ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม
วันที่ 15 พฤษภาคม 2531 เวลา 19:00 น. ความยาว 63.01 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑

ก้าวเดินตามหลักศาสนธรรม

ศาสนธรรมของพระพุทธเจ้าที่นำสัตว์ให้ข้ามโลกข้ามสงสารถึงพระนิพพาน เป็นที่สุดแห่งทุกข์และยอดแห่งความสุขทั้งหลายไม่มีข้อสงสัย เปรียบได้กับเรือใหญ่ที่ขี่ข้ามมหาสมุทรทะเลหลวง ผู้จะข้ามมหาสมุทรด้วยเรือย่อมถือเรือเป็นสำคัญ ไม่เห็นสิ่งอื่นใดดียิ่งกว่าเรือในขณะหรือเวลาที่ข้ามน้ำด้วยเรือนั้น ย่อมถึงฝั่งแห่งความปลอดภัย นี่ผู้ยึดหลักธรรมหลักวินัยของพระพุทธเจ้า ที่รวมแล้วเรียกว่าศาสนธรรมมาเป็นข้อปฏิบัติ ฝากจิตใจพร้อมทั้งการปฏิบัติทุกด้านไว้กับหลักธรรมหลักวินัย ย่อมจะเป็นไปเพื่อความสงบเย็นใจแก่ตัวเองเป็นลำดับลำดา ถ้าไม่ปล่อยใจหรือปล่อยความประพฤติให้ออกนอกลู่นอกทางและหลักธรรมหลักวินัยไปเสียเท่านั้น ความเดือดร้อนความทุกข์จะไม่มารังควานหรือมารังแกจิตใจ หรือบีบบังคับจิตใจให้เกิดความทุกข์ได้

แต่ส่วนมากผู้ปฏิบัติธรรมมักจะถือเอาความรู้ความเห็น ซึ่งเป็นความเคยชินของกิเลสฉุดลากไปอยู่ตลอดเวลานั้น มาเป็นข้อคิดการดำเนินไปเสีย โดยลืมหลักธรรมหลักวินัย ทั้งๆ ที่ตนก็ว่าตนประพฤติตามหลักธรรมหลักวินัย นั้นแลที่ทำให้เสียไปได้ เขวจากหลักหรือเขวจากทางที่จะให้พ้นภัยไปโดยลำดับได้ เพราะเหตุนี้เอง

เพราะฉะนั้นการเทศนาว่าการทุก ๆ ครั้ง เราเกือบจะพูดได้ว่า ทุกครั้งที่ได้ให้การอบรมสั่งสอนหมู่เพื่อน จึงไม่อาจจะลดละปฏิปทาเครื่องดำเนินของพระบรมศาสดาและของพระสาวกทั้งหลายให้ปลีกเป็นอย่างอื่นไปได้ พูดเริ่มตั้งแต่ที่อยู่ที่อาศัย สถานที่บำเพ็ญเรื่อยไป นี่ละเว้นไปไม่ได้ เพราะความเขวของผู้นับถือพุทธศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งคือผู้ปฏิบัติ เช่น พระธุดงคกรรมฐานเรา มักจะห่างเหินจากหลักธรรมที่ถูกต้องแม่นยำนี้ไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าได้ปฏิบัติตามความถนัดใจหรือความชอบใจของตนไปเสีย และยังทำให้เป็นความหวังซึ่งเกิดจากการระบายออกหรือกระทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ไม่มองย้อนหลังว่าการประพฤติการดำเนินอย่างนั้นถูกหรือผิดจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้าที่พาดำเนินมาอย่างไรหรือไม่ เมื่อนานไปเป็นอย่างนั้น

หากเราได้ดำเนินตามปฏิปทาที่ทรงพาดำเนินมา ด้วยความสนใจจดจ่อทุกระยะกาลที่ปฏิบัติแล้ว ผลที่จะพึงรู้พึงเห็นอันเกิดจากปฏิปทาเครื่องดำเนินตามท่านย่อมจะปรากฏไปโดยลำดับ นับแต่ขั้นความสงบเย็นใจที่เรียกว่าสมถธรรมนี้เป็นต้นไป เพราะสมถธรรมเป็นผลที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติของผู้ปฏิบัตินี้เท่านั้น ไม่เกิดขึ้นจากความจดจำคำบอกเล่าใดๆ ทั้งสิ้น ความจดจำก็คือการศึกษาเล่าเรียนได้มามากน้อยนั้นแล จำได้ คำบอกเล่าใครๆ ก็บอกเล่าได้ แต่ไม่เป็นสมถธรรม พูดง่ายๆ ว่า สมณกิจได้แก่งานที่ยังจิตให้สงบ เกิดไม่ได้ ต้องอาศัยภาคปฏิบัติเป็นสำคัญ ดังพระพุทธเจ้าของเราได้ทรงพาดำเนินมา

คำว่าศาสนธรรมที่ออกประกาศสอนโลกเรื่อยมาแต่ครั้งพุทธกาล จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ได้มาจากประพฤติปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเป็นพระองค์แรก เกิดความรู้ทั้งหมดที่ว่าสัพพัญญูหรือรู้เญยธรรมทั้งหลายนั้น รู้จากภาคปฏิบัตินี้ทั้งสิ้น ไม่ได้รู้จากการด้นเดา ไม่ได้รู้จากการคาดคะเน ไม่ได้รู้จากการบอกเล่าจากผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่เกิดขึ้นจากการขวนขวาย การประพฤติปฏิบัติของพระองค์เองที่เรียกว่าสยัมภู คือการปฏิบัติก็ทรงขวนขวายเอง การรู้การเห็นในธรรมทุกแง่ทุกมุม จนกระทั่งกลายเป็นเญยธรรม ได้แก่รู้ธรรมทั้งหลายที่ควรจะรู้จะเห็นในวิสัยของพระพุทธเจ้าทรงรู้ได้ตลอดทั่วถึง ก็เป็นไปด้วยการขวนขวายของพระองค์เองทั้งนั้น คือจากภาคปฏิบัติ

เพราะฉะนั้นธรรมที่ประกาศสอนโลกเรื่อยมา ตั้งแต่ครั้งยังทรงพระชนม์อยู่จนกระทั่งปัจจุบันนี้ จึงเป็นธรรมที่กลั่นกรองมาแล้วด้วยการปฏิบัติทุกแง่ทุกมุมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ไปเที่ยวหยิบยืมมาจากผู้หนึ่งผู้ใด หรือตำรับตำราคัมภีร์ใดลัทธิใดทั้งนั้น แต่เกิดขึ้นจากภาคปฏิบัติของพระองค์เอง นี่พื้นฐานแห่งศาสดาผู้ประกาศธรรมสอนโลก ท่านก็แสดงตัวอย่างไว้ให้เห็นชัดเจน ทั้งฝ่ายเหตุคือการปฏิบัติ พระองค์ก็ทรงดำเนินมาเอง ดำเนินมาแล้ว ทั้งภาคของผลที่เกิดขึ้นนับแต่ขั้นเริ่มแรกแห่งธรรม จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้น เป็นความรู้ที่เหนือแดนโลกธาตุ ครอบโลกธาตุเสียทั้งหมด ก็ได้จากการประพฤติปฏิบัติของพระองค์เองอันเป็นแบบฉบับอยู่แล้ว

ผู้ปฏิบัติจึงควรคำนึงถึงการดำเนินของพระองค์ แล้วน้อมนำมาเป็นข้อปฏิบัติสำหรับตัวของเราเอง ผลจะพึงได้รับจะไม่นอกเหนือไปจากร่องรอยของศาสดา ที่ทรงได้รับผลและทรงแสดงไว้แล้วนี้เลย ข้อสำคัญขอให้เข้มงวดกวดขันในภาคจิตตภาวนาด้วยสถานที่เหมาะสม คือป่าคือเขาลำเนาไพร นี้เป็นสำคัญมากสำหรับพระปฏิบัติเรา ถ้าอยากจะทรงมรรคทรงผลดังท่านทรงและประกาศสอนไว้แล้วนี้ หากปลีกจากร่องรอยที่ทรงแสดงไว้แล้วนี้ จะไม่มีหวังได้พบได้เห็นในธรรมทั้งหลายที่ประกาศสอนไว้แล้วนั้นเลย

คำว่ากรรมฐานก็จะมีแต่ชื่อที่ตัวเองก็เสกสรรปั้นยอขึ้นแล้วภูมิใจ คนอื่นก็นิยมชมชอบเพราะเข้าใจว่าเป็นตัวจริงเป็นกรรมฐานจริง สุดท้ายมันก็ปลอมอยู่ในตัวของผู้ที่เสกสรรปั้นยอตนว่าเป็นกรรมฐานนั้นแล เพราะไม่ได้ปฏิบัติตามร่องรอยของศาสดาที่ทรงสอนไว้ ธรรมะกับเราผู้ปฏิบัติก็นับวันเหินห่างกันไป เพราะเหตุพาให้เหินห่าง ผลจะปรากฏหรือมีช่องทางเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อเหตุไม่เปิดช่องเปิดทางให้ผลซึ่งควรจะเกิดได้เกิดขึ้นตามปฏิปทาเครื่องดำเนินของตน ด้วยเหตุนี้จึงควรตระหนักใจอยู่โดยสม่ำเสมอในการปฏิบัติ

อย่าได้เห็นกิจการงานใดเลิศเลอยิ่งกว่าภาคปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่สมถธรรมคือการภาวนา เพื่อจิตใจได้รับความสงบผ่องใส สิ่งใดผ่องใสก็สู้จิตผ่องใสไม่ได้ อะไรสงบอะไรเย็นก็สู้จิตสงบจิตเย็นไม่ได้ อะไรที่ว่าสุขๆ ใครจะว่าสุขๆ ที่ไหนก็ตาม สุขด้วยสมบัติเงินทองสุขด้วยข้าวของ สุขด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ สุขด้วยสิ่งทั้งหลายที่โลกนิยมเสกสรรกันขึ้น ปั้นยอกันขึ้นก็ตาม นั้นเป็นเพียงความส่งเสริม เพียงลมปากความนิยมของจิตแต่ละดวงๆ ที่ชอบอยู่แล้วเสกสรรปั้นยอขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงที่ประจักษ์ดังจิตที่มีความสงบเย็น ด้วยภาคปฏิบัติศาสนธรรมตามร่องรอยแห่งศาสดา นี่เป็นหลักสำคัญมาก

คำว่าจิตผ่องใสไม่ได้เหมือนสิ่งอื่นสิ่งใดผ่องใส ส่งผลให้เจ้าของเห็นได้อย่างชัดเจนในตัวของเรานั้นแล แม้จะไม่เคยพบเคยเห็นความผ่องใสนั้นเลย แต่ขอให้จิตได้ก้าวเข้าสู่ความสงบเพราะการปฏิบัติด้วยดีนั้นเถิด ความสงบของใจจะเป็นพร้อมกับความเย็นเกิดขึ้น ความผ่องใสก็จะเกิดจะปรากฏขึ้นเป็นเงาตามตัวของผู้ปฏิบัติ นี่เป็นของสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด

เฉพาะเราซึ่งเป็นนักบวชและนักปฏิบัติเพื่ออรรถเพื่อธรรม ซึ่งเป็นของเลิศเลอตามทางศาสดาด้วยแล้ว ยิ่งจะต้องถือการประพฤติปฏิบัติธรรมนี้เป็นของสำคัญยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด สิ่งนอกนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องอาศัยไปวันหนึ่งเวลาหนึ่งเท่านั้น หาความจีรังถาวรและแน่นอนจากสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย แม้ที่สุดแต่สรรพางค์ร่างกายของเรานี้ ยังจะต้องแตกต้องทำลาย แม้จะยังไม่แตกก็แสดงความรวดร้าวให้ปรากฏอยู่ตลอดไปในอิริยาบถต่างๆ จึงต้องได้เปลี่ยนท่านั้นท่านี้ พายืนพาเดินพานั่งพานอนพาขับพาถ่ายพาขบพาฉัน ล้วนแล้วแต่สิ่งเหล่านี้มันผันแปรอยู่ตลอดเวลา จำต้องได้วิ่งเต้นขวนขวายเพื่อแก้เพื่อไขบรรเทากัน พอให้เป็นไปได้ในวันหนึ่งๆ นั้นแล หากสิ่งเหล่านี้เป็นของแน่นอนเป็นของจีรังถาวรแล้ว สิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องขวนขวายจะต้องวิ่งเต้นไปตามธาตุขันธ์นี้เลย

นี่เพียงร่างกายของเราก็หาความแน่นอนไม่ได้แล้ว หาความดิบความดีไม่ได้ ถ้าไม่พาทำการทำงานที่เป็นส่วนความดีงามทั้งหลาย เช่น พาประกอบคุณงามความดีมีการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา พอที่จะให้ผลเกิดขึ้นจากขันธ์นี้ จึงจะเกิดจึงจะมี ลำพังขันธ์ต้องเป็นสภาพของตัวเองอยู่อย่างนี้ด้วยกันทุกรูปทุกนาม เราอย่าไปตื่นในสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของไม่น่าตื่นเลย เห็นอย่างชัดๆ กันอยู่นี้ ว่าอะไรในตัวของเราของเขาทั่วโลกดินแดนมันมีความแปลกต่างกันอย่างไร พอที่จะหลงจนลืมเนื้อลืมตัว แล้วตั้งความหวังกับสิ่งเหล่านี้จนไม่รู้จักเป็นจักตาย มีแต่เพลิดแต่เพลิน มีแต่ความหวังไปวันยังค่ำคืนยังรุ่ง สุดท้ายผลที่ได้ก็คือความแตกความสลายความตายไปนั่นแลไม่มีใครสมหวังในโลกนี้ จึงไม่มีศาสดาหรือนักปราชญ์ท่านใดจะมาชมเชย ว่าสิ่งเหล่านี้เลิศเลอยิ่งกว่าธรรมซึ่งควรจะเกิดขึ้นจากขันธ์นี้ ประกอบหรือเป็นเครื่องมือบำเพ็ญขึ้นมา

เวลานี้ชีวิตจิตใจของเราก็ยังครองร่างอยู่ และเป็นโอกาสอันดีงามอย่างยิ่งที่ได้มาบวชในพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า สวากขาตธรรม ที่องค์ศาสดาประกาศสอนไว้แล้วอย่างถูกต้องแม่นยำไม่มีที่สงสัยเลย และเราได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ซึ่งเป็นธงชัยของพระพุทธเจ้าที่โลกทั้งหลายเคารพกันมากมาย เฉพาะอย่างยิ่งชาวพุทธเมื่อเห็นผ้าเหลืองแล้วทำอะไรไม่ลง แม้จิตจะโกรธจะแค้นก็โกรธแค้นไม่ลงในผ้าเหลืองนั้น เพราะผ้าเหลืองนี้เคยให้ความร่มเย็นแก่โลกมานานแสนนาน เนื่องจากพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็ครองผ้าเหลือง ทรงผ้าเหลืองมาทั้งนั้น พระสาวกของพระพุทธเจ้ามีจำนวนมากเพียงไร ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์มา จึงเป็นเครื่องหมายที่ให้ความร่มเย็นแก่ตา ผู้มีความรู้สึกสัมผัสเกี่ยวข้องกับผ้าเหลืองนี้โดยทั่วกัน ไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด

เราได้นำผ้าเหลืองนี้มาครองร่างของเรา เป็นเพศของพระของเณรขึ้นมา ควรที่จะรู้สึกตัวเองว่าผ้าเหลืองนี้เป็นมาอย่างไร ใครเป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทให้มาแต่ดั้งเดิม และมาตกกับเรา แล้วมาคลุกเคล้ากับความขี้เกียจขี้คร้านความท้อแท้อ่อนแอความไม่เอาไหนอย่างนี้ สมควรแล้วเหรอที่จะเอาภาชนะทองคำมาบรรจุมูตรคูถคือเราอย่างนี้ ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะผ้ากาสาวพัสตร์นั้นถ้าเทียบก็เหมือนทองคำ เราครองอยู่นั้นก็เหมือนกับเป็นวัตถุอันหนึ่งที่อยู่ในภาชนะทองคำนั้น จึงควรมีหิริโอตตัปปะต่อผ้ากาสาวพัสตร์ที่ตนยังครองอยู่เวลานี้ ว่าผ้ากาสาวพัสตร์นี้ไม่อยู่กับคนขี้เกียจขี้คร้านคนท้อแท้อ่อนแอ คนเห็นโลกว่าดีกว่าธรรม ต้องเป็นผู้เห็นธรรมว่าดีเลิศกว่าสิ่งใดๆ ในโลกตามหลักความจริงนี้เท่านั้น

พระพุทธเจ้าก็ทรงเลิศครองผ้าเหลืองผ้ากาสาวพัสตร์ พระสาวกก็เลิศด้วยครองผ้าเหลืองผ้ากาสาวพัสตร์นี้ด้วย เมื่อผ้ากาสาวพัสตร์นี้ออกมาจากท่านผู้รู้ผู้ฉลาด ผู้มีความขยันหมั่นเพียร ผู้มีความอดความทน ผู้มีความไตร่ตรองทุกแง่ทุกมุมที่ความเคลื่อนไหวของใจแสดงออก แล้วเวลามาตกอยู่กับเราทำไมถึงเป็นผ้ากาสาวพัสตร์ที่มาครองร่างแห่งบุคคลผู้ไม่เป็นท่า ไม่สมควรอย่างยิ่ง ขอให้ทุกๆ ท่านนำไปพินิจพิจารณา

การดำเนินตามหลักศาสนธรรมที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ก็ดี ตามตำรับตำราที่ท่านจดจารึกไว้ก็ดี ไม่มีสิ่งใดที่จะให้เกิดความสงสัยว่าไม่เป็นจริงตามนั้น พูดถึงศีลก็ท่านผู้ทรงศีลแล้วมาสั่งสอนโลกคือพระพุทธเจ้า พูดถึงธรรมก็ผู้ทรงธรรมแล้วทุกประเภท จนกระทั่งถึงวิมุตติธรรม ก็คือองค์ศาสดานำธรรมมาสอนโลก พูดถึงสมาธิพูดถึงปัญญา ก็ท่านเป็นผู้ทรงไว้แล้วซึ่งสมาธิซึ่งปัญญาเต็มพระทัยซึ่งนำมาสั่งสอนโลก จึงไม่มีอะไรที่ว่างเปล่าจากความจริงที่ประกาศสอนไว้ ทรงสอนไว้ตามหลักความจริงทุกแง่ทุกมุม ทรงตรัสในเรื่องใดเรื่องนั้นเป็นของมีจริง และทรงรู้ทรงเห็นแล้วถึงนำมาตรัสมาสอนโลก

เราผู้ปฏิบัติตามท่านเพียงเท่านั้นก็จะถือว่าเป็นความลำบากลำบน ให้กิเลสฉุดลากเอาไปเป็นอาหารของมันทั้งวันทั้งคืน ยืนเดินนั่งนอน ล้วนแล้วแต่เป็นกิริยาแห่งความเป็นอาหารของกิเลส อย่างนี้ไม่สมควรอย่างยิ่งกับเราซึ่งเป็นพระและเป็นนักปฏิบัติที่โลกเขาเคารพเลื่อมใสว่าเป็นพระธุดงคกรรมฐาน ให้พึงรำลึกตนเสมอในเรื่องเหล่านี้ อย่าลืมการปฏิบัติตนเพื่อความเลิศเลอ

สิ่งที่เลิศเลอๆ มาตลอดคือธรรม ไม่เคยลดหย่อนผ่อนคุณภาพลงไปกับผู้ใดรายใดเรื่องใดเลย ก็คือธรรมนั้นแล ขอแต่ผู้ปฏิบัติให้ก้าวเข้าไปถึงธรรมแขนงนั้นๆ จนกระทั่งเข้าถึงแก่นธรรมเถอะ ไม่ต้องบอกต้องเสกต้องสรรว่าเลิศว่าประเสริฐอย่างใดก็ตาม หากจะทราบเต็มหัวใจของผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมประเภทนั้นนั้นแล พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยทรงทราบจากผู้ใด ไม่มีใครบอกเลยว่าธรรมอันเลิศคือวิมุตติธรรมที่ทรงตรัสรู้นั้นได้มาจากใคร ใครเป็นคนสอน พระองค์ยังทรงทราบประจักษ์พระทัย ตลอดถึงสาวกที่ได้ยินได้ฟังอุบายต่างๆ จากพระพุทธเจ้าทั้งเหตุทั้งผล เมื่อนำมาปฏิบัติแล้วจนกระทั่งถึงได้เจอธรรมประเภทนั้น ก็หมดความสงสัยที่จะทูลถามพระพุทธเจ้าอีกต่อไป และธรรมนั้นเป็นธรรมประเภทเดียวกันกับจิตของผู้ปฏิบัติธรรมจะพึงสัมผัส โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่ประมาทปล่อยให้กิเลสเอาไปเป็นอาหารเช้าอาหารเย็นอาหารกลางวันของมันเสียเท่านั้น

เราสงสัยอะไรเรื่องอรรถเรื่องธรรมที่ประทานไว้แล้ว ตลอดถึงครูบาอาจารย์นำมาแนะนำสั่งสอนนี้มีบกพร่องที่ตรงไหน นอกจากมันบกพร่องอยู่กับตัวของเราเองเริ่มตั้งแต่ความเคลื่อนไหวของจิตที่คิดที่ปรุงออกมา มักจะเป็นเรื่องของกิเลสเสียมากยิ่งกว่าจะเป็นเรื่องของธรรม ถ้าเป็นเรื่องของธรรมก็มี อย่างมากก็ ๕% ๙๕% มักจะเป็นเรื่องของกิเลสเสียทั้งมวล เราพิจารณาดูซิ แล้วเราจะเอาความเลิศเลอจาก ๕% ไปสังหารหรือไปรบรากับกิเลส ปราบกิเลสให้สิ้นซากไปได้อย่างไร กิเลสมีกำลังถึง ๙๕% เรามีกำลังเกี่ยวกับเรื่องธรรมเพียง ๕% ถ้าเทียบถึงการรบกัน แพ้อย่างหลุดลุ่ย ไม่มีอะไรที่ควรให้อภัย ไม่มีอะไรที่ควรวินิจฉัยว่าแพ้หรือชนะ ที่จะให้เกิดข้อข้องใจ ประจักษ์ด้วยกันทั้งนั้นว่าแพ้ๆๆ วันหนึ่งคืนหนึ่งเราแพ้มาเท่าไร

การที่จะตะเกียกตะกายตัวของเราจิตของเราเพื่ออรรถเพื่อธรรมนี้ เราตะเกียกตะกายไม่ได้แล้วเราจะทำอย่างไร เราจะหวังพึ่งอะไร มันก็เป็นคนหมดหวังทั้งๆ ที่ตนก็ภูมิใจว่าเราเป็นนักบวช เราเป็นพระธุดงคกรรมฐาน มันมีแต่ลมแต่แล้ง หวังลมๆ แล้งๆ หาความจริงประจักษ์กับใจไม่ได้ ถ้าพูดถึงเรื่องความสงบก็มีแต่ความฟุ้งซ่านเต็มหัวใจเสียแทนความสงบอันนั้น แล้วจะหาความเย็นมาจากไหน หาความเลิศเลอมาจากไหน หาความภูมิใจตามหลักความจริงที่ว่าสงบๆ นั้นมาจากไหน มันไม่เจอ แน่ะ

ถ้าพูดถึงเรื่องปัญญา ปัญญาท่านก็แสดงไว้แล้วกี่ประเภท จนกระทั่งเหนือโลกเหนือสงสารเสียหาที่ประมาณไม่ได้ เรื่องของเรามันก็มีแต่ความโง่เง่าเต่าตุ่นไปเสีย ขี้เกียจคิดขี้เกียจอ่านขี้เกียจพินิจพิจารณาทางเรื่องอรรถเรื่องธรรม ไม่เหมือนคิดไปด้วยอำนาจของกิเลสฉุดลากไป ซึ่งคล่องตัวทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ทุกขณะไม่มีคำว่าฝืดว่าเคือง ไม่มีคำว่าฝืนกันและต่อสู้กัน มีแต่เรื่องของกิเลสลากไปแทนปัญญาที่แท้จริง ซึ่งพระองค์ท่านทรงสอนไว้นั้นเสีย คำว่าวิมุตติก็มีแต่ความจมของจิต วิมุตติกับความจมมันต่างกันอย่างไรบ้างเราพิจารณาดูซิ ความจมความติดอยู่ในมูตรในคูถคือขี้โลภขี้โกรธขี้หลง กับความหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านี้ไปเสียมันต่างกันคนละโลก มันมีแต่สิ่งที่บรรจุด้วยของไม่เป็นท่าเต็มหัวใจอยู่อย่างนี้แล้ว เราจะหวังลมหวังแล้งไปที่ไหน ถ้าไม่พยายามตะเกียกตะกายตนให้สุดสติกำลังความสามารถของเรา ตามทางศาสดาที่ทรงสอนไว้เท่านั้น

ไม่ชินชากับกิเลส ให้รู้ว่ากิเลสเป็นกิเลสมาตลอดกัปตลอดกัลป์แล้ว ให้ความทุกข์ความลำบากความทรมานแก่สัตวโลกมามากต่อมากนานแสนนานแล้ว เหตุใดจะมาเป็นมิตรเป็นสหายเป็นความดิบความดีกับหัวใจเราดวงนี้เพียงดวงเดียว ท่านเหล่านั้นได้รับความทุกข์ความทรมานเพราะกิเลส แต่หัวใจของเราได้รับความสุขความสบายเหนือโลกเหนือสงสาร เพราะกิเลสเป็นเครื่องชุบเลี้ยงหรือเป็นเครื่องส่งเสริมมีที่ไหน ก็มีแต่ธรรมเท่านั้น ศาสดาองค์ใดมาตรัสมาสอนไว้ก็มีแต่เรื่องของธรรมๆ

พูดถึงเรื่องความพากเพียร ถ้าสมณะเราไม่พากเพียรใครจะเป็นผู้พากเพียร ในเพศแห่งสมณะนี้เป็นเพศที่รวมอยู่ด้วยความดีทั้งหลาย ถ้าพูดถึงเรื่องความสงบก็คือสมณเพศของเราพระธุดงคกรรมฐานนี้ ความอดความทนก็รวมอยู่ที่นี่ ความอุตส่าห์พยายามทุกด้าน ความพินิจพิจารณาใคร่ครวญก็อยู่กับเพศของพระนี้เท่านั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าเพศอื่นใด แต่เรากลับตรงกันข้ามแล้วเราจะหวังอะไร เพราะธรรมเหล่านี้เป็นธรรมเครื่องบุกเบิกเพื่อมรรคผลนิพพานโดยตรง ถ้าไม่มีอันนี้จะเอาอะไรบุกเบิก จะให้กิเลสมันพาบุกเบิกไปสวรรค์นิพพานนี้ มันเคยจมเพราะกิเลสนี้มามากต่อมากแล้วเรายังไม่เข็ดไม่หลาบ เรายังไม่รู้ตัวอยู่เหรอว่า กิเลสนี้เป็นเครื่องฉุดลากเราลงไป ไม่ใช่ดึงเราลากเราขึ้นสู่มรรคผลนิพพานที่ไหน

นี่มันน่าคิดอยู่มากนะ ผู้ปฏิบัติไม่คิดใครจะคิด ผู้ปฏิบัติไม่อุตส่าห์พยายามเพื่อก้าวตนไปตามหลักธรรมแล้วใครจะก้าว ใครจะประพฤติปฏิบัติ ใครจะอดใครจะทนใครจะสู้กิเลส กิเลสอยู่กับหัวใจใครถ้าไม่อยู่กับหัวใจเรานี้ การต่อสู้กับกิเลสได้แก่การคล้อยตามมันอย่างนั้น ไม่เคยมีในหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ขอให้พึงทราบภายในจิตใจแล้วตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดสิ่งที่เป็นภัย ซึ่งปราชญ์ทั้งหลายก็ตำหนิมาหลายกัปหลายกัลป์แล้ว ว่าเป็นภัยๆ ต่อจิตใจ เราอย่าเห็นว่าเป็นคุณ ส่วนมากคิดออกในแง่ใดมุมใด มีแต่เรื่องของกิเลสทำงานเสียทั้งนั้นนี่จะทำยังไง ธรรมทำงานมีน้อยนิดเดียวๆ มันก็ไม่ทันกัน

การเดินจงกรมก็เอาให้เป็นเนื้อเป็นหนังจริงๆ ซิ นั่งสมาธิก็ให้เป็นการเป็นงานจริงๆ การรักษาจิตด้วยสติก็ให้เป็นการเป็นงาน เป็นภาระที่สำคัญมากในชีวิตจิตใจของนักบวชจริง ๆ นั่นแลจะเป็นทางก้าวเดินเพื่อสู่มรรคผลนิพพานได้โดยไม่ต้องสงสัย ถ้าเราได้พยายามอย่างนี้ เดินก็ให้เห็นทุกข์ในการเดินจริงๆ จนกลายเป็นทุกขสัจขึ้นมาในอิริยาบถแห่งการเดิน นั่งก็เอาให้เห็นอริยสัจขึ้นมาจากความทุกข์ที่นั่งนานเป็นอย่างไรบ้าง ทุกข์ธรรมดาเราก็เคยเห็น ส่วนมากมันจะถือว่าทุกข์นี้เป็นภัยต่อเรา เพราะยังไม่เข้าถึงกันจริงๆ กับทางภาคปฏิบัติมีสติปัญญาเป็นสำคัญ ที่จะต่อกรกันกับทุกข์ทั้งหลายให้ทราบความจริงของกันและกัน จนกลายเป็นสัจธรรมขึ้นมา นี่เราก็ไม่เคยเห็นด้วยการนั่งของเรา ด้วยการเดินของเรา ด้วยการบังคับจิตของเรา

เอ้า มันยากขนาดไหนการบังคับจิต ให้มันเห็นจนกลายเป็นสัจธรรมขึ้นมาแล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องสัจธรรมโดยทั่วกัน ไม่มีสิ่งใดว่าเป็นสิ่งควรตำหนิติชม เมื่อเข้าถึงกันจริงๆ แล้ว ระหว่างสัจธรรมเข้าถึงกันแล้ว กลายเป็นความจริงขึ้นมาทุกสัดทุกส่วน ไม่มีข้อที่จะควรตำหนิจุดใดเงื่อนใด เป็นของจริงเสมอกันหมดไม่ว่าทุกข์ไม่ว่าสมุทัย ไม่ว่านิโรธไม่ว่ามรรค นั่นนักปฏิบัติ

พระพุทธเจ้าพระสาวกทั้งหลายท่านผ่านไปด้วยวิธีการเหล่านี้ เราเป็นนักปฏิบัติเราจะผ่านไปด้วยวิธีการใด เอะอะก็มีแต่ความกลัวทุกข์กลัวตาย กลัวความเดือดร้อนวุ่นวาย เพราะการเดินมากนั่งมาก เพราะการรักษาจิต เห็นว่าเป็นความไม่สะดวกสบาย ไหลไปตามกิเลสมันสบายที่ไหน เข้าไปจนตรอกจนมุมอยู่ในนรกอเวจีมากี่กัปกี่กัลป์แล้ว หรือเรายังไม่เชื่อหรือว่านรกอเวจีมี ถ้าเรายังไม่เชื่ออยู่ตราบใด นั้นแหละเราจะจมอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งความเชื่อได้เกิดเมื่อไร นั้นแหละมันถึงจะมีแก่จิตแก่ใจตะเกียกตะกายเสือกคลานออกมาจากนั้น ด้วยข้อวัตรปฏิบัติด้วยการสร้างความดีทั้งหลาย แล้วจะพ้นจากนรกอเวจีจนได้

ใครจะเป็นผู้แม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน เกี่ยวกับเรื่องนรกอเวจีทุกหลุม สวรรค์นิพพาน ไม่มีที่จะเกินความหยั่งทราบของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายไปได้เลย เหตุใดเราจึงไม่เชื่อ เหตุใดเราจึงนอนใจในสิ่งที่ควรจะละ ในสิ่งที่ควรจะบำเพ็ญ มันนอนใจเสียทั้งสองอย่าง สิ่งที่จะละมันก็นอนใจ ไม่สนใจจะละ หรือละก็สักแต่ว่ากิริยา สิ่งที่บำเพ็ญให้เกิดให้มีขึ้น เช่น บำเพ็ญสติปัญญาอย่างนี้ มันก็ทำเสียเล็กๆ น้อยๆ ไม่พอเป็นเนื้อเป็นหนังอะไรได้ ผลจะเป็นขึ้นมาอย่างไร มันก็ไม่ได้เรื่องซี เลยอยู่กับความลำบากลำบนทั้ง ๆ ที่ไม่เห็นความลำบากว่าเป็นสาระอะไรจากทางสติปัญญาบ้างเลย มันใช้ไม่ได้อย่างนั้น

ผู้ปฏิบัติต้องให้เห็นตามหลักความจริง เอ้า เดิน เดินจงกรมเป็นยังไง มันทุกข์ขนาดไหน ให้มันเห็นเรื่องกองทุกข์ที่เกิดจากการเดินจนจะก้าวไม่ออก ให้มันเห็นดูซิว่าเป็นยังไง ให้มันทันกันซิ เดินจงกรมมันทุกข์มันลำบาก มันทุกข์ลำบากยังไงกำหนดดู ดูทุกข์ตัวมันแสดงขึ้นมา มันทุกข์ยังไงมันลำบากยังไง ใครจะรู้ตามเห็นตามในสิ่งที่ปรากฏเหล่านี้ เพราะนี้เป็นสัจธรรมโดยแท้ ถ้าไม่ใช่สติปัญญาจะไม่มีใครตามทราบ เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องเอาสติปัญญามาใช้ในเวลาทุกข์มากๆ ด้วยการเดินด้วยการนั่ง นั่งก็เหมือนกัน

เราไม่ได้ต้องกลัวคำว่าเป็นว่าตาย ไม่มีอะไรละในขณะนั้นที่จะไปคิดว่ามันเป็นมันตาย มีแต่เป็นของจริงด้วยกันทั้งนั้น พิจารณาให้เห็นของจริงนั้นแล้ว เราจะเห็นของอัศจรรย์อันหนึ่งที่ปรากฏอยู่ในท่ามกลางแห่งความจริง นั้นคืออะไร อันนี้ไม่บอกก็รู้ นี่เพียงเท่านี้ก่อนนะ เพียงว่าอะไรความอัศจรรย์ที่อยู่ในท่ามกลางนั้นเพียงเท่านี้ ถ้าเลยจากนี้ไปแล้วก็คือความบริสุทธิ์ผุดขึ้นมา ในท่ามกลางแห่งสัจธรรมที่บำเพ็ญให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยแล้ว ไม่มีทางสงสัยว่าจิตจะไม่ได้รับการกลั่นกรองออกมาจากอริยสัจทั้งสี่นี้

เพราะฉะนั้นปราชญ์ทั้งหลายท่านจึงยกอริยสัจ ๔ นี้ว่าเป็นธรรมของจริงอันประเสริฐๆ ก็ท่านได้รับความประเสริฐจากสัจธรรมนี้ เมื่อเข้าถึงอันจริงแล้วอันไหนเป็นข้าศึกต่ออะไรไม่เห็นมี เอาซิปฏิบัติซิ นักปฏิบัติทั้งหลาย อย่าให้มีแต่มาพูดก็อกๆ อยู่อย่างนี้ มีแต่ลมปาก เหมือนกับมาโกหกหมู่เพื่อน เอาลงให้มันเห็นดูซิว่าจะเป็นยังไงจะมีที่ค้านกันได้ไหมว่าอริยสัจ ๔ นี้เป็นธรรมของจริงอย่างประเสริฐ ให้ถึงดูซิเป็นยังไง

ทุกข์ที่เราเคยตำหนิติเตียนว่าเป็นข้าศึกๆ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ดี สมุทัยว่าเป็นข้าศึกมาตั้งแต่ไหนแต่ไรก็ดี เอ้า มรรค คือ สติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรเป็นสำคัญ ตามเข้าไปซิ ให้เห็นทันกันให้ถึงกัน เมื่อต่างอันต่างถึงกันแล้ว จะไม่มีธรรมชาติใดตำหนิธรรมชาติใดเลย นั่น การปฏิบัติการประกอบความเพียรให้ถึงความเพียร การปฏิบัติตามหลักสัจธรรมที่องค์ศาสดาได้สอนไว้ จนถึงขั้นความบริสุทธิ์พุทโธก็ให้มันถึงสัจธรรมความจริงซิ แล้วมันจะเป็นอะไรออกมา ความรู้ชนิดไหนจะออกมาจากท่ามกลางแห่งสัจธรรมที่เป็นของจริงเต็มส่วน แต่ละอย่าง ๆ เป็นของจริงเต็มส่วนแล้ว จะมีอะไรแสดงออกมา สิ่งที่แสดงออกมานั้นจะเป็นของเลิศของประเสริฐหรือเป็นของเลวทรามประการใด จะทราบเองในผู้ปฏิบัติ

เพียงทำหย็อกๆ แหย็กๆ แล้วก็จะทวงเอามรรคผลนิพพานๆ มันบ้า กรรมฐานบ้าอย่างนั้น เหตุไม่สมผลก็จะเอาผลมาเต็มเม็ดเต็มหน่วย เหตุไม่สมผลก็จะโดดข้ามโลกข้ามสงสาร ทั้งที่กิเลสเต็มหัวใจอยู่ด้วยความขี้เกียจขี้คร้าน ความไม่เอาไหน มันเป็นอะไรอย่างนั้นนักปฏิบัติเรา พิจารณาขุดค้นลงไปซิ นักปฏิบัติไม่มีความกล้าหาญชาญชัยใครจะกล้าหาญชาญชัย พระพุทธเจ้าพาให้อ่อนแอท้อแท้เป็นนักแพ้สงครามเมื่อไร พระพุทธเจ้าเป็นนักต่อสู้ในสงครามถึงขั้นสลบไสล ผลสุดท้ายได้ชัยชนะอย่างเอกขึ้นมา เป็นศาสดาสอนโลกเห็นไหม นั่นท่านท้อแท้ที่ตรงไหน ท่านอ่อนแอที่ตรงไหน สาวกแต่ละองค์ๆ ก็เหมือนกัน เดินตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งทันๆๆ เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ท่านไม่ใช่ผู้อ่อนแอท่านเหล่านี้

เราปฏิบัติอย่างไรถึงไม่ได้เรื่องได้ราว สัจธรรมก็แบกหามกันอยู่ทุกวันๆ นี้ทำไมไม่เอามาคลี่คลายดูให้เห็นประจักษ์ เป็นยังไงสัจธรรม ศาสดารู้เป็นยังไง พระสาวกท่านรู้สัจธรรมว่าเป็นของจริงอันประเสริฐเป็นยังไง หัวใจเราเมื่อเจอสัจธรรม เหตุไรมันถึงเลวลงๆ มันไม่อยากพินิจพิจารณา มันกลัวทุกข์กลับแบกแต่ทุกข์อยู่ตลอดเวลา กลัวทุกข์กลัวเฉยๆ กลัวลมๆ แล้งๆ กลัวหาเหตุผลไม่ได้ แต่สร้างแต่เรื่องสาเหตุที่จะให้เกิดทุกข์ขึ้นมาเผาลนจิตใจ ด้วยความคิดความปรุงต่างๆ อันเป็นเรื่องของสมุทัย มันถูกต้องที่ไหน มันเป็นสัจธรรมอะไรอย่างนั้นพิจารณาซิ ถ้าลงเป็นสัจธรรมแล้วจะเห็นเป็นจริงตามหลักธรรมชาติด้วยกันทุกสิ่งทุกอย่าง ปล่อยวางไว้ตามเป็นจริงทั้งหมด นั่นละความเลิศเลอถึงจะยังไม่พ้นจากกิเลสก็ตาม จะเห็นความเลิศเลอปรากฏขึ้นในท่ามกลางแห่งสัจธรรมที่ถึงกันแล้วด้วยความเป็นจริงด้วยกัน ไม่เป็นอย่างอื่นเลย

เอ้า ๆ ปฏิบัติดูซินักปฏิบัติ ทำไมธรรมของพระพุทธเจ้าจะอยู่ห่างไกลจนเลยอินเดียไปเหรอ มันไม่มีอยู่ในร่างกายจิตใจของเรานี้เหรอ ซึ่งเป็นเรือนสัจธรรมโดยแท้ มีอยู่ในกายในใจของเรานี้ ทุกข์อยู่ที่ไหน มันอยู่ที่กายที่ใจนี้ใช่ไหม กายใจของใครใครเป็นผู้รับทราบเรื่องทุกข์เรื่องสมุทัย ถ้าไม่ใช่หัวใจของเราดวงนี้รับทราบจะเป็นใจดวงไหนรับทราบ เอ้า สติปัญญานำมาใช้พินิจพิจารณาเรื่องของทุกข์ของสมุทัยซึ่งเป็นสัจธรรม ๒ เบื้องต้นนี้ซิเป็นยังไง เอาความเพียรหนุนเข้าไป ความอดความทนหนุนเข้าไป เพื่อรู้ความจริง

แต่อย่าหมุนไปอย่างอื่น ถ้ากลัวเป็นกลัวตายแล้วเท่านั้น ไม่มีทางรู้ ไม่ต้องมาพูดเรื่องเป็นเรื่องตาย ให้หมุนเข้าไป แต่เรื่องอยากจะทราบความจริงในทุกข์เป็นยังไง ในสมุทัยเป็นยังไง ด้วยสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ให้หมุนเข้าไป มันทุกข์ที่ตรงไหน มันเจ็บที่ตรงไหน ดูที่ทุกข์ที่เจ็บนั้นด้วยสติด้วยปัญญา เพื่อทราบความจริงนะ อย่าอยากให้มันหาย ถ้าอยากให้มันหายเท่าไร ยิ่งเพิ่มทุกข์สมุทัย ความอยากให้มันหายความอยากนี้แลเป็นสมุทัย อยากประเภทนี้เป็นสมุทัย อยากทราบความจริงนี้เป็นมรรค เอาๆ พิจารณาลงไป จนกระทั่งทราบความจริง จะไม่เป็นอย่างอื่นเลย เพราะสัจธรรมเคยเป็นของจริงมามากต่อมากนานแสนนานแล้ว ทำไมจะไม่จริง ถ้าเราเป็นผู้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติจริงๆ แล้ว เราจะได้เจออย่างจังๆ ภายในจิตใจของเรา และจะได้กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบโดยไม่ได้เห็นพระองค์ท่านแหละ พระองค์ท่านแท้คืออะไร นี่ก็ร่องรอยที่จะก้าวเข้าพบองค์ศาสดา ได้แก่พระจิตที่บริสุทธิ์ของท่าน ออกจากสัจธรรมทั้ง ๔ นี้แล จะไปจากไหน

สัจธรรมทั้ง ๔ นี้เป็นธรรมชาติที่กลั่นกรองจิตให้บริสุทธิ์ได้โดยไม่ต้องสงสัย นับแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรกมา จนกระทั่งปัจจุบัน และพระพุทธเจ้ากี่พระองค์ก็ตามในอนาคตกาลข้างหน้า จะนอกเหนือไปจากอริยสัจธรรมทั้ง ๔ นี้เป็นธรรมเครื่องกลั่นกรองไม่ได้เลย พระสงฆ์สาวกก็เหมือนกัน แล้วเราจะเป็นคนประเภทไหนจึงไม่ได้อยู่ในข่ายแห่งธรรมทั้งหลาย แห่งท่านผู้รู้ทั้งหลายเหล่านี้ เราไปอยู่ในโลกใดแดนใดทิศใด สัจธรรมของเราไปอยู่แดนใดทิศใด หรืออริยสัจของเราคือทุกข์ สมุทัยเหล่านี้ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือเวลานี้ ไม่ได้อยู่ในกายในใจของเราหรือ สติปัญญาเอาไปต้มแกงไว้ที่ไหน เขาหุงต้มแกงมาให้กินทุกวันนี้เป็นเรื่องของสติปัญญาเหรอ เราไม่ได้คิดไว้บ้างเหรอ เอาให้จริงจังซินักปฏิบัติ

มองดูแล้วมันขวางหูขวางตา มันอ่อนหัวใจไปเสียไม่ทราบเป็นยังไง มันมีแต่อ่อนแต่แอ มีอยู่มากเท่าไรมามากเท่าไร ยิ่งทำให้หนักเข้าไปโดยลำดับ ทั้งที่ไม่มีเจตนาที่จะมาทำให้หนัก แต่สิ่งที่สัมผัสสัมพันธ์นั้นมันขัดมันข้องมันยุ่งมันเหยิงกับอรรถกับธรรมเพื่อมรรคนิพพานอยู่ตลอดเวลา ทำไมจะไม่พูดบ้างล่ะ พิจารณาซิ เอาให้มันเห็นคล่องตัวบ้างซิ เป็นยังไงการประกอบความพากเพียรนี่ เอ้า พิจารณาให้มันเห็นเรื่องของทุกข์เรื่องของสมุทัย มันจะทุกข์ขนาดไหน เอาๆ ตามมันให้เห็นชัดๆ ในอิริยาบถใดก็ตาม นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ พูดจริงๆ เพราะได้ปฏิบัติมาอย่างนี้จริงๆ และก็รู้จริงๆ ด้วยนะ ไม่ใช่คุย จึงได้กล้าสามารถนำมาพูดให้หมู่เพื่อนฟัง ธรรมพูดไม่ได้มีเหรอ ธรรมพระพุทธเจ้าเพื่อรู้เพื่อเห็นเพื่อพูดเพื่อประกาศสอนธรรม ให้ได้เป็นสิริมงคลแก่ผู้เกี่ยวข้องมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้าจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ทำไมจะพูดไม่ได้วะ เอ้า ลองปฏิบัติดูซิ ถึงไม่พูดมันก็เด่นอยู่ในหัวใจนั่นแหละ ถ้าลงเป็นของจริงแล้วไม่เป็นอย่างอื่น เอาให้จริงซิ

นี่ก็พูดให้ฟังไม่รู้กี่ครั้งกี่หน พูดเพื่อโอ้เพื่ออวดที่ไหนเมื่อไรมี แม้เท่าเม็ดหินเม็ดทรายก็ไม่ปรากฏ ระลึกไม่ได้เลยว่าได้พูดเพื่อความโอ้อวด นอกจากพูดด้วยความเมตตาสงสารหมู่เพื่อน ที่เห็นว่ามาเกาะมาเกี่ยวมาจากที่ไหนจังหวัดใดภาคใดก็มาเต็มอยู่ที่นี่ทั้งนั้น ก็สอนเต็มเม็ดเต็มหน่วย สอนเต็มสติกำลังความสามารถ ไม่ได้มีลี้ลับอะไรเลย และให้พึงทราบว่าความเพียรเท่านั้นที่จะสามารถพังกิเลสลงได้ ความอดความทนความอุตส่าห์พยายามด้วยสติปัญญาเป็นของสำคัญ นี่ละกิเลสมีเท่าไรพังได้โดยไม่ต้องสงสัย ขอให้ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเถิด

ธรรมไม่เป็นอื่น ธรรมคือธรรมอยู่โดยตรง กิเลสก็ไม่เป็นอื่น กิเลสคือกิเลสอยู่นั้นแล พระพุทธเจ้าแก้มาได้ สาวกแก้มาได้ เราเป็นลูกศิษย์ตถาคตทำไมจะแก้ไม่ได้ถ้าจะแก้ถ้าแก้น่ะ นอกจากจะนอนให้กิเลสเหยียบทำลายอยู่ทั้งวันทั้งคืนแล้วก็บ่นหาแต่คะแนนเรื่องมรรคผลนิพพาน แล้วก็เป็นผู้ให้คะแนนตำหนิคะแนนธรรมพระพุทธเจ้าทำไมไม่ให้ผล จะให้ผลยังไงก็กิเลสมันเหยียบย่ำทำลายอยู่ตลอดเวลามีแต่กิเลสทำงาน ผลก็คือเรื่องของกิเลส มีแต่เรื่องความทุกข์ความทรมานภายในจิตใจซิ วันหนึ่งๆ มีแต่เรื่องกิเลสทำงานอยู่ในหัวใจ ธรรมจะทำไม่ได้แม้แต่นิดหนึ่งเวลาหนึ่ง เห็นเป็นความทุกข์ความลำบากไปเสียหมด ถ้าพอจะก้าวออกสู่งานของธรรม ถ้าให้กิเลสถลุงเสียทั้งวันทั้งคืนจะเป็นเท่าไรเท่ากัน เหมือนคนไม่มีหัวใจ ทั้งๆ ที่เราก็รู้อยู่ว่าทุกข์ แต่สาเหตุเป็นมาเพราะอะไรไม่สนใจพิจารณาซิ มันถึงไม่รู้เรื่องเงื่อนต้นเงื่อนปลายของมัน ก็เท่ากับว่าไม่รู้เรื่องสัจธรรมนั้นเอง ตั้งใจปฏิบัติซิ

มันจะหมดแล้วนะเวลานี้พระธุดงคกรรมฐานเรานั่น จะมีแต่ชื่อนะ ความจริงจังกับการปฏิบัติเพื่อเอามรรคเอาผลดังศาสดาสอนไว้จะไม่มี ดีไม่ดียังเที่ยวลบล้างธรรมที่ท่านสอนไว้ไปอีกนี่ ด้วยความรู้ความเห็นความถนัดใจของตัวที่กิเลสมันหุ้มห่อจนมิดชิดภายในจิตใจ จนจะแย็บออกมาหาอรรถหาธรรมไม่เจอเลย นั้นมันก็ยังกล้ามาพูดได้ด้วยความถนัดใจของตน ด้วยความสำคัญของตนว่าถูกยิ่งกว่าธรรมของพระพุทธเจ้ามีอยู่เยอะ ระวังนะมันจะมาแต่งคัมภีร์ขึ้นภายในหัวใจของเรา เดี๋ยวว่านรกไม่มีสวรรค์ไม่มี บาปไม่มีบุญไม่มี เทวโลกพรหมโลกไม่มี เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหมไม่มี เปรตผีไม่มี มันจะไปละนะ

ตาบอดๆ นี้ละมันเที่ยวลบเที่ยวล้างไปหมด ผู้ตาดีที่บอกไว้สอนไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง คนตาดีใครจะเกินพระพุทธเจ้า เรื่องปัญญาญาณหยั่งทราบไปตลอดทั่วถึงตามสิ่งที่มีอยู่ทั้งหลายไม่ลำเอียง สอนไว้โดยถูกต้องแม่นยำ ผู้ตาบอดมันจะไปเที่ยวลบล้างไปหมดนั่นซี และนอกจากเจ้าของลบล้างแล้ว ยังระบายหรือยังประกาศคนอื่นให้โง่ให้เขลาเบาปัญญา ขายความเซ่อซ่าขายความเลวทรามของตัวเองอีก ให้ระบาดสาดกระจายเหม็นคลุ้งไปหมดในวงศาสนาของพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์ตถาคตนั้นแหละเป็นผู้ทำลายศาสดา คำสอนของศาสดาจะเป็นใครไป

นรกก็ไม่มี สวรรค์ไม่มี เทวบุตรเทวดาไม่มี เทวบุตรเทวดาก็เรานี้แหละ นั่น ดึงเข้ามาแล้ว ดึงเข้ามาแล้ว เรามันทำอะไรพอจะเป็นเทวบุตรเทวดาได้ มันเหมือนผีอยู่เวลานี้ เป็นผู้ขัดแย้งต่อธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ทำลายธรรมพระพุทธเจ้าอยู่ด้วยความสำคัญมั่นหมาย ว่าตนเฉลียวฉลาดอยู่เวลานี้คือใคร ถ้าไม่ใช่เทวทัตในร่างของเรา นั่นเหรอผู้ที่จะยังโลกให้เจริญรุ่งเรือง นั้นหรือผู้ที่จะเป็นเทวบุตรเทวดา อุบายวิธีการอย่างนี้หรือเป็นอุบายของเทวบุตรเทวดา ความรู้อย่างนี้หรือความรู้ของคนที่จะเป็นเทวบุตรเทวดา นอกจากมันจะเป็นสัตว์นรกทั้งเป็นนี้เท่านั้น

ให้ระวังนะเรื่องเหล่านี้ มันจะแต่งคัมภีร์ขึ้นมาภายในหัวใจของผู้ปฏิบัติเรานี่แหละ ของชาวพุทธเรานี่แหละ มันมีอยู่มากแล้วเวลานี้ อ่านไปก็เจอเองแหละ แต่งเอาตามชอบใจ เขียนเอาตามชอบใจ ไม่คำนึงถึงเหตุถึงผลดีชั่วประการใด ให้ปฏิบัติเสียก่อนน่ะเรื่องมัน เอ้า ปฏิบัติ บาปไม่มีจริงๆ หรือ เอ้า ปฏิบัติลงไปให้มันเห็นให้มันรู้ว่าบาปไม่มีจริงๆ หรือ ให้มันเห็นชัดๆ นี่นะ นรกมีหรือไม่มีให้รู้ด้วยการปฏิบัติ อย่ารู้ด้วยความด้นเดาเกาหมัดหลอกโลกหลอกสงสารเขาเฉยๆ มันจะประกาศความโง่ของตนให้ซ้ำลงไปอีก เลวลงไปอีก ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานไปอีก ให้ระมัดระวังนะตรงนี้

เอา ปฏิบัติลงไปให้จริงซี เป็นยังไงศาสดานี้สอนโลกลวงจริงหรือลวงโลก สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ลวงโลกจริงๆ หรือ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ไม่มีหรือ ลวงโลกเฉยๆ หรือ พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ที่ตรัสรู้ธรรมพูดแต่ลมปากเฉยๆ หรือ ให้มันเห็นด้วยการปฏิบัติที่ทรงสอนไว้นี้โดยถูกต้องแล้ว เอ้าๆ ฟาดลงไป ยังไงถ้าไม่ได้กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบไม่มีอย่างอื่น ขอให้ปฏิบัติตามหลักธรรมนี้เถิดจะไปไหน นรกมีไม่มีใครมาสอนไว้ นรกไม่มีว่านรกมีใครสอน พิจารณาซิ นี่ซิเรื่องของกิเลสมันเที่ยวลบล้างธรรมและลบล้างความจริง มันเที่ยวปลอมไปหมด ของมีมันว่าไม่มี ของไม่มีมันว่ามี มันอยู่ในหัวใจของเราทุกคนทุกท่านนี่ละ ไม่ได้ตำหนิผู้หนึ่งผู้ใดแหละดูเรานี้ พิจารณาซิ

บทเวลามันจะเป็นความขี้เกียจ มันจะเป็นสวรรค์วิมานขึ้นมาละนะ ทางจงกรมมันไม่มองเห็น นั่งสมาธิภาวนามันก็ไม่มองเห็นว่าเป็นความดิบความดีอะไร สู้ความขี้เกียจความนอนตามชอบใจไม่ได้ นี่สิ่งเหล่านี้มีแต่มันสร้างคัมภีร์ของพระเทวทัตขึ้นมาในหัวใจเรานี้ ให้พากันระมัดระวัง เวลานี้มันเป็นอยู่แล้วนะ หัวใจเรานี่มันวิมานของเทวทัตจะเป็นอะไรที่ไหนไป

ใครจะสอนได้อย่างถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าศาสดาองค์เอก ปฏิบัติลงไป ยอมเองเพราะธรรมทุกแง่ทุกมุมที่ทรงสอนไว้ ไม่มีผิดเพี้ยนจากความจริงไปตรงไหน ขอให้ปฏิบัติตามหลักความจริงที่ทรงสอนไว้นั้นเถิด จะเจอสิ่งที่พระองค์ประกาศสอนไว้ทุกแง่ทุกมุมทีเดียว นอกจากความสามารถเราไม่มีเราก็อาจไม่เห็นไม่รู้ได้ เพราะเราไม่ใช่พุทธวิสัย คือวิสัยของศาสดาเหมือนพระองค์ เราเป็นวิสัยของคนธรรมดา ถ้าเป็นสาวกก็สาวกวิสัย เป็นวิสัยของผู้ปฏิบัติตามรอยศาสดา ไม่ใช่เป็นผู้เก่งกว่าศาสดาหรือเสมอศาสดา พอที่จะรู้ไปเสียทุกแง่ทุกมุม สิ่งใดที่เรารู้แล้วเห็นแล้วตามทางศาสดา นั้นแหละเป็นสักขีพยานว่า สิ่งที่เราไม่รู้ก็มีอย่างนี้เห็นอย่างนี้ แต่เรายังไม่รู้เรายังไม่เห็น เราเห็นเรารู้แค่ความสามารถของเรา นี่ก็เป็นสักขีพยานยืนยันกันแล้ว ฉะนั้นขอให้ทุกท่านตั้งใจประพฤติปฏิบัติ

เอาให้เห็นซิให้ได้ทรงมรรคผลนิพพาน มีอยู่กับใครถ้าไม่มีอยู่กับผู้ปฏิบัติ ให้มีอยู่ที่อื่นไม่มี พูดตรงๆ อย่างนี้เลย เอ้า ใครจะว่าบ้าก็บ้าเถอะ มีอยู่ในภาคปฏิบัตินี้เท่านั้น พระองค์ทรงสอนว่ายังไง ปริยัติศึกษาเล่าเรียนเข็มทิศทางเดินมาแล้ว ปฏิบัติ เอ้า ก้าวเดินตามเข็มทิศทางเดินที่ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วซี ปฏิเวธคือความรู้แจ้งแทงทะลุ ผลเกิดจากการปฏิบัติจะไปไหน ถ้าไม่ปรากฏขึ้นมากับผู้ปฏิบัตินั้น พระสาวกล้วนแล้วแต่เป็นผู้ปฏิบัติที่เป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรานี้ ไม่ใช่ผู้เรียนมาเฉยๆ จำไว้เฉยๆ นอนเอกเขนกอยู่แล้วก็สร้างเอามรรคผลนิพพานขึ้นมาในหัวใจ ด้วยการหลับการนอน ไม่เคยมีในคัมภีร์ไหน เห็นแต่แทบล้มแทบตายกันทั้งนั้น กว่าท่านจะได้ผลมาครองหรือเป็นสมบัติอันล้นค่าของท่านเอง นี่ก็ให้พึงตั้งใจประพฤติปฏิบัติอย่างนั้น จะได้สมเหตุสมผลดังเราเป็นนักปฏิบัติ

เรื่องใดอย่ายุ่ง โลกนี้เคยมีมานาน ตาเคยดูมานาน มันให้ความวิเศษวิโสอะไรพอที่จะหลงบ้าอยู่กับมันตลอดเวลา อยากดูอยากเห็นอยากได้ยินได้ฟัง ตาหูจมูกลิ้นกายจิตนี้ถ้าไม่สัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้ มันจะสัมผัสสัมพันธ์กับอะไร มันเลิศเลออะไรกับรูปเสียงกลิ่นรสเครื่องสัมผัสที่เราสัมผัสสัมพันธ์อยู่ทุกวัน ด้วยตาหูจมูกลิ้นกายนี้น่ะ อะไรมันเลิศมันประเสริฐพอที่จะเป็นบ้าอยู่ตลอดเวลา ไม่รั้งจิตใจไว้เข้ามาสู่ภูมิอรรถภูมิธรรมภายในจิตใจนี้บ้างเลย

จิตมันคิดอะไรมันอยากอะไร ความอยากนั้นเป็นผลประโยชน์อะไรบ้าง เอามาชั่งมาตวงดูซิ ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะเทียบเคียงเหตุผลหนักเบาได้อย่างชัดเจนจากการปฏิบัติของตน เพียงเรื่องความอยาก เดินตามความอยากตายทิ้งเปล่าๆ นะ ไม่มีวันที่จะได้เจอของจริงของดีแหละ จะมีแต่ลมแต่แล้งเหลวแหลกแหวกแนวไปอย่างนั้นละ

เอาละพอ


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก