโรค เกี่ยวข้องกับอะไรกินอะไร มีแต่ของแสลงเป็นพิษเป็นภัยเผาไหม้อยู่ภายในตัว เสริมโรคภายในให้กำเริบรุนแรงมากขึ้นโดยถ่ายเดียว  ที่จะให้ลดหย่อนผ่อนคลายลงไปนี้ไม่มีเลย

นี่แลโลกที่ไม่มีธรรมะเข้าไปเกี่ยวข้อง เหมือนโลกที่สัตว์แหวกว่ายอยู่ในมหาสมุทรมหาสมมุตินี้ และเทียบเข้ามากับสัตว์ทั้งหลายที่เป็นโรคแต่ไม่มียาไม่มีหมอ สนใจตั้งแต่สิ่งที่เป็นของแสลงที่จะทำโรคและทุกข์ให้กำเริบมากขึ้นเท่านั้น สัตว์เหล่านี้ก็ไม่มีความหมาย ถึงมีชีวิตอยู่ก็มีด้วยความทุกข์ความทรมาน ไม่ใช่มีอยู่เพื่อจะหายจากโรคจากภัย มีความสุขขึ้นมาโดยปกติ ทั้งสองอย่างนี้เทียบกันได้กับสัตว์ที่เต็มไปด้วยโรคแต่ไม่มียาและหมอ และสัตว์ที่แหวกว่ายอยู่ในวัฏสงสารที่หาฝั่งหาแดนไม่ได้ เพราะไม่มีธรรมะเครื่องรักษาใจนั่นแล

เมื่อมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแต่ละพระองค์ๆ นั้น จึงเหมือนกับมาสร้างฝั่งสร้างฝาสร้างที่เกาะที่ยึดไว้ให้ สัตว์ที่พอเป็นไปได้ก็พอได้เกาะได้ยึดและผ่านพ้นไป ผู้ที่ยังไม่ผ่านก็ใกล้จุดหมายปลายทางเข้ามาเป็นลำดับลำดา เพราะการได้ยินได้ฟังได้ศึกษาอบรมได้บำเพ็ญตนในทางที่ดี เหมือนคนไข้ได้รับยาจากหมอย่อมมีวันหายได้ ศาสนามีความจำเป็นต่อสัตว์โลกทั้งหลายอย่างนี้ ใครจะตำหนิติเตียน ใครจะปฏิเสธ จะยอมรับหรือไม่ยอมรับประการใดก็ตาม แต่หลักความจริงหากเป็นมาอย่างนี้ดั้งเดิม และยังจะเป็นไปอย่างนี้อีกตลอดกาลไม่มีสิ้นสุดยุติ เพราะเป็นหลักธรรมชาติไม่ขึ้นอยู่กับอะไรทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นศาสนธรรมหรือว่าธรรมกับโลกจึงแยกกันไม่ออก เป็นแต่เพียงว่าธรรมมีเป็นกาลเป็นเวลา เพราะมีผู้นำออกประกาศสั่งสอนเป็นวรรคเป็นตอน ไม่เสมอไป แต่เรื่องของกิเลสนั้นมีอยู่กับทุกหัวใจ กรรมของสัตว์ วิบากของสัตว์มีอยู่ทุกหัวใจ มีอยู่ทุกตัวสัตว์ จึงผลิตตัวขึ้นมาให้สัตว์ทั้งหลายได้รับความทุกข์ความทรมาน เพราะกรรมของตนอยู่โดยสม่ำเสมอ ไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลาเหมือนธรรมที่มีมาเป็นบางกาลบางสมัยนั้นเลย

การพูดทั้งนี้ไม่ได้พูดเพื่อโลกเพื่อสงสาร ที่นอกไปจากตัวของเรานี้โดยถ่ายเดียว แต่พูดเพื่อให้ โอปนยิโก น้อมความจริงทั้งหลายเหล่านั้นเข้ามาสู่ใจของเราด้วย ผู้กำลังแหวกว่ายอยู่นี้ เพราะอำนาจแห่ง กามโอฆะ ภวโอฆะ อวิชชาโอฆะ เป็นสำคัญ ให้ได้พากันแก้ถอดถอนสิ่งเหล่านี้ ด้วยพลังแห่งธรรมซึ่งมีอยู่กับเราทุกคนเวลานี้ ที่พระพุทธเจ้าประทานไว้นี้ ให้ได้นำเข้ามาชำระล้างสิ่งเหล่านี้ ภัยที่เป็นอยู่ภายในจิตใจของเราก็จะค่อยเบาบางลงไป ภพชาติที่มองหาฝั่งหาแดนไม่เห็นนั้นก็จะย่นเข้ามาๆ เพราะอำนาจแห่งความดีทั้งหลาย มีทาน ศีล ภาวนาเป็นสำคัญ ถ้ายิ่งเป็นผู้ปฏิบัติด้วยความสนใจมุ่งหวังต่อความหลุดพ้นอย่างถึงใจด้วยแล้ว และวาสนาบารมีแก่กล้าแล้ว ก็จะได้หลุดพ้นไปในชาติปัจจุบันนี้ สำหรับผู้ปฏิบัติของเราที่เป็นนักบวชอยู่เวลานี้ ขอให้พินิจพิจารณาเห็นภัยตามที่อธิบายมานี้ ความเพียรจะได้เข้มแข็งกว่าที่เป็นมาและเป็นอยู่นี้

อย่าได้คุ้นกับกิริยาอาการทั้งหลายที่เคยเป็นมา ซึ่งเป็นเรื่องของกิเลสเข้าแทรกเข้าแซงอยู่ทุกขณะของความคิดความปรุง ถ้าเป็นจิตธรรมดาไม่มีภูมิในทางสมาธิ และทางปัญญาเลย จะไม่พ้นจากกิเลสเข้าแทรกทุกขณะจิตที่คิดที่ปรุงออกมา ถ้ามีสมาธิมีปัญญาก็ยังมีช่องทางที่จะรู้จะเห็น จะแก้ไขถอดถอนกันได้ แม้จะมีการแพ้การชนะบ้างก็จะไม่พ้นจากความชนะมากขึ้นไปโดยลำดับ จนถึงชัยชนะโดยสิ้นเชิงได้

นี่แลการเกิดการตายของสัตว์ของใครก็ตาม มันเหมือนกันหมดในเรื่องกองทุกข์ ความเวียนว่ายตายเกิดมีแต่เรื่องของกองทุกข์ทั้งมวล ไม่มีจุดหมายปลายทางเลย เรายังจะยินดี เรายังจะเพลิดเพลินต่อสิ่งแทรกแซงคือกิเลส ซึ่งเป็นผู้ชักจูงไปในทางสายวนเวียนล่มจมนั้นอยู่เหรอ ให้ตั้งปัญหาถามตัวเอง ถ้าเราเชื่อพระพุทธเจ้า ความเข็ดหลาบของเราก็จะมี แม้เราระลึกความเป็นมาของเราไม่ได้ว่าเป็นมาอย่างไรบ้าง ความจริงที่เคยมีเคยเป็นในตัวของเราก็มีเต็มสัดเต็มส่วนอยู่แล้ว เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงแห่งความเป็นมาของเรากับสัตว์ทั้งหลายนั้น ไม่ได้มีผิดแปลกต่างกันเลย คือมีความเวียนว่ายตายเกิดอยู่ด้วยอำนาจแห่งกิเลสทั้งสามประเภทนี้เป็นสำคัญ ให้ทำความเข้าใจกับตนเอง แล้วให้ตั้งหน้าตั้งตาพินิจพิจารณาแก้ไขหรือบำเพ็ญอย่างเข้มแข็ง

ทุกข์เพราะความเพียรเพื่อถอดถอนตนให้พ้นจากทุกข์นี้ เป็นทุกข์ที่ควรจะนำมาปฏิบัติ ไม่เหมือนกับทุกข์ที่เป็นผลเกิดขึ้นจากกิเลสบีบบี้สีไฟเรา ซึ่งหากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้เลย แต่ทุกข์เพราะความเพียรเพื่อสังหารกิเลสอันเป็นตัวผลิตทุกข์นี้ มีกาลมีเวลาที่จะสิ้นสุดยุติลงได้ นี่สำคัญอยู่ตรงนี้ กรุณาเทียบสัดเทียบส่วนให้เหมาะ เพื่อความเพียรจะก้าวเดินได้สะดวก

ถ้าพูดตามหลักความจริงในหัวใจนี้แล้ว ความสงสารหมู่เพื่อนที่เกี่ยวข้องกันอยู่ตลอดเวลานี้มีมาก เพราะที่กล่าวมาเหล่านี้ได้พิจารณาเต็มสติกำลังความสามารถ จึงได้ยอมกราบไหว้พระพุทธเจ้าและธรรมของพระองค์ท่านอย่างถึงใจ อย่างฝากเป็นฝากตาย ด้วยความซึ้งภายในใจต่อพระพุทธเจ้าว่า พระองค์ฉลาดแหลมคมและละเอียดลออเหนือโลกเหนือสงสารจริงๆ ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน สิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาเหล่านี้ใครไม่เห็นไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น พร้อมทั้งอุบายวิธีชักจูงหรือลากเข็นสัตว์โลกออกจากกองฟืนกองไฟ ที่เผาไหม้สัตว์ทั่วโลกดินแดนได้อย่างเต็มพระทัย เต็มพระสติกำลังความสามารถ ธรรมก็เป็นธรรมที่เด็ดขาด นำผู้ตกทุกข์ได้ยากลำบากด้วยสาเหตุอันใด สาเหตุอันนั้นทรงสังหารออกได้ นำสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปได้ ด้วยอุบายแห่งธรรมที่ทรงสอนไว้แล้วโดยถูกต้องแม่นยำหาที่ค้านไม่ได้ จึงไม่มีที่สงสัยเลยแม้นิดเดียว

วันหนึ่งๆ ไม่ให้พิจารณาไม่ได้ มันหากเป็นอยู่ในหัวใจนี้ แต่จะพูดกับใครก็ไม่สนิทใจที่จะพูด เพราะผลที่จะเกิดนั้นมีน้อยมากกว่าผลเสีย จึงต้องคำนึงคำนวณถึงผลได้ผลเสียเกี่ยวกับการพูดการจาในสิ่งเหล่านี้ เรายอมรับว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นอย่างที่กล่าวมานี้ไม่สงสัยเลยแม้เม็ดหินเม็ดทราย ถ้าจะพูดถึงเรื่องความเข็ดหลาบ เข็ดอย่างถึงใจ เอาตายก็ยอมตายเพราะความเข็ดหลาบอันนี้ จะพาตายก็ยอมตายได้เลย นี่แลที่มีแก่ใจให้บากบั่นต่อความพากเพียร เพื่อความหลุดพ้นจากมหันตทุกข์อันยืดยาวนานนี้ไปได้เวลาใดก็พอใจ ที่จะให้เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นนั้น ไม่ขออยู่จมอีกต่อไปแล้ว

เพราะความจมอยู่ในกองทุกข์อันนี้ ไม่มีทุกข์ประเภทใดที่จะทำความเคยชินแก่ผู้ได้สัมผัสทุกข์นั้น ย่อมจะบีบบังคับสุดกำลังความสามารถแห่งกรรมของตนเหมือนกันหมด เมื่อพ้นจากนั้นมาแล้วไม่เห็นก็เหมือนไม่มี ผู้ที่ท่านเห็น เห็นอยู่ พระพุทธเจ้าท่านเห็นอยู่ พระสงฆ์สาวกบางองค์ท่านรู้อยู่ท่านเห็นอยู่ ท่านนำมาสั่งสอนพวกเรา แล้วพวกเราไม่เชื่อคนดังพระพุทธเจ้าเราจะเชื่อใคร นอกจากจะเป็นผู้บาปหนาสาโหดเสียจริงๆ เท่านั้น นั่นก็ยอมให้เป็นกรรมของสัตว์หมดทางจะช่วยเหลือได้

ถึงไม่เห็นก็ตามความจริงมีอยู่ เป็นแต่เพียงว่าเราไม่เห็น ความไม่เห็นนั้นจะนำไปลบล้างความจริงที่จะต้องโดนในกาลต่อไปนั้นได้อย่างไร ลบล้างไม่ได้จะต้องโดนแน่ๆ ถ้าเราไม่ทำความเข็ดหลาบ เพราะการได้ยินได้ฟังอรรถธรรมของพระพุทธเจ้าที่เป็นสวากขาตธรรม และปฏิบัติตามให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยเสียตั้งแต่บัดนี้ เราจะเสียท่าเสียทีให้กิเลสดังที่เคยเสียมาแล้วอยู่นี้ร่ำไป ไม่มีคำว่าสิ้นสุดยุติ ถ้าไม่นำธรรมนี้เข้าไปเป็นเบรกห้ามล้อ ไปตัดความยืดยาวแห่งภพแห่งชาติแห่งกองทุกข์ทั้งหลายนั้น ให้หดย่นเข้ามาด้วยการปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังของตน นี่มีเท่านี้ทางเดินทางออกของพวกเรา

สัตว์โลกนี้มีจำนวนเท่าไร ที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อของเราว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคล สัตว์ประเภทนั้นสัตว์ประเภทนี้ สัตว์น้ำสัตว์บก ที่มองเห็นหยาบๆ นี้ไม่ได้มีมากมายอะไรนะ สิ่งที่ละเอียดยิ่งกว่านี้ ภพที่ละเอียดยิ่งกว่านี้มีมากต่อมาก และรวมแล้วใครอยู่ที่ไหนภพใดก็ตาม ล้วนแล้วตั้งแต่ความอยู่ในภพที่ต้องเสวยกรรม ตามอำนาจแห่งวิบากกรรมของตนมากน้อยด้วยกัน ไม่มีใครที่จะเป็นอิสระได้เลยแม้แต่รายเดียว ผู้ที่ทุกข์มากก็จมมาก ทุกข์นานแสนนานมหันตทุกข์

ดังที่ท่านแสดงไว้ว่าสัตว์ทั้งหลายที่ไปตกนรก นรกมีหลายหลุมหลายประเภท ตามกรรมของสัตว์ที่มีแง่หนักเบาต่างกันเช่นนั้น นี่ก็พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น พร้อมกับเรื่องของพระองค์ก็เคยเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ สถานที่เหล่านี้อยู่แล้วอย่างประจักษ์พระทัย ไม่ทรงเห็นเพียงว่าสัตว์ทั้งหลาย ได้ตกนรกหมกไหม้ ได้รับความทุกข์ความทรมานในนรกหลุมนั้นๆ เพียงเท่านั้น ยังทรงเห็นเรื่องของพระองค์ที่เข้าไปเกี่ยวข้อง หรือไปตกนรกหมกไหม้เหมือนสัตว์ทั้งหลายนั้นเป็นจำนวนกี่ชาติอีกด้วย

ถ้าเราธรรมดานับ นับไม่ถ้วน เพียงเรื่องของพระองค์พระองค์เดียวเท่านั้น พระองค์ก็ทรงทราบไปหมด พระองค์รู้พระองค์เห็น เพราะพระองค์เคยเป็นมาแล้ว ประจักษ์พระทัยจึงนำมาสั่งสอน เป็นแต่เพียงไม่นำมาสั่งสอนสัตว์โลกอย่างเปิดเผยทุกแง่ทุกมุมว่า เราตถาคตเคยไปตกนรกหลุมนั้นหลุมนี้ เท่านั้นชาติเท่านี้ชาติเท่านั้นเอง ถึงพระองค์ไม่ได้นำมาแสดงอย่างเปิดเผยทุกแง่ทุกมุมก็ตาม ความจริงที่เป็นในพระพุทธเจ้าสมัยที่เป็นสามัญชนคนธรรมดาเหมือนสัตว์ทั่วๆ ไป พระองค์ก็เป็นเหมือนสัตว์ทั้งหลาย เขาได้รับความทุกข์ความทรมานมากน้อยเพียงไร เพราะกรรมอันใด พระองค์ก็เคยทำกรรมนั้นประเภทนั้น และได้รับผลเป็นความทุกข์ความทรมาน หนักเบามากน้อยมาเช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย จึงไม่สงสัยในพระองค์เอง และไม่สงสัยในสัตว์ทั้งหลายที่รู้ๆ อยู่เห็นอยู่ ประจักษ์กับพระญาณที่หยั่งทราบอยู่ตลอดเวลา ทั่วไตรโลกธาตุนี้มีอะไร มีแต่เรื่องสัตว์ทั้งหลายเสวยกรรมหนักเบามากน้อยเต็มพระทัย ไม่มีปิดบังลี้ลับเลย

เมื่อถึงกาลถึงเวลาที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วปิดไม่อยู่ ความจริงมีมากน้อยเพียงไร จะทะลุปรุโปร่งไปตามความจริงนั้นๆ พระองค์จึงได้นำความจริงเหล่านี้มาสั่งสอนสัตว์โลกอย่างเปิดเผย

กิเลสซึ่งเคยเป็นข้าศึกต่อธรรม คัดค้านธรรมลบล้างธรรมทั้งหลาย ก็มีมาตั้งแต่กาลไหนกาลไรจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และยังจะมีต่อไปอีกมากมายนานแสนนาน เมื่อโลกสมมุตินี้ยังมีอยู่เมื่อไร กิเลสกับหัวใจสัตว์จะต้องผูกพันกันไป ลบล้างสิ่งที่จริงทั้งหลายเพื่อความจอมปลอมของตนเข้าแทรกตลอดไป กิเลสทั้งหลายเหล่านี้แล เป็นเครื่องปิดบังความจริงของสัตว์ทั้งหลายที่เคยเป็นมาและเป็นอยู่ ทั้งความทุกข์ความทรมาน ทั้งสถานที่ให้เกิดความทุกข์ความลำบาก และเผาไหม้อยู่ในนรกตลอดมากี่กัปกี่กัลป์นับไม่ถ้วน มันไม่ให้เห็นความจริงที่เป็นมาของสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงแสดงให้สัตว์ทั้งหลายได้เห็นโทษตามหลักความจริงที่สัตว์ได้เสวย กิเลสมันก็คัดก็ค้านไม่ให้เชื่อว่านรกมีเป็นต้น

เมื่อในหัวใจของสัตว์โลกมีแต่กิเลสเป็นเจ้าอำนาจอยู่แล้ว ธรรมไม่มีอำนาจที่จะคัดค้านต้านทานได้ ก็จำต้องเชื่อไปตามกิเลสว่านรกไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี สวรรค์ไม่มี พรหมโลกไม่มี นิพพานไม่มี ไปตามกรรมของสัตว์เท่านั้นเอง สิ่งที่มีก็คือความอยากเต็มหัวใจ ความอยากอันนั้นถูกบรรจุด้วยพิษภัยของกิเลสไว้อย่างเต็มปรี่เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นสัตว์โลกตัวใดรายใด จะไม่หมุนไปตามอำนาจแห่งความผลักดันของกิเลสจะหมุนไปไหน เพราะไม่มีอะไรเป็นคู่แข่ง ธรรมยังไม่มีอำนาจพอจะเป็นคู่แข่งได้ ให้แทงทะลุถึงความจริงทั้งหลายมีนรกเป็นต้น ที่กิเลสมันต้มมันตุ๋นมันหลอกสัตว์ทั้งหลายอยู่สดๆ ร้อนๆ ว่านี่ไม่เห็นเหรอตาบอดเหรอ อะไรจะทุกข์จะเจ็บแสบยิ่งกว่าบาป อะไรจะกว้างจะลึกและแผดเผาสัตว์ให้ทรมานยิ่งกว่านรกหลุมต่างๆ นั้นล่ะ และอะไรจะสุขเย็นยิ่งกว่าบุญ    ยิ่งกว่าสวรรค์นิพพานเล่า เพียงกิเลสตัวมืดหนาตาบอด ทำไมจึงกล้าหลอกลวงสัตว์ได้ลงคอ นี่ถ้าเป็นภาษาตลาดเราจะไม่มีใครอดกลั้นได้ ต้องสับเขกกิเลสอย่างนี้แน่

แต่นี่ธรรมะในใจไม่มีกำลังพอจะแทงทะลุไปถึงความจริง แล้วนำเอาความจริงนั้นมาตีหน้ากิเลสให้ล้มทั้งหงายและสลบไปเสียบ้าง จะได้เข็ดเสียทีไม่กล้ามาทะลึ่งมากนักดังที่เป็นอยู่เรื่อยมานี้ แต่ทั้งนี้เพราะกิเลสมีกำลังมาก ธรรมในหัวใจของสัตว์ไม่มีกำลังพอ เพราะฉะนั้นสัตว์จึงต้องยอมเชื่อ ว่าอะไรก็ยอมเชื่อทั้งๆ ที่ไม่เป็นจริง ยอมให้มันหลอกอยู่ตลอดเวลา ต้มตุ๋นอยู่ตลอดมา หาความจริงมาอวดมาโชว์สัตว์ทั้งหลายไม่ได้ก็คือกิเลสนั่นแล เพราะตัวของมันเป็นตัวปลอมหมด ทั้งโคตรทั้งแซ่ลูกเต้าหลานเหลนของกิเลสมันปลอมไปด้วยกันทั้งนั้น แล้วมันจะเอาความจริงมายื่นให้สัตว์ทั้งหลายได้เชื่อความจริงนั้น แล้วหนีจากอำนาจของมันอย่างไร เพราะมันเป็นผู้ครอบงำ มันเป็นผู้บังคับบัญชาให้อยู่ใต้อำนาจของมันมาตลอดกาล ธรรมนั้นเป็นธรรมชาติที่ฉุดที่ลากออกจากสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย แต่ธรรมในใจไม่มีกำลัง จึงต้องให้กิเลสมันฉุดมันลากเอาตามความต้องการของมันนั่นแล จึงน่าทุเรศอย่างฝังใจ

ด้วยเหตุนี้จิตของสัตว์โลกที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส จึงหาทางเชื่อความดีได้ยาก เชื่อความจริงได้ยาก ทั้งที่ได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะกิเลส เพราะกรรมของตัวเองแท้ๆ มันก็ลืมไปเสีย เมื่อลืมไปแล้วก็มองไม่เห็นไปเสียอีก แล้วก็ทำให้เกิดความเข็ดหลาบไม่ได้เพราะไม่เห็นไม่รู้ ประหนึ่งว่าเราไม่เคยเป็นไม่เคยมี ทั้งๆ ที่ผ่านมาอย่างสดๆ ร้อนๆ กิเลสมันก็ปิดความจริงนั้นไว้เสีย มันไม่ให้รู้ไม่ให้เห็น แล้วบังคับให้สัตว์ทั้งหลายทำกรรมประเภทต่างๆ ตลอดเวลาไม่มีละเว้น

เพราะฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงไม่มีรายใด ที่ความอยากความทะเยอทะยานจะอ่อนกำลังลงเบาบางลง แต่เต็มไปด้วยความอยากความทะเยอทะยาน พาให้วิ่งเต้นเผ่นกระโดดไม่ว่าอยู่ในภพใดชาติใดของสัตว์ประเภทใด เพราะจิตดวงนี้อัดแน่นอยู่ด้วยแรงผลักดันของกิเลส ให้หมุนไปตามความต้องการของมัน ฉะนั้นสัตว์ทั้งหลายจึงได้หมุนอยู่ตลอดเวลา และหมุนแบบคนว่ายน้ำในมหาสมุทรนั่นแล ไม่มีฝั่งมีแดน แต่ก็ต้องแหวกต้องว่ายอยู่อย่างนั้น นี่แลกิเลสเป็นข้าศึกของธรรมของสัตว์มันเป็นอย่างนี้ คอยลบล้างธรรมอยู่ตลอดเวลาที่ได้โอกาส และอยู่ใกล้ชิดติดพันกับหัวใจสัตว์อย่างสนิทติดจม ถ้าไม่มีธรรมมาแยกให้พอลืมหูลืมตากันได้

โน่น ตอนจะทราบได้ ทราบจากพระพุทธเจ้าเป็นอันดับแรก จากพระอรหันต์เป็นอันดับสอง ทราบจากความเป็นของเจ้าของผู้ปฏิบัติเป็นอันดับสาม สามพยานนี้หยั่งเข้าสู่ความจริงด้วยกัน เมื่อเข้าสู่ความจริงแล้วจะเอาอะไรมาลบล้างก็ลบล้างไม่ได้ เช่นว่านรก ญาณความหยั่งทราบของผู้ควรจะรู้จะเห็นแม้ยังไม่ถึงวิมุตติหลุดพ้น อุปนิสัยมีก็ทราบได้ หยั่งลงไป จิตวิญญาณของเราเคยเป็นยังไงมา พิจารณาทะลุและเห็นชัดเจนตามความเป็นจริง ตามความเป็นมาของตนแล้วจะลบล้างได้ยังไง ความเชื่ออันนี้แลเป็นสิ่งที่ฝังใจอย่างมากมาย ประการสำคัญคือพิษภัยที่ฝังอยู่ภายในจิตใจมีมากน้อยเพียงไร รู้ชัดด้วยอำนาจของธรรม คือ สติธรรม ปัญญาธรรม เป็นเครื่องเพิ่มพูนหนุนกันเข้าไปๆ ก็ยิ่งทำให้ใจหมุนเป็นธรรมจักรไปเลยในทางความเพียรไม่มีคำว่าถอย

ผู้นี้แลเป็นผู้ที่เห็นภัยอย่างประจักษ์ ประหนึ่งว่าพระพุทธเจ้ามาประทับยืนชี้บอกและฉุดลากอยู่ต่อหน้าต่อตา เอ้า ขึ้นมาๆ จับมือตถาคตนี้ว่างั้น ตถาคตจะพาให้หลุดให้พ้นเดี๋ยวนี้ๆ นี้คือกองแห่งทุกข์ทั้งหลาย ประหนึ่งท่านประกาศอย่างนั้นในธรรมของท่าน เมื่อได้รู้ตามเห็นตามหลักความจริงที่พระองค์ทรงสอนแล้วนั่นแหละใกล้เต็มทีแล้ว ใกล้เข้าไปทุกที ความดีดความดิ้นเพื่อให้หลุดให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งหลาย ซึ่งไม่เคยเชื่อมาแต่ก่อนก็เชื่อเต็มหัวใจแล้ว และดีดอย่างเต็มกำลัง ชีวิตจิตใจหลุดขาดที่ไหน เอ้า ยอม ถ้าชีวิตลมหายใจยังมีอยู่ ต้องดิ้นต้องดีดให้หลุดให้พ้นอย่างสดๆ ร้อนๆ นี้จนได้

นี่อำนาจของธรรมเมื่อมีพอๆ กัน เห็นความจริงเต็มหัวใจ คือทั้งเห็นโทษเต็มหัวใจ ทั้งเห็นคุณค่าแห่งธรรมทั้งหลายเต็มหัวใจแล้ว กำลังของใจจะมีอะไรเทียบเท่าเล่า ดังนั้นเมื่อทำอะไรลงไปด้วยกำลังของใจแล้ว ย่อมเต็มเม็ดเต็มหน่วย ย่อมมีกำลังมากทุกสิ่งทุกอย่าง และหลุดพ้นไปได้ดังพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายท่านหลุดพ้น ท่านหลุดพ้นอย่างนี้ ถ้าไม่มีกำลังใจหลุดไม่ได้พ้นไม่ได้ ทำอะไรเรื่องกำลังใจจึงเป็นสำคัญ เหตุที่จะเกิดกำลังใจก็ต้องมีสิ่งแวดล้อมช่วยหนุนอีกมากมาย

นี่ก็ธรรมของพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่ตลอดเวลา ประกาศด้วยหลักความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่องเลยในตำรับตำรา เช่นท่านว่ากิเลสทุกประเภทมีอยู่ในหัวใจสัตว์โลกดังนี้ แล้วกิเลสมีไหมในหัวใจเรา ที่พระพุทธเจ้ารับสั่งหรือว่าเทศน์สอนไว้นี้มีผิดที่ตรงไหน ดูใจซิกิเลสมีไหมในหัวใจเรา พระพุทธเจ้าบอกให้ชำระ ชำระอะไร บอกว่าชำระกิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน กิเลสอยู่ที่ใจ ท่านสอนไว้นี้ผิดไหม เราพิจารณานี่ซิเรื่องสดๆ ร้อนๆ แท้ๆ

หรือกิเลสไปอยู่ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศโน้นเหรอ ให้ความทุกข์แก่ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศแร่ธาตุต่างๆ ไปโน้นเหรอ หรือให้โทษให้ความทุกข์ที่ใจของเราเอง ใครก็ต้องยอมรับว่าให้ทุกข์อยู่ที่นี่เพราะกิเลสอยู่ที่นี่ นี่พระพุทธเจ้าแสดงสดๆ ร้อนๆ เรื่องของธรรมทุกขั้นทุกตอนก็แสดงให้ประจักษ์อยู่ภายในจิตใจนี้ ธรรมเครื่องแก้ธรรมเครื่องถอดเครื่องถอนกิเลสท่านแสดงลงที่ใจทั้งนั้น เพราะกิเลสมีอยู่ในหัวใจ ธรรมก็มีอยู่ในหัวใจในฉากเดียวกัน การแก้ไขถอดถอนท่านบอกให้ละสิ่งใด ก็ละสิ่งนั้นปล่อยสิ่งนั้นวางสิ่งนั้น ตามที่ธรรมท่านสอน ย่อมเป็นความถูกต้องดีงามแก่ผู้ปฏิบัติตาม

คำว่านรกมีอยู่ก็มีอยู่จริงตั้งแต่กาลไหนๆ มา เช่นเดียวกับกิเลสที่มีอยู่ในหัวใจของเราสดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกัน กิเลสมีอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกได้ ทำไมนรกมีไม่ได้ตามหลักธรรมชาติหลักความจริงของตน เพราะนรกมีอยู่แล้วตั้งแต่เรายังไม่ได้ยินได้ฟัง และต่างก็เคยตกนรกมาแล้วกี่ล้านหน เป็นแต่จำความเป็นมาของตนไม่ได้เท่านั้น จึงสนุกสร้างความประมาทไว้เผาตัวชนิดไม่ลืมหูลืมตาเรื่อยมา ไม่ทราบเมื่อไรจะรู้สึกตัวพอหาทางออกได้

ทุกข์ก็มีอยู่แล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด เกิดมาในภพนี้ก็เคยเสวยทุกข์นี้อยู่แล้ว บาป บุญ นรก เป็นของมีอยู่ดั้งเดิม มีมาตั้งแต่กาลไหนๆ พระองค์ทรงสอนตามหลักความจริงที่มีอยู่อย่างสดๆ ร้อนๆ เช่นเดียวกับกิเลสมีอยู่ในหัวใจของสัตว์นี้แล ไม่มีอะไรผิดแปลกต่างกันเลย ไม่มีอะไรมีน้ำหนักมากน้อยต่างกัน มีน้ำหนักเท่ากันด้วยความจริงตามที่ทรงสั่งสอนไว้แล้วทุกประการ เอ้านำเข้ามาชั่งในหัวใจตัวเองซิ

เราจะยอมถลอกปอกเปิก ได้รับความทุกข์ความทรมานไปกับกิเลสอย่างไม่ลืมหูลืมตานี้ มันเกินไปนะนักปฏิบัติเรา ไม่เชื่อคนอย่างพระพุทธเจ้าเราจะเชื่อใคร พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เชื่อได้แล้ว ถ้าเป็นหมื่นเปอร์เซ็นต์ก็หมื่นเปอร์เซ็นต์ ไม่มีขาดตกบกพร่องเลย แต่กิเลสนี้หมื่นเปอร์เซ็นต์ก็เป็นตัวจอมปลอม หลอกลวงมาตลอดเช่นเดียวกัน นี่เราก็เคยเชื่อมันมานานแสนนานแล้ว เป็นยังไงได้รับความวิเศษวิโสอะไรบ้าง เอามาเทียบให้ถึงใจแล้วปฏิบัติให้ถึงธรรม อย่าอยู่อย่างเหลาะๆ แหละๆ

ผมพูดตามความจริง การแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน ผมสั่งสอนด้วยความเมตตาสงสาร เพราะสิ่งที่กล่าวตามที่ควรจะรู้จะเห็นแห่งกำลังของเจ้าของนี้ไม่มีใครบอกก็ตาม ไม่พูดให้ใครฟังก็ตาม แต่มันเต็มอยู่ในหัวใจก็บอกว่าเต็มอยู่ในหัวใจ จึงได้ยอมเชื่อพระพุทธเจ้าอย่างหมอบราบๆ อย่าว่าเชื่อแต่กิเลสว่าเป็นกิเลสนี้เลย แม้ฝ่ายธรรมก็เชื่อเต็มหัวใจ สิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายที่พระองค์ทรงสั่งสอนก็เชื่อเต็มหัวใจแบบเดียวกัน ไม่มีอันใดยิ่งหย่อนกว่ากันเลย จึงได้แนะสั่งสอนหมู่เพื่อนด้วยความเมตตาสงสาร

อย่าได้กล้าได้หาญในสิ่งใดที่พระพุทธเจ้าทรงหักทรงห้าม อย่าฝืนๆ อย่าทำ ถ้าหาญทำยังไงก็ต้องไปเจอเอาสิ่งนั้นจริงๆ ไม่สงสัย พระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกลวงสัตว์โลกมาแต่กาลไหนๆ เราอย่าดื้ออย่าด้าน ความดื้อด้านเป็นเรื่องของกิเลสต่อสู้ธรรมลบล้างธรรม แล้วจะมาลากเราไปเป็นตัวประกันรับเคราะห์รับกรรมจมอยู่ในนรก จะเป็นใครเป็นผู้จม กิเลสไม่ได้จมนะ ตัวเรานี้ต่างหากจม ให้พึงทราบว่าเรานี้จะเป็นผู้รับประกันกิเลสในทางความทุกข์ความทรมานทั้งหลาย หนักเบามากน้อยหรือยืดยาวนานเพียงไร เราเป็นผู้รับเคราะห์รับกรรมทั้งนั้น เรายังจะหาญรับอยู่เหรอ ยังจะยอมให้กิเลสมันต้มมันตุ๋นอย่างนี้ตลอดไปอยู่เหรอพิจารณาซิ เอากิเลสนี้ละเป็นเครื่องเทียบกับเรื่องทั้งหลายที่กล่าวมา เพราะเป็นความจริงตามสวากขาตธรรมเหมือนกันหมดเลย พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ในจุดใดๆ หาที่แย้งไม่ได้  เต็มไปด้วยความจริงๆ ให้ตั้งใจปฏิบัตินะ ความเชื่อความฝากเป็นฝากตายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คือพระพุทธเจ้าองค์เอกผู้นำธรรมมาสอนโลก นอกนั้นพึงระวังอย่าหลวมตัว ส่วนมากมักเป็นยาพิษเคลือบน้ำตาล

โลกมันร้อน.ร้อนเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่ร้อนเพราะกิเลสจะร้อนเพราะอะไร ธรรมท่านไม่ได้พาใครให้ร้อน ก็เห็นกันอยู่รู้กันอยู่ ตามีหูมีแทนที่จะนำไปใช้ประโยชน์ตามอรรถตามธรรมที่ทรงแนะนำสั่งสอน มันกลับให้กิเลสเอาไปใช้ เอาไปถลุงเสียหมด ผลที่เกิดขึ้นจากการถลุงอายตนะต่างๆ ของเรานั้น ก็กลับมาเป็นไฟเผาเราเอง โลกมันถึงได้ร้อน พากันพิจารณาซิ ราคคฺคินา นี้เป็นตัวสำคัญมาก เวลานี้กำลังกำเริบเสิบสาน อันนี้เป็นตัวเหตุทำให้โลกร้อนมากที่สุด เวลานี้กำลังเด่นกำลังออกหน้าออกตา ออกตลาดลาดเลไม่มียางอายเป็นความหน้าด้านไปหมด

คนเราไม่หน้าด้าน แต่กิเลสมันหน้าด้านซิ เพราะกิเลสอยู่กับคน ก็เลยกลายเป็นคนหน้าด้านไป เวลาเกิดผลคือความทุกข์เราเป็นผู้รับเหมาเอา นี่ซิมันน่าทุเรศมากที่สุดเลย หมดศักดิ์ศรีดีงามแห่งความเป็นมนุษย์ เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเราไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่านักบวชและฆราวาส ปล่อยตัวให้กิเลสเอาไปถลุงเสียจนเสียผู้เสียคน คำว่าพุทธๆ อันเป็นเครื่องหมายป้องกันตัวไม่ปรากฏในจิตใจเลย มีแต่เรื่องเถลไถลไปกับเรื่องของกิเลสเสียทั้งมวล นั่นพิจารณาซิ

ความรู้ทั้งหมดที่ผลิตขึ้นมาในแง่ใดมุมใด มีแต่เรื่องของกิเลสผลิตให้ ไม่ว่าจะเป็นชาติชั้นวรรณะใดก็ตาม ความรู้มีมากน้อยเพียงไร ทั้งคนมีคนจนคนโง่คนฉลาด มีแต่เรื่องของกิเลสตัดไม้แล้วยัดใส่มือให้ตีหัวกัน ตีหัวเจ้าของแหลกไปหมด มีแต่กองทุกข์เป็นฟืนเป็นไฟเพราะความรู้นั้นแหละ เพราะความรู้นั้นเป็นไฟ กิเลสมันแทรกเข้าๆ เราไม่รู้ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี เวลาทำลงไปแล้วมันไม่เห็นดี เห็นแต่เป็นฟืนเป็นไฟ นี่ละตัวสำคัญ เช่น โลภก็มาหาตัวนี้ละ มาหาตัวราคะนี่เป็นสำคัญ

อวิชชาเป็นสิ่งที่ละเอียดอยู่ภายใน แต่ที่เด่นที่สุดในโลกในสงสารในสังคมมนุษย์และสัตว์ทุกวันนี้ ได้แก่ราคะตัณหา อันนี้เด่นมากจนทำลายคนไม่ให้มีศักดิ์ศรีดีงาม ไม่ให้มีกิริยาแห่งความเป็นมนุษย์เหลืออยู่ ทั้งเขาทั้งเราทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งนักบวชและฆราวาส มันทำลายไปหมด ความศักดิ์ศรีดีงามก็ไม่มีถูกมันทำลายหมด มนุษย์เราไม่ว่าหญิงว่าชายที่หาคุณค่าไม่ได้ เพราะกิเลสตัวราคะตัณหาเป็นสำคัญ จับมัดคอติดกันไปหมดเลย มีสภาพน่าเศร้าเท่ากันไปเลย ถ้าได้เพลิดได้เพลินแล้วทั้งวันทั้งคืน จะเป็นจะตายก็ไม่ว่า ขอให้กิเลสมันพาเพลิดพาเพลินเถอะ ถึงไหนถึงกัน

ไม่ว่าหญิงว่าชาย เอ้า จะได้จะเสียอะไรก็ช่างมัน ไม่มีคำว่ารักนวลสงวนตัว เอะอะเจอกันเข้าแย้มให้กันแล้วๆ เพราะอยากให้ตั้งแต่เขายังไม่ขอ นี่ละอำนาจแห่งราคะตัณหาเป็นอย่างนี้ มันถึงได้ดิ้นกันชนิดไม่รู้จักเป็นจักตายมนุษย์เรา ดูเอาซิเราไม่ได้ตำหนิใคร พูดตามหลักความจริงที่กำลังเป็นอยู่เวลานี้ มันมีศักดิ์ศรีดีงามที่ตรงไหน ถ้าลงอันนี้ได้เข้าครอบงำหัวใจและพาออกตลาดลาดเลแล้วมันมียางอายที่ไหน ไม่มี มันเต็มไปหมดอย่างนี้แหละ เขาเหมือนเรา เราเหมือนเขา

นี่แลกิเลสมันมีอำนาจขนาดนี้ ความดีงามหรือกิริยามารยาทศักดิ์ศรีของมนุษย์หรือศีลธรรมนี้ไม่ต้องถามหา ถูกมันเตะมันถีบมันยันออกหมด ยังเหลือแต่ร่างมนุษย์เท่านั้นเอง ทั้งหญิงทั้งชายมีสภาพเท่ากัน ตื่นตามาเช้ามีแต่เรื่องเพลิดเรื่องเพลินเต็มหัวใจ เรื่องอรรถเรื่องธรรมซึ่งเป็นเครื่องรักษาและป้องกันนั้น ไม่สนใจนำพา ดีไม่ดีต่อไปถ้ามันกำเริบมากพอๆ กันแล้วจะไม่นุ่งเสื้อนุ่งผ้าแหละ จะปล่อยปละละเลยไปหมดมันถึงเต็มยศ ให้เจ้าราคะตัณหานี้ได้ออกลวดลายเต็มที่เต็มฐานเต็มบ้านเต็มเมือง เต็มความสามารถของมัน แล้วทุกข์มียังไงค่อยว่ากัน ถ้ามีทางที่จะพิจารณาได้ ถ้าไม่พิจารณาได้ก็จมไปๆ ทั้งเขาทั้งเราอย่างนี้จะว่าไง

นี่ละโลกขาดจากศีลจากธรรม มีตั้งแต่ความฉิบหายวายปวงไปอย่างนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าคนชาติชั้นวรรณะใดฐานะใด ถ้าลงฟืนไฟอันนี้ได้เข้าถึงตัวแล้วมันแหลกไปตามๆ กันหมด ไม่มีใครมีคุณค่ามีราคาอะไรแหละ ถึงว่ามีก็ว่าเอาเฉยๆ เสกสรรปั้นยอเอาเฉยๆ ส่วนหัวใจมันเป็นฟืนเป็นไฟด้วยกันหมดเพราะอันนี้แผดเผา ราคคฺคินา มันแผดเผา โทสะมันไม่เอานี้เป็นเหตุ มันจะเอาอะไรเป็นเหตุ ไอ้เรื่องความหลงมันหลงมาแล้วตั้งแต่ยังไม่เกิด มันไม่หลงมันไม่เกิดแหละ เกิดมาเพื่ออันนี้เอง เพราะอันนี้มีกำลังมาก ศีลธรรมเข้าไปยุ่งไม่ได้ แนะนำสั่งสอนกันทางด้านศีลด้านธรรมนี้ ดีไม่ดีหัวเราะเยาะกัน หาว่าครึว่าล้าสมัย อะไรๆ ไม่ทันเขาโน่นน่ะ ถ้าลงเรื่องของมันแล้ว เอ้า หัวขาดก็ยอมให้ขาดไปเพราะความพอใจ โรคอันนี้กำลังกำเริบเวลานี้

ศาสนาล่วงมาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปีเพียงเท่านี้ดูเอา หูมีตามีจะไปยากอะไร เรามีหูมีตาด้วยกันทุกคน กิริยาอาการที่แสดงออกมานี้ไม่ปิดบังลี้ลับจากหลักความจริงที่เป็นอย่างนั้น แล้วโลกนี้เป็นยังไง มันพาให้ความสงบสุขขนาดพาขึ้นหอปราสาทราชมณเฑียร เพราะ ราคคฺคินา โทสคฺคินา นี้มีได้เหรอ นอกจากเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กัน

แม้ที่สุดสามีภรรยาอยู่ด้วยกันก็ไว้ใจกันไม่ได้ มีแต่ความระแคะระคาย เพราะใจที่ราคะตัณหาเข้าครอบงำแล้วมันเป็นเหมือนลิง จะว่ายังไง เมื่อไม่มีศีลธรรมในใจแล้วมันปล่อยตัวไปในทางเลวทรามได้หมด ทำอะไรได้หมด เรื่องมีคู่มีสามีภรรยามันไม่ได้เอามาเป็นข้อคิดความสำคัญอะไรแหละ มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความปล่อยเนื้อปล่อยตัว ปล่อยไปได้วันยังค่ำคืนยังรุ่ง ไม่มีเขตมีแดนไม่มีหลักมีเกณฑ์ไม่มีฝั่งมีฝาเลย ถ้าลงธรรมชาตินี้ได้เข้าสิงหัวใจมากๆ แล้วมันเป็นอย่างนั้น ลูกเต้าเหล่ากอเด็กเล็กเด็กแดงนี้ก็เป็นไปตามกันหมด เพราะพ่อกับแม่ผู้ใหญ่พาให้เป็น เลยร้อนไปตามๆ กันหมด

นี่ละคนสร้างความฉิบหายแก่ตัว สร้างความเดือดร้อนให้แก่ตัว เพราะความไม่มีศีลธรรมในใจและความประพฤติเป็นอย่างนี้แล สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันก็หาความสนิทกันไม่ได้ ทั้งๆ ที่นอนติดแนบอยู่ด้วยกันนั่นแหละ มันก็ไว้ใจกันไม่ได้ พอออกจากนี้ไปแล้วก็ไปสร้างนรกอเวจีขึ้นมาเผากันแล้วๆ เมียก็เผา ผัวก็เผา ตางคนต่างสร้าง ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างเป็นฟืนเป็นไฟ ความหมายของโลกความหมายของครอบครัวผัวเมียเหย้าเรือนไม่มีเลย เพราะอันนี้ทำลายเสียหมด เมื่อเป็นเช่นนี้สามีภรรยาจะเอาความไว้วางใจ เอาความอบอุ่น เอาความตายใจ เอาความสงบสุขให้แก่กันและกันได้ยังไง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยทำผู้ใดให้อบอุ่นให้ตายใจ มีแต่เรื่องสร้างความฉิบหายวายปวงให้แก่โลกทั้งนั้น เมื่อต่างคนต่างเสริมแล้วก็จะเป็นอย่างนั้น

ถ้าลงศีลธรรมได้ห่างไป เพราะหันหลังให้ศีลธรรม ห่างไปเท่าไรก็เหมือนกับคนไข้ห่างหมอห่างยานั่นเอง เมื่อห่างอันหนึ่งก็เข้าใกล้ชิดติดพันกับสิ่งหนึ่งคือของแสลงน่ะ สิ่งที่คนไข้ชอบที่สุดคือของแสลง อันนี้ของแสลงศีลธรรมนั่นแหละ โลกที่ชอบที่สุดคือสิ่งที่แสลงต่อศีลต่อธรรม ที่จะทำลายตัวให้ฉิบหาย อันนี้ที่โลกชอบที่สุด เพราะฉะนั้นทุกข์กับโลกจึงแยกกันไม่ออก นับแต่วันจะทวีรุนแรง ถ้ายังไม่เห็นคุณค่าของธรรมอยู่แล้ว ยังไงก็ฉิบหายวายปวงอย่างสดๆ ร้อนๆ ตกนรกทั้งเป็นนี้แล

เราอย่าด่วนไปพูดเรื่องนรกเมืองผีนั้นน่ะ ดีไม่ดีจ่ายมบาลจดบัญชีไม่ทันนั่นแหละ ถ้าเราจะพูดแบบบัญชี เพราะมันต่างคนต่างสร้างเต็มบ้านเต็มเมืองเต็มแผ่นดิน ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง ไม่ว่าชาติชั้นวรรณะใดฐานะใด มันสร้างตั้งแต่สิ่งเหล่านี้ที่จะเป็นฟืนเป็นไฟต่อกัน และเมื่ออันนี้มันเป็นหลักอันใหญ่แล้ว กระจายออกไปในกิริยาอาการใดๆ จะเป็นปลีกเป็นย่อย มันก็เริ่มเป็นใหญ่ด้วยกันหมด ด้วยอันนี้เองพาให้เป็น มันจึงได้เผาไหม้กันตลอดไป นี่ละเรื่องโลกขาดศีลธรรมหรือไม่มีศีลธรรมเป็นอย่างนี้

เราตื่นอะไรเวลานี้ พิจารณาซี สิ่งเหล่านี้แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานเขาก็มี เราจะส่งเสริมสิ่งเหล่านี้ไปอวดสัตว์ดิรัจฉานให้เขาหัวเราะหาสมบัติอะไร ไม่อายเขาบ้างหรือ ธรรมะความดีงามมีอยู่ทำไมไม่สะดุดใจบ้างพอมีสติยับยั้งตัว เราไปหวังวิเศษวิโสอะไรกับสิ่งเหล่านี้ ตั้งแต่เพียงมันแย็บขึ้นมาภายในหัวใจของผู้ที่ต้องการละต้องการถอน ต้องการจะฆ่ามันอยู่แล้ว ยังเจ็บแสบขนาดไหน แล้วยังจะไปเสริมมันเป็นบ้ากับมันอยู่แล้วเป็นยังไง หมด ไม่มีอะไรเหลือในตัวเลยคนคนนั้น พระองค์นั้น ถ้าเราจะเห็นโทษก็ให้เห็นซิ พระพุทธเจ้าสอนให้เห็นโทษแท้ๆ ไม่ได้สอนให้เห็นคุณ ทำไมเราจึงจะพลิกตาลปัตรกลับมาเป็นเทวทัตต่อสู้พระพุทธเจ้า ด้วยการคัดค้านต้านทานพระองค์อย่างนี้มันมีอย่างเหรอ ให้พากันพินิจพิจารณานะ

การพูดทั้งนี้เราไม่ได้พูดให้ร้ายป้ายสีต่อโลกต่อสงสาร เราพูดตามหลักความจริง เพื่อหาทางแก้และถอดถอนต่างหาก ดูเอาก็ได้นี่ ถ้าว่าหาเรื่องหาราวต่อโลกต่อสงสารว่าไม่มีความจริงแล้ว ดูเอาก็รู้นี่เป็นยังไงความขาดศีลธรรม เพียงคนคนหนึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องติดต่อกับเรา มีแต่นำเรื่องเหล่านี้มาพูดมาร้องทุกข์ มาขอให้ช่วยแก้ไข เพื่อบรรเทาทุกข์และดับทุกข์ ถ้าเป็นของดีแล้วมาพูดทำไมมาบ่นทำไม รายใดมาเกี่ยวข้องมักมีแต่เรื่องอย่างนี้ๆ ทั้ง ๆ ที่เจ้าของนั่นแหละเป็นผู้ชอบเป็นผู้ทำเป็นผู้สร้างขึ้นมา ซึ่งเท่ากับเอามือเขียนเอาตีนลบนั่นเอง ไม่ได้เห็นโทษของมันบ้างเลย แล้วก็สร้างอยู่ตลอดเวลา บ่นอยู่ตลอดเวลา

ธรรมท่านไม่ให้ได้บ่นแหละ ลงเป็นธรรมแล้วมีมากมีน้อยภูมิใจเย็นใจสบายใจไปหมด ถ้ามีศีลมีธรรมแล้วนะ เอ้า ทีนี้กลับความรู้สึกและความประพฤติให้ตรงกันข้าม ฆราวาสเรานี้มีเพียงศีล ๕ นี้พอ เย็นไปหมดทั้งบ้านนั่นแหละ ไม่จำเป็นจะต้องยกมาทั้งคัมภีร์ทั้งพระไตรปิฎกมารักษามาปฏิบัติแหละ เพียงศีล ๕ เท่านั้นก็เย็น พระเรา ๒๒๗ นี้ก็เย็น ปาณาฯ ฟังซิฆ่าเขาฆ่าเราก็มีน้ำหนักเท่ากัน ความรักชีวิตของเขาของเรามันเท่ากัน สมบัติของเขาของเรามีน้ำหนักเท่ากัน รักเท่ากัน

กาเมสุ มิจฉาจาร นี้ยิ่งเป็นเรื่องสำคัญมากทีเดียว ต่างคนต่างรักษาอย่างเข้มงวดกวดขัน เป็นตายไม่ยอมลดละการรักษา เพราะเรามีขอบมีเขตแล้ว จะทำลายตนด้วยการฝ่าฝืนไปหาอะไร ถ้าจะวิเศษเพียงเมียของเราคนเดียวเท่านี้ก็วิเศษแล้ว ผัวของเราคนเดียวนี้ก็วิเศษแล้ว จะไปหาอะไรตั้งหมื่นๆ แสนๆ ของผัวๆ เมียๆ กาฝาก ให้มันวิเศษมากยิ่งกว่ามีผัวเดียวเมียเดียวนี้ นอกจากจะมาเผาบ้านเผาเรือน เผาสมบัติเงินทองให้ฉิบหายป่นปี้และบ้านแตกสาแหรกขาดไปเท่านั้น ยังมองไม่เห็นผลดีของการมีผัว-เมียกาฝากเป็นหมื่นๆ แสนๆ นี้

คำว่า มุสาฯ มันเป็นที่ไว้ใจได้ยังไง ฟังแต่ว่า มุสา ความหลอกลวง มันเป็นของที่ไว้ใจกันได้ยังไง ถ้าทำความสัตย์ความจริงต่อกันแล้วคนเราไม่ค่อยได้โกหกกันแหละ อันนี้การแสดงกิริยาอาการต่างๆ ออกมาสู่กันมีแต่เรื่องโกหก จึงต้องมาโกหกกันตลอดเวลา เพื่อปกปิดสิ่งที่ทำไม่ให้เขาเห็นไม่ให้เขารู้ ทำแล้วว่าไม่ได้ทำ โลกจึงโกหกกันเรื่อยมาจนเป็นยาเสพย์ติด วันหนึ่งๆ ไม่ได้โกหกเป็นไม่ได้ อกแตกตาย

สุรา ยาเมานี่ก็เหมือนกัน นี้เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญอีกอันหนึ่ง เป็นสาเหตุแห่งการก่อสร้างคดีทั้งหลายขึ้นมา คดีในตัวเอง คดีในหมู่เพื่อน คดีในสังคม คดีทั่วโลกดินแดน ก็คือสุรานี้ละเป็นตัวสำคัญมาก มันมีคุณค่ายิ่งกว่ามนุษย์หรือ ถึงได้ผลิตได้สร้างมันขึ้นมาเอานักหนา อันนี้คือน้ำบ้าเราดีๆ นี่แล คนอยู่ดีๆ ไม่เป็นบ้า พอกินนี้เข้าไปก็เป็นบ้า ไม่รู้จักของดีของชั่วของมีราค่ำราคา ไม่รู้จักสูงจักต่ำก็คือตัวบ้านี้เองพาให้เป็นไป แล้วคนมีคุณค่าขนาดไหน คนคนหนึ่งมีคุณค่าขนาดไหน อันนี้มันมีคุณค่าอะไรบ้าง นอกจากเป็นยาพิษเผาคนให้เสียคนเป็นจำนวนมาก ทำคนให้ฉิบหายวายปวงไปเพราะสิ่งนี้เป็นสาเหตุ โทษของมันในธรรมท่านก็บอกไว้ว่ามีตั้ง ๖ สถาน ถ้าพูดตามหลักความจริงแล้ว ก็ไม่ทราบว่าผลิตสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาหาอะไร เพราะเป็นการทำลายมากกว่าจะให้คุณ

นี่แลการรักษาศีล ๕ อย่างเป็นแบบฉบับแก่ตัวจริงๆ ไม่ล่วงเกินฝ่าฝืน ย่อมแสนสบาย จะไปไหนไปเถอะ เรื่องความมีความจนนั่นเป็นธรรมดาของโลกอนิจจัง มีมาก็ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา มันเป็นอย่างนั้น แต่เรื่องศีลเรื่องธรรมซึ่งอยู่ในวิสัยที่จะรักษาให้เป็นความร่มเย็นเป็นสุข ความฝากเป็นฝากตายต่อกันในครอบครัว เพื่อเป็นความอบอุ่นตลอดถึงลูกเด็กเล็กแดง หรือกุลบุตรสุดท้ายภายหลัง เอ้า รักษาให้ดีมรดกอันนี้รักษา ให้เชื่อตัวเองให้แล้วจะเย็นไปเรื่อยๆ เราเย็นแล้วลูกเต้าหลานเหลนยังเย็นอีก กุลบุตรสุดท้ายภายหลังก็เย็น ยังมีแบบมีฉบับไปยึดไปถือเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตน ไม่ได้ต่างคนต่างสร้างฟืนสร้างไฟมาเผากันดังที่เคยเป็นมา

อย่างที่เป็นอยู่เวลานี้เป็นยังไง อยู่ที่ไหนไปที่ใดก็ขนมาเผากันเต็มบ้านเต็มเมือง แล้วก็ไปตำหนิคนอื่นว่าไม่ดี ว่าเป็นกับคนนั้นคนนี้ ผู้ใหญ่ก็ตำหนิว่าเด็กไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ผู้ใหญ่นั่นแลเป็นตัวสำคัญที่ดื้อด้านสันดานหยาบทำเด็กให้เสีย ผู้ใหญ่นั่นแหละตัวคึกคะนองอยู่ไม่เป็นสุข หาเอาเรื่องมาเพลิดเพลินรื่นเริงบันเทิงและเผาคนอื่นไปด้วย ไม่ได้คำนึงคำนวณอะไร แล้วก็ไปยกโทษให้คนอื่น ว่าเด็กไม่ดีอย่างนั้นเด็กไม่ดีอย่างนี้

เด็กทุกวันนี้เป็นยังไง เด็กทุกวันนี้ส่วนมากไม่ค่อยดีและไม่ดีเลย เพราะสิ่งที่จะทำให้เด็กเสียคนมีมากทุกหย่อมหญ้า ที่สำคัญก็ผู้ใหญ่และพ่อแม่ที่เป็นแบบพิมพ์ไม่ดี พ่อแม่เหมือนกับลิงกับผีนี่ แล้วจะเอาอะไรมาให้เด็กดี ต้องสร้างตัวของพ่อแม่ให้ดีซี เด็กอยู่ในกรอบของพ่อของแม่ อยู่ในอำนาจของพ่อของแม่ ต่างคนต่างอบรม ต่างคนต่างดัดแปลงกันให้ดี มันจะหนีไปไหน ก็ต้องดีจนได้ ถึงจะเสียก็มีน้อย ไม่ได้เสียมากเหมือนอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้ เพราะการปล่อยตัวทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็ก มันถึงได้เป็นอย่างนั้น

นี่เรื่องของธรรมเป็นยังไง เห็นความแปลกประหลาดความอัศจรรย์ไหม เพียงรักษาศีล ๕ เท่านี้ เอ้า รักษาให้ดีจริงๆ ซิ อย่าทำเล่นๆ ผลจะเป็นยังไง จะเย็นไหมในครอบครัว ถ้าเราอยากเห็นความเด็ดความเดี่ยว ความเฉียบขาดแห่งศีลธรรมในตัวเรา เพื่อความอบอุ่นประจักษ์ใจในครอบครัวเรานี้ เราต้องเป็นผู้เด็ดผู้ขาดต่อความชั่วความไม่ดีทั้งหลาย ที่จะมาทำลายศีลธรรมเรา ซึ่งเป็นคุณสมบัติอันล้ำค่าของหัวใจมนุษย์เรา หัวใจครอบครัว หัวใจทุกคน อะไรไม่ให้มาทำลายแล้ว ธรรมนี้แลจะสร้างความอบอุ่นขึ้นมาภายในจิตใจของเรา มีคุณค่าขึ้นมาในตัวเรา

คุณค่าของคนจะเกิดขึ้นมาจากศีลจากธรรม คือจากความประพฤติดีตามศีลธรรม ไม่ได้เกิดขึ้นจากอำนาจของกิเลสราคะตัณหาเหล่านี้นะ นี้ส่วนมากมีแต่การทำลายๆ นี่แลถ้าเลยพอดีแห่งธรรมไปมันเป็นอย่างนั้น ความพอดีเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้พระองค์ก็ไม่ได้ทรงตัดขาดนี่นะ เรื่องของโลกผู้มีกิเลสประเภทนี้ครองใจพระองค์ก็ทราบอยู่ แต่ให้พากันรักษาให้ดีฟืนไฟที่ว่าจำเป็นสำหรับจุดสำหรับไต้ เพื่อความสว่างสำหรับหุงข้าวต้มแกงก็ให้รู้ ว่าตนมีฟืนมีไฟที่ปราศจากมันไม่ได้ แต่ให้รักษาให้ดีอย่าพากันประมาท จะไหม้บ้านไหม้เรือนและสมบัติสิ่งของที่มีค่าต่างๆ อันนี้เราแก้มัน เราถอดถอนมันไม่ได้ เราละมันไม่ได้ ก็ให้ต่างคนต่างรักษาให้อยู่ในกรอบศีลธรรม ให้ศีลธรรมเป็นผู้ช่วยรักษามันก็ดี และสงบร่มเย็นในครอบครัวผัวเมียตลอดสังคมกว้างแคบไม่มีประมาณ

แต่นี้ไม่ได้มีการรักษามีแต่ทำลาย ต่างคนต่างทำลาย ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ จะเข้าโลงอยู่แล้วก็ยังพอใจทำลาย และพอใจทำลายกันอยู่ตลอดเวลา แล้วจะหาความดิบความดีมาจากไหน หาความสงบสุขมาจากไหน และหาสาระของมนุษย์มาจากไหน เมื่อมนุษย์ต่างคนต่างทำลายตัวเองคละเคล้ากันไปหมดทั่วดินแดนอย่างนี้ จะหาสาระแก่นสารมาจากไหน เราอย่าอวดเก่งยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าในสิ่งจะพาให้ล่มจม เรื่องของกิเลสมันต้องอวดเก่งเสมอ เวลาจมก็คือกิเลสนั้นแหละพาคนจม นี่เราพูดในภาคทั่วๆ ไป เรื่องความห่างเหินจากศีลจากธรรม ความส่งเสริมฟืนไฟเป็นผลเสียอย่างนี้ไม่สงสัย พระพุทธเจ้าองค์ใดมาตรัสรู้ก็จะมาสอนแบบนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความจริง ไม่ใช่เป็นการหลอกลวง ที่สอนนี้ก็สอนตามหลักความจริง ถ้าปฏิบัติได้ตามนี้แล้วอย่างไรก็เย็นไม่สงสัยเลย บรรดามนุษย์เราทั่วโลกดินแดน

เอ้า ย่นเข้ามาหาตัวเรา นักบวชนักปฏิบัติเรา เอาให้เข้มงวดกวดขันซิ มันจะเป็นจะตายเพราะการรักษาคุณงามความดี เพราะการฆ่ากิเลสก็ให้เห็นกับตัวเราเอง เอาให้ถึงขนาดแล้วเราจะเย็นนะ จิตมันจะดิ้นจะดีดไปไหน อุบายวิธีการฝึกทรมานตนหรือเพื่อดัดเพื่อฆ่ากิเลส ดัดแง่นี้ไม่ได้หาอุบายใหม่มาดัดๆ จึงเรียกว่าปัญญา เราจะโง่ๆ ให้กิเลสเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลาดีที่ไหน ต้องใช้อุบายสติปัญญาให้ทันกับกลมายาของกิเลสซึ่งมันละเอียด แหลมคมมาก ๆ ละเอียดมาก ไม่มีอะไรเกินกิเลส จึงได้ครอบโลกธาตุให้อยู่ในเงื้อมมือของมัน ถ้าไม่ใช่ธรรมไปฉุดลากออกแล้ว ไม่มีหวังที่สัตว์โลกทั้งหลายจะหลุดพ้นจากอำนาจของมันไปได้ มีธรรมเท่านั้นไม่บอกอย่างอื่น บอกว่าเท่านั้น ถ้าไม่มีธรรมแล้วเป็นอันว่าอยู่นั้น จมไม่มีวันผ่านไปได้เลย ให้พากันจำให้ดี

 

วันนี้แสดงเพียงเท่านี้ เอาละพอ

** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก