มารในศาสนา
วันที่ 6 มีนาคม 2531 เวลา 19:00 น. ความยาว 109.17 นาที
สถานที่ : วัดป่าบ้านตาด
| |
ดาวน์โหลดเพื่อเก็บไว้ในเครื่อง
ให้คลิกขวาแล้วเลือก Save target as .. จาก link ต่อไปนี้ :
ข้อมูลเสียงแบบ(Win)

ค้นหา :

เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑

มารในศาสนา

คราวนี้นานกว่าจะได้ประชุมร่วม ๑ เดือนพอดี นี่ละความมีการมีงานยุ่งเหยิงวุ่นวาย ตลอดถึงความไม่สะดวกสบายในธาตุในขันธ์ ผลทำให้ขาดสาระสำคัญคือการประกอบความพากเพียร และการได้ยินได้ฟังอรรถธรรม ที่จะทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นและผ่องใส แต่ก็ทำให้ขาดไปเพราะขาดธรรมที่กล่าวเหล่านี้ เราผู้เป็นหัวหน้ามีความมุ่งหวังอย่างแรงกล้าที่จะให้หมู่เพื่อนได้ประกอบความพากเพียร เพื่อชำระจิตใจอันเป็นตัวเหตุสำคัญ ให้มีความสงบเย็นภายในตัว และมีความฉลาดรอบความคิดความปรุงความเคลื่อนไหวของตัว มากยิ่งกว่าที่จะเห็นสิ่งอื่นๆ ซึ่งมักจะเป็นข้าศึกของภาคปฏิบัติอยู่เสมอมา

เมื่อ ๓-๔ วันนี้ก็ได้เทศน์เกี่ยวกับมาฆบูชาที่เป็นผลของศาสนธรรม ซึ่งท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายได้ประพฤติปฏิบัติจนถึงกับได้ผลเป็นที่พอใจ ได้มาเฝ้าหรือแสดงตนให้โลกแห่งชาวพุทธทั้งหลาย ได้เห็นได้ยินในวันมาฆบูชานั้น โดยมีพระอรหันต์ล้วน ๆ ๑,๒๕๐ องค์มาประชุมในวันนั้น คือวันเดือน ๓ เพ็ญ เวลาบ่าย โดยที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงรับสั่งแต่ประการใดหรือเรียกว่าไม่ได้นิมนต์มา แต่ท่านเหล่านั้นมาตามอัธยาศัยของตน ประหนึ่งว่ามาประกาศผลแห่งการประพฤติปฏิบัติ และประกาศความเลิศเลอแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าให้โลกได้เห็นในเวลาเช่นนั้น ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ปรากฏว่ามีซ้ำๆ ซากๆ อีกเลย ผลที่ท่านได้มาแสดงให้โลกเห็นเช่นนั้น ท่านได้มาจากอะไร

ในหลักธรรมพระพุทธเจ้าก็ทรงประกาศสอนไว้แล้ว อย่างเป็นเนื้อเป็นหนังเป็นรากเหง้าเค้ามูลจริงๆ คือการปฏิบัติจิตตภาวนาล้วนๆ ถือเป็นจิตเป็นใจ ฝากเป็นฝากตายกับความเพียรเพื่อชำระกิเลสนั้นจริงๆ ผลจึงปรากฏให้โลกได้เห็น เฉพาะในวันนั้นมีพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ โดยไม่มีพระปุถุชนเข้ามาเจือปนแม้เพียงรูปหนึ่งหรือองค์หนึ่งเลย นี่ล้วนแล้วแต่เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจิตตภาวนาของท่าน นี่แลคือผลแห่งการปฏิบัติธรรม หรือการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาที่ประทานไว้ มีผลประจักษ์ให้เป็นที่ภูมิใจสำหรับผู้ได้รู้ได้เห็น ผู้ที่ได้ทรงไว้ซึ่งธรรมดังกล่าวนั้นจนถึงวิสุทธิธรรม

เราจึงอยากพบอยากเห็นการประกอบความพากเพียรของหมู่คณะที่มาอาศัยอยู่ในสถานที่นี่ ได้ประกอบความพากเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยความสนใจจริงๆ ไม่มีงานอื่นงานใดเข้ามายุ่งเหยิงวุ่นวาย ซึ่งงานเหล่านี้ส่วนมากมักจะเป็นสิ่งที่มาทำลายความพากเพียรของเราให้เสียไปวันละเล็กละน้อย สุดท้ายก็มีแต่งานเหล่านี้ออกหน้าออกตา ในพระเณรรูปหนึ่งๆ ในวัดหนึ่งๆ เลยเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย อันนอกจากสายทางที่จะเป็นไปเพื่อความสงบสง่างามของจิตใจ เลยมีแต่ความยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด คิดออกมาในแง่ใดก็มีแต่การแต่งาน ซึ่งเป็นเรื่องของโลกเขาทำกันอยู่ทั่วๆ ไปไม่เห็นเป็นเรื่องแปลกประหลาดอันใดเลย แต่แล้วก็ไม่พ้นที่จะเข้ามาเป็นเนื้อเป็นหนังในวงพระศาสนา เฉพาะอย่างยิ่งในวัดในวาในพระเณรผู้ปฏิบัติของเราจนได้นั้นแหละ

งานอันนี้รู้สึกว่าออกหน้าออกตาจริงๆ เหมือนว่าแซงพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไปทุกระยะ ที่ทรงสั่งสอนให้บำเพ็ญทางด้านจิตตภาวนา ในตำรับตำรามีมากต่อมาก เด่นที่สุดก็คือด้านจิตตภาวนา ที่พระองค์ท่านประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ทั้งหลายในครั้งพุทธกาล การจดจารึกก็จดจารึกมาจากความเป็นจริงที่พระองค์ทรงดำเนินและประกาศสอนไว้เรื่อยมาจนกระทั่งวันปรินิพพาน พระโอวาทเหล่านั้นถูกจดจารึกมา ได้อ่านได้เห็นได้ยินได้ฟัง จดจำมาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ แต่ไม่ค่อยจะถึงใจและไม่ถึงใจของผู้ศึกษาและนักปฏิบัติทั้งหลาย จึงเถลไถลไปนอกลู่นอกทางที่พระองค์ท่านตำหนิติเตียนอยู่เสมอ

พระสงฆ์สาวกที่กล่าวมาว่า ๑,๒๕๐ องค์นั้น ท่านอยู่ในที่เช่นไร ตามตำรับตำราว่ามีแต่อยู่ในป่าในเขาที่สงัดวิเวก อิริยาบถต่างๆ เต็มไปด้วยความพากเพียรชำระกิเลส จนกระทั่งถึงได้รับผลเป็นที่พอใจมา นี่เป็นทางที่ถูกต้องดีงามถึงกับได้ผลประกาศออกมาให้โลกเห็นในวันมาฆบูชา

นอกจากนั้นก็ยังมีอยู่มากมายบรรดาพระสงฆ์สาวก ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผู้ประกอบทางด้านจิตตภาวนามากกว่าในงานใด ๆ ทั้งสิ้น เราผู้ปฏิบัติถ้าไม่คำนึงและดำเนินตามทางที่พระองค์ประกาศสอนไว้แล้วนี้ ก็ยากที่จะได้ประสบพบเห็น แม้ที่สุดความสงบเย็นใจ เพียงขั้นสมาธิก็จะได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น จะไม่ปรากฏความจริงขึ้นที่ใจนั่นเลย แล้วก็ค่อยหมดไปๆ เรียวแหลมไปโดยลำดับทางภาคปฏิบัติ คือความสนใจต่อจิตตภาวนา จะมีแต่เรื่องที่เป็นข้าศึกต่อกันโดยทางอ้อมหรือทางตรงแทรกเข้ามาๆ จนกลายเป็นเนื้อเป็นหนังของพระของเณรของวัดวาอาวาสไปเสีย อย่างประจักษ์ตาของเราทุกคนปฏิเสธไม่ได้ เช่น การก่อสร้าง การขวนขวายในแง่ต่างๆ อันเกี่ยวกับด้านวัตถุ ซึ่งขัดกันกับทางด้านจิตตภาวนา นี้ปรากฏว่าเด่นมากทีเดียว

ถ้าเราจะพูดในวงปฏิบัติสำหรับผู้สังเกตสอดรู้จิตจริงๆ แล้ว เราจะเห็นความผลักดันของกิเลส ที่ไม่ชอบให้เราประกอบความพากเพียรเพื่อกำจัดมัน มันจึงต้องผลักดันให้ออกให้คิดในแง่ต่างๆ สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี โดยอาศัยศาสนาว่า สัมมากัมมันตะว่าเป็นการงานชอบนั้นเป็นโล่มาบังหน้า แล้วผลักไสเราให้ออกนอกลู่นอกทางไปโดยการกระทำในสิ่งที่กล่าวเหล่านี้อย่างเปิดเผยและไม่คิดสะดุดใจบ้างเลย อย่างนี้แลผู้ปฏิบัติจะเรียกว่าอะไร ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสภายในจิตใจจริงๆ แล้ว สิ่งที่กิเลสมันผลักดันออกมาให้ออกนอกลู่นอกทางแห่งความเพียรเพื่อชำระมันนี้ เราจะเรียกอะไรถ้าไม่เรียกว่ามารของความเพียรเรา

ไม่ต้องว่ามารกว้างๆ ที่ไหนละ มารแห่งความพากเพียรเพื่อชำระกิเลส คือกิจนั้นงานนี้เถลไถลออกไป พอจะหันหน้าหรือย้อนกระแสจิตเข้ามาสู่ตัวเหตุอันสำคัญคือใจ ที่เต็มไปด้วยความคิดปรุงในแง่ต่างๆ ซึ่งถูกผลักดันออกมาจากกิเลสนั้น มันดิ้นรนกระวนกระวายเหมือนจะเป็นจะตาย นั่งภาวนาก็คอยนับแต่เวล่ำเวลา คอยสังเกตดูแต่ความจะเจ็บปวดแสบร้อนที่ตรงไหน คอยที่จะออกนอกลู่นอกทางอยู่ตลอดเวลา นักสังเกตนักปฏิบัติด้วยความมีสติอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ ต้องรู้และต้องเป็นอย่างที่ว่านี้โดยไม่ต้องสงสัย

การนั่งภาวนาจึงไม่เป็นเหตุเป็นผลอันใด พอที่จะให้มรรคให้ผลเกิดขึ้นได้ พอประมาณและได้เป็นที่พอใจ เนื่องจากมีสิ่งต่อต้านกันอยู่ภายในจิตใจ โดยเจ้าตัวก็ไม่สนใจและไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งต่อต้าน ที่จะไม่ให้เราก้าวเดินเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อสมาธิปัญญา และเพื่อมรรคผลนิพพานได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ต้องถูกสิ่งเหล่านี้กีดขวางผลักดันอยู่ตลอดเวลา ท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลายลองใช้ความสังเกตดู ความผลักดันที่ให้จิตคิดในแง่ต่างๆ เพื่อออกนอกลู่นอกทางนั้นเป็นอย่างไร มีไหมภายในจิตใจของพวกเราทั้งหลาย

ผู้ปฏิบัติด้วยความสนใจจริงๆ แล้ว อย่างไรก็ต้องได้รบกับสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานแห่งการประกอบความพากเพียรจริงๆ ได้รบกับมันอยู่ตลอด จนกระทั่งสิ่งเหล่านี้ค่อยอ่อนตัวลงไปๆ เมื่อสิ่งเหล่านี้อ่อนตัวลงไป ใจก็เกิดความสงบเย็นได้ ที่ใจไม่สงบก็เพราะความคิดเหล่านี้แหละ ที่เป็นมารต่อความสงบเย็นใจของเรา จะเป็นอะไรที่ไหนไป เราจะไปหามารที่ไหน ถ้าไม่หาสิ่งที่แทรกซึมอยู่ภายในจิตใจและทำลายความสงบเย็นใจของเราอยู่ตลอดเวลาไม่ให้เกิดขึ้นได้นี้จะเป็นอะไรไป ถ้าไม่ใช่ความคิดสังขารที่ปรุงขึ้นอยู่ตลอดเวลาในแง่ต่างๆ นี้เท่านั้นจะเป็นอะไรไป

ผู้ปฏิบัติต้องได้สังเกตต้องได้รบกับความคิดปรุงเหล่านี้ ด้วยความตั้งหน้าตั้งตารบกันจริงๆ สังเกตกันจริงๆ ระงับดับกันด้วยอุบายต่างๆ อย่างแท้จริง เช่น อย่างน้อยนำคำบริกรรมเข้ามากำกับ มากกว่านั้นใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองตามความคิดปรุงนี้ ว่ามันคิดปรุงเรื่องอะไร มันจะคิดปรุงไปถึงไหน ตามต้อนตามตีกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยความสนใจใคร่รู้ใคร่เห็นความเคลื่อนไหวของความคิดปรุงเหล่านี้แล้ว จิตจะต้องได้ย้อนตัวเข้ามาสู่ความสงบจนได้ เพราะสิ่งเหล่านั้นสงบตัวลงด้วยสติที่เราเพียรพยายามติดตามอยู่เสมอ

ถ้าไม่ได้ใช้ความพิจารณาอย่างนี้ อย่างไรก็ไม่เจอความสงบเย็นใจได้ และไม่ทราบว่ามารที่กีดขวางทางเดินอย่างน้อยเพื่อความสงบคืออะไร เราจะไม่มีทางทราบได้เลย นี่ละมารของการปฏิบัติธรรม มารของสมาธิ มารของปัญญา มารของมรรคผลนิพพานจะเป็นอะไรไป ถ้าไม่ใช่ความคิดที่สอดแทรก ๆ อยู่ภายในความเพียรของเรา โดยเป็นเรื่องของสมุทัยแล้วจะเป็นอะไรไป นี่ละสมุทัยมันแทรกอยู่อย่างนี้

ละเอียดไหมท่านผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ได้พิจารณาบ้างหรือยังสิ่งเหล่านี้ ที่กล่าวเหล่านี้ได้พิจารณาแล้วทั้งนั้น จึงได้นำมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง ไม่ใช่ไม่ได้พิจารณาและพร้อมทั้งการได้รบกันอย่างเต็มที่เต็มฐานอีกด้วย จนเห็นเหตุเห็นผลกันถึงกับขั้นพอฟัดพอเหวี่ยงและสิ่งเหล่านี้หมอบราบลงไป ปรากฏเป็นความสงบเย็นใจขึ้นมา จากนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญาที่จะก้าวเดิน เพื่อห้ำหั่นหรือสังหารสิ่งเหล่านี้ให้ลดน้อยลงไปโดยลำดับ

วันหนึ่งๆ มีแต่เรื่องนั้นเรื่องนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ ทั้งๆ ที่เป็นสำนักปฏิบัติ เป็นวัดปฏิบัติเป็นผู้ปฏิบัติ แต่ความเคลื่อนไหวแห่งผู้ปฏิบัติกลายเป็นเรื่องทำลายตัวเอง ทำลายอรรถธรรม สมาธิ ปัญญาไปโดยลำดับลำดาอยู่เรื่อยมาอย่างนี้ เราจะหาความสงบเย็นใจและมรรคผลนิพพานที่ไหน อย่างไรก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่เอาจริงเอาจังกับสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ วันหนึ่งๆ เราหวังอะไร ก็เห็นแต่มืดกับแจ้งนี้เท่านั้น เป็นมาตั้งกัปตั้งกัลป์และจะเป็นไปอีกตั้งกัปตั้งกัลป์ ไม่มีใครสามารถจะนับอ่านได้เลยในความมืดความแจ้งที่เป็นมาอยู่อย่างนี้และจะเป็นไปข้างหน้า เราหวังอะไร

สิ่งใดที่เป็นภัยต่อเราอยู่เวลานี้ ถ้าไม่ใช่ความคิดความปรุงที่กุเรื่องขึ้นมาทำลายเจ้าของอยู่ตลอดเวลาภายในจิตใจนี้จะเป็นอะไรไป นี่ละการปฏิบัติศาสนาหรือปฏิบัติจิตตภาวนา จึงต้องย้อนใจหรือจ่อสติและปัญญาลงที่ต้นเหตุบ่อเหตุคือใจดวงนี้ เพราะใจดวงนี้ได้บรรจุสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย ซึ่งจะต้องผลักดันออกมาอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีสติจะมีแต่เรื่องสังขารที่เป็นส่วนสมุทัยนี้เท่านั้นทำงานอยู่ตลอดเวล่ำเวลา การทำงานของสมุทัยไม่ได้ทำงานเพื่อความสงบเย็นใจ นอกจากเพื่อความฟุ้งซ่านรำคาญ แล้วขนทุกข์มาเผาตัวของเรา โดยไม่มีการพักผ่อนหย่อนตัวเลยเท่านั้น ไม่เห็นมีสิ่งใดจะเลิศเลอเพราะความปรุงแต่งของกิเลสสมุทัยเหล่านี้

จึงทำให้วิตกวิจารกับการประพฤติปฏิบัติของเพื่อนฝูง ที่ดูลักษณะอ่อนๆ แอๆ ในการประกอบความพากเพียรมากอยู่ไม่น้อย ทำไมจึงทราบ ก็เคยปฏิบัติอยู่แล้วเหมือนกัน ก่อนที่จะมารับความเสกสรรปั้นยอของเพื่อนฝูงและประชาชน ว่าเป็นครูเป็นอาจารย์ ได้เคยฟัดเคยเหวี่ยงกับสิ่งเหล่านี้มาแล้ว ขณะที่สติปัญญาอ่อนความเพียรอ่อนเป็นอย่างไร เรื่องของกิเลสมีแต่คอยจะรุกหน้าคืบหน้าเรื่อยไป ไม่มีคำว่าอ่อนกำลัง ด้วยการปล่อยตามใจให้มันคิดตามเรื่องของมัน นอกจากจะมีความเข้มแข็งทางความพากความเพียร หาอุบายวิธีการต่าง ๆ พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันหลายคม เพื่อจะต่อสู้กับกิเลสประเภทต่าง ๆ ที่คิดที่ปรุงขึ้นภายในจิตใจของตัวเองนั่นแล อย่างน้อยให้สงบตัวลงไป พอใจได้รับความเย็นใจบ้างก็ยังดี นี่ท่านเรียกว่าสมาธิหรือสมถธรรม

การปฏิบัติธรรมถ้าไม่เห็นความสงบเย็นใจ จนปรากฏเป็นความสง่าราศีขึ้นภายในตัวเองแล้วเราจะหวังพึ่งอะไร ในตัวของเรานี้มีอะไร ก็หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกหุ้มห่อกันอยู่เพียงเท่านั้นผิดอะไรกับโลกเขา สิ่งที่เป็นที่ภูมิใจภายในตัวของเรานี้ก็คือจิต เป็นผู้ทรงธรรมไว้ได้ ด้วยการประกอบความพากเพียรอยู่โดยสม่ำเสมอเป็นผลให้ทราบชัดภายในจิตใจ มีสมถธรรมเป็นพื้นฐานคือความสงบเย็นใจ เพียงเท่านี้เราก็ภูมิใจว่าใจเราได้รับความสงบเย็น ไม่ดิ้นรนกระวนกระวายเหมือนโลกทั่ว ๆ ไปที่เขาไม่ได้สนใจประพฤติปฏิบัติอรรถธรรมเลย

เราเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ชมอรรถชมธรรมภายในจิตใจของตน ด้วยความภาคภูมิใจตั้งแต่ขั้นนี้ขึ้นไป เมื่อความอุตส่าห์พยายามไม่หยุดไม่ถอย เพราะผลแห่งสมถธรรมได้ปรากฏเป็นพื้นฐานและเป็นต้นทุนอยู่แล้ว ความเพียรย่อมจะก้าวไปอยู่โดยสม่ำเสมอ จากนั้นก็เป็นเรื่องของปัญญา พินิจพิจารณาใคร่ครวญ แยกแยะดังที่เคยอธิบายให้ฟังหลายครั้งหลายหนแล้ว โดยถือรากฐานอันสำคัญได้แก่ร่างกายของเราเป็นสนามรบ คือเป็นสถานที่ทำงาน เริ่มดังที่พระพุทธเจ้าทรงเปิดทางให้ในเบื้องต้นว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เอ้า เปิดเข้าไป แยกแยะเข้าไปให้เห็นตามความสัตย์ความจริงของธรรม

ธรรมท่านไม่หลอกไม่หลอนผู้ใดแหละ ธรรมต้องเป็นความจริงเห็นตามความจริง เพราะพิจารณาตามความจริงของสภาวธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ไม่ได้มีการเสกสรรปั้นยอปอปั้นเหมือนกิเลสประเภทต่าง ๆ ซึ่งอาการใดแสดงออกมา มีแต่อาการหลอกลวงต้มตุ๋นทั้งนั้น ภายในร่างกายของเรามีชิ้นไหนที่กิเลสมันไม่สงวน มีชิ้นไหนที่กิเลสมันไม่ว่าเป็นของดิบของดี เป็นของสวยของงาม เป็นของจีรังถาวรมั่นคง เป็นของยั่งยืน มีที่ตรงไหนจุดไหน มีแต่เรื่องมันปั้นขึ้นมาๆ ด้วยลมๆ แล้งๆ ซึ่งหาความจริงไม่ได้ทั้งนั้น เราหลงขนาดไหนถึงยังยอมติดความเสกสรรปั้นยอของมันอยู่เช่นนี้ มันมีแต่ลมๆ แล้งๆ หาความจริงที่ไหนมี ในร่างกายส่วนนี้ทั้งส่วนใดของผู้ใดก็ตาม มันไม่มี มีแต่ลมๆ แล้งๆ

ที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นเรื่องของความเสกสรรปั้นยอของกิเลส ให้โลกทั้งหลายได้ติดกัน ส่วนธรรมท่านพุ่งทะลุเข้าไปสู่ความจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความจริงอยู่แล้ว ธรรมก็พิจารณาตามความจริง ก้าวเดินตามความจริง ถ้าพูดถึงเรื่องอสุภะอสุภังในร่างกายของเรานี้ ตรงไหนที่เป็นของสะอาดสะอ้าน เป็นของสวยของงามมีที่ตรงไหน นี่ธรรมท่านบอกไม่มี เพราะไม่มีจริงๆ

ถ้าพูดถึงเรื่องทุกข์ ทุกฺขํ เป็นยังไง บีบบังคับไหมวันหนึ่งคืนหนึ่ง ดิ้นรนกระวนกระวายเพราะบรรเทาทุกข์ เพราะระงับทุกข์ ไม่ใช่เพราะความสุขพาให้ดิ้นพาให้เพลิดเพลิน แต่เป็นความทุกข์ที่มันบีบบังคับภายในร่างกายและจิตใจของเรา จึงต้องดิ้นรนกระวนกระวายหรือกระเสือกกระสน ไม่มีใครที่จะอยู่โดยลำพังตนเองได้ ต้องดีดต้องดิ้นเสมอ เพื่อบรรเทาความทุกข์ที่เกิดนั้นให้เบาบางลงไปบ้างพอทรงตัวอยู่ได้ในวันหนึ่งๆ นี่ท่านเรียกว่า ทุกฺขํ จริงหรือไม่จริงพิจารณาซิ กิเลสมันเอาความสุขที่ไหนมาให้ เสกสรรขึ้นมา เมื่อผิดจากความจริงแล้วมันจะต้องปีนเกลียวกันกับความสุข กลายเป็นเรื่องความทุกข์ไปทั้งนั้น

คำว่า อนิจฺจํ ก็เห็นกันอยู่นี่ เห็นอยู่ภายในตัวของเรา หายใจเข้าหายใจออกมันเที่ยงเมื่อไร ถ้าเที่ยงแล้วมันจะมีเข้ามีออกอะไรอยู่ตลอดเวลา มีมากมีน้อยแล้วสุดท้ายมันก็หยุด ตายกันได้ นั่น อนิจฺจํ แปรสภาพตั้งแต่เด็กๆ เริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิวิญญาณมาจนกระทั่งบัดนี้ แปรหรือไม่แปรดูเอาซิ นี่คือความจริง ท่านบอกว่า อนิจฺจํ เป็นอย่างนี้ ถ้าเชื่อตามหลักความจริงนี้แล้ว เราจะไปตื่นเต้นอะไรกับสิ่งที่มันเป็นตามสภาพของมัน เราก็รู้ตามสภาพของมันแล้วตื่นหาอะไร ไม่มีอะไรตื่น ที่ตื่นนั้นก็เพราะดิ้นตามสิ่งหลอกลวงต่างหาก

คำว่า อนตฺตา ก็เหมือนกัน นี่เหล่านี้ได้เคยแสดงมากมายก่ายกองหลายครั้งหลายหน ไม่มีที่จะละเว้นธรรมเหล่านี้เลยในการแสดงธรรม เพราะการปฏิบัติก็หาความละเว้นไม่ได้ในธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ต้องเดินตามนี้ เพราะเป็นสายทางเดินเพื่อความคลี่คลายขยายดีดตัวออกจากสิ่งผูกมัดหรือฟืนไฟทั้งหลายเหล่านี้ ที่เราไปยึดมัน ให้ห่างออกไปด้วยการพิจารณาธรรมที่ถูกต้องดีงาม นี่เรื่องของปัญญาพิจารณาซิ

พระพุทธเจ้าก็ดีพระสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านใช้ปัญญาอย่างนี้แล ถอดถอนกิเลสคลี่คลายกิเลส หรือว่าผูกมัดหรือสังหารกิเลสท่านพิจารณาอย่างนี้ จนเห็นผลเป็นที่พอพระทัยและพอใจแล้ว จึงได้มาสั่งสอนพวกเราทั้งหลายว่า ให้ดำเนินตามนี้จะไม่เป็นอื่น กิเลสจะหนาแน่นยิ่งกว่าแผ่นดินทั้งแผ่นก็ตามเถิด จะต้องพังทลายลงด้วยความจริง เพราะความจริงนี้มีอำนาจมากที่สุด ไม่มีอะไรเกินความจริง ไอ้ความจอมปลอมมีเท่าไรพังทั้งนั้น ฟังแต่ว่าจอมปลอมเถอะ พังทั้งนั้นๆ ถ้าความจริงได้เข้าถึงไหนสิ่งจอมปลอมย่อมพังไปด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมีสติปัญญาพิจารณาตามหลักความจริง ด้วยความแก่กล้าสามารถเพียงไรแล้ว สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นสำคัญผิดตามเรื่องกิเลสหลอกลวงนั้น จะค่อยคลายตัวออกมาๆ จนสลัดปัดออกได้ กลายเป็นความสุข เพราะความไม่แบกไม่หามสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาภายในจิตใจของตน นี่ละท่านว่าปล่อยอุปาทาน

อุปาทานคือความแบกความหาม อันเกิดขึ้นมาจากความสำคัญมั่นหมายนั่นเองมันถึงไปยึดไปถือ ทั้ง ๆ ที่ดินก็รู้กันอยู่แล้วว่าดินไปยึดหาอะไร แน่ะ เป็นยังไงใจของพวกเราผู้ปฏิบัติ ให้กิเลสมันหลอกอย่างสดๆ ร้อนๆ พิจารณาซิ นี่คือเรื่องปัญญา พิจารณาคลี่คลายดูให้เห็นตามความเป็นจริง ส่วนที่จะคอยขัดคอยแย้งเราซึ่งเคยเป็นมาอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลาแล้ว มันต้องขัดต้องแย้งอยู่ตลอดเวลา ต้องสู้กันกับสิ่งเหล่านี้แล คือความจอมปลอมนั้นน่ะมันมาขัดมาแย้งให้ว่าเป็นอย่างนั้นๆ ทั้งๆ ที่มันไม่เป็น มีแต่ลมแต่แล้งเสกสรรเอาเฉยๆ มันก็มาขัดมาแย้ง ถ้าสติปัญญาไม่ทันก็หลงตาม ล่มจมไปตามมันจนได้ไม่สงสัย นี่คือเรื่องของปัญญาแห่งผู้ปฏิบัติ

วันหนึ่งๆ นักบวชเรามีงานอะไร มีแต่งานชำระซักฟอกจิตใจของตนให้กิเลสทั้งหลายเบาบางลงไป จนกระทั่งถึงหมดสิ้นไปจากใจด้วยความเพียรของเรานี้เท่านั้น แล้วมีงานอะไรเข้ามาแทรกมาขัดมาแย้ง ถ้าไม่ใช่เราหาเรื่องใส่ตัวเอง หาจับฟืนจับไฟมาเผาตัวเองให้เดือดร้อนวุ่นวายไปเท่านั้น ไม่เห็นมีอะไรที่จะมาขัดมาแย้งเราไม่ให้ประกอบความพากเพียรได้ ด้วยความเต็มอกเต็มใจและได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เราดูซิวันหนึ่งๆ มีงานมีการอะไร บิณฑบาตก็ล้นบาตรเหลือบาตรมา จะฉันสักเท่าไรก็ได้ และฉันแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาบังคับบัญชา ให้ต้องไปทำงานนั้นและต้องไปทำงานนี้เหมือนอย่างโลกสงสารเขา มีแต่การประกอบความพากเพียร

ฉันอยู่เราก็ทำได้ทำความเพียร ไม่มีการบังคับ เพราะการประกอบความเพียรมีอยู่ทุกขณะจิตของผู้สนใจที่จะพิจารณาได้ทุกขณะจิต ๆ นอกจากเราไม่สนใจเสียเท่านั้น แล้วก็หาเรื่องหาราวว่า อันนั้นมายุ่งอันนี้มายุ่ง ก็เรื่องของกิเลสมันต้องยุ่งตลอดเวลานั่นแล มันพาใครให้สงบร่มเย็นเมื่อไร เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของกิเลสเรารู้ไหม เราก็ไม่รู้แล้วเถลไถลออกไปๆ อยู่เรื่อยๆ ไม่เข้าร่องเข้ารอยที่จะให้เป็นความสงบร่มเย็นตามทางอรรถทางธรรมเลย เราจะหวังเอามรรคผลนิพพานที่ไหนกัน

พระพุทธเจ้าและพระสาวกท่านดำเนิน ท่านไม่ได้ดำเนินอย่างนี้ สถานที่อยู่ของท่านก็ป่าก็เขามีเต็มไปหมดในตำรับตำราค้านกันไม่ได้ เพราะต่างคนต่างเรียนต่างคนต่างรู้เห็นมาหาค้านกันที่ไหน เพราะเป็นสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วเอาอะไรไปค้าน พระสาวกทั้งหลายร้อยทั้งร้อยพันทั้งพัน ท่านถือเป็นเนื้อเป็นหนังในสถานที่อยู่คือป่าคือเขาลำเนาไพร การประกอบความพากเพียรเป็นจิตเป็นใจพึ่งเป็นพึ่งตายกับการประกอบความเพียรอย่างแท้จริง การต่อสู้กิเลสก็เหมือนกัน สู้เอาถึงเป็นถึงตาย ผลก็ปรากฏขึ้นมาว่าเป็น พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ธมฺมํ ปรากฏขึ้นมาจากความเพียรของพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายให้โลกได้กราบไหว้บูชา สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เป็นผู้สิ้นกิเลสตามเสด็จพระพุทธเจ้าทัน เป็นองค์พยานของพระพุทธเจ้า เพราะการประกอบความเพียรดังที่กล่าวมาเหล่านี้แล

ท่านไม่ใช่เพราะยุ่งเหยิงวุ่นวายกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไปแย่งเอางานของโลกมาเหมาเสียหมดทั้งตลาด ภายในใจของเรามีแต่ตลาดของงานยุ่งไปหมด งานนั้นแล้วงานนี้ งานนี้แล้วงานนั้น ปรุงไปหมด หาความปรุงเป็นอรรถเป็นธรรมไม่มี มีแต่เรื่องของกิเลสเข้าไปตีตลาดภายในหัวใจของพระผู้ปฏิบัติ เราจะหวังเอามรรคผลนิพพานที่ไหนมี มันก็มีแต่ความเหลวไหลเหลวแหลกเต็มหัวใจเรานั่นแล แล้วเราจะเป็นที่พึงใจที่ตรงไหนสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พิจารณาซิ

ต้องนำมาพิจารณา ต้องนำมาเทียบเคียง ผู้จะปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ต้องเสาะต้องแสวง หาช่องหาทางที่จะเล็ดลอดไปได้อยู่โดยสม่ำเสมอไม่มากก็น้อย ต้องเป็นอยู่เช่นนั้นผู้ปฏิบัติ เพราะกิเลสนี้เป็นสิ่งที่เหนียวแน่นที่สุด ซาบซ่านไปทั่วสกลกาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่แสดงออกมีแต่เรื่องของกิเลสจับจองไว้หมด เหตุใดเราจะมีช่องทางพอเล็ดลอดไปได้ ถ้าไม่ใช้สติปัญญาศรัทธาความเพียรอย่างแท้จริงแล้วจะไปไม่รอด ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย และแบกหามกองทุกข์ที่เป็นผลของกิเลสผลิตขึ้นมาอยู่ตลอดไป ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดมาแล้ว

เราเป็นที่แน่ใจการแนะนำสั่งสอนหมู่เพื่อน แน่ใจในหัวใจนี้เอง ได้ปฏิบัติมาอย่างนี้ เรื่องใจดวงนี้มันเคยแบกภพแบกชาติ พร้อมกับแบกกองทุกข์มามากน้อยเพียงไร ตั้งแต่กัปไหนกัลป์ใดนับไม่ได้เลยจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ มันจะสิ้นสุดยุติกันที่ตรงไหนเรื่องกองทุกข์เหล่านี้ ถ้ากิเลสอันเป็นเหตุผลิตทุกข์ขึ้นมามันยุติลงได้ ทุกข์ก็เป็นอันว่าหมดสิ้นไป ความเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายดังที่ท่านว่า ชาติปิ ทุกฺขา ชราปิ ทุกฺขา มรณมฺปิ ทุกฺขํ ซึ่งเป็นความทุกข์ทั้งนั้น เพราะอำนาจแห่งความเกิดและเพราะเชื้อแห่งสิ่งที่พาให้เกิดมันมีอยู่ภายในจิตใจนี้ ได้สังหารกันลงไปแล้ว มันจะเอาอะไรมาเกิด แน่ะฟังซิ นี้ละตรงนี้ตรงสำคัญ

จุดที่รวมแห่งกองทุกข์ทั้งหลายดังที่กล่าวมาเหล่านี้ ก็คือกิเลสเป็นผู้ประมวล เป็นผู้ผลิตขึ้นมาภายในจิตใจดวงนี้เอง ถึงไม่นับก็ตามมันรู้อยู่ประจักษ์ เอาปัจจุบันจิตนี้เป็นสักขีพยานย้อนหลังเข้าไปกี่กัปกี่กัลป์ จะเข้าใจในจุดนี้หมด ไม่ได้นอกเหนือไปจากจุดคือตัวเหตุอันสำคัญ ได้แก่จิตที่มีอวิชชาฝังจมอยู่นี้เลย อวิชชาคือเชื้ออันสำคัญฝังจมอยู่ภายในจิตใจ นี่คือกิเลสตัวสำคัญที่สุดละเอียดแหลมคมมากที่สุด จึงเรียกว่ากษัตริย์วัฏจิต จะได้แก่อะไร ถ้าไม่ได้แก่จิตได้แก่อวิชชาดวงนี้ นี่ประมวลเข้ามา

ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะสามารถประมวลสิ่งเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องไปถามใครแหละ พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนไว้เรียบร้อยแล้ว วิธีการที่จะประมวลสิ่งเหล่านี้ด้วยความพากเพียรกลั่นกรองเข้ามา ตัดเข้ามาเรื่อย ๆ ดังที่กล่าวมาแล้วตะกี้นี้ ตั้งแต่เรื่องอสุภะอสุภัง อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้ล้วนแล้วแต่ประมวลเข้ามาให้เห็นตามความสัตย์ความจริง ที่มันเป็นจริงอยู่แล้วอย่างไร ให้เห็นตามความสัตย์ความจริงโดยทางปัญญาอย่างนั้นๆ แล้วจะประมวลตัวเข้ามาๆ และหดย่นเข้ามาๆ จนรวมเข้ามาสู่ที่ใจดวงเดียว

เรื่องภพชาติอะไรเป็นสาเหตุ กำหนดลงไปดูที่นั่น มันก็กระจ่างแจ้งอยู่แล้ว อะไรเป็นภพชาติ ต้นไม้ภูเขาเขาไม่ได้เป็นภพเป็นชาติ ไม่ได้มาสร้างความทุกข์ความลำบากให้ นอกจากกิเลสที่ฝังอยู่ภายในจิตใจดวงเดียวนี้เท่านั้น ความเพียรหยั่งลงที่ตรงนี้ซินักปฏิบัติ เมื่อหยั่งลงไปตรงนี้แล้ว ยังไงก็ประมวลเข้ามาได้ละ เอ้า เคยเกิดมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ก็เกิดมาแล้วผ่านมาแล้ว อนาคตจะเป็นอย่างไร ตัดลงในวงปัจจุบันให้ขาดสะบั้น อนาคตจะมีไปไม่ได้ถ้าปัจจุบันไม่ส่งเงื่อนให้ไปเกิด ปัจจุบันนี้ได้ฟันลงอย่างขาดสะบั้นหั่นแหลกไม่มีเหลือแล้วภายในจิตใจ กระจ่างแจ้งขึ้นในที่นี้ ไม่ต้องถามใคร พูดแล้วสาธุเลย บรรดาสาวกอรหันต์ทั้งหลายว่าไม่ทูลถามพระพุทธเจ้า ก็จะทูลถามอย่างไรเพราะความจริงอันเดียวกัน สอนลงเพื่อความจริงนี้เท่านั้นไม่เป็นอย่างอื่น ก็คือพระโอวาทของพระพุทธเจ้า สนฺทิฏฺฐิโก อย่างสุดยอดก็ตรงนี้จะเป็นที่ตรงไหน พระพุทธเจ้าก็ สนฺทิฏฺฐิโก สุดยอดพระทัยในตรงนี้ พระสาวกก็สุดยอดที่ตรงนี้ แล้วประกาศกังวานขึ้นด้วยความจริงอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยขึ้นที่ดวงใจดวงเดียวนี้เท่านั้น นั่นปลดแล้วทุกข์ที่นี่ เอ้า เรื่องที่จะไปเกิดไปตายที่ไหนหมด มันรู้เองจะว่ายังไง

นี่ละการที่จะสังหารเรื่องความทุกข์ให้สังหารอย่างนี้ อะไรเป็นตัวเหตุก็พูดแล้ว มันเกี่ยวโยงไปถึงไหนๆ พิจารณาประมวลเข้ามาๆ ถึงเรียกว่าปัญญา ปัญญาเป็นของสำคัญมากทีเดียว เวลาใช้ปัญญาเอาจริงเอาจังเต็มเม็ดเต็มหน่วย สติกำลังวังชามีเท่าไรโหมตัวเข้าไปอย่าเสียดายทุกข์ อย่าเสียดายกิเลสสมุทัยคือความขี้เกียจขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ ความเถลไถลซึ่งเป็นเรื่องของสมุทัย ลากจิตใจของเราออกไปนอกลู่นอกทางทั้งนั้น นี้เคยเป็นมาเท่าไรแล้ว ผู้ปฏิบัติไม่ทราบใครจะทราบ ต้องผู้ปฏิบัตินี้เท่านั้น

พระพุทธเจ้าเป็นเอกในภาคปฏิบัติ พระสาวกอรหันต์ทั้งหลายเป็นเอกในภาคปฏิบัติ เพราะฉะนั้นท่านจึงได้ทรงธรรมอันเอกขึ้นที่ใจของท่าน นี่ผู้ปฏิบัติทั้งหลายดำเนินหรือเอาเครื่องมือจากพระพุทธเจ้าที่ทรงดำเนินและประทานให้แล้วนั้น คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เป็นต้น ประมวลเข้ามา โหมกันกับกิเลสที่เต็มอยู่ในหัวใจนี้ อย่างไรก็พัง พระพุทธเจ้าทำลายกิเลสให้พังราบลงไปเพราะธรรมเหล่านี้ สาวกทั้งหลายเพราะธรรมเหล่านี้ทั้งนั้น เหตุใดเมื่อเข้ามาสู่เราแล้วจะล่มจมฉิบหายไป ถ้าไม่ใช่กิเลสมันปัดมือออกเสียๆ ไม่ให้ฟันไม่ให้ทำลายมันได้เท่านั้น มักจะเป็นอย่างนั้น

เท่าที่สังเกตดูความพากเพียรของหมู่เพื่อน อ่อนแอท้อแท้ ทำอะไรๆ มักจะสะดุดตาสะดุดหูอยู่เสมอ พูดก็สะดุดหู กิริยาที่แสดงออกก็สะดุดตา มันทำไมจึงสะดุดตา มันบกพร่องในธรรมมันก็สะดุดตา ถ้าเรามองเป็นธรรมมองด้วยความเป็นธรรม มองด้วยสติมองด้วยปัญญา หลักธรรมชาติของธรรมที่พระองค์ทรงสอนไว้แล้ว ตรงไหนที่ผิดก็รู้ ไม่ผิดก็รู้ นั่น แล้วทำไมเจ้าของไม่รู้เจ้าของนี่ซิมันสำคัญ

นี่เราพูดถึงผลของการปฏิบัติ ผลที่เหมาะสมอย่างยิ่งกับภูมิปฏิบัติกับผู้ปฏิบัติคือนักบวชของเรา ก็คือมรรคผลนิพพาน นี้เป็นที่เหมาะสมมากกับผู้ปฏิบัติ ไอ้เรื่องกิเลสตัณหาอาสวะ หรือเรื่องดิ้นรนกระวนกระวายกวัดแกว่งกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ ยุ่งเหยิงในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของสมณะผู้ปฏิบัติธรรมเลย คือผู้ปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อจะถอดถอนกิเลส ซึ่งเป็นตัวสำคัญอยู่ภายในจิตใจด้วยความเพียรเต็มเม็ดเต็มหน่วย สละเป็นสละตายลงไปนี้เท่านั้น เป็นผู้ที่จะทรงมรรคทรงผลได้โดยสมบูรณ์ ดังครั้งพุทธกาลท่านทรงมาแล้ว เพราะธรรมนี้เป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้วนี้ ไม่มีปลีกแวะ ไม่มีผิดไม่มีเคลื่อนคลาดจากหลักความจริงที่ทรงดำเนินมาแล้ว และเห็นผลเป็นที่พอพระทัยมาแล้วเลย ตรงแน่วต่อความพ้นทุกข์อย่างเดียวกัน ถ้าเรานำมาประพฤติปฏิบัติยึดไว้เป็นหลักเป็นเกณฑ์จริงๆ ไม่ให้กิเลสมันมาปัดมือออกเสีย แล้วผลักไสออกนอกลู่นอกทางไปเสียเท่านั้น อย่างไรก็ไปไม่พ้นเรื่องมรรคผลนิพพาน เพราะรออยู่แล้วตามความจริงของผู้ปฏิบัติที่จะก้าวเข้าไปสู่จุดนั้น นี่มันสำคัญที่การปฏิบัติ

จิตใจเหลาะๆ แหละๆ หาความสัตย์ความจริงไม่ได้นี่ซิ มันมีแต่เรื่องของกิเลสแสดงออกอยู่ตลอดเวลาไม่ใช่เรื่องของธรรมแสดง เรื่องความมีสติ เรื่องความมีปัญญาพาแสดงนั้นเป็นเรื่องของธรรม ในวงผู้ปฏิบัติสติปัญญาเป็นสำคัญมากทีเดียว การเดินจงกรมก็ดี นั่งสมาธิภาวนาประการใดก็ตาม สติปัญญาเป็นของสำคัญมาก ทนก็ทนด้วยความมีสติ ด้วยความมีปัญญา อดทนก็ดี ต่อสู้วิธีต่างๆ ด้วยสติปัญญาทั้งนั้น

คำว่าสติปัญญานี้ไม่เว้น เพราะเป็นธรรมที่จำเป็นและสำคัญมากที่สุดในการต่อสู้กับกิเลส ถ้าธรรมทั้งสองประเภทนี้ไม่มี คำว่าเพียรๆ ก็ไม่ทราบว่าเพียรอะไร การเดินโลกเขาก็เดินได้ การนั่งโลกเขาก็นั่งได้ ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก ถ้าไม่ใช่นั่งด้วยสตินั่งด้วยปัญญา ที่ถูกต้องตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สติปัญญาเรื่องโลกๆ ที่กิเลสมันผลิตให้นั้น แต่เป็นสติปัญญาที่เกิดขึ้นจากหลักธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้ว นำเข้ามาประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง จนกลายเป็นสมบัติของตนขึ้นมา เป็นสติของตนปัญญาของตนแท้ นั้นแลเป็นเครื่องสังหารกิเลสโดยไม่ต้องสงสัย นี่ละพวกเราบกพร่องมากที่สุดก็ตรงนี้

ผลของศาสนาผลของผู้ปฏิบัติไม่ปรากฏเลยนี้เป็นอย่างไรกันพวกเรา มีแต่ชื่อพระกรรมฐาน พระธุดงคกรรมฐาน แต่มรรคผลนิพพานที่ควรแก่วงปฏิบัติของเรามีหรือไม่มีนี่ซิมันสำคัญ เราอยากจะพูดว่ามันไม่มี ถ้าความเพียรอย่างที่เป็นอยู่เวลานี้มันจะมีไม่ได้ เพราะถูกกิเลสตบถูกกิเลสตีถูกกิเลสปัดออกอยู่ตลอดเวลา มันไม่เข้าช่องเข้าทางพอจะฟันหัวกิเลสได้ซิ มีแต่กิเลสจับเครื่องศาสตราวุธนั้นมาฟันหัวเราเสียโดยไม่รู้สึกตัวๆ ทั้งๆ ที่ประกอบความพากเพียรอยู่นั่นแล อันนี้ละมีจำนวนมาก นี่เราจะเห็นว่ายังไง ก็เพราะเราโง่กว่ากิเลสนั่นซิมันถึงไม่ทัน

ผลิตสติปัญญาขึ้น เอ้า อบรมสติปัญญาขึ้นให้ดี สืบเนื่องกันไปโดยลำดับ สติให้สืบเนื่อง ปัญญาก็ใช้ความพินิจพิจารณาเข้าไปดังที่กล่าวนี้ สถานที่ทำงานของปัญญาคืออะไรก็พูดแล้วตะกี้นี้ ยกร่างกายนี้ขึ้นแล้วมันจะกระจายไปหมดถึงพวกนามธรรมทั้งหลาย นี้ล้วนแล้วแต่เป็นที่ทำงานของปัญญา มิหนำซ้ำยังเป็นหินลับของปัญญาได้อีก ใครพิจารณามากเท่าไรปัญญายิ่งคมกล้า พิจารณามากเท่าไรปัญญายิ่งเฉียบแหลม สามารถที่จะแทงทะลุเข้าไปในกิเลสส่วนละเอียด ธรรมส่วนละเอียดตามกันเข้าไปๆ จนกระทั่งถึงสังหารกิเลสได้ นี่ละมันทันที่นี่ ไอ้เรื่องกิเลสมันแสดงออกมาในแง่ใดมุมใดทันกันทั้งนั้น ไม่ทันฆ่าไม่ได้ ไม่ทันสังหารไม่ได้ เมื่อถึงขั้นที่ควรจะทันปิดไม่อยู่

การที่จะทำให้ทันเพราะอะไร ก็เพราะการอบรมการอุตส่าห์พยายาม การบึกบึนอยู่ไม่หยุดไม่ถอย เห็นภัยก็ให้เห็นอย่างถึงใจตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงสั่งสอนด้วยความเห็นภัยอย่างถึงพระทัย ท่านไม่ทรงสั่งสอนโลกด้วยธรรมดา ๆ เป็นประเพณีไปเฉยๆ เป็นพระเมตตาล้วนๆ ด้วยความเห็นภัยในทุกข์จริงๆ จึงต้องสอนเต็มเม็ดเต็มหน่วยเต็มบทเต็มบาท ธรรมจึงเป็นสวากขาตธรรม ชอบแล้วๆ เอ้า มานี้เถอะๆ หรือให้ดำเนินอย่างนี้ๆ จะไม่เป็นอย่างอื่น จะหลุดพ้นไปโดยลำดับเหมือนเป็นอย่างนั้น

ว่าเห็นคุณ พระองค์ก็ทรงคุณค่าอันเลิศประเสริฐอยู่แล้วภายในพระทัย ทั้งเห็นคุณทั้งเห็นโทษมีน้ำหนักเท่ากันในพระทัยของพระพุทธเจ้า เพราะประจักษ์ด้วยกัน การแนะนำสั่งสอนโลกเพื่อหนีจากโทษทั้งหลาย ก็สั่งสอนด้วยความเต็มเม็ดเต็มหน่วย เพื่อคุณธรรมทั้งหลายมีความหลุดพ้นวิมุตติธรรมเป็นต้น ก็ทรงสั่งสอนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ไม่มีปิดบังลี้ลับ เปิดเผยไว้หมดทุกแง่ทุกมุม ผู้ปฏิบัติที่ปฏิบัติด้วยความสัตย์ความจริงเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ตามเสด็จพระพุทธเจ้าทัน ดังที่เราเห็นแล้วซึ่งกล่าวเมื่อสักครู่นี้ว่า พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์นั้นท่านสำเร็จเป็นวิสุทธิบุคคลล้วนๆ ทีเดียว นั่น

ท่านเหล่านี้แลเป็นผู้พ้นภัยอย่างแท้จริง พ้นจริงๆ ไม่มีคำว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปเกี่ยวข้องเหมือนโลกทั้งหลายทั่วๆ ไป คือสามแดนโลกธาตุนี้เลย นี่พ้นจริงๆ เราปฏิบัติเพื่อความพ้นจริง ๆ หนีทุกข์จริง ๆ ไม่ให้ทุกข์ติดสอยห้อยตามได้ทันเลย เหมือนพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ เราจะปฏิบัติอย่างไร หรือจะปฏิบัติแบบลุ่มๆ ดอนๆ กินๆ นอนๆ ขี้เกียจขี้คร้านเต็มไปหมดในตัวของพระของเณรนี้เหรอ พิจารณาซิ

สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ทั่วไปในโลกในสงสาร เป็นของอัศจรรย์ที่ไหนมี นอกจากความขยันหมั่นเพียร ความอุตส่าห์พยายามของเรา ใช้ความคิดความพินิจพิจารณาให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตามอรรถธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้นี้เท่านั้น จะเป็นสายทางให้พ้นทุกข์โดยไม่ต้องสงสัย เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและครั้งพุทธกาลท่านทรงกันไว้ในธรรมทั้งหลายอันเลิศเลอดังที่กล่าวมาแล้วนี้

ธรรมเหล่านี้แสดงไว้เพื่อใคร พุทธบริษัทคือใครถ้าไม่ใช่เรา ภิกษุบริษัทก็หมายถึงเราผู้ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ธรรมลำเอียงที่ตรงไหน ไม่มีคำว่าลำเอียง กิเลสก็ไม่เอียง ถ้าผิดมันก็ฟันเราเลย ถ้าถูกเราก็ฟันมันได้เลยเหมือนกัน ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ อย่ามาเหลาะๆ แหละๆ

ทางพระก็มากขึ้นทุกวัน เณรมากขึ้นทุกวัน แออัดกันไปหมด อัดกันเหมือนปลาในกระป๋อง คุณธรรมที่จะทรงเป็นมรรคเป็นผลไม่มีนี่ว่าไง มันจะไม่พออกแตกแล้วเหรอ ผู้ปฏิบัติธรรมหาธรรมภายในใจไม่เจอมันก็อกแตกละซิ สมาธิธรรมคือความสงบใจก็ไม่มี ปัญญาธรรมความเฉลียวฉลาดให้ทันกลมายาของกิเลส ฆ่ากิเลสไปโดยลำดับๆ ก็ไม่มี มรรคผลนิพพานที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้เพื่อจุดนั้นจะเอามาจากจุดไหน ถ้าไม่เอามาจากสายทางเดินที่ถูกต้องดีงามนี้เท่านั้น

เวลานี้ศาสนาเป็นอย่างที่ว่านี้แล้วละ ถือว่าเรื่องวัตถุนี้เป็นเนื้อเป็นหนังเป็นจิตเป็นใจ เป็นรากเป็นฐานจริงๆ ยิ่งกว่าการประพฤติปฏิบัติจิตใจให้เป็นรากเป็นฐานด้วยศีลด้วยธรรมด้วยความสงบร่มเย็น ทรงไว้ซึ่งมรรคผลนิพพาน อย่างนี้จะไม่มีแล้วนะเวลานี้ มีแต่ชื่อ เลยจะกลายเป็นศาสนาประเพณี เพราะกิเลสพาให้เป็นประเพณี ธรรมท่านไม่เป็นประเพณี แต่กิเลสพาให้เป็น ในวงผู้ปฏิบัติในวงผู้นับถือพุทธศาสนานั้นแลจะเป็นที่ไหนไป คนที่เขาไม่นับถือไม่เอามาเกี่ยวข้อง พูดกันในวงผู้ปฏิบัติ ผู้นับถือพุทธศาสนานี้แล ให้กิเลสมันถือเป็นประเพณีในศาสนา จากหัวใจของผู้นับถือแต่ละคนๆ เลยหามรรคหาผลไม่มี มีแต่เรื่องของกิเลสเต็มหัวใจ นั่น ศาสนาก็มีแต่ชื่อซิจะทำอย่างไร

ไปที่ไหนเราดูซิความเคลื่อนไหวของศาสนา มีแต่ยุ่งเหยิงวุ่นวายกวนบ้านกวนเมืองเต็มไปหมด คนนั้นจะเอาอย่างนั้น คนนี้จะเอาอย่างนี้ มีแต่เรื่องกวนกัน ดูที่หัวใจที่มันยุ่งๆ วุ่นๆ วายๆ อยู่เวลานี้ไม่ดู แก้ตรงนี้แล้วมันสงบเย็นใจ การอยู่การกินการไปการมาปัจจัยทั้งสี่ไม่ว่าโลกว่าธรรม คือไม่ว่าฆราวาสไม่ว่าพระว่าเณร พอเป็นพอไปแล้วสบายคนเรา ไอ้เรื่องความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไม่มีเมืองพอนี้คือเรื่องของกิเลส มันให้คนเป็นสุขเพราะเรื่องของกิเลสที่ไหนมี เอ้า เอาว่าซิ บ้านปลูกไว้ประมาณสักกี่ร้อยชั้น เอ้า ปลูกไปซิ นั้นเหรอที่จะทำให้คนเกิดความสุข ธรรมต่างหากที่จะทำให้เกิดความสุข ความพอดีความรู้จักประมาณ ความรู้จักรักษาตัวบำรุงหัวใจของตัวเอง ให้ได้ใช้สิ่งทั้งหลายถูกต้องดีงาม เพื่อความสุขแก่ตัวเองเท่านั้น นั้นมันเพื่อกิเลสความโลภไม่มีเมืองพอ ความโกรธความหลงไม่มีเมืองพอ อะไรเมื่อไม่มีเมืองพอก็ต้องหิวไปจนกระทั่งวันตาย หาความสุขที่ไหนมี

พระเราก็เหมือนกัน นำเรื่องของกิเลสประเภทที่โลกเขาใช้กันอยู่ดาษดื่นเต็มโลกเต็มสงสารนี้มาใช้ในหัวใจเรา ก็จะมาเผาหัวใจเรา หาความพอดีไม่ได้ ดิ้นดีดอยู่เหมือนกับสุนัขขี้เรื้อน เอาความสุขมาจากไหน เราเคยเห็นไหมสุนัขขี้เรื้อน นั่งที่ไหนมันก็เกาแต่หมัด เกาอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เพราะมันดิ้นมันอยู่เป็นสุขไม่ได้ มันคันมันก็เกา ทีนี้จิตมันคันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เกาอย่างนั้นแล้วเกาอย่างนี้ ยุ่งกับสิ่งนั้นแล้วยุ่งกับสิ่งนี้ ไปหาที่ควรจะได้สงบมันไม่สงบ เพราะหัวใจไม่สงบ มันพาดิ้นก็ต้องดิ้นยุ่งไปหมด โลกเหมือนธรรม ธรรมเหมือนโลก พระเหมือนบ้าน บ้านเหมือนพระ วัดเหมือนบ้าน บ้านเหมือนวัด โยมเหมือนพระ พระเหมือนโยมไปเลย เอาอะไรมาเป็นสาระสำคัญที่มีแปลกต่างกัน ถ้าไม่วัดกันด้วยข้อปฏิบัติตามศีลตามธรรม ไม่วัดกันด้วยทางใจที่มีความสงบเย็นใจและความผ่องใส ความสง่างามและความกระจ่างแจ้งภายในจิตใจ เป็นเลิศเป็นเลออยู่ภายในจิตใจนี้ เอาอะไรมาวัดกันระหว่างศาสนากับโลก มีต่างกันอย่างนี้เท่านั้น

ถ้าไม่ทำจิตใจ ด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้เป็นผลอย่างนี้แล้ว ก็ไม่เห็นมีผิดแปลกอะไรกับโลก ผ้าเหลืองๆ เต็มอยู่ในตลาดลาดเลอัศจรรย์ที่ตรงไหน หัวโล้นใครโกนก็ได้ไม่ยาก เด็กโกนก็ได้ ผู้ชายผู้หญิงโกนได้ทั้งนั้น ถ้าการประพฤติปฏิบัติตัวเองไม่มีไม่ดี

เพราะฉะนั้นการปฏิบัติต่อจิตใจซึ่งเป็นรากฐานสำคัญนี้ จึงเป็นของสำคัญมากที่สุด เมื่อปฏิบัติต่อจิตใจให้มีความรอบคอบ มีความเฉลียวฉลาดทันกับเหตุการณ์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งภายนอกและภายในแล้ว นี้ละจะเป็นผู้ทรงความสงบเย็นใจไว้ได้ พระก็เย็นใจ อยู่ในป่าในเขาที่ไหนเย็นใจ มีไม่มีไม่สำคัญ ความเย็นใจคือสมบัติอันล้นค่าแล้ว โลกก็ให้รู้จักประมาณในการประพฤติปฏิบัติต่อตัวเอง การกินอยู่ใช้สอยไม่ให้ฟุ่มเฟือย ไม่ให้ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมไปตามอำนาจของกิเลส ซึ่งเป็นเรื่องที่จะขนฟืนขนไฟมาเผาตัวอยู่ตลอดเวลา นั่นมันดีที่ตรงไหนตรงนั้น ไม่เห็นมีทางดีเลย ถ้าจิตมีประมาณมีความพอดีแล้ว ก็สงบเย็นใจได้สบายได้คนเรา ถ้ามีธรรมไปประพฤติปฏิบัติ

แต่นี้มันไม่มีธรรมล่ะซิ ความโลภเป็นธรรมเมื่อไร ราคะตัณหาเป็นธรรมเมื่อไร มันเป็นเครื่องสังหารคนผู้ไม่มีธรรม ถ้าผู้มีธรรมก็มีเบรกห้ามล้อ ใช้สอยพอประมาณด้วยอรรถด้วยธรรมเป็นเบรกห้ามล้อเอาไว้ ฟืนไฟก็จะไม่เผามากจนเกินไป แม้จะละไม่ได้ก็ตาม ถ้ายังมีการหักห้ามต้านทานกันอยู่แล้ว ก็พอฟัดพอเหวี่ยงกันไป อันนี้ปล่อยให้เหยียบคันเร่งเสียจนลงคลองจมไปเลยทั้งรถทั้งคน แล้วเอาความสุขมาจากไหนด้วยความล่มจมเช่นนั้น นี่ก็เหมือนกัน เพราะความโลภมันพาลงคลอง แล้วเอาความสุขความสบายมาจากที่ไหน

เราอย่าไปตื่นซิ ตื่นเหล็ก ตื่นหิน ตื่นอิฐ ตื่นปูน ตื่นไม้ เหล่านั้นมันมีเต็มโลก เหยียบอยู่นี้ก็อิฐปูนหินทรายไม้ทั้งนั้นแหละ เดินไปไหนก้าวไปไหน ไม่มีสิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องรองรับฝ่าเท้าเราแล้วเราเดินได้ยังไง มันเต็มไปหมดตื่นมันอะไร เหล็กฟังซิเหล็ก ตื่นหาอะไร พิจารณาให้คล่องตัวซินักปฏิบัติ นี้เราสอนนักปฏิบัติให้คล่องตัวทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อคล่องตัวแล้วรอบตัวแล้วอยู่ไหนอยู่ได้ ใช้อะไรใช้ได้สบายๆ พอเหมาะพอดีกับหัวใจที่พอดีอยู่แล้วนั้น หาความทุกข์ไม่มี

ไอ้ที่มันเลยเถิดนั่นซี มันเลยประมาณนั่นซี มันออกนอกลู่นอกทางแล้วออกหากองทุกข์ทั้งนั้นแหละ ไม่มีคำว่าหาความสุข ถ้านอกเหนือจากธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วนี้ ใครอย่าหวังว่าจะได้ความสุขเลิศเลอมาจากไหน มาแข่งศาสนธรรมของพระพุทธเจ้า จนกระทั่งวันตายมันก็ตายไปด้วยความทุกข์ความทรมานของผู้ที่ต้องการแข่งอย่างนั้นนั่นแล จะเป็นอะไรที่ไหนไป

นี่ก็กิเลสกับธรรมแข่งกันอยู่ในหัวใจเรานี้ เรารู้ไหมเวลานี้ มันแข่งกันเรื่องอะไรบ้างเราไม่ได้ดูบ้างเหรอ นี่ละระหว่างกิเลสกับธรรมแข่งกันอยู่ภายในนี้ มีแต่กิเลสชนะ ธรรมแพ้อย่างราบเลย แพ้อย่างหมอบราบๆ คือใคร ถ้าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติเรานี้จะเป็นใครไป ถ้าอยากจะเห็นชัยชนะระหว่างธรรมกับกิเลสต่อสู้กัน เห็นชัยชนะของธรรมต่อสู้กิเลส ฟาดฟันกิเลสลงไป เอานี้เอาลงไปซิ สติปัญญามีเอาหุงต้มแกงกินได้หรือ พระพุทธเจ้าใช้ฆ่ากิเลส ฟันกิเลส ห้ำหั่นกิเลสจนหมอบราบไปหมดไม่มีอะไรเหลือซากติดอยู่ในพระทัยเลยนั้นเพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะสติ ปัญญา ศรัทธาความเพียรนี้จะเป็นอะไรที่ไหนไป อิฐ ปูน หินทรายนี้มีที่ไหนไปฆ่ากิเลสตรงไหน พิจารณาซิ

ตื่นอะไรนักปฏิบัติ ให้มันเห็นอยู่ภายในจิตใจนี้ มันสว่างโร่อยู่ทั้งวันทั้งคืน ไม่มีอะไรปิดไม่มีอะไรเข้ามาเกี่ยวข้องได้เลย เมื่อได้พิจารณารอบกันหมดแล้วเป็นหลักธรรมชาติ อะไรเข้ามายุ่งไม่ได้เลย นั่นฟังซิ แม้จะยังครองร่างอยู่คือรูปขันธ์ ได้แก่ร่างกายนี้ ครองร่างก็ตาม รูปก็เป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ความสุขความทุกข์อะไรมันก็มี เป็นธรรมชาติของมัน แต่ไม่เข้าไปแตะจิตได้ ไม่เข้าไปยุ่งกับจิตได้เลย เป็นหลักธรรมชาติ นั่นให้มันรอบอย่างนั้นซิผู้ปฏิบัติ ให้มันสง่างามอยู่ตลอดเวลา อะไรจะสง่างามยิ่งกว่าจิตที่บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้น เพราะการประพฤติปฏิบัติของตนด้วยความเอาเป็นเอาตายจริงๆ ตามธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน สมกับว่า พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ จริงๆ ไม่ได้มีแต่เพียงว่าพูดแต่ปาก ตัวขี้เกียจขี้คร้านให้กิเลสเหยียบหัวอยู่ตลอดเวลา มันได้เรื่องอะไรผู้ปฏิบัติ พากันนำไปพิจารณานะที่พูดเหล่านี้ อย่าให้เป็นมารของศาสนาอยู่ประจำหัวใจตัวเองๆ นะมันเป็นอยู่เวลานี้ เป็นยังงั้น มารของศาสนาอยู่ที่ใจ มันทำลายอยู่ตลอดเวลา ทำลายหัวใจ

ธรรมท่านว่าเลิศ เหตุก็คือการปฏิบัติก็ถูกต้องดีงาม เพื่อความเลิศในผลแห่งธรรมทั้งหลาย แต่เราไม่ปรากฏ ทั้งเหตุก็ไม่ได้เรื่องได้ราว ทั้งผลก็ไม่มีวี่แววบ้างเลยเราหวังอะไร อยู่ไม่มีความหวัง มีความหวังแต่ไม่มีอะไรสมหวัง มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์พิจารณาซิ ให้มันเต็มตื้นไปด้วยความภูมิใจ เพราะผลเป็นที่พึงใจได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย หรือสมบูรณ์แล้วในหัวใจเรานั่นซิผู้ปฏิบัติ สมกับพระองค์ท่านประทานพระโอวาทไว้ด้วยพระเมตตาจริงๆ ผู้ปฏิบัติ-ปฏิบัติสนองความเมตตาของพระองค์จริงๆ จนกระทั่งปรากฏผลขึ้นมาเต็มหัวใจของเจ้าของจริงๆ แล้ว ทำไมจะไม่กราบพระพุทธเจ้าอย่างราบล่ะ

อยู่ไหนอยู่เถอะ กาลเวล่ำเวลาพูดกันไปอย่างนั้นแหละเรื่องโลกสงสาร ไม่พูดอย่างนี้ไม่ได้เพราะมันติดมันพันอยู่กับหัวใจ แต่ใจที่บริสุทธิ์วิมุตติหลุดพ้นแล้วมีแต่กิริยาที่พูดเท่านั้น ไม่มีอะไรเข้าไปกระทบกระเทือนหรือเข้าไปเกี่ยวข้องได้เลย นั่นท่านถึงเรียกว่าบริสุทธิ์ บริสุทธิ์อย่างนั้นเองจิต จะเป็นบริสุทธิ์อย่างไร

ความบริสุทธิ์ของจิตที่แท้จริงกับความบริสุทธิ์ที่เราคาดคะเนนั้น เป็นคนละโลกนะ ความสุขแม้ที่สุดว่า นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ ความสุขในพระนิพพานเป็นความสุขอย่างยิ่ง นี้เป็นความคาดอันหนึ่ง กับหลักธรรมชาติแห่งความสุขนั้นมันเข้ากันไม่ได้นะ ต้องผู้เป็นจิตที่บริสุทธิ์ ต้องผู้เป็นนิพพานเท่านั้น ไม่ถามก็รู้ ไม่มีใครที่จะตอบได้ ไม่มีใครที่จะพูดถูกในเรื่องจิตที่บริสุทธิ์ ผลที่เกิดขึ้นจากความบริสุทธิ์ของจิต ความเลิศเลอที่เกิดขึ้นจากความบริสุทธิ์ของจิตนั้นคืออะไร นอกจากจิตที่บริสุทธิ์แล้ว ผู้บริสุทธิ์นี้เท่านั้นจะเป็นผู้พูดถูกต้องอยู่ตลอดเวลา แม้ไม่พูดไม่ถามใครก็ตาม ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา นั่น

เอาให้เห็นธรรมชาตินี้ซิ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนโลก ที่ทรงนำมาแสดงนี้เป็นเพียงกิริยาๆ เท่านั้น หลักธรรมชาติจริงๆ ไม่มีใครที่จะนำเอาออกมาได้ พระอรหันต์ท่านมีอยู่เฉพาะท่าน พระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์พระองค์หนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์พุทโธ ไม่มีสิ่งใดเสมอในโลก ก็เป็นอยู่กับพระพุทธเจ้าเท่านั้น ไม่มีใครที่จะไปคาดไปเดาของท่านได้ถูกต้องเลย ถ้าได้ปฏิบัติตนให้ถึงจุดนั้นแล้ว ไม่ต้องทูลถามไม่ต้องถาม ทราบเองดังที่ว่า สนฺทิฏฺฐิโก ให้มันเห็นอย่างนั้นซิ ธรรมะพระพุทธเจ้าไม่ต้องถามก็รู้ว่างั้นซิ เมื่อปฏิบัติถึงขั้นไม่ต้องถามก็รู้แล้ว รู้เอง ไม่ต้องถามก็รู้ ไม่ทูลถามก็รู้ ทรงอยู่เต็มเม็ดเต็มหน่วย พระพุทธเจ้าฉันใดนี้ก็ฉันนั้น นั่นรับกันอยู่ตลอดเวลา ร้อยเปอร์เซ็นต์ ๆ นั่นละศาสนธรรมท่านเป็นอย่างนั้น ผลมีอย่างนี้ เอามาโชว์ได้ซิ ไม่มีใครโชว์ก็โชว์กับเจ้าของนี่ซิ เลิศเลออยู่กับเจ้าของ พอที่จะแนะนำสั่งสอนคนอื่นได้มากน้อยเพียงไรก็สอน ใครจะประพฤติปฏิบัติได้มากน้อยเพียงไรก็ให้เป็นเรื่องกรรมนิยม หรือว่าวาสนาอำนวยของผู้นั้นมากน้อยเพียงไรเท่านั้น ส่วนเจ้าของไม่ขาดทุนสูญดอกไปไหน เต็มที่เต็มฐานอยู่ภายในจิตใจ นั่นท่านจึงเรียกว่าบรมสุขๆ

เรามันมีแต่ความคาดเอาว่าบรมสุข ๆ เห็นจะเป็นอย่างนั้นเห็นจะเป็นอย่างนี้ เลยไปวาดภาพเอาเสียจนจะเป็นบ้า ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถูกต้องกับบรมสุข และไม่ได้เห็นบรมสุขนั้นเลยว่าเป็นอย่างไร ให้เห็นในจิตของเจ้าของซิว่าบรมสุขเป็นยังไง คำว่านิพพานๆ เป็นยังไง บรมสุขเป็นยังไง เมื่อเห็นนี่แล้วไม่ถาม ถามใครทำไม มันเต็มที่เต็มฐานแล้ว จึงว่าไม่มีอะไรเกินธรรมชาตินี้ ไม่ถามฟังดูซิ สิ่งทั้งหลายได้ถามกันทั้งนั้น อันนี้ไม่ถาม ประจักษ์ แน่ะ

เอาละการแสดงธรรมก็เห็นว่าพอสมควร


** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
    เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

<< BACK

หน้าแรก