คำว่าธรรมถ้าเป็นฝ่ายผลแล้วคาดไม่ถูก ถ้าจิตไม่ได้ผ่านเหตุคือการปฏิบัติเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์กับธรรมขั้นนั้น ๆ แล้วอย่างไรก็คาดไม่ถูก เพียงแค่สมาธิธรรมเท่านั้นก็คาดไม่ถูก เพราะความเป็นกับความคาดเป็นคนละอย่าง ความคาดนั้นเป็นนิสัยของใจที่เป็นนักคาดนักคิดนักปรุงนักแต่ง ถูกไม่ถูกไม่คำนึงถึงความคาดความคิดความปรุงความแต่งของตน แต่ธรรมเป็นหลักธรรมชาติตายตัวอยู่เช่นนั้น จึงไม่ขึ้นอยู่กับความคาดความคิดความด้นเดาของผู้ใดรายใดทั้งนั้น
เราพูดแต่เพียงขั้นสมาธิเท่านี้ก็ตีความหมายไปได้ถึงธรรมขั้นสูงสุดว่าคาดไม่ถูกเช่นเดียวกันหมด ถ้าจิตไม่ได้สัมผัสสัมพันธ์เสียก่อนแล้วจะไม่ถูกกับความเป็นจริงของธรรมขั้นนั้น ๆ เลย เราเรียนก็เรียน การเรียนก็ต้องเป็นไปด้วยความจำ ความคาดความคิดความปรุงหมายสูงหมายต่ำต่าง ๆ ตามนิสัยของจิตที่ยังไม่เคยรู้ธรรมประเภทที่ต้องการจะรู้ด้วยการที่กำลังปฏิบัติอยู่นั้น เพราะการเรียนกับความสัมผัสที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้นเป็นคนละเรื่องละราว ไม่ใช่อย่างเดียวกัน ท่านจึงสอนให้ปฏิบัติ
ถ้าอยากรู้ความจริงของธรรมขั้นนั้น ๆ มีสมาธิธรรมเป็นต้น ก็พึงปฏิบัติตามแนวทางที่ท่านสั่งสอนเอาไว้ ดังที่เราทั้งหลายเคยได้ยินได้ฟังและได้ปฏิบัติเป็นประจำเรื่อยมาอยู่แล้วนี้ หากผลยังไม่ปรากฏมากน้อย ถึงจะปฏิบัติเท่าไรก็ยังไม่ได้สัมผัสหรือว่ายังไม่เข้าสู่ความจริง
อย่างท่านว่าจิตสงบนี้ จิตของเราจะต้องคิดต้องคาดไว้แล้วว่า ความสงบเป็นอย่างนั้น ๆ แต่เวลาจิตได้สัมผัสเข้าไปด้วยภาคปฏิบัติ จนปรากฏเป็นความสงบขึ้นมาแล้ว ความคาดความคิดนั้นก็ล้มเหลวไปหมด เหลือแต่ความจริงที่ปรากฏอยู่กับตัวเป็นที่แน่ใจแน่นอนภายในจิตใจ นั่นเริ่มถูกตามหลักความเป็นจริงแล้ว
เพราะธรรมนี้ไม่ใช่ธรรมคาด จะเป็นสมาธิธรรมก็ตาม ปัญญาธรรมทุกขั้นของสมาธิและปัญญาก็ตาม จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น เป็นหลักความจริงทั้งนั้น ไม่ใช่ความจำ ไม่ใช่ความคาดความด้นเดา ความคิดปรุงแต่งต่าง ๆ ว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างนั้น ๆ เป็นคนละโลกไปเลย
ด้วยเหตุนี้ผู้นำธรรมะมาสั่งสอนโลก จึงต้องรู้ทุกแง่ทุกมุม ไม่มีคำว่าลี้ลับในบรรดาธรรมที่นำมาสั่งสอนโลก คือพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ เป็นผู้ทรงสัมผัสสัมพันธ์ ในสมาธิก็เต็มภูมิของศาสดามาแต่ละพระองค์ ไม่ว่าสมาธิขั้นใดเต็มพระทัยด้วยกัน ปัญญาขั้นใดก็ทรงรู้ทรงเห็นทุกแง่ทุกมุมของปัญญา การที่จะแก้ไขถอดถอนกิเลสประเภทใด ๆ นั้นก็ทรงดำเนินมาแล้วทุกแง่ทุกมุม จนสามารถบรรลุธรรมเป็นขั้น ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น เรียกว่าตรัสรู้ นี่เป็นความกระจ่างแจ้งในพระทัยด้วยการปฏิบัติของพระพุทธเจ้ามาแล้ว
เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าของเราองค์ปัจจุบันนี้ ที่ได้นำธรรมมาสั่งสอนโลกนั้นสั่งสอนพอประมาณเท่านั้น ไม่ได้มากสมภูมิของศาสดา ที่ทรงรู้ทรงเห็นทุกแง่ทุกมุมครอบโลกธาตุนี้เลย การนำธรรมมาสั่งสอนสัตว์โลก ย่อมสั่งสอนให้พอเหมาะพอดีกับจริตนิสัย ที่จะควรได้ธรรมประเภทใดเข้ามาเป็นสมบัติของตน ก็ทรงสั่งสอนตามขั้นนั้น ๆ แม้จะเทศน์ในส่วนรวมก็ตาม
ธรรมะส่วนรวมกับธรรมะเฉพาะนั้นต่างกัน คือเทศน์สอนบุคคลเฉพาะหรือตอบปัญหาแต่ละราย ๆ เป็นเรื่องเฉพาะ แต่การเทศนาว่าการในชุมนุมชนหรือสังฆมณฑล ย่อมจะแสดงธรรมะอย่างกว้างขวางลึกซึ้งมาก ให้ผู้ฟังทั้งหลายได้เป็นที่เข้าใจทั่วถึงกัน ตามจริตนิสัยของตนที่จะพึงรับได้ในธรรมแง่ใดข้อใดมุมใดขั้นใด ก็ให้ได้รับ ๆ ไม่ให้เสียความมุ่งหมาย สมกับศาสดาโดยแท้ ว่าการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกนั้นไม่มีอัดไม่มีอั้น ตลอดทั่วถึงไปหมด
แม้เช่นนั้นธรรมะที่ยังไม่ได้แสดงแก่ผู้ใด ยังมีอีกมากมายในพระทัยของพระองค์ เพราะทรงรู้แจ้งแทงทะลุไปหมดในสามแดนโลกธาตุ อันเป็นเขตแดนของสมมุตินี้ ไม่มีจุดใดดอนใดที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงรู้ทรงเห็น ย่อมสามารถรู้เห็นได้โดยตลอดทั่วถึง แต่การนำมาสั่งสอนสัตว์โลกนั้น จะเลือกเฟ้นเอาธรรมที่จะเป็นประโยชน์ในวงสัตว์มาแสดงเท่านั้น ไม่ได้แสดงตามความรู้ความเห็นของศาสดาเสียทุกแง่ทุกมุมซึ่งใคร ๆ ก็ไม่สามารถจะรับประโยชน์จากธรรมนั้นได้ และก็สมภูมิกับศาสดาว่าสั่งสอนสัตว์โลกสั่งสอนอย่างไรโลกถึงจะได้รับประโยชน์ทั่วถึงกัน
สิ่งใดที่ไม่ใช่วิสัยของโลกจะได้รับประโยชน์ แต่เป็นวิสัยของศาสดาจะต้องรู้ต้องเห็น ก็ต้องยกไว้ตามภูมิของศาสดา ทรงนำมาแสดงเฉพาะที่เหมาะสมกับสัตว์โลกจะได้รับผลรับประโยชน์เท่านั้น ๆ เรื่อยมาจนกระทั่งวันปรินิพพาน ธรรมทั้งหลายที่ทรงแสดงแก่สัตว์โลกก็ไม่มีอัดมีอั้น คำว่าหมดไม่มี เพราะความรู้ของศาสดานั้นกว้างขวางหาประมาณไม่ได้เลย ท้องฟ้ามหาสมุทรยังเอามาเทียบกับความรู้ของพระพุทธเจ้าไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนั้นจะอัดอั้นอย่างไรในบรรดาความรู้แจ้งแทงทะลุไปหมด และนำมาสั่งสอนสัตว์โลกจะให้อัดอั้นไปที่ตรงไหน จนตรอกจนมุมที่ไหน ว่าธรรมะนี้ได้หมดแล้ว สุดวิสัยแล้วที่จะสั่งสอนสัตว์โลกทั้ง ๆ ที่กำลังบึกบึนอยู่ แต่อุบายแห่งธรรมที่จะนำมาแก้ไขสัตว์โลกนี้ได้สิ้นสุดลงไป เพราะภูมิของศาสดามีเพียงเท่านั้นอย่างนี้ไม่มีเลย นอกจากสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถอาจเอื้อมตามภูมิธรรมที่พระองค์ทรงรู้และนำมาสั่งสอนเท่านั้นเป็นราย ๆ ไป
สัตว์โลกรายใดที่สามารถในธรรมขั้นใดภูมิใด ก็ได้รับประโยชน์จากพระองค์ซึ่งทรงแสดงไว้อย่างกว้างขวาง นอกจากนั้นยังมีเกี่ยวกับเรื่องปัญหาของผู้ปฏิบัติที่ได้สัมผัสสัมพันธ์กับปัญหาข้อใด ๆ ที่ทูลถามพระองค์ ก็ประทานหรือแก้ปัญหาข้อนั้น ๆ ให้เหมาะสมกับผู้ไปศึกษานั้นเป็นราย ๆ ไป นี่เป็นอย่างนี้ ส่วนภูมิของศาสดานั้นท้องฟ้ามหาสมุทรสุดสมมุติยังจะเอาไปเปรียบเทียบไม่ได้ นี่จึงเรียกว่าศาสดา
ศาสดาเท่านั้นเป็นผู้รู้แจ้ง ใครจะคาดจะเดาจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม แต่ความเป็นของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น รู้อย่างนั้น เห็นอย่างนั้น จึงเรียกว่าศาสดา สุดวิสัยของโลกที่จะอาจเอื้อมด้นเดาไปตามพระองค์ได้ พระองค์ก็ไม่ได้สนพระทัยกับใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ใครจะคิดในแง่ใดมุมใดเป็นวิสัยของสัตว์มีกิเลส ก็ย่อมคิดไปเป็นธรรมดาลม ๆ แล้ง ๆ ไปอย่างนั้น ส่วนองค์ศาสดาแล้วไม่มีคำว่าลม ๆ แล้ง ๆ รู้จริงเห็นจริงทุกแง่ทุกมุม
เพียงที่นำมาสั่งสอนสัตว์โลกนี้ สัตว์โลกบางภูมิบางรายถ้านับรวมกันแล้วก็มีจำนวนมาก ที่ไม่อาจเชื่อตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้าได้ แต่พระองค์ก็ต้องแสดงเพราะผู้ที่อยู่ในวิสัยจะรู้จะละ จะเคารพนับถือ หรือจะเชื่อตามพระโอวาทของพระพุทธเจ้านั้นยังมีอีกมากมาย ไม่ให้เสียผลเสียประโยชน์แก่สัตว์เหล่านั้น ที่จะพึงได้รับผลรับประโยชน์ จากพระโอวาทของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ในแง่ต่าง ๆ
สรุปความลงย่อ ๆ ดังที่ท่านแสดงให้เห็นชัดเจนอยู่เวลานี้ก็ไม่มีอยู่ที่ไหน มีอยู่ในหัวใจของสัตว์โลกนี้แลซึ่งเป็นผู้สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่เรื่อยมา ดังท่านว่าบาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง นี่อยู่ในวิสัยของสัตว์ที่จะพึงรู้พึงอาจเอื้อมถึง สัมผัสสัมพันธ์ถึงอยู่ แม้เช่นนั้นจำนวนสัตว์โลกที่ไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีก็มีจำนวนไม่น้อย
แต่พระองค์ไม่ได้ถือมาเป็นอุปสรรค ต่อการแสดงธรรมแก่สัตว์โลกทั้งหลาย ที่จะได้รับผลรับประโยชน์จากพระองค์ยังมีอยู่จำนวนมากมาย ด้วยเหตุนี้จึงทรงแสดงธรรมลงในท่ามกลางแห่งขวากแห่งหนามของผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้ไม่เคารพเลื่อมใส ผู้หูหนวกตาบอดซึ่งมีอยู่มากมาย ในขณะเดียวกันผู้หูดีตาดี ผู้เสาะแสวงหาความพ้นทุกข์เป็นชั้น ๆ ขึ้นไปยังมีอยู่อีกมากมาย และผู้ที่จะตามเสด็จพระพุทธเจ้าใกล้ชิดติดพันเข้ามาเป็นลำดับลำดา ก็ยังมีอยู่อีกมากมายเช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้นพระโอวาทของพระพุทธเจ้า จึงทรงแสดงลงในขวากในหนาม ของผู้รกรุงรังด้วยกิเลสตัณหาแน่นหนามั่นคงปิดกั้นอยู่ภายในจิตใจ ไม่อาจที่จะให้เกิดความเชื่อถือและเคารพเลื่อมใส ทั้งการปฏิบัติก็เป็นไปไม่ได้ พระองค์ก็ยังทรงแสดงอยู่ในท่ามกลางแห่งขวากหนามเหล่านี้ ก็เพราะผู้ที่หวังผลหวังประโยชน์และผู้ที่จะเชื่อธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนด้วยความรู้ยิ่งเห็นจริงยังมีอยู่อีกมากมาย
จึงต้องเป็นสนามแห่งการ ถ้าจะพูดว่าข้าศึกก็เป็นสนามรบ สนามรบกับกิเลสของผู้ไม่เชื่อธรรมมีจำนวนมากมาย และเป็นศัตรูต่อพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงให้แก่ผู้ที่มีอุปนิสัยสามารถ จะเชื่อเคารพนับถือจะปฏิบัติตามได้อยู่เป็นจำนวนมากโดยไม่อาจสงสัย
ด้วยเหตุนั้นศาสนธรรมที่กล่าวมาเหล่านี้ คือเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ พรหมโลก นิพพาน จึงแสดงลงในท่ามกลางของสัตว์ทั้งหูหนวกตาบอด ทั้งหูดีตาดี แล้วแต่ใครจะรับได้มากน้อยเพียงไร ผู้ไม่รับพระองค์ก็ไม่เสียประโยชน์ เพราะมุ่งประโยชน์ต่อผู้ที่ควรจะได้รับซึ่งมีอยู่มากมาย ดังที่เราทั้งหลายได้รู้ได้เห็น หากเราไม่รู้ประจักษ์ในหัวใจของเราก็พอทราบได้ในตำรับตำราที่ท่านจดจารึกเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องบาป บุญ นรก สวรรค์ เป็นต้น และความเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ทั้งหลายซึ่งเป็นเรื่องความจริงล้วน ๆ ไม่มีสิ่งใดคำว่าปลอมเข้ามาเจือปนอยู่เลย ในพระโอวาทที่ทรงรู้ทรงเห็นแล้วจึงนำมาแสดงเหล่านี้
ท่านผู้ที่จะสามารถรู้เห็นตามที่ทรงแสดงและเชื่อพระองค์ จนถึงขนาดที่ว่าเชื่ออย่างถึงใจ เป็นตายยอมถวายพระพุทธเจ้าเลยก็มีจำนวนมากมาย เช่น พระอรหันต์เป็นอันดับหนึ่ง ที่มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้า โดยไม่มีความเยื่อใยเสียดายในชีวิตของตนแม้แต่น้อยเลย บูชาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยความเชื่ออย่างฝังใจอันลึกซึ้ง ไม่มีอะไรซึ้งเกินความเชื่อของพระอรหันต์ท่าน ได้ฝังลึกในพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมกับสักขีพยานที่รู้ที่เห็นภายในจิตใจของตน อันสืบเนื่องมาจากพระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว จึงรู้จึงเห็น นี่อันดับหนึ่ง
อันดับต่อไปก็พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา ท่านเหล่านี้มอบได้ในเรื่องคำว่าบาป ว่าบุญ ว่านรก สวรรค์ มอบได้ตามกำลังความสามารถของตนที่หยั่งทราบ พอที่จะเป็นเครื่องยืนยันได้มากน้อยเพียงไร มีความเชื่อความเคารพต่อพระศาสดาเต็มกำลังความสามารถของตนขั้นนั้น ๆ ขนาดนั้น ๆ
ส่วนพระอรหันต์แล้ว ร้อยทั้งร้อย พันทั้งพัน หมื่นทั้งหมื่น แสนทั้งแสนเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรหลุดไม้หลุดมือไปแม้แต่นิดหนึ่งเลย คือท่านเหล่านี้แลเป็นผู้เทิดทูน เป็นผู้จะรักษาศาสนา คือความจริงของพระพุทธเจ้าไว้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แม้ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตาม ท่านเหล่านี้ฝังลึกเต็มที่แล้ว
นี่ละธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่สัตว์โลกเรื่อยมา เรียกว่าออกตลาดจริง ๆ ให้สัตว์โลกทั้งหลายได้รู้ได้เห็นอย่างไม่ทรงสะทกสะท้าน เพราะทรงทราบแล้วว่าจะเป็นผลเป็นประโยชน์แก่สัตว์โลก ผู้มีความมุ่งมั่นในความจริงทั้งหลายอยู่อย่างเต็มพระทัย
เวลาพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วมาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก เราทั้งหลายก็ได้ทราบในตำรับตำรา พระสาวกอรหันต์มีจำนวนเท่าไร ที่เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ นับตั้งแต่พระอรหันต์ลงมาจนกระทั่งพระโสดาบัน แล้วก็กัลยาณปุถุชน และผู้มีอุปนิสัยสามารถที่จะฉลาดรู้ตามพระพุทธเจ้า ยังมีอยู่อีกจำนวนมากมาย
นอกจากนั้นยังฝังอุปนิสัยปัจจัยในการประกอบคุณงามความดี ตามหลักแห่งสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบนี้แล้ว อันเป็นการเพิ่มพูนบุญญาบารมีของตนขึ้นไปโดยลำดับลำดา ไม่ขาดทุนสูญดอกที่ได้พบเห็นพระพุทธเจ้า หรือได้ฟังพระโอวาทคำสั่งสอนของท่าน เป็นเครื่องเสริมต่อบารมีให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่ล้วนแล้วตั้งแต่ได้รับประโยชน์มหาศาลจากพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ทั้งนั้น
เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา สัตว์โลกทั้งหลายยังจะได้รับประโยชน์ต่อไปอีกถึง ๕,๐๐๐ ปีเป็นกำหนด นี่พระองค์ทรงวางตาข่ายคือพระญาณ ได้ทราบตลอดทั่วถึงไปหมดแล้วว่า สัตว์โลกยังจะได้รับผลรับประโยชน์จากพระโอวาท ที่วางเป็นบันไดหรือแนวทางนี้ไว้จำนวนไม่น้อยเลย ตั้งแต่ปัจจุบันที่พระองค์ปรินิพพานไปจนกระทั่งถึง ๕,๐๐๐ ปี จึงจะหมดจะสิ้นความเคารพนับถือ ความเชื่อความเลื่อมใสในบาปในบุญคุณโทษทั้งหลายอันเป็นกรรมของสัตว์ เพราะอำนาจของกิเลสหนาแน่นเข้าทุกวัน ๆ หนาแน่นจนกระทั่งว่าสิ่งใดมีก็ปิดไว้หมดอย่างมิดชิด ไม่ให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงนั้น ๆ
ตามปกติของหลักธรรมชาติแล้ว บาปเคยสูญไปจากโลกที่ไหนเมื่อไร มีมาตั้งแต่มีโลกมีสมมุติ บาปก็ดีบุญก็ดี นรก สวรรค์ มีเป็นหลักธรรมชาติของตนมานานขนาดไหน แม้พระพุทธเจ้าเองท่านยังไม่ทรงพยากรณ์ว่ามีมาแต่สมัยนั้นครั้งนั้น เพราะจะไม่เกิดประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายจากคำพยากรณ์เหล่านี้ พระองค์จึงไม่ทรงพยากรณ์
บอกแต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นภัย สิ่งเหล่านี้เป็นคุณ ให้สร้างตัวเพื่อความเป็นคุณ และละเว้นสิ่งที่เป็นภัยในวงปัจจุบันอัตภาพอันนี้ให้ประจักษ์ภายในหัวใจ แล้วเราจะได้ตักตวงเอาคุณงามความดีทั้งหลายเข้าสู่ใจ โดยไม่ต้องไปนับไปอ่านให้เสียเวล่ำเวลาว่านรกนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร สวรรค์มีมาแต่เมื่อไร บาปบุญนี้มีมาแต่เมื่อไร ซึ่งถามเท่าไรก็หมดลมไปเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อันใดเลย
เช่นเดียวกันกับหนามยอกเท้าเรา แทนที่จะถอดถอนหนามออกจากฝ่าเท้า ยังต้องไปถามถึงว่าหนามนี้คือหนามอะไร หนามนี้เกิดมาจากสกุลใด หนามนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไร เกิดมาแต่เมื่อไร สกุลของหนามนี้มีมาแต่นานเท่าไรกัปใดกัลป์ใด จนสุดท้ายฝ่าเท้าก็เน่าเฟะเสียไปหมดไม่เกิดประโยชน์อันใด เพราะฉะนั้นที่จะทำให้เกิดประโยชน์อันเหมาะสมตามความเป็นจริง ต้องรีบถอดถอนหัวหนามนั้นออกเสีย แล้วหายามาใส่มารักษา ฝ่าเท้าก็หายไปได้ในเวลาอันควร แม้จะไม่ไปถามสกุลหนาม รู้สกุลหนามหรือไม่รู้ก็ตาม ก็ไม่ทำอะไรให้ฝ่าเท้าดีขึ้น ยิ่งกว่าการถอดถอนหัวหนามนั้นออกแล้วใส่ยาเข้าไปเสียเท่านั้น นี้เป็นทางที่ถูกต้องโดยถ่ายเดียว
ที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์สิ่งทั้งหลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สุดวิสัยของสัตว์ทั้งหลายและไม่เกิดประโยชน์อันใด พระองค์จึงไม่ทรงพยากรณ์ ทรงนำธรรมะที่พอเหมาะพอดีกับสัตว์ทั้งหลาย เช่นเดียวกับสั่งว่าให้ถอดถอนหัวหนามออกอย่างรวดเร็ว แล้วรีบหายามาใส่ ไม่ต้องไปถามสกุลหนามให้เสียเวล่ำเวลา เดี๋ยวเท้าจะเน่าเฟะ
นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องไปถามหาว่าบาปมีมาแต่เมื่อไร บุญ นรก สวรรค์ นิพพานมีมาแต่เมื่อไร ตัวของเราซึ่งถูกกิเลสเหยียบย่ำทำลายนี่มีมาแต่เมื่อไร แต่มันก็ทิ่มแทงบีบบังคับหัวใจให้เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสายกันอยู่ ในบรรดาจิตวิญญาณของสัตว์ทุกดวงไม่เคยว่างเว้นเลย นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่เราจะรีบถอดรีบถอนกิเลสซึ่งเทียบกันได้กับหนามให้ออกไป ด้วยวิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือการบำเพ็ญคุณงามความดี ละเว้นสิ่งใดที่ไม่ดี แม้เคยทำมาแล้วก็ให้ละให้เว้น ซึ่งเทียบกันกับการถอดถอนหัวหนามออกจากเท้าของตน แล้วระมัดระวังอย่าได้เหยียบขวากเหยียบหนามอีกต่อไป สิ่งใดที่ดีให้บำเพ็ญและพอกพูนเข้ามาสู่ตน
นี่เป็นวิสัยของศาสดาที่ทรงรู้ทรงฉลาดรอบคอบ สมความเป็นศาสดาเอกของโลก นำธรรมที่เหมาะสมกับโลกจะได้รับผลประโยชน์มาสั่งสอนโดยถ่ายเดียวเท่านั้น สิ่งใดที่ไม่เกิดประโยชน์แม้พระองค์จะทรงทราบมามากมายขนาดไหน ก็ไม่ทรงสอนให้สัตว์โลกประกอบกระทำกัน ทรงนำมาสั่งสอนเฉพาะที่จะเป็นประโยชน์เท่านั้น เหมือนอย่างหมอที่รักษาคนไข้ ยามีเต็มตู้เต็มหีบ อันใดเป็นประโยชน์ อย่างไรไม่เป็นประโยชน์ หมอทราบเอง จะนำมาเฉพาะยาที่เหมาะสมกับโรคชนิดนั้น ๆ เท่านั้น ที่คนไข้จะได้รับประโยชน์แล้วหายกลับไปบ้านได้เป็นปกติ
นี่ก็เหมือนกัน อันใดที่อยู่ในวิสัยที่สัตว์ทั้งหลายจะได้รับผลประโยชน์ พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมเหล่านั้น ให้บรรดาสัตว์ทั้งหลายได้ทราบตามกำลังความสามารถของตน ที่จะอาจเอื้อมถึงในธรรมะขั้นนั้น ๆ ไม่เสียประโยชน์ไปโดยถ่ายเดียว คนหนึ่งได้รับประโยชน์ในธรรมขั้นหนึ่งแง่หนึ่ง คนหนึ่งได้รับประโยชน์ในธรรมขั้นหนึ่งแง่หนึ่ง เมื่อหลายสัตว์หลายบุคคลเข้าไปก็ได้รับประโยชน์มากมาย
เพราะธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแก่สัตว์นั้น มีมากต่อมากจนหาประมาณไม่ได้เลย ที่ท่านยกมาแสดงเพียง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นี้ ท่านยกมาพอประมาณ ท่านนำมาเฉพาะที่จำเป็นและเหมาะสมกับผู้ที่มีความเคารพเลื่อมใส จะประพฤติปฏิบัติตามได้ตามกำลังของตน ไม่ให้มากกว่านั้น ซึ่งเป็นการเหลือเฟือเหลือกำลังที่จะประพฤติปฏิบัติได้ แล้วเกิดความท้อถอยน้อยใจไปได้ จึงต้องนำมาเฉพาะธรรมที่เหมาะกับเหตุกับผล ที่จะเป็นประโยชน์แก่สัตว์ผู้ปฏิบัติตามนี้เท่านั้น
ดังมัชฌิมาปฏิปทานี่ทรงแสดงไว้ในอริยสัจ ๔ นี้เป็นหลักใหญ่มากทีเดียวครอบหมดโลกธาตุ กิเลสตัวใดจะเหนืออริยสัจ ๔ นี้ไปไม่ได้ ในอริยสัจ ๔ นี้ก็ครอบหัวกิเลสไว้ เช่น สมุทัยสัจ ทุกขสัจเป็นผลที่เกิดขึ้นจากสมุทัยสัจเป็นผู้ผลิตขึ้น และมรรคสัจ นิโรธสัจ นั่นเป็นธรรมชาติที่จะสังหารกิเลสทั้งหลาย อันนี้เป็นสำคัญมาก พระองค์ทรงแสดงไว้แล้วอย่างถูกต้องแม่นยำ สมบูรณ์บริบูรณ์เต็มที่หาความบกพร่องไม่ได้เลย อันดับต่อไปที่รองกันลงมาก็แสดงอนุปุพพิกถา ๕ มี ทาน ศีล สวรรค์ อาทีนพ เนกขัมมะ เป็นขั้น ๆ ขึ้นไป
การให้ทานเป็นผลประโยชน์มากมายเพียงไร พระองค์ก็ทรงแสดงไว้เป็นพื้นฐานแล้ว ผู้ใดอยากทำบุญให้ทานมากน้อยตามกำลังความสามารถก็ได้ ตักตวงเอาผลทานที่ได้ให้ทานไปแล้วมากน้อยนั้นเต็มหัวอกของตน ศีลท่านก็บอกแล้ว ศีลก็รักษาตัวให้มีคุณค่า ให้เป็นคุณเป็นประโยชน์แก่ตัวของเราและสังคมที่เกี่ยวข้องกัน แล้วก็สวรรค์ คนมีทานมีศีลไม่ได้สวรรค์จะไปที่ไหน เพราะสวรรค์สำหรับคนดีที่มีคุณงามความดีเท่านั้นที่จะไป
จากนั้นแล้วก็ค่อยแสดงเหินขึ้น ๆ เหมือนเรือบินเหินฟ้า แสดงสูงขึ้นเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งเนกขัมมะ ความสลัดปัดทิ้งไปเสียในบรรดาสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อจิตใจ เบื้องต้นก็ออกจากเนกขัมมะ จะออกบวชหรือออกประพฤติปฏิบัติอย่างไรก็แล้วแต่ อันนี้เป็นขั้นหนึ่ง ขั้นต่อไปบวชหรือไม่บวชก็เนกขัมมะ คือความสงัดสิ่งที่เป็นภัยต่อจิตใจทั้งหลายให้หมดให้สิ้นไปจากใจนั้นแล จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ไม่นอกเหนือไปจากอนุปุพพิกถา ๕ นี้เลย นี่ท่านก็แสดงไว้แล้วอย่างเต็มภูมิ
ใน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้นท่านแยกไว้สิ่งนั้นเท่านั้นพระธรรมขันธ์ สิ่งนี้เท่านี้พระธรรมขันธ์ แต่ผมลืมเสีย ถึงจำไม่ได้ก็มีอยู่ในตำรับตำราแล้ว ขอให้ท่านทั้งหลายได้ดูเอา นี่คือความจำเป็นแห่งธรรมทั้งหลายที่เหมาะสมกับจริตนิสัยของสัตว์ จะพอดำเนินหรือปฏิบัติตามได้
ถ้าหากพระองค์จะแสดงให้มากยิ่งกว่านี้แล้ว ฟังซิตั้งแต่วันพระองค์ตรัสรู้ธรรมและสอนโลกมาจนกระทั่งวันปรินิพพาน ธรรมะยังไม่ได้หมดได้สิ้นไปเลย มีมากขนาดไหนที่บรรจุอยู่ในพระทัยของพระองค์ซึ่งทรงรู้แจ้งแทงทะลุไปหมด ในบรรดาแดนสมมุตินี้ไม่มีอะไรที่จะลี้ลับต่อพระญาณ คือความหยั่งทราบของพระพุทธเจ้านั้นเลย แต่พระองค์ไม่ทรงนำมาแสดงดังที่กล่าวแล้วเบื้องต้นนั้น ให้หมดสิ้นไปเสียทุกแง่ทุกมุม
ถึงพระองค์จะแสดงให้หมดสิ้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเรื่องสังขารเป็นเรื่องของสมมุติ สังขารร่างกายก็มีวันแตกวันดับได้ เฉพาะพระองค์ก็อายุ ๘๐ ปีเท่านั้นก็ปรินิพพานไปแล้ว ธรรมะเหล่านั้นถึงจะยังมากขนาดไหน สังขารก็ไม่ได้อำนวยพอที่จะให้เป็นไปตามธรรมนั้น ซึ่งจะต้องนำมาแสดงให้หมดทุกแง่ทุกมุมต่อสัตว์ทั้งหลาย นั่นแหละธรรมะมากขนาดนั้น ในภูมิของศาสดาภูมิของสาวกก็รองลำดับลำดากันลงมา
เพราะท่านรู้จริง ๆ ท่านเห็นจริง ๆ บรรดาธรรมที่ท่านมาแสดงแก่โลก เช่นพระพุทธเจ้าของเรา ไม่ว่าจะแสดงในแง่ใดมุมใด พระองค์ทรงสัมผัสสัมพันธ์มาหมดทุกสิ่งทุกอย่าง เรียกว่านำพระองค์ออกมาเป็นเครื่องยืนยัน เป็นสักขีพยาน เป็นเครื่องรับรองไว้เลยว่า สิ่งเหล่านี้ตถาคตได้ผ่านมาหมดแล้ว ได้สัมผัสสัมพันธ์มาหมดแล้ว ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่ว่าส่วนดีส่วนชั่ว อันหยาบอันละเอียดสุดยอดก็ได้ผ่านมาแล้ว
ถ้าว่าทุกข์มหันตทุกข์พระองค์ก็ทรงทราบมาทุกแง่ทุกมุม และเคยสัมผัสสัมพันธ์มาแล้วเช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย เพราะเกิดตาย ๆ มากี่กัปกี่กัลป์ทำไมจะไม่ตกมหันตทุกข์ล่ะ พระองค์ก็ทรงนำมาแสดง แล้วเป็นเครื่องยืนยันไปหมด ไม่ได้มาแสดงแบบลูบ ๆ คลำ ๆ
เพราะฉะนั้นการสอนโลกของพระองค์ จึงต้องสอนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยถึงพระทัยทุกอย่าง ทุกแง่ทุกมุมในบรรดาดีชั่วทั้งหลาย ตลอดถึงความสุขความทุกข์ สุขขนาดไหนทุกข์ขนาดไหน พระองค์ทรงนำมาแจงให้ทราบหมด เพราะทุกข์ถึงขั้นมหันตทุกข์พระองค์ก็ทรงยืนยันแล้วในพระองค์เอง ทรงรู้ทรงเห็นแล้ว พระองค์ผ่านพ้นมาแล้ว
สัตว์ที่จมอยู่ในนรกได้รับมหันตทุกข์ ทำไมพระองค์จะไม่ทรงทราบด้วยพระญาณ ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าศาสดาจารย์หรือโลกวิทู รู้แจ้งโลก หรือสัพพัญญูได้ยังไง ต้องรู้อย่างเต็มพระทัย ถ้าว่านิพพานพระองค์ก็ทรงไว้แล้ว บรมสุขก็ทรงไว้แล้วจึงได้นำมาแสดงให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งดีและชั่วสุขทุกข์ประการใดไม่มีอันใดเหลือเลย
พระองค์ทรงแสดงด้วยความอาจหาญชาญชัย เพราะพระองค์เอาพระองค์เองเป็นตัวสักขีพยาน เป็นเครื่องยืนยันว่าธรรมทั้งหลายเหล่านี้ เราเองเคยได้รู้ได้เห็นมาแล้ว และเคยสัมผัสสัมพันธ์สิ่งเหล่านี้มาแล้วทั้งดีและชั่ว จึงได้นำมาสั่งสอนสัตว์โลกด้วยความเต็มพระทัยและเมตตาเต็มส่วน
ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์โลก จึงผิดกับคนทั้งหลายสั่งสอนกันอยู่มากมาย รองลำดับลงมาก็คือพระสาวก ท่านก็รู้ก็เห็นเต็มสติกำลังความสามารถของท่านเหมือนกัน ท่านจึงพูดได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ว่าจะพูดถึงเรื่องมรรคเรื่องผล สวรรค์นิพพานอะไร ท่านก็พูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะท่านรู้ท่านเห็นเต็มหัวใจของท่านแล้วทำไมจะพูดไม่ได้
แม้แต่กิเลสละเอียดขนาดไหนอยู่ในหัวใจของท่าน ท่านยังม้วนเสื่อมันลงได้เสียจนไม่มีเหลือ กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ขึ้นมา แล้วได้นามว่าเป็นพระอรหันต์ นั่นละเอียดยิ่งกว่าสิ่งใดอีก ในบรรดาทุกข์ทั้งหลาย หรือนรกก็ดีสวรรค์ก็ดี ไม่ได้ละเอียดยิ่งกว่ากิเลสประเภทที่มันแหลมคมที่สุดอยู่ภายในจิตใจนั้นเลย เมื่อเปิดอันนั้นออกแล้วทำไมสิ่งใดมีสิ่งใดเป็นอยู่จะไม่เห็นจะไม่รู้ ต้องเห็นต้องรู้ เมื่อรู้เมื่อเห็นเต็มหัวใจแล้ว ทำไมจะมาแสดงตามความเป็นจริงนั้นอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่ได้ หาความสะทกสะท้านมาจากที่ไหน ในบรรดาความจริงทั้งหลายที่ได้รู้ได้เห็นมาเต็มหัวใจแล้วนั้น
นี่ละการแสดงธรรมของท่านจึงผิดแปลกแตกต่างกันกับเราทั่ว ๆ ไป สามัญชนทั่ว ๆ ไป แสดงชี้แจงบอกกันสั่งสอนกัน เพราะส่วนมากมักเป็นคำบอกเล่า ได้ยินได้ฟังจากครูจากอาจารย์ตำรับตำรามาอย่างไร ก็มาชี้แจงแสดงบอกกันตามกำลังความสามารถของตนที่จำได้ แม้รู้ก็ไม่รู้อย่างลึกซึ้งเหมือนท่าน การแสดงจะให้ลึกซึ้งได้อย่างไร รู้ยังไงก็แสดงเพียงเท่านั้น ถ้าหากเป็นภาคปฏิบัติ เช่น ผู้จิตเป็นสมาธิ แสดงสมาธิได้อย่างเต็มอรรถเต็มธรรมเต็มภูมิของสมาธิ ถ้าเป็นผู้ได้ถึงขึ้นสมาธิเต็มภูมิก็แสดงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยของสมาธิไม่อัดไม่อั้น แต่เรื่องปัญญาแสดงไม่ได้ นอกจากจะนำตำรับตำรามากางแล้วว่ากันไปตามตำรับตำราเท่านั้น
ต่อเมื่อได้สัมผัสสัมพันธ์ทางด้านปัญญาเข้าเป็นลำดับลำดา จนกระทั่งถึงปัญญาทุกขั้นทุกภูมิแล้ว ทำไมจะพูดเรื่องปัญญาไม่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเช่นเดียวกับสมาธิล่ะ และเมื่อปัญญาได้เต็มภูมิแล้วจะไปไหนถ้าไม่ถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น และยิ่งความวิมุตติหลุดพ้นนั้นเป็นผลของอะไร ก็เกิดมาจากปัญญาเป็นผู้ชำระสะสางละเอียดทั่วถึง จนกระทั่งกลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ขึ้นมา ทำไมท่านจะพูดไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่ว่าสมุทัยละเอียดขนาดไหน
ปัญญานั้นถ้าหากว่าเราจะพูดปัญญาธรรมดา ๆ ก็จะไม่ถึงใจท่านผู้รู้ผู้เป็นเหมือนกัน ปัญญาต้องเป็นปัญญาที่แหลมคม เรียกว่าคาดไม่ได้คิดไม่ถึง สามารถที่จะพังเรื่อง อวิชฺชาปจฺจยา นั่นละจอมแห่งภพอยู่ตรงนั้น จอมแห่งสมมุติ ยอดแห่งสมมุติอยู่ตรงนั้น แล้วก็ยอดแห่งวิมุตติ สาเหตุที่จะเป็นยอดแห่งวิมุตติคืออะไร ก็คือมหาสติมหาปัญญา เอาแต่เพียงกลาง ๆ ว่าขั้นมหาสติมหาปัญญา สิ่งที่เกิดแทรกอยู่ในมหาสติมหาปัญญานั้นพูดไม่ได้ก็ตาม เอารวมเข้ามาเป็นมหาสติมหาปัญญา นี้แลเป็นเครื่องสังหารอาสวะที่ละเอียดแหลมคมที่สุดให้พังลงไปจากจิตใจ
เมื่อจิตใจได้เปิดออกหมดแล้ว ทำไมจะไม่รู้ ทำไมจะไม่เห็น สิ่งที่มีอยู่เหล่านั้นไม่ได้ละเอียดยิ่งกว่าธรรมชาตินี้ เมื่อเปิดมหาเมฆที่กำบังอยู่ภายในจิตใจนี้ออกแล้วทำไมจะไม่รู้ทำไมจะไม่เห็น เมื่อรู้แล้วเห็นแล้วทำไมจะพูดไม่ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่างอาจอย่างหาญ ใครจะเชื่อก็ตามไม่เชื่อก็ตาม ความจริงเป็นอย่างนี้
สอนเราสอนได้แล้วอย่างนี้ เป็นมาอย่างนี้เต็มภูมิแล้ว สอนคนอื่นให้เต็มภูมิ ที่ควรจะสอน ส่วนที่เขาจะเชื่อได้มากน้อยเพียงไรนั้นเป็นอุปนิสัยสามารถของแต่ละราย ๆ ผู้ไม่เชื่อก็เป็นกรรมของเขา ผู้เชื่อก็เป็นกรรมดีของผู้นั้น ผู้ไม่เชื่อก็เป็นกรรมหนาของเขาเอง จะไปตำหนิติเตียนอะไร เราพูดตามหลักความจริงที่มีที่เป็นผิดไปที่ตรงไหน นี้ละการสอนธรรมของพระพุทธเจ้า ท่านสอนโลกสอนอย่างนี้เอง
โลกจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเอาประมาณไม่ได้ เพราะโลกที่หนาแน่นก็มี ดังที่ท่านแสดงไว้ในบุคคล ๔ จำพวกเพียงพอประมาณเท่านั้นว่า อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ แล้วก็เทียบในดอกบัว พวกที่สุดวิสัยที่จะเป็นไปได้ในขั้นนี้ในระยะนี้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเสียก่อน โลกนี้เป็นอนิจฺจํ บางทีอาจจะได้ฟื้นฟูตัวเองขึ้นมา ให้เกิดความเชื่อความเลื่อมใสในวาระต่อไป จนกระทั่งได้สัมผัสสัมพันธ์กับธรรมทั้งหลายที่กล่าวมาเหล่านี้อย่างถึงใจแล้ว ไม่บอกให้เชื่อก็เชื่อเอง
พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ พระองค์ก็ตาม นั้นคือความจริงที่เป็นสักขีพยานในหัวใจดวงนี้ ที่จริงแล้วด้วยความสมบูรณ์เต็มที่ นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกระจายกันอย่างนี้ เมื่อรู้แล้วทำไมจะไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ธรรมเหล่านี้ใครมาสอนไว้เราถึงได้ปฏิบัติจนถึงขั้นรู้ขั้นเห็น ขั้นรู้ขั้นเห็นเหล่านี้เราปฏิเสธได้ไหม เราลบล้างได้ไหมว่าไม่ใช่ของจริงไม่เป็นของจริง เมื่อลบล้างไม่ได้ เมื่อยอมรับเต็มหัวใจแล้วก็ยอมกราบพระพุทธเจ้าเต็มหัวใจ ศาสดาองค์เอกมีกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ กราบหมด เพราะพระพุทธเจ้ามีทางเกิดได้อย่างนั้น เนื่องจากอริยสัจ ๔ เป็นสิ่งสำคัญ
คิดดูซิเพียงแต่พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น สาวกอรหันต์ของท่านมีจำนวนมากขนาดไหน ในเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น สาวกอรหันต์ของท่านมีขนาดไหนมากขนาดไหน ล้วนแล้วแต่ผู้พ้นแล้ว ๆ พ้นไปได้ทั้งนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจ เพราะอริยสัจ ๔ เป็นของสำคัญมาก นี่ละธรรมของพระพุทธเจ้าที่ท่านนำมาแสดงแก่โลก ท่านแสดงอย่างอาจหาญ กังวานไปทั่วสามแดนโลกธาตุจะว่ายังไง ความจริงมีถึงไหนพระธรรมของพระพุทธเจ้ากังวานไปถึงนั้น ไม่ผิดจากความจริง ไม่ได้ว่าใกล้ว่าไกล ขึ้นชื่อว่าพระญาณหยั่งทราบแล้วทราบตลอดทั่วถึง
อันคำว่าใกล้ว่าไกลก็มีแต่เรื่องสมมุตินิยมของเรา มีกระดาษมาปิดหน้าเสียอย่างเดียวก็มองไม่เห็น เอามือมาปิดหน้าเสียอย่างเดียวก็มองไม่เห็น ส่วนหัวใจไม่ได้เป็นอย่างนั้น กิเลสต่างหากเป็นผู้ปิด เปิดกิเลสออกให้หมดแล้วไปยังไงเห็นหมด ทะลุปรุโปร่งไปหมด เต็มสติกำลังความสามารถของตน ตามอุปนิสัยวาสนาของตน ๆ
ส่วนพระพุทธเจ้านั้นยกให้ว่าเป็นเอก ตลอดทั่วถึงหมดในสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีจุดใดดอนใดที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงหยั่งทราบ เพราะฉะนั้นการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก สั่งสอนจนกระทั่งวันปรินิพพานก็ไม่หมดไม่สิ้น ถ้าหากว่าเราจะคิดเพียงเป็นเปอร์เซ็นต์จะได้เพียง ๕% หรือ ๑๐% หรือไม่ได้ก็ไม่ทราบ ในบรรดาธรรมที่นำมาแสดงแก่โลก ที่ยังไม่ได้แสดงและสิ่งที่สุดวิสัยของโลกที่จะรับจะฟังให้เกิดผลเกิดประโยชน์นั้น มากขนาดไหน ฟังซิ ถึง ๙๐% นั่นคือวิสัยของพระพุทธเจ้าทราบ
เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้ประมวลสิ่งทั้งหลายที่ทรงรู้ทรงเห็นอยู่ในวิสัยของพระพุทธเจ้านั้นมาสั่งสอนสัตว์โลก รวมลงในจุดที่โลกทั้งหลายจะเอื้อมถึง ได้แก่ บาป บุญ นรก สวรรค์ นิพพาน ที่นอกเหนือไปจากนี้มีมากขนาดไหน ไม่สามารถที่จะนำมาแจงให้เป็นคำพูดคำจา นอกจากเต็มอยู่ในพระทัย รู้อยู่ในพระทัย นำออกมาแสดงไม่ได้มีจำนวนมากขนาดไหน จึงต้องประมวลเอามาขนาดที่สัตว์ทั้งหลายจะพอรับ ได้ผลได้ประโยชน์ตามกำลังความสามารถของตน นี้ละวงอันนี้เป็นวงของสัตว์ทั้งหลายที่สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่มากต่อมากก็อยู่จุดนี้ และผู้ที่จะแก้ไขถอดถอนได้ก็ได้ในจุดเหล่านี้
เมื่อพูดถึงเรื่องว่านรกทำไมใครจะไม่กลัว ถ้าเป็นผู้ยอมรับพระพุทธเจ้าว่าเป็นศาสดาองค์เอกแล้วต้องยอมรับ เมื่อยอมรับแล้วใครจะไปสร้างเหตุให้ไปแดนนรก ถูกเขาจูงจะเอาไปฆ่าอยากไปไหม ฟังซิ นี่จูงไปนี้เขาจะเอาไปฆ่านะ เอ้า ใครจะกล้าให้จูงไป นี่การทำความชั่วก็เหมือนกับจูงเจ้าของจะไปลงเหวลงบ่อลงนรกอเวจี นั่นใครจะไปทำ ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้วโลกนี้จะมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข ในปัจจุบันนี้ก็เป็นสุข ตายไปก็ไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่เป็นสุข
พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนคนให้ล่มจม สอนสัตว์โลกให้ล่มจม มีแต่ฟื้นแต่ฟู มีแต่ฉุดแต่ลากทั้งนั้น แต่กิเลสของสัตว์ไม่ว่าท่านว่าเรา มันหนามันแน่นมันต่อสู้พระพุทธเจ้าต่อสู้ธรรมทั้งหลาย จึงต้องลำบากลำบนในการประกอบความพากเพียร พอว่าจะทำความพากเพียรฝืนแล้ว ๆ นั้นละกิเลสตัวสำคัญ ๆ ทั้งนั้น จะทำอะไรที่เป็นผลเป็นประโยชน์มีแต่เรื่องฝืน ๆ ขัดกันแย้งกัน หนาแน่นขนาดไหน บางทีถึงกับทำไม่ได้เลย นั่นหนาไหมกิเลสน่ะ
พระพุทธเจ้าทั้งองค์ก็ไม่ยอมเชื่อยิ่งกว่ากิเลสที่เคยเชื่อมานาน จมเพราะกิเลสมานานยังไม่เข็ดไม่หลาบ ยังจะต้องเชื่อไปอีก ตกอีก นี่จึงเรียกว่ากรรมของสัตว์จะว่ายังไง เรื่องพระพุทธเจ้าที่แสดงไว้นั้น สวากขาตธรรมหาที่ค้านได้ที่ไหน ใครจะเชื่อไม่เชื่อก็ตามเป็นความจริงอยู่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นสัตว์ที่เชื่อก็เป็นไปได้ ตามพระพุทธเจ้าทัน ผู้ที่ไม่เชื่อก็จมอยู่อย่างนั้นจะว่ายังไง ใครจะไปบังคับได้ว่าไม่ให้จม ก็หัวใจมันพาให้จม หัวใจมันพาให้เป็น ผู้ที่ท่านบอกเป็นหลักความจริงว่าอย่างนี้ ๆ มันไม่ยอมรับจะว่ายังไง
นี่ละที่ว่าศาสนาเสื่อม ๆ คือเสื่อมจากหัวใจคน แล้วผู้ที่ไม่มีศาสนาเลยมีมากขนาดไหนฟังเอาซิ ศาสนธรรมว่าไว้อย่างไรไม่ยอมรับความจริง ไม่ยอมรับเหตุรับผล จะเอาตั้งแต่ความอยาก ความอยากเป็นเรื่องของกิเลสล้วน ๆ มันฉุดมันลากไปตลอดเวลา ให้ตกเหวตกบ่อตกนรกอเวจีมากี่กัปกี่กัลป์ ปิดหูปิดตาไปพร้อม ๆ ๆ โผล่ขึ้นมาแล้วเหมือนเพิ่งเกิดในชาตินี้ชาติเดียว ผ่านมากี่กัปกี่กัลป์ได้รับความทุกข์ มหันตทุกข์มากี่ครั้งกี่หนกี่กัปกี่กัลป์มันไม่ให้ทราบเลย ปิดไว้หมด นี่ซิจึงทำให้สัตว์หาความเข็ดหลาบได้ยาก
ก็เพราะกิเลสมีหลายอุบายกลวิธีที่จะทรมานสัตว์ ที่จะฉุดจะลากสัตว์ ฉุดลากไปปิดทางไปเรื่อย ๆ ถ้าลงได้เห็นประจักษ์แล้วใครจะไปฝืนธรรมล่ะ นี่เพราะไม่เห็นน่ะซิ จึงเรียกว่ามันหนาแน่นขนาดไหนกิเลส ละเอียดขนาดไหนแหลมคมขนาดไหน นอกจากธรรมพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะบุกเบิก ที่จะฟาดฟันให้มันแตกกระจายไปหมดแล้วครองบรมสุข นั่นจึงเห็นหมด ผู้ที่เห็นหมดนั่นแหละนำมาสอน ผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญามาสอนโลก แต่โลกก็ไม่ยอมรับจะทำยังไง จึงต้องเป็นอยู่อย่างนี้
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็ตามสอนโลกจะไม่มีใครเหมือน ขึ้นชื่อว่าพระพุทธเจ้าสอนโลกแล้ว เรื่องร้อยสันพันคม กี่เล่ห์กี่เหลี่ยมที่จะฟัดจะฟาดฟันกิเลส ให้สัตว์ทั้งหลายได้มีสติปัญญา ได้หลุดพ้นไปตามพระองค์นั้นมีขนาดไหน หนักขนาดไหนพระพุทธเจ้า ควรหนักพระพุทธเจ้าจะหนักที่สุดบรรดาอุบายวิธีการ
เพราะเรื่องกิเลสไม่มีใครที่จะทราบยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า ว่ากิเลสประเภทไหนหนัก ประเภทไหนเบา ถ้าภาษาของเราทุกวันนี้ก็ว่าประเภทไหนที่มันแสบ ๆ ที่สุด ภาษาปัจจุบันของเราว่าอย่างนั้น พระองค์ก็ทรงทราบหมดแล้ว ทำไมเรื่องปราบกิเลสพระองค์ก็เคยปราบมาแล้ว จนสิ้นซากภายในพระทัย แล้วทำไมจะนำมาสั่งสอนสัตว์โลกชนิดที่เผ็ด ๆ ร้อน ๆ ไม่ได้ ต้องเอาให้เผ็ดร้อน
ถึงขั้นที่เผ็ดร้อนไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า ในเวลาที่ควรจะเฉียบขาดไม่มีใครเฉียบขาดยิ่งกว่าพระโอวาทของพระพุทธเจ้า ที่จะตัดหัวกิเลสให้ขาดสะบั้นลงในปัจจุบันนั้นเลย ไม่ใช่จะพูดไปลอย ๆ ธรรมดา ๆ อะไรก็ลอยไปธรรมดา ๆ กิเลสมันไม่ใช่ลอยธรรมดานี่ กิเลสตัวฝังลึกมี ตัวฉลาดแหลมคมมี ตัวที่เด็ดที่เฉียบขาดที่สุดมี ธรรมะไม่เฉียบไม่ขาดไม่เด็ดไม่เผ็ดไม่ร้อนทันกันได้ยังไง
ไม่งั้นจะเรียกว่าศาสดาเหรอ ศาสดาต้องรู้หลายสันพันคมซินำมาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก เพราะฉะนั้นจึงได้นำธรรมะท่านมา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราสามารถพูดได้ที่ไหน ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถึงขนาดนั้นก็ยังไม่ได้มากมายอะไรเลย นั่นละภูมิของศาสดา เมื่อเป็นเช่นนั้นจะมาสอนโลกแบบลอย ๆ ได้ยังไง โลกตกทุกข์ได้ยากลำบาก ตกนรกอเวจีได้รับความทุกข์ความทรมานมามหันตทุกข์หนักขนาดไหน พอที่พระพุทธเจ้าจะมาแสดงแบบลอย ๆ
ความสุขก็เหมือนกัน ความสุขที่พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายไปเพราะอำนาจแห่งความดี ๆ โดยลำดับ จนกระทั่งถึงบรมสุข เป็นความสุขที่เล่น ๆ เมื่อไร ใครจะไปครองได้ ถ้าไม่สิ้นกิเลสแล้วครองไม่ได้ ครองความสุขที่ว่าบรมสุขนี้ เมื่อเป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าจะแสดงเพียงลอย ๆ ได้ยังไง ถึงขนาดที่ว่าใครครองไม่ได้ เป็นของเลิศประเสริฐขนาดไหน พระองค์ครองอยู่แล้วนี้นำมาประกาศสอนโลก
เหมือนกับว่าเปิดฝ่าพระหัตถ์ให้เห็น นี่เห็นไหม ๆ สิ่งที่เราครองอยู่เวลานี้ประเสริฐไหม สิ่งที่โลกทั้งหลายจมอยู่นั้นทุกข์มากไหม เหมือนอย่างนั้น เอามาเทียบกันให้ดูอยู่ทั้งบาปทั้งบุญ ทั้งคุณ ทั้งโทษ ทั้งมหันตทุกข์ทั้งบรมสุข เอามาเทียบเคียงให้เห็นทุกแง่ทุกมุม
ใครจะเกินศาสดาในการแนะนำสั่งสอนโลก เรานี่ตัวเท่าหนูเราเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ไม่เป็นอื่นว่างั้นเลย คอขาด-ขาดไปได้เรื่องความเชื่อนี้ไม่มีถอน ยอมขนาดนั้นละจึงเรียกว่ายอม กราบขนาดนั้น พระพุทธเจ้ามีกี่ล้าน ๆ พระองค์ เรายอมหมดไม่มีเหลือเลย พระพุทธเจ้ามีเป็นล้าน ๆ องค์มีได้ไหม ยอมรับว่ามีได้ว่างี้เลย ทำไมจะมีไม่ได้ เครื่องยืนยันคืออะไร คืออริยสัจ
ความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ๆ ท่านปรารถนามาแล้ว เราไม่ได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าจะไปรู้เรื่องได้ยังไง พระพุทธเจ้าปรารถนา การกระทำของพระพุทธเจ้า ใครทำให้เกินพระพุทธเจ้า เกินพระบรมโพธิสัตว์เล่า ไม่มีใครเกิน พวกเรามีแต่พวกขี้เกียจขี้คร้านท้อแท้อ่อนแอ ทำนิด ๆ หน่อย ๆ มีแต่จะเป็นจะตาย
พระโพธิสัตว์ท่านไม่เป็นอย่างนั้น ฟังซิ ใน ๑๐ ชาติสุดท้ายที่เป็นสุวรรณสามเป็นดาบสเป็นอะไรต่ออะไร นั่นดูซิใครทำได้ไหม เอ้า เรายกประมวลเข้ามานี้เลยว่ามีใครทำได้ไหม ท่านทำได้แล้วท่านทำมาแล้ว จนเป็นเครื่องหนุนให้ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๆ เฉพาะองค์ศาสดาของเราปัจจุบันนี้ก็เห็นแล้ว ใครทำได้ไหม ใครจะเป็นคู่แข่งพระพุทธเจ้าได้ไหม เรายังไม่เห็นใครเป็นคู่แข่งได้ เหตุใดความเป็นมาของพระพุทธเจ้าเราจะไปแข่ง ความรู้ของพระพุทธเจ้าเราจะไปแข่ง การเทศนาว่าการของพระพุทธเจ้าใครจะไปแข่ง จะไปแข่งได้ยังไง มันต่างกันอย่างนั้น เรียกว่าฟ้ากับดินก็ยังใกล้ ภูมิของศาสดาเลยนั้นไปอีกจะว่ายังไง
นี้ละการนำธรรมมาสอนโลกจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยของศาสดาแต่ละองค์ ๆ เวลารู้ก็รู้สมเหตุสมผล รู้สมความเป็นศาสดาสมความปรารถนามา ใครจะไปรู้ได้อย่างนั้น เพราะเราไม่ได้ทำอย่างนั้นนี่ เวลารู้ก็รู้อย่างนั้นซิ ไม่อย่างนั้นเรียกว่าศาสดายังไง ถ้าเหมือนเรา ๆ ท่าน ๆ ใครจะไปกราบได้ลงคอ กราบไม่ได้ ไม่กราบ เมื่อถึงเหตุถึงผลที่ควรจะกราบไม่บอกก็กราบ
ดังที่ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายนี่เรายอม หัวขาดก็ขาดเลย เพราะมีเครื่องยืนยันอยู่ที่จะผลิตพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ เพราะบารมีของท่านท่านทำได้นี่ว่าไง ท่านทำได้ท่านสร้างได้ จึงเต็มได้ซิทำไมเต็มไม่ได้ ตั้งแต่เทน้ำลงในโอ่งมันยังเต็ม เทน้ำใส่ในแก้วมันยังเต็ม ทำไมสร้างบารมีไม่เต็มท่านพูดมาได้ยังไง
ท่านเคยสร้างมาแล้วเป็นมาแล้วเต็มมาแล้ว เมื่อเวลาได้ตรัสรู้แล้วย้อนหลังพิจารณารู้หมด เคยเป็นมาแล้วเพราะอันนั้น ๆ จึงได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ นั่นท่านทำมาแล้วจนสำเร็จเต็มภูมิของศาสดา เอ้า ใครจะเชื่อก็เชื่อ ใครไม่เชื่อก็สุดวิสัยเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าพระองค์ใดก็จะมาสอนแบบเดียวกันนี้
เพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นของมีอยู่เป็นอยู่ ไม่มีคำว่ากาลสถานที่เวล่ำเวลา บาปไม่มีกาลสถานที่เวล่ำเวลา เอ้า ทำลงไป ถ้าใครเก่ง บุญก็เหมือนกัน นรกสวรรค์มีอยู่เป็นหลักธรรมชาติของตัวเองอยู่อย่างนั้นไม่มีเคลื่อนมีคลาด พระพุทธเจ้าปรินิพพานกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านพระองค์ ธรรมชาติเหล่านี้ก็มีอยู่อย่างนั้นใครจะมาลบล้างได้
การมาแนะนำสั่งสอนสัตว์โลก ท่านก็มาสั่งสอนตามความมีความเป็น ท่านไม่ได้มาลบล้าง ท่านไม่ได้มาทำลายนรกอเวจีที่ไหน ไม่ได้มาทำลายสวรรค์นิพพานที่ไหน มีแต่เสริมผู้ที่จะเข้าไปสัมผัสสัมพันธ์ในสิ่งที่ดี และดัดแปลงแก้ไข หรือฉุดลากผู้ที่จะไปสู่ความชั่วทั้งหลายมีนรกเป็นสำคัญให้ออกเท่านั้นเอง ที่ท่านจะไปทำลายนรกท่านไม่ได้ทำ นี่พระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ท่านเป็นมาอย่างนี้
นี่ละธรรมที่ว่าจริง-จริงอย่างนี้ ให้เห็นในหัวใจนี้เสียก่อน เพียงหัวใจพวกเรานี่ตัวเท่าหนูก็เถอะ อย่างไรก็เป็นเครื่องยันกันได้ทีเดียว สิ่งที่ยันกันได้มีนี่ ขอให้ทำความบริสุทธิ์ใจให้ปรากฏเถอะ ความบริสุทธิ์ใจปรากฏแล้วเป็นยังไง และสิ่งที่จะตามมากับความบริสุทธิ์ของใจนี้มีอะไรอีกบ้าง นั่น มากขนาดไหน นอกจากว่าจะนำมาเทศน์ไม่ได้พูดไม่ได้เท่านั้น บรรดาพระอรหันต์ท่าน สิ่งที่อยู่ในวิสัยของท่าน ที่รู้ที่เห็นนี้เปิดไว้หมดในหัวใจ อันใดที่ควรแสดงหรือไม่ควรแสดงใครจะฉลาดยิ่งกว่าพระอรหันต์ท่าน ของไม่เป็นประโยชน์พูดทำไม
อย่างที่ท่านแสดงไว้อันไหนที่เป็นอจินไตย พระองค์ไม่ให้ไปเกี่ยวข้อง อจินไตยคือเลยความคิดความอ่านไปแล้ว มันเสียเวลา อย่าไปยุ่ง เอาปัจจุบันเอาวงปัจจุบันท่านก็บอกแล้ว อย่างที่พูดตะกี้นี้เรื่องหัวหนาม นั่นแหละอยู่ในวิสัยของสัตว์ ให้แก้ตัวเองนี้ จะไปแก้มันอะไรเรื่องอดีตกาล จะกี่ภพกี่ชาติกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้าน ๆ กัปกัลป์ก็ตาม นั้นเป็นเรื่องของอดีตที่ผ่านมาแล้วต่างหากไม่ใช่เรื่องของเราในปัจจุบันนี้ เรื่องของเราเป็นผู้ที่จะติด เรื่องของเราเป็นผู้ที่จะทุกข์จะลำบากขนาดไหน แก้เจ้าของผู้เป็นทุกข์ให้เป็นสุขขึ้นมาในปัจจุบันนี้ ให้แก้ที่ตรงนี้
วันนี้พูดถึงเรื่องธรรมของพระพุทธเจ้าที่นำมาสอนโลก ท่านเป็นอย่างนั้น ท่านรู้อย่างนั้น เวลาสอนก็สอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วพวกเราทำเหยาะ ๆ แหยะ ๆ ไม่เป็นท่าเป็นทางนะ เลยศาสนาก็จะมีแต่ตำรับตำรา พระเณรเราก็จะมีตั้งแต่เพศของพระของเณรหัวโล้น ๆ นะ ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วอย่าเข้าใจว่าจะได้ครองอรรถครองธรรมครองมรรคผลนิพพาน เพราะนี้เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติ ปริยัติศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว นั้นคือเข็มทิศทางเดิน เอ้า ก้าวไปตามเข็มทิศทางเดิน ท่านว่ายังไงปฏิบัติตามนั้น ถ้าไม่เข้าใจก็อย่างที่เราเสาะแสวงหาครูหาอาจารย์แนะนำสั่งสอนเรา นั่นละปฏิบัติไป
เรื่องความยากความลำบากก็บอกแล้วว่านั้นคือเรื่องของกิเลส กำแพงของกิเลสมันปิดมันกั้นไว้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าข้างบนข้างล่าง แม้แต่ดินฟ้าอากาศกิเลสยังเอามาอวดมาอ้างได้ มาเป็นอุปสรรคได้ โอ๊ย เช้าเกินไป สายเกินไป มีแต่กลมายาของกิเลสที่เอาสิ่งเหล่านั้นมาแอบมาอ้าง อากาศเขาว่าเขาเป็นยังไง เขาไม่ได้ว่าเขาเป็นยังไง แต่กิเลสมันไปเสกสรรปั้นยอเอามา แล้วก็มาเป็นขวากเป็นหนามกั้นทางของเราให้ก้าวเดินไม่ได้ สุดท้ายก็ตายทิ้งเปล่า ๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร นี่ยากไหมการข้ามหัวกิเลส
กิเลสปักเสียบไว้หมด ทางพื้นเท้าเหยียบไปก็มีแต่หนามของกิเลส ที่ตรงไหน ๆ มีแต่เรื่องของกิเลสให้ขวางไว้หมด ให้ไปไม่ได้ ติดไปหมด ในตัวของเรานี้แหละจะอยู่ที่ไหน นี่ละที่ว่ายากเพราะกิเลสมันหนา เวลากิเลสมันหนามันยากทุกอย่างนั่นแหละ ตีเข้าไปฟันเข้าไปฟาดเข้าไป แล้วกิเลสจะค่อยจางไป ๆ และจะง่ายเข้าไป ๆ
เราจะเห็นได้ชัดในเรื่องภาวนาของเรา จิตตภาวนาเป็นสำคัญมาก เวลามันยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรนี้ โถ อะไรก็ยุ่งไปหมด กิเลสบีบบังคับจนจะให้ก้าวไม่ออกหายใจไม่ได้โน่นน่ะฟังซิ กิเลสมันเอาถึงขนาดนั้นนะ เอ้า ไม่ถอยนี่ละสำคัญ ไม่ถอยคือธรรม เป็นอย่างไรก็เป็น พระพุทธเจ้าท่านถึงขั้นสลบ เราไม่เห็นสลบนี่นะ
ศาสดาสอนเคยต้มตุ๋นคนต้มตุ๋นโลกมีเหรอ เอ้า ท่านสอนว่าอย่างไร ถ้าไม่มีอุปสรรคไม่มีความลำบากลำบน ใครก็เป็นศาสดาด้วยกันหมดทั้งโลก อย่าว่าแต่เป็นพระอรหันต์เลย นี่ก็เพราะเป็นความลำบากเพราะกิเลสมันหนามันแน่น เอ้า ฟันลงไป ๆ เมื่อเวลาทำลงไปไม่หยุดไม่ถอย จิตไม่เคยสงบก็สงบให้เห็น อ๋อ เป็นอย่างนี้ นั่นเริ่มแล้วนะ พอจิตสงบแล้วเย็นสบาย เริ่มมีแก่ใจคนเรา ความพากความเพียรจะค่อยหนาแน่นขึ้นมา ๆ ทีนี้ผลก็ปรากฏเด่นขึ้น ๆ ๆ จากนั้นมาก็กว้างขวางออกไปละเอียดลงไป เพียงขั้นสมาธิก็ละเอียด จากนั้นก็ก้าวเข้าสู่ขั้นปัญญา
นี่ขออธิบายไปตามลำดับเลยทีเดียว เรื่องซอกแซกซิกแซ็กก็เคยได้อธิบายให้ท่านทั้งหลายฟังมาแล้ว พอก้าวเข้าขั้นปัญญานี้ ปัญญาออกเดินเป็นยังไง ปัญญาออกเดินคือปัญญาออกฆ่ากิเลส กิเลสมีมากมีน้อยปัญญานั่นแลเป็นตัวสำคัญ ๆ ค่อยก้าวออก ๆ ปัญญาในขั้นนั้นภูมินั้นฆ่ากิเลสในประเภทนี้ ๆ เข้าไปโดยลำดับลำดา
จนกระทั่งถึงปัญญาขั้นหมุนตัวไปเองที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา เอ้า ว่างั้นเลย มันยากไหมที่นี่ กิเลสยากเหมือนแต่ก่อนไหม ไม่ได้ยากนะ มีแต่ขยักเอาไว้เท่านั้นละ รั้งเอาไว้ ไม่งั้นจะไม่มีเวลาหลับนอน เพราะความพากความเพียร เพลินในการฆ่ากิเลส เพลินในการชมความสุขความสบาย ความเบาอกเบาใจ ความแปลกประหลาดอัศจรรย์อยู่ภายในจิตใจจากภาคปฏิบัติของตน แล้วก็เพลินเรื่อย ๆ สุดท้ายก็พุ่ง ๆ ๆ เลย
ไหนยากไหม กิเลสตัวไหนมาให้ยากมีไหม ไม่มีเรื่องของกิเลส จนกระทั่งถึงว่า ถ้าหากว่าเราจะพูดเป็นภาษานอก ๆ ก็ว่า โบกมือหาเลย โบกมือมาเลย เอากิเลสตัวไหนเก่งเข้ามาถ้าอยากคอขาด เป็นอย่างนั้นนะ แล้วกิเลสตัวไหนจะมากล้าหาญล่ะ เมื่อถึงปัญญาขั้นนี้แล้วกิเลสต้องหมอบทีเดียว นั่นเห็นไหมที่นี่ เห็นกันชัดไหม ว่ากิเลสมันหนาแต่ก่อนก้าวขาไม่ออก ขาก็จะหักอะไรก็จะแตกไปหมดในร่างกายนี้ เวลากิเลสมันหนา-หนาเข้ามันบีบไปหมดในหัวใจเรา จนกระทั่งจะหายใจไม่ได้ เวลาตีกันออก ๆ ก็อย่างที่ว่านี้
ตีกันออก จนกระทั่งกิเลสวิ่งหัวซุกหัวซุน ปัญญาตามค้นคุ้ยเขี่ยหา เอ้า เจอตรงไหนขาดสะบั้นไปพร้อม ๆ กัน นั่นเป็นยังไงที่นี่ ขัดข้องไหม ยากไหม การฆ่ากิเลสยากไหม มีแต่เพลินทั้งนั้น มีแต่พุ่ง ๆ ๆ สุดท้ายก็พังหมดไม่มีอะไรเหลือ อะไรมาเป็นอุปสรรคไม่มีเลย เมื่อเป็นอย่างนั้นก็สรุปได้ว่า เรื่องสร้างขวากสร้างหนามสร้างอุปสรรคให้เราที่ก้าวเดินไม่ได้นี้มีกิเลสเท่านั้น ประมวลมาเลย ขอให้ท่านทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัตินะ
เทศน์แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ววันนี้ เอาละพอ