ธรรมาวุธ
วันที่ 12 ตุลาคม 2531 เวลา 19:00 น. ความยาว 52.32 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑

ธรรมาวุธ

ในวงพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าเรานี้ มีภิกษุบริษัทเป็นผู้นำเป็นคติตัวอย่าง เป็นที่อบอุ่นเป็นที่ไว้วางใจของพุทธบริษัทนอกนั้น เช่น อุบาสก อุบาสิกาบริษัท ในครั้งพุทธกาลท่านเป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าผู้ประกาศศาสนธรรม ก็เป็นผู้ทรงมรรคทรงผลอันเลิศเต็มพระทัย จึงทรงนำธรรมะที่ทรงรู้ทรงเห็นนั้นมาประกาศสอนโลก ผู้ได้สดับตรับฟังจากพระพุทธเจ้าก็ได้รู้จริงเห็นจริงตาม จนถึงได้เป็นวิสุทธิบุคคลขึ้นมานี้มีมากมาย จากนั้นก็เรียกชื่อเรียกนามว่าเป็นสาวกอรหัตอรหันต์ แม้ฆราวาสเองก็ยังบรรลุถึงขั้นพระอรหันต์ได้ แต่รวมแล้วก็เป็นสาวกอรหันต์ของพระพุทธเจ้าด้วยกัน

ท่านเหล่านี้เป็นผู้ให้ความอบอุ่นแก่ชาวพุทธ มีพวกภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา เป็นสำคัญ นอกจากให้ความอบอุ่นแก่ตนเองได้แล้ว ยังให้ความอบอุ่นแก่ผู้เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวโยงกันมีบริษัททั้งหลาย คือ อุบาสก อุบาสิกา จะเป็นข้าราชการชั้นใดก็ตาม ถ้าเป็นผู้ชายก็เรียกอุบาสก คือชาวพุทธ อุบาสิกาก็เป็นลูกเต้าเหล่ากอของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ท่านเหล่านี้อยู่ด้วยความอบอุ่น แม้จะห่างไกลจากพระพุทธเจ้าซึ่งปรินิพพานไปนานแล้วก็ตาม แต่ยังมีพระสงฆ์สาวกผู้ทรงมรรคทรงผล ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ให้ความอบอุ่นความไว้วางใจ ความตายใจ เป็นหลักใจพึ่งเป็นพึ่งตายแก่ท่านเหล่านั้นเรื่อยมาโดยลำดับ ที่แสดงเหล่านี้คือผลของการปฏิบัติที่ได้รู้ได้เห็นจริง ๆ ทรงมรรคทรงผลสำหรับผู้ปฏิบัติจริง ๆ สามารถให้ความอบอุ่นแก่โลกได้ดังที่กล่าวมาแล้วนี้ นี่เราพูดในวงมนุษย์ ส่วนวงเทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมทั้งหลายนั้นเป็นประเภทหนึ่ง ซึ่งได้รับความอบอุ่นจากธรรมของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน

นี่คือผลของการปฏิบัติดี ที่ท่านแสดงไว้ในสังฆคุณของบรรดาสาวกทั้งหลาย คือ สุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติดี อุชุปฏิปนฺโน เป็นผู้ปฏิบัติตรงแน่วต่ออรรถต่อธรรม คือต่อธรรมต่อวินัยต่อมรรคผลนิพพาน คำว่าปฏิบัติดีถ้าพูดให้ตรงกับสิ่งที่เป็นข้าศึกกันก็คือ ไม่ได้ปฏิบัติแบบชั่ว ๆ เลวทราม ไม่ว่าจะแสดงออกด้วยกิริยาท่าทางอันใด นับแต่ภายในจิตใจออกมา เป็นเจตนาที่ดีความคิดที่ดี การระบายออกทางกายวาจาความประพฤติดีทั้งนั้น นั่นเรียกว่า สุปฏิปนฺโน อุชุ ก็คือปฏิบัติตรงตามหลักธรรมหลักวินัย หลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติและสั่งสอนไว้อย่างใดก็ปฏิบัติตรงแน่วตามนั้น ด้วยเจตนาที่เป็นอรรถเป็นธรรม ไม่หลบ ๆ หลีก ๆ ปลีก ๆ แวะ ๆ ด้วยกลมายาของกิเลสซึ่งมักจะแทรกธรรมอยู่เสมอมา ท่านเหล่านั้นปฏิบัติตรงแน่วต่ออรรถต่อธรรมโดยถ่ายเดียว

ญายปฏิปนฺโน คือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความรู้ยิ่งเห็นจริง ๆ ไม่ปฏิบัติเพียงสักแต่ว่าเป็นขนบธรรมเนียมเป็นประเพณี หรือเป็นไปตามจารีตประเพณีที่พาทำกันมา หรือปู่ย่าตายายพาทำมาอย่างนั้น ท่านปฏิบัติเพื่อความรู้จริงเห็นจริงในธรรมทั้งหลาย จนสุดความสามารถที่จะรู้จะเห็นธรรมทั้งหลายได้จริง ๆ สามีจิปฏิปนฺโน ก็เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมที่น่ากราบไหว้บูชานั้นเอง นี่ละเหตุที่ท่านดำเนินมา เพียง ๔ ข้อนี้สมบูรณ์เต็มที่เมื่อไร ก็สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่ปลีกแวะในข้อใดข้อหนึ่งเสียเท่านั้น ท่านจึงได้คุณนามว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นต้น และสามารถได้รับผลเป็นที่พอใจ จนกลายเป็นสรณะของโลกขึ้นมาในอันดับต่อไป จากตนที่รู้ที่เห็นแล้วในธรรมทั้งหลาย

เพราะฉะนั้นศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า จึงเป็นสถานที่ผลิตความดีทั้งหลาย ถ้าเป็นน้ำก็สะอาดสุดสะอาด สำหรับชะล้างสิ่งสกปรกทั้งหลาย คำว่าโลกหรือว่าสิ่งสกปรกความไม่ดีทั้งหลาย จะเป็นอะไรไปเป็นผู้ผลิตขึ้นมา เป็นผู้ก่อเหตุขึ้นมาให้เป็นความชั่ว ให้เป็นความสกปรก ถ้าไม่ใช่กิเลสอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีสิ่งใดมาทำโลกให้สกปรกพอที่จะนำศาสนธรรมหรือศาสนามาชะมาล้าง ดังพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้แต่ละพระองค์นั้น ก็คือนำน้ำที่บริสุทธิ์นั้นมาล้างโลกล้างสงสารที่สกปรกโสมม ตามความสามารถของผู้ที่จะรับได้มากน้อยเพียงไร ที่เรียกว่าโปรดสัตว์นั้นเอง ถ้าไม่ใช่กิเลสจะเป็นอะไรไปเป็นผู้ก่อความชั่วช้าลามกให้เป็นเรื่องสกปรก ให้เป็นเรื่องความทุกข์ความทรมานในสัตว์ทั้งหลายขึ้นมา มีกิเลสเท่านั้นเป็นต้นเหตุที่จะให้สัตว์ทั้งหลายสร้างความชั่ว ด้วยการถูกบีบถูกบังคับ ด้วยการกดขี่ด้วยอำนาจของมันแต่ละประเภท ๆ ให้สัตว์ทั้งหลายได้สร้างกรรมต่าง ๆ กัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกรรมชั่วที่เรียกว่าสกปรกนั้นแล

ศาสนธรรมที่มาชะล้างก็คือมาบอกมาสั่งมาสอนในแง่ที่ผิดทั้งหลาย ซึ่งเคยผิดมาแล้ว ให้รู้ในความผิดนั้น และชี้แนวทางที่ถูกให้ดำเนิน นั่นละที่เรียกว่าน้ำสะอาด หรืออรรถธรรมมาชะล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายซึ่งมีอยู่ในหัวใจของสัตว์ และระบาดสาดกระจายออกไปทางความประพฤติหน้าที่การงานทุกสิ่งทุกอย่าง นี่สัตว์มีกิเลสคนมีกิเลสคละเคล้ากัน จะต้องเป็นเรื่องสกปรก แม้อยู่ลำพังคนเดียวก็ยังสกปรกอยู่ภายในใจ ภายในความประพฤติ เมื่อกระจายออกไปสู่สังคมกว้างแคบเพียงไร สิ่งเหล่านี้จะต้องต่างคนต่างกระจายออกหากันแต่ความชั่วช้าลามก และผลิตทุกข์ขึ้นมาให้ได้รับความลำบากถึงขั้นทรมาน นอกจากนั้นยังเป็นมหันตทุกข์มหันตโทษเข้าไปอีก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของกิเลสประเภทต่าง ๆ ทั้งนั้นเป็นสาเหตุ ให้สัตว์ทั้งหลายได้สร้างความสกปรกขึ้นมา ถึงกับต้องมีศาสนธรรมมาชะมาล้าง ถ้าสะอาดอยู่แล้วจะไปล้างกันทำไม

ใจของท่านผู้สะอาดหมดจดเต็มที่คือใจที่บริสุทธิ์แล้ว ทุกข์ทางใจท่านไม่มี จึงไม่จำเป็นจะต้องเอาอะไรไปชะไปล้าง เนื่องจากใจไม่สกปรก ใจสะอาดสมบูรณ์เต็มที่แล้ว มีแต่เพียงธาตุเพียงขันธ์ที่จำเป็นจะต้องมีความทุกข์ความลำบากตามเรื่องของเขา คนมีกิเลสก็เป็นทุกข์ได้ คนสิ้นกิเลสก็เป็นทุกข์ได้ บรรดาขันธ์นั้นมีความเสมอภาคกันหมดด้วย ทุกฺขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ไม่ว่าสัตว์ว่าบุคคล ไม่ว่าคนมีกิเลสคนสิ้นกิเลส ย่อมมีความทุกข์ความลำบากเช่นเดียวกัน แต่ท่านไม่ได้ถือว่าเป็นพิษเป็นภัย

สิ่งที่เป็นพิษเป็นภัยก็คือตัวเหตุผู้ผลิตขึ้นมาให้เกิดขึ้นมานี้ต่างหาก อะไรพาให้เกิด แน่ะ ท่านก็บอกแล้วเราทั้งหลายก็ทราบ นั่นก็เป็นเรื่องของกิเลส จะเกิดในภพน้อยภพใหญ่ จนกระทั่งถึงเป็นสัตว์ไม่ว่าชนิดใด ต้องได้รับความทุกข์ทั่วหน้ากัน เป็นแต่เพียงว่ามากกับน้อยเพียงไรที่ตนสร้างมาเท่านั้น รวมแล้วก็เป็นสาเหตุมาจากกิเลสอย่างเดียวเท่านั้น จึงต้องมีศาสนธรรมมาชะมาล้าง เช่น พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแต่ละพระองค์นี้ ก็เท่ากับได้นำน้ำคืออรรถคือธรรมมาชำระล้างสิ่งสกปรกโสมม และความทุกข์ความทรมานแห่งใจสัตว์ทั้งหลายให้มีความบรรเทาเบาบาง จนถึงกับว่าให้ได้หลุดพ้นจากความสกปรกโสมม และพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงในทางใจ

ผู้ที่ประพฤติตัวไม่ดี เหลวแหลกแหวกแนวเพราะไม่รู้ไม่เข้าใจ เมื่อได้รับอรรถรับธรรมแล้วก็พยายามเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติชอบ และละสิ่งที่เป็นข้าศึกอันเป็นเรื่องสกปรกทั้งหลายนั้นไปโดยลำดับ ๆ แต่ละคนแต่ละราย ๆ ต่างคนต่างชำระล้างตัวเอง ก็กลายเป็นคนสะอาดขึ้นมา ใจถึงจะยังไม่สะอาดเต็มที่ก็เริ่มสะอาด เพราะได้รับการชะล้างจากอรรถจากธรรม

ใจที่เป็นเรื่องใหญ่ในร่างกายของแต่ละร่างละคน เมื่อได้รับการอบรมในทางที่ถูกที่ดี ย่อมจะนำเครื่องมือคือวาจาหรือร่างกายนี้ ไปทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามอันเป็นผลเป็นประโยชน์ ไม่นำร่างกายอันเป็นเครื่องมือนี้ไปก่อความเสียหาย ให้เป็นความรกรุงรังสกปรกโสโครก แล้วขนเอาทุกข์ขึ้นมาแบกมาหามทั้งทางร่างกายและจิตใจ เหมือนดังแต่ก่อนที่ยังไม่เคยได้รับน้ำอรรถน้ำธรรมนั้น นี่ละพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์ ๆ ทำให้โลกได้รับความร่มเย็นและความสะอาดสะอ้านไปทั่วดินแดน อย่าว่าแต่แดนมนุษย์นี้เลย เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมก็ได้รับความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน เช่นเดียวกับมนุษย์เรานี้แล

ด้วยเหตุนี้คำว่าพระพุทธเจ้ามาอุบัติแต่ละพระองค์ ๆ จึงเป็นเรื่องโลกธาตุหวั่นไหว จะไม่หวั่นไหวยังไง ธรรมะของพระพุทธเจ้านี้กระเทือนไปทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีโลกธาตุใดที่ธรรมของพระพุทธเจ้าจะไม่เข้าถึงไม่ชะไม่ล้าง นี่ละอำนาจแห่งธรรมเป็นเช่นนั้น และเป็นลำดับลำดามาจนกระทั่งถึงพวกเรา สามารถชำระความสกปรกนี้มาโดยลำดับในบรรดาธรรมทั้งหลาย

แต่ครั้นต่อ ๆ มาธรรมชาติที่ผลิตความสกปรกโสมมนี้หนาแน่นขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะคนห่างจากอรรถจากธรรม ห่างจากผู้แนะนำสั่งสอนสด ๆ ร้อน ๆ เช่นพระพุทธเจ้าและสาวกอรหันต์ท่าน จะมีผู้มาสอนอยู่บ้างก็เป็นเพียงเรา ๆ ท่าน ๆ เป็นพระก็พระที่ไม่เข้าอกเข้าใจในภาคปฏิบัติ และเป็นผู้ไม่สามารถทรงมรรคทรงผลทรงนิพาน เป็นแบบที่ว่าคนมีกิเลสสอนคนมีกิเลส นำความจดความจำที่ได้มาจากคำสอนอันเป็นตำรับตำราที่ถูกต้องดีงาม แต่จิตไม่ได้ถูกต้องดีงามก็อดที่จะคลาดเคลื่อนไปไม่ได้ การสอนก็ต้องลูบ ๆ คลำ ๆ งู ๆ ปลา ๆ จึงไม่ค่อยมีผลเป็นที่พึงพอใจเหมือนครั้งพระพุทธเจ้าและสาวกท่านสั่งสอนสัตว์โลกในครั้งนั้น

ครั้นต่อมาจิตใจก็ยิ่งเหินห่างจืดจางไปจากอรรถจากธรรม ประหนึ่งว่าธรรมนั้นเป็นเพียงลัทธิ ธรรมนั้นเป็นเพียงตำรับตำราที่เขียนหลอกลวงกันไว้ เป็นสิ่งที่ครึที่ล้าสมัยไปเสีย ด้วยอำนาจของกิเลสมันเสกมันสรรมันปลิ้นปล้อนหลอกลวง มันลบหลู่ดูหมิ่น หรือลบล้างศาสนาให้สิ้นไปจากความเชื่อความนับถือของสัตว์โลก แต่สิ่งที่จะต้องจมดิ่งหรือสิ่งที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยลำดับลำดานั้น ก็คือผลแห่งการเสี้ยมสอนแห่งการต้มตุ๋นด้วยกลอุบายของมันนั้นแล ที่จะให้สัตว์ทั้งหลายได้มีความหลงงมงายยึดถือมากขึ้น ๆ และธรรมะก็ยิ่งห่างเหินไปจากจิตใจ

สุดท้ายธรรมะไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มีในจิตใจของสัตว์แต่ละดวง ๆ แม้ศาสนาจะมีก็เป็นเพียงตำราเท่านั้น สิ่งที่มีก็คือให้ทำไปตามความชอบใจ ความชอบใจนั้นเป็นกิเลส เป็นเรื่องของกิเลสไปเสียพาให้ชอบใจ พาให้ดีใจ พาให้ยินดีที่จะสร้างที่จะทำ ที่จะเสาะจะแสวงหา กิริยาอาการทุกด้านที่ออกมาจากใจ ล้วนแล้วแต่เป็นกิริยาของกิเลสที่ผลักดันออกมาเพื่อทำความชั่วช้าเสียหาย ทำความชั่วช้าลามก แล้วขนทุกข์ตั้งแต่ทุกข์เล็กทุกข์น้อยจนกระทั่งถึงมหันตทุกข์ เข้ามาสู่จิตใจดวงนั้น โดยกิเลสซึ่งเป็นผู้เสี้ยมผู้สอนเป็นผู้บังคับบัญชา ไม่ได้ไปรับเคราะห์รับกรรมกับสัตว์รายนั้น ๆ เลย นี่จึงเป็นกรรมของสัตว์เอามากมายที่ถูกต้มตุ๋นมาตลอด

นี่ก็ศาสนาของพระพุทธเจ้าล่วงมา ๒,๕๐๐ ปีนี้ ไม่ว่าเราว่าท่าน ต่างคนต่างมีหูมีตา ต่างคนต่างได้สัมผัสสัมพันธ์กับกิริยาอาการแห่งความประพฤติของมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งคือชาวพุทธทั้งฝ่ายพระฝ่ายวัดฝ่ายบ้านเป็นอย่างไรบ้าง ก็พอจะทราบได้ว่า กิริยาที่ทำเหล่านี้เหินห่างจากอรรถจากธรรมจากตำรับตำรา ที่ทรงแสดงไว้โดยถูกต้องไปโดยลำดับลำดา ถึงรู้อยู่เห็นอยู่ก็ไม่ทำตาม ไม่อยากทำในสิ่งนั้นเสีย แต่อยากทำในสิ่งที่จะเป็นข้าศึกต่อตนเองด้วยความพออกพอใจไปเสียอย่างนี้เป็นต้น นี่ละที่ว่าศาสนาค่อยเสื่อมไป ๆ ดูตัวเองอย่าไปดูที่อื่น

ธรรมเหล่านี้ก็เคยพูดให้ฟังแล้ว ย้ำแล้วย้ำเล่าเพื่อเป็นที่เข้าใจ ให้ระมัดระวังภายในจิตใจของตัวเอง อย่าเห็นสิ่งอื่นใดว่าเจริญรุ่งเรืองและเสื่อมไป หรือได้รับความทุกข์มากยิ่งกว่าจิตใจของเราแต่ละท่าน ๆ เฉพาะอย่างยิ่งพระนักบวชนักปฏิบัติดังเรา ๆ ท่าน ๆ นี้ ถ้าจิตใจเสื่อมไป ความประพฤติเสื่อมไป ความพากความเพียรเสื่อมไป ขนทุกข์เข้ามาในลำดับเดียวกันเป็นอย่างไรบ้าง นี่ละท่านว่าศาสนาเสื่อม ให้ดูตรงนี้อย่าไปดูที่อื่น

ตำรับตำรามีไว้สำหรับความดีของมนุษย์ แก้ทุกข์ให้มนุษย์ ไม่ใช่ตำรับตำราที่เป็นสวากขาตธรรมนั้น จะมาพอกพูนความทุกข์ความทรมานให้แก่สัตว์แม้นิดหนึ่ง ไม่ปรากฏเลย ไม่ว่าตำราใดพระไตรปิฎกใด ไม่ปรากฏว่าธรรมนี้ได้ทำสัตว์ทั้งหลายให้ได้รับความทุกข์ความลำบาก เหมือนสิ่งที่เป็นข้าศึกของธรรมคือกิเลสนั้นเลย แต่ก็ไม่พ้นที่กิเลสจะเอาเราเป็นเครื่องมือให้หาเรื่องใส่ธรรมจนได้นั้นแหละ เพราะฉะนั้นโลกจึงไม่อยากประพฤติ ไม่อยากประกอบคุณงามความดี เพราะความเชื่อสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย ซึ่งคอยกระซิบกระซาบอยู่ภายในใจตลอดเวลา

ถ้าจะทำความดี กิเลสมันเป็นความชั่ว อุบายของมันฉลาดแหลมคมก็กระซิบกระซาบว่าลำบากลำบน แต่การอยู่ใต้อำนาจของกิเลสมานานเท่าไร ได้รับความทุกข์จนถึงขั้นมหันตทุกข์นั้นมันไม่ให้ระลึกได้เสีย จะให้ระลึกได้แค่ทุกข์ เพราะการฝ่าฝืนกิเลสเพื่อทำความดีนี้ แต่การฝ่าฝืนกิเลสนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราฝ่าฝืนกิเลส เพราะกิเลสจะเสี้ยมสอนให้เห็นว่าธรรมนั้นเป็นกองทุกข์กองโทษ การสร้างธรรม การประกอบความดีเป็นทุกข์ไปเสียอีก

ความจริงการประกอบความดีนั้นมีผลเป็นสุข แต่การต่อสู้กับสิ่งกีดขวางคือกิเลสนี้ก็ย่อมต้องทุกข์เป็นธรรมดาของกิเลสที่มีมากน้อย แต่นี้กิเลสไม่ให้เราทราบไม่ให้เรารู้เสีย ด้วยการปิดหูปิดตาปิดใจไว้หมดไม่ให้คิด จะให้คิดแต่เรื่องที่จะเปิดทางให้กิเลสเข้าทำลายธรรมความดีงาม ก็คือทำลายตัวของเราจากความดีงามนั้นแล ถูกมันปิดกั้นไว้เสีย เปิดแต่ทางที่จะเป็นผลประโยชน์แก่มัน ให้เราคิดเราทำเราเคลื่อนไหว เพราะฉะนั้นความเคลื่อนไหวของโลก โลกที่นี้ให้หมายถึงหัวใจเรา จึงหนักแน่นไปในทางที่ต่ำช้าเลวทรามโดยลำดับลำดา การจะสร้างคุณงามความดีมีแต่ความลำบากลำบน มีแต่สิ่งที่กีดที่ขวาง เหมือนกับว่าธรรมนี้เป็นธรรมชาติที่กีดที่ขวาง ธรรมนี้เป็นคู่กรรมคู่เวรต่อมนุษย์ทั้งหลายไปเสีย โดยไม่คิดว่ากิเลสทั้งร้อยทั้งพันเปอร์เซ็นต์นั้นแลเป็นตัวกีดตัวขวาง เป็นตัวกระซิบกระซาบ เป็นตัวหลอกลวง เป็นผู้ไม่ให้ทำ การฝืนความชั่วไปทำความดีนั้นจึงต้องเป็นทุกข์ แน่ะ มันไม่ให้คิดนี้เสียเรื่องของกิเลส จึงลำบากสำหรับผู้ปฏิบัติทั้งหลาย

ธรรมเหล่านี้ใคร ๆ จะพูดล่ะพิจารณาซิ ต้องปฏิบัติให้รู้ให้เห็นก็จะพูดได้เอง ถ้าไม่รู้พูดไม่ได้ จะเอาอะไรมาพูด ต้องรู้ต้องเห็นถึงจะพูดได้ เพราะกิเลสมันละเอียดขนาดไหน ขนาดที่ว่าอยู่กับเราเรามองไม่เห็น เรารู้ไม่ได้ ระลึกไม่ถึง นั่นฟังซิ เพราะกิเลสมันลึกกว่ามันละเอียดกว่าความรู้ความเห็นของเราที่จะอาจเอื้อมสอดแทรกรู้ตามมันได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องอาศัยอรรถธรรมซึ่งเป็นน้ำที่สะอาด หรือเป็นกล้องที่ทันสมัย ล้ำยุคล้ำสมัย หรือว่าเหนือกิเลส จึงสามารถที่จะสอดส่องมองทะลุเข้าไปเห็นกิเลสเป็นขั้นเป็นตอน เป็นประเภทหนาบางของกิเลสโดยลำดับลำดา ชำระเข้าไปล้างเข้าไปโดยลำดับ เห็นเข้าไปรู้เข้าไปด้วยอรรถด้วยธรรม จนกระทั่งละเอียดสุด สติปัญญาธรรมยิ่งละเอียดเหนือนั้น ก็ต้องมองเห็นหมดทะลุปรุโปร่งไปหมด เช่นนี้แล้วทำไมจะไม่เห็นกลมายาของกิเลสที่ทำลายสัตว์ด้วยกลอุบายใดบ้างล่ะ นี่สำคัญตรงนี้

เราอยากจะพูดให้เต็มปาก ทั้ง ๆ ที่ตัวเท่ากระจ้อนกระแตนี้ว่า เรื่องของกิเลสแล้วถ้าลงไม่เห็นในภาคปฏิบัติ ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและทรงรู้ทรงเห็นมาแล้วจึงมาสั่งสอนจิตตภาวนา อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะทราบจะรู้จะเห็นเงื่อนต้นเงื่อนปลายของกิเลสนี้ได้เลย ก็จะเป็นวัฏวนอยู่นี้ตลอดไป วกไปเวียนมา ๆ ด้วยความหูหนวกตาบอดทางจิตใจอยู่เช่นนี้ตลอดกัปตลอดกัลป์ไม่มีการนับ เหมือนกับนักมวยที่เขาต่อยกันจนถึงขั้นสลบไปแล้วจะไปนับทำไม มันจะไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรคนสลบหรือคนตายแล้วนั้น

นี่ก็เหมือนกัน วัฏวนนี้ตายตัวถึงขนาดนั้น เพราะกิเลสทุบกิเลสต่อยจนถึงขั้นอย่างน้อยสลบ มากกว่านั้นเหมือนว่าตายจมไปเลยทั้ง ๆ ที่จิตนั้นไม่ฉิบหาย แต่ก็จมไปด้วยอำนาจแห่งกรรมบีบบังคับไม่ให้รู้สึกตัวเลย และจะหมุนกันอยู่อย่างนี้ตลอดไป ถ้าไม่ใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้าในภาคปฏิบัติ ปฏิบัติกำจัดมันเข้าไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงทะลุปรุโปร่งไปหมดแล้ว อย่างไรก็ไม่มีทางรู้ทางเห็น ไม่มีทางละได้เลย มีแต่ทางจมไปตามกลมายาหรืออุบายของมันโดยถ่ายเดียวเท่านั้น

ขอให้ท่านทั้งหลายระลึกและจำไว้ให้ดีในคำนี้ และให้หนักแน่นในภาคปฏิบัติคือจิตตภาวนาให้เหนียวแน่นแก่นที่สุด เพราะความทุกข์ในการประกอบความพากเพียรของเรานี้ แม้จะทุกข์ขนาดไหนก็ไม่ได้เท่าเสี้ยวหนึ่งของความทุกข์ที่เคยเป็นมาในวัฏวนนี้ตลอดกัปตลอดกัลป์ ทั้งทุกข์ธรรมดาและมหันตทุกข์จนนับไม่ถ้วนนับไม่ได้เลย มากขนาดไหนในเราคนเดียวนี้ นี่พิจารณาซิ อันนั้นทุกข์มากยิ่งกว่าความพากเพียรของเราที่จะฝืนกิเลสด้วยความทุกข์อันนี้ หรือด้วยความฝืนกิเลสนี้เพื่ออรรถเพื่อธรรม เอ้า ทุกข์ขนาดไหนทุกข์ เราจะหวังให้พ้นในชาตินี้ เอ้าทุกข์ในชาตินี้ด้วยความเพียร เพื่อยังอรรถยังธรรมเข้าสู่ใจ เป็นธรรมสมบัติหรือสมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ นิพพานสมบัติ เอ้าทุกข์จะเป็นอะไรไป แม้แต่เขาทำการทำงานทำไร่ทำนาทำกิจการต่าง ๆ เขายังต้องมีทุกข์ติดตามไปด้วยกันทั้งนั้น ดังงานบางอย่างถึงเป็นถึงตายก็ยังมี เรานี้ยังไงก็ไม่ตาย

สติปัญญาให้ใช้ตลอดเวลาที่ชุลมุนวุ่นวายกับความทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์นี้เป็นสัจธรรม อย่าให้ทุกข์มาทับถมเราเฉย ๆ โดยหาเหตุผลไม่ได้ ให้ทุกข์ด้วยการพิจารณาเป็นสัจธรรม ทุกข์นี้จะไม่ทุกข์ ผู้ปฏิบัติต่อธรรมประเภทสัจธรรมนี้จะเป็นผู้เพลินในธรรมทั้งหลาย ในเวลารู้เวลาเห็นกัน หรือเข้าถึงตัวสัจธรรมจริง ๆ แล้วเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ทุกข์นี้จะเป็นภัยต่อเรา เป็นที่ขยะแขยงในขณะที่เป็นขึ้นมาจากการประกอบความเพียรนั้นพอให้เกิดความเข็ดหลาบ ความคิดเช่นนี้เป็นความคิดสมุทัยที่จะเสริมทุกข์ให้มีกำลังมากขึ้นจนถึงขั้นเข็ดหลาบ แต่ถ้าเป็นความทุกข์ที่จะให้รู้เห็นกันด้วยมรรคมีสติปัญญาเป็นสำคัญ นี่เรียกว่ามรรคแต่ละอย่าง ๆ พิจารณาจนเข้าถึงกันแล้ว ความทุกข์นี้จะเป็นทุกขสัจ

ถึงขั้นนี้แล้วผู้พิจารณาจะมีความเพลินโดยไม่รู้สึกตัวละว่าเพลินยังไง เมื่อเข้าถึงขั้นชุลมุนกันจริง ๆ เป็นอย่างนั้น จนสามารถแยกกันออกเป็นคนละสัดละส่วนว่าทุกข์ก็เป็นทุกข์ กายก็เป็นกาย จิตก็เป็นจิต ทั้งสามนี้แต่ก่อนประหนึ่งว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนไฟกับฟืนหรือเชื้อไฟ เมื่อแยกออกแล้วฟืนก็เป็นฟืน ไฟก็เป็นไฟ เราก็เป็นเราไม่เดือดร้อน นี่ก็เหมือนกัน จะทุกข์มากทุกข์น้อยอย่าไปคิดให้เสียผลเสียประโยชน์ เพราะเป็นกลอุบายของกิเลสหลอกอีกประเภทหนึ่งเหมือนกัน ให้ประมวลถึงเรื่องความทุกข์ที่เราเป็นมาในวัฏวนนี้ จะได้มีจิตแก่ใจต่อสู้ต้านทานมัน

พระพุทธเจ้าทรงสอนโลกไม่ผิด ถึงเราไม่รู้ก็ตาม ให้พึงเชื่อท่านผู้ฉลาดที่ทรงผ่านมาแล้วรู้มาแล้วเห็นมาแล้วนำมาสั่งสอนโลก ว่าการเกิดตายของจิตวิญญาณแต่ละดวง ๆ นั้น ไม่มีสิ่งใดเสมอแล้วในความมากมาย มากถึงขนาดที่ว่าไม่มีอะไรเสมอ ไม่มีสิ่งใดจะเป็นคู่แข่งของจิตวิญญาณแต่ละดวง ๆ ที่แบกกองทุกข์เรื่อยมาด้วยความเกิดความตาย ด้วยวิบากกรรมต่าง ๆ ที่ตนสร้างไปในตัว ๆ แห่งภพชาตินั้น ๆ ทุกข์นี้ทุกข์มาก ทุกข์ยืนนานมานานแสนนาน ถ้าแก้ไม่ได้ในชาตินี้ในปัจจุบันนี้แล้วก็จะต้องแบกกันไปอย่างนี้ เป็นกันไปอย่างนี้ ดังที่เคยเป็นมาฉันใด จะเป็นไปฉันนั้นเหมือนกัน นั่นฟังซิหนักไหมความทุกข์ที่แบกมามากน้อยนี้ เมื่อเชื่อพระพุทธเจ้าแล้วทำไมจะไม่ใจหาย

ผู้เชื่อตามหลักความจริงของพระพุทธเจ้า ว่าที่จะแบกทุกข์ต่อไปข้างหน้านั้น ทำไมจะไม่ใจหายล่ะ เพราะเหตุไร เพราะพระพุทธเจ้าผู้ทรงสั่งสอนโลก ถ้าหากว่าเราพูดอย่างภาษาตลาดให้ฟังอย่างถึงใจของเราแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโลกด้วยความใจหาย อยากให้พ้นอยากให้หลุด อยากให้ผ่านไปได้สด ๆ ร้อน ๆ แม้นาทีหนึ่งก็ไม่อยากให้สัตว์ทั้งหลายจมอยู่ในกองฟืนกองไฟในหม้อน้ำร้อนนั้นเลย จึงสอนอย่างถูกต้องแม่นยำ สอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนด้วยพลังของจิตพลังของความเมตตาซึ่งออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์ ที่ได้เห็นทั้งโทษทั้งคุณอย่างถึงพระทัยแล้วทุกอย่าง การสอนธรรมจึงไม่มีใครที่จะสอนด้วยความหนักแน่นแม่นยำ และพระเมตตาเต็มสัดเต็มส่วน ประหนึ่งว่าน่าใจหายหรือว่าใจหายเหมือนพระพุทธเจ้าสั่งสอนสัตว์โลกนั้นเลย ฟังซิ

พระสาวกก็รองกันลงมาเป็นลำดับจากพระพุทธเจ้าในการสั่งสอนโลก เพราะท่านก็ตะบันกันกับกิเลสสมุทัยและทุกข์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นของคู่กันกับสมุทัยนี้มาหนักขนาดไหน มากขนาดไหน ประจักษ์ใจขนาดไหน ด้วยการแก้การถอนนี้ก็คือมรรค ท่านทราบทั้งคุณและโทษโดยสมบูรณ์ในหัวใจของท่าน แล้วทำไมท่านจะสอนโลกด้วยความอ่อนแอ สอนพอเป็นพิธี สอนพอให้กิเลสหัวเราะเยาะได้ล่ะ ท่านจะเป็นอย่างนั้นไม่ได้ ท่านต้องสอนให้เต็มภูมิประหนึ่งว่าใจหายเช่นเดียวกับพระพุทธเจ้านั้นแล สอนด้วยความเมตตา เพราะเห็นสัตว์ทั้งหลายจมอยู่หาประมาณไม่ได้เลยว่าจะหลุดจะพ้นไปเมื่อไร

ถ้าจะพูดถึงว่ามองไปเมื่อไรก็เห็นจมอยู่แต่ในหม้อน้ำร้อน ๆ จมอยู่ในฟืนในไฟ จมอยู่ในกองทุกข์ในอันตรายซึ่งเป็นมหันตทุกข์ตลอดเวลา มองไปเมื่อไรก็เห็นอย่างนั้น ไม่มีเวลาซึ่งจะว่าง ถ้าเราจะพูดถึงสายตาไม่มีว่างจากสายตาว่าสัตว์ทั้งหลายไม่มีกองทุกข์ ไม่ได้ผ่านสายตาเลยนี้เป็นไม่มี นอกจากถึงกับไม่อยากมอง เพราะสลดสังเวชสัตว์ทั้งหลายที่มาจมอยู่อย่างนี้ เพราะความประมาท เพราะความไม่รู้ของตนเองมาทำบาป มาทำกองทุกข์ให้ตนเอง หรือมาทรมานตนเอง มาบีบบังคับตนเองอยู่อย่างนี้ ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นไม่อยากดู ถึงขนาดนั้น

นั่นละการสอนโลก ถ้าหากว่าจะพูดถึงความเผ็ดร้อนก็เผ็ดที่สุดร้อนที่สุด ฉุดลากอย่างเต็มพระทัยไม่มีที่จะออมแรง เรื่องพระพุทธเจ้าสอนโลก สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยสอนเต็มกำลัง ฉุดลากเต็มพระกำลังความสามารถของพระองค์นั้นแล ตามแต่สัตว์ทั้งหลายรายใด ๆ ที่จะพอเป็นไปได้มากน้อยเพียงไร พระองค์ก็ทรงทราบอีกเช่นเดียวกัน เราพิจารณาซิ

คำว่าสัตว์โลกมีใครบ้าง ถ้าไม่นับตัวเราเข้าด้วยแล้วเราเป็นอะไร ไม่เป็นสัตว์โลกจะเป็นสัตว์อะไร เปรตผีก็เคยเป็นมาแล้ว เวลานี้เราก็เป็นสัตว์โลกรายหนึ่งเหมือนกัน เราไม่คำนึงบ้างหรือว่า ความทุกข์ทั้งหลายที่กล่าวมาเหล่านี้ไม่มีอยู่กับเราหรือมีอยู่กับเรา เอ้า ตั้งปัญหาถามเจ้าของซิ นักปฏิบัติต้องเป็นอย่างนั้น ขุดค้นเข้าไปหาเหตุหาผล เพราะสิ่งเหล่านี้เราเจอมาแล้วด้วยกันทั้งนั้น ได้รับความทุกข์ความทรมานถึงขั้นมหันตทุกข์ไม่มีใครแข่งใครได้ ก็คือเรื่องจมอยู่ในวัฏฏะเกิดตาย ๆ ด้วยอำนาจของวิบากกรรมนี้แล เมื่อเป็นเช่นนั้นทำไมความเพียรของเราจะไปย่อหย่อนอ่อนข้อ กลัวแต่จะเป็นจะตายจะทุกข์จะลำบากเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยการประกอบความเพียรเท่านี้มันเกินไป ให้กิเลสกล่อมเสียจนหลับสนิทในความเพียร ถึงกับเข็ดหลาบในความเพียร ถึงกับเข็ดหลาบในความทุกข์ ไม่สมควรอย่างยิ่งกับนักปฏิบัติเราซึ่งเป็นลูกศิษย์ตถาคตผู้มีเหตุมีผล ด้วยความเชี่ยวชาญเฉลียวฉลาดไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้าเลย ให้นำมาคิดในเรื่องเหล่านี้ เอามาชั่งน้ำหนักกันในเรื่องความทุกข์ของการประกอบความพากเพียร

นี่เราพูดถึงเรื่องการเป็นมาและที่จะเป็นไปข้างหน้า ข้างหน้ากับข้างหลังไม่มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายเหมือนกัน เรายังจะพอใจทนต่อไปอยู่เหรอ เรายังจะสามารถอาจหาญอยู่เหรอ ว่าจะต้องแบกทุกข์ไปเช่นเดียวกับที่เป็นมานี้ ทุกข์ในปัจจุบันเพียงเท่านี้เรากลัว แต่ทุกข์ในอนาคตถึงขั้นมหันตทุกข์ซึ่งเคยเป็นมาเหมือนอดีตนั้น จะเป็นอย่างนั้นเราไม่คิด เราไม่กลัวเหรอ เอามาคิดนักปฏิบัติ ต้องใช้ปัญญาอย่างนั้นซิ การปลุกจิตปลุกใจนี้คืออรรถคือธรรมคือมรรค ส่วนความคิดที่จะทำให้เราเข็ดเราหลาบ ให้ขี้เกียจขี้คร้านท้อถอยอ่อนแอ เป็นแต่เรื่องของกิเลสมันกล่อมสัตว์ทั้งนั้น ถ้าไม่รู้ให้รู้เสียแต่บัดนี้ เอาให้ดี เอาให้จริงการปฏิบัติตัวเอง นี่เราพูดถึงเรื่องความจมของสัตว์

พระพุทธเจ้าท่านทรงรู้ทรงเห็นทรงเป็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะฉะนั้นการแนะนำสั่งสอนสัตว์โลกจึงทรงสั่งสอนอย่างเต็มพระทัย เต็มเม็ดเต็มหน่วยมาได้ ๔๕ พระพรรษา นอกจากนั้นพระเมตตายังไม่ลดละ ยังต้องประทานพระโอวาทคือสวากขาตธรรมไปอีกถึง ๕,๐๐๐ ปี ประทานไว้เพื่อใคร ก็ประทานไว้เพื่อสัตว์โลก จะเป็นสัตว์โลกรายไหนถ้าไม่หมายถึงตัวเราผู้ได้ยินได้ฟัง ผู้ปฏิบัติตามหลักศาสนธรรมอยู่นี้จะหมายถึงใคร

เอ้า เรามีกำลังวังชาความรู้ความฉลาดขนาดไหน ทุ่มลงไปเพื่อฆ่ากิเลสไม่เสียหาย ไม่ขาดทุนสูญดอก ให้ขยับลงไปในการประกอบความพากเพียร ให้ทำความเข็ดหลาบแก่ตัวเองที่เป็นมาแล้วก็ดี ที่จะเป็นไปข้างหน้าก็ดี คือจิตดวงนี้มันไม่ตายนั่นเอง ถึงจะทุกข์ทรมานขนาดไหน มหันตทุกข์ขนาดไหนเวลานั้นก็ต้องยอมรับ แต่ให้เราคิดว่าเราเอาไฟมาจี้ตัวของเรานี้ไม่ถึงขั้นตายแหละ อย่างมากเพียงเจ็บแสบปวดร้อนเท่านั้นเราจะทนได้ไหม เราพอทนไหมเพียงชั่วโมงหนึ่ง ชีวิตของเรานี้มีเป็นหลายปี ๕๐,๖๐,๗๐,๘๐ ปี ยืนนานขนาดไหนไม่ถึงตาย แต่เราจะทนความทุกข์เพียง ๕ นาทีที่ถูกไฟจี้นี้เราทนได้ไหม พิจารณาซิ นี่ละการไปตกนรกหมกไหม้ถึงใจจะไม่ฉิบหายใจไม่ตายก็ตาม แต่การทนทุกข์ทรมานซึ่งเทียบกันกับถูกไฟจี้นั้นเป็นอย่างไร พิจารณาซิ ใครจะไปยอมเสียตัวถึงขนาดนั้น ต้องรีบปัดออกทันที

อันนี้ก็เหมือนกัน สิ่งที่จะเผาเราได้แก่ความทุกข์ คนไม่ตายมันทุกข์มันลำบากกว่าคนตายนั่นซิ คนตายแล้วไม่รู้ร้อนรู้หนาว ใครจะทำอะไรก็ไม่ทุกข์ไม่เดือดร้อน แต่คนที่ทุกข์ทั้งยังไม่ตายนั้นซิทรมานขนาดไหน นั่นละใจที่ไม่ตายถูกทรมานอยู่ถึงขนาดนั้น พิจารณาซิว่าทุกข์ขนาดไหน เราควรที่จะนำมาพินิจพิจารณาให้ละเอียดลออ เพื่อเสริมกำลังความพากเพียรสติปัญญาศรัทธาของเราให้หนักขึ้น ๆ จะได้หลุดจะได้พ้นไป เมื่อหลุดพ้นไปจากสิ่งจองจำทั้งหลายนี้แล้ว จะหาอะไรเทียบไม่ได้เลย

นั่นละที่พระพุทธเจ้าท่านเห็นโทษของกิเลส เพราะเห็นคุณค่าแห่งธรรมที่เหนือกว่า ไม่มีอะไรเสมอแล้วในสามแดนโลกธาตุนี้ ท่านจึงเรียกว่า โลกุตรธรรม แปลว่าธรรมเหนือโลก เหนือโลกคืออะไร คือเหนือกิเลสเครื่องผูกพัน เครื่องมัดสัตว์ทั้งหลาย เครื่องทรมานสัตว์ทั้งหลาย พระองค์ก็นับอยู่ในจำนวนที่เคยถูกทรมานจากธรรมชาตินี้มาแล้ว จึงเห็นโทษอย่างถึงพระทัย แล้วประกาศกังวานแก่บรรดาสัตว์ทั้งหลายด้วยอรรถด้วยธรรม ผู้ที่พอจะไปได้ก็ให้ได้ไปทันพระองค์ที่ฉุดไปลากไปในเดี๋ยวนั้น ๆ ผู้ควรจะตามไปได้อยู่ก็พาดบันไดเอาไว้ ได้แก่ศาสนธรรมคำสั่งสอน ให้อุตส่าห์พยายามประพฤติปฏิบัติตาม ว่าอย่างนั้นความหมาย ทางสายนี้จะตรงเข้าสู่ความสงบเย็นใจ ตรงเข้าสู่ความสิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวงทั้งนั้น นั่นพิจารณาซิ นี่ผู้ปฏิบัติจะเป็นผู้สามารถรู้เรื่องของกิเลสไปได้โดยลำดับลำดา

ถ้าหากเราจะพูดเป็นก๊กเป็นเหล่าเป็นโคตรเป็นแซ่แล้ว ไม่ว่าปู่ย่าตายายของกิเลส โคตรแซ่ของกิเลสประเภทใด จะประมวลเข้ามาดูหน้ามันได้หมดในภาคปฏิบัติ และสังหารกันด้วยจิตตภาวนาทั้งนั้น เรียกว่าล้างป่าช้ากันที่นั้น ถ้าลงกิเลสได้สิ้นไปจากหัวใจแล้วไม่เกิดอีก นั่นเรียกว่าล้างป่าช้า เราจะประมวลมาเห็นได้หมดด้วยจิตตภาวนานี้ อย่างอื่นไม่มีทางที่จะเห็นได้เลย เราเองก็มองไม่เห็น นอกจากศาสนธรรมนี้เท่านั้นเป็นเครื่องสังหารกิเลส เป็นเครื่องชะล้างกิเลส เป็นเครื่องล้างป่าช้าคือความเกิดตายให้สิ้นไปจากดวงใจดวงนี้แล้วไม่ต้องหมุน

นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ก็คือจิตดวงนี้ที่พ้นจากสิ่งกดขี่บังคับทั้งหลายซึ่งเคยเป็นมาแล้วเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นเป็นนิพพาน ดินน้ำลมไฟไม่ใช่นิพพาน ทุกสิ่งทุกอย่างในแดนโลกธาตุนี้ไม่ใช่นิพพาน ไม่ใช่ผู้ที่เสวยบรมสุข มีใจเท่านั้นเป็นผู้เสวยความสุขเป็นนิพพาน นิพพานหรือไม่นิพพานก็ตามเถอะ นั้นเป็นชื่อ ขอให้ทำใจของเราให้บริสุทธิ์เห็นประจักษ์แล้ว ไม่ต้องเสกสรรไม่ต้องไปถามใคร เป็น สนฺทิฏฺฐิโก เต็มหัวใจนี้ก็พอแล้ว จะว่านิพพานไม่นิพพานไม่สำคัญ แต่นี้ขยายคำออกไปตามท่านแสดงไว้ในภูมิของศาสดา ท่านสอนไว้อย่างกว้างขวางละเอียดลออมาก ให้เหมาะสมกับภูมิของสัตว์โลกที่จะเดินตามซึ่งมีนิสัยต่าง ๆ กัน กว้างแคบหยาบละเอียดลึกตื้นฉลาดแหลมคม

อย่าให้จนตรอกจนมุมว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนไว้ ให้เป็นเหมือนกับว่านกบินบนอากาศ ไปที่ไหนไม่มีคำว่าอากาศสิ้นไปแล้วหมดไปแล้ว ไม่มีทางบินไม่มีทางเดิน อย่างนี้ไม่ให้มี บินไปไหนบินได้ทั้งนั้นถ้าไม่กลัวเหนื่อยกลัวเมื่อยหรือปีกหักเสีย นี่ก็เหมือนกับความรู้ความสามารถของใครก็ตาม ขึ้นชื่อว่าพุทธบริษัทที่รู้ตามพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีติดมีข้องว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนไว้ พระพุทธเจ้าไม่มีภูมิ เรามีภูมิมากกว่าอย่างนี้ไม่เคยมี นี่ละธรรมพระพุทธเจ้า ท่านถึงบอกว่านิพพาน ๆ นั่นก็เหมือนกัน เป็นชื่ออันหนึ่งเพื่อให้ทราบตามธรรมดาของโลกต้องมีสมมุติ แม้ธรรมวิมุตติก็ต้องตั้งชื่อให้มีสมมุติขึ้นไว้ เมื่อเข้าถึงแล้วก็หายสงสัยเอง

เราอย่าหวังพึ่งสิ่งใดดูสิ่งใดให้มากยิ่งกว่าธรรมวินัย ซึ่งเป็นแถวทางเดินเพื่อความหลุดพ้นทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น ให้เป็นที่มั่นใจ ให้เป็นที่หนักแน่นฝากเป็นฝากตายกับหลักธรรมหลักวินัย อย่าดื้อดึงฝ่าฝืนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้ดำเนินให้บำเพ็ญด้วยความขยันหมั่นเพียร ให้จริงให้จังต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ทำอะไรให้พินิจพิจารณา เรื่องสมาธิไม่มี เอ้าเอาให้มีทำไมจะมีไม่ได้ ธรรมนี้สอนจิตเพื่อให้เป็นสมาธิแท้ ๆ ธรรมนี้สอนจิตเพื่อให้มีปัญญาเฉลียวฉลาดทันกลมายาของกิเลสแท้ ๆ ธรรมนี้เป็นธรรมชาติที่เป็นเครื่องสังหารกิเลสให้สิ้นซากไปจากใจโดยแท้ ไม่ใช่ธรรมที่กิเลสจะมาเหยียบย่ำทำลาย หรือเหยียบหัวขยี้หัวอยู่เปล่า ๆ ธรรมของพระพุทธเจ้าไม่เคยมี นอกจากผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้นจะไม่เป็นท่า ปล่อยให้กิเลสย่ำยีตีแหลกไปเสียหมด เครื่องมือแทนที่จะเอาไปสังหารกิเลส กลับให้กิเลสเอามาสังหารตัวเสีย เพราะความโง่เขลาเบาปัญญาของตัว หรือความไม่เอาไหนของตัว มีเท่านั้น

เรื่องธรรมแล้วเป็นอาวุธที่ทันสมัย ท่านเรียกว่า “ธรรมาวุธ” ทันสมัยมาแต่กาลไหน ๆ อยู่แล้ว พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกนี้มีกี่ล้าน ๆ พระองค์ มีแต่ตรัสรู้ด้วยธรรมเหล่านี้ทั้งนั้น ไม่มีสิ่งอื่นมาเป็นเครื่องตรัสรู้ธรรม เพราะฉะนั้นขอให้เป็นที่มั่นใจ เอาให้จริงให้จัง ประพฤติปฏิบัติตัวด้วยความเข้มงวดกวดขัน ด้วยความเข้มข้นแล้ว กิเลสนั้นเป็นสิ่งที่จะขาดจะหลุดลอยไปได้ไม่เหลือ เพราะอำนาจแห่งธรรมาวุธคือเครื่องมือสังหารนี้ ถ้าเป็นน้ำก็ไม่พ้นจากน้ำนี้จะทำให้สะอาดได้ ดังที่กล่าวไว้แล้วเบื้องต้น

นี่ก็เคยพูดเสมอ มันหากเป็นในธาตุในขันธ์ในจิตใจนี้แล เพราะสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับโลกกับสงสารอยู่ตลอดเวลา ทำไมจะอดคิดไม่ได้ เฉพาะอย่างยิ่งพระเณรที่อยู่ในความรับผิดชอบของเรา อะไร ๆ ก็ต้องเข้าจุดนี้ก่อน ๆ เรื่องความคิดความอ่านอะไรก็ดี มักจะคิดเรื่องความรับผิดชอบของตัวเองนี้ก่อน ก็คือพระเณรที่มาศึกษาอบรม เป็นยังไงเรื่องความพากความเพียร เป็นยังไงเรื่องจิตใจ สมาธิเป็นยังไง ปัญญาเป็นยังไง จิตใจมันจดจ่ออยู่ตรงนี้

เรื่องการปฏิบัตินี้ยิ่งร่อยหรอเข้าไป ๆ เรายิ่งจะเป็นรายหนึ่งแห่งความร่อยหรอด้วยแล้วก็ยิ่งใช้ไม่ได้เลย เราคนหนึ่งเป็นผู้จะทรงไว้ มีความเข้มแข็งมีความขยันหมั่นเพียร ตลอดถึงเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งมรรคซึ่งผลวิมุตติหลุดพ้น นั่นถึงจะถูก ใครขาดไปก็ตาม บกพร่องไปก็ตาม เราอย่าให้บกพร่องนี้เป็นความถูกต้อง คนนั้นร่อยหรอคนนี้ร่อยหรอ เราก็เป็นคนร่อยหรอบวกกันเข้าไป มันเกินไปและอดสลดสังเวชไม่ได้นะผมผู้สั่งสอนหมู่เพื่อนมานานก็ดี สั่งสอนจนหมดไส้หมดพุง ธาตุขันธ์ก็อ่อนลง ๆ จะเทศน์จะสอนแต่ละครั้งละคราวต้องได้คิดได้อ่านไตร่ตรอง เรื่องธาตุเรื่องขันธ์นี้เองก่อนอื่นก่อนใด เวล่ำเวลาที่เกี่ยวข้องกับอะไร ๆ บ้าง ประมวลเข้ามาแล้วก็มาสู่ธาตุขันธ์ ว่าธาตุขันธ์เวลานี้จะพอเป็นพอไป พอแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อนได้มากน้อยเพียงไร ต้องได้คิด เมื่อเห็นว่าพอจะเป็นไปได้แล้วก็ต้องประชุมอบรมแนะนำสั่งสอน ขอให้หมู่เพื่อนได้เห็นอกเห็นใจแล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติตัว ให้ได้ทรงมรรคทรงผล

ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นสด ๆ ร้อน ๆ แน่ ตายจะให้คอขาดก็ขาด แต่ความเชื่อว่าธรรมของพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ นี้ไม่มีถอน ไม่มีบกบางแม้นิดหนึ่งเลย เชื่อขนาดนั้นแหละเราเชื่อธรรมของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอให้ทุกท่านตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควร ยุติเพียงแค่นี้


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก